Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

จากเด็กศิลป์ สู่คณะสัตวแพทยศาสตร์ (dek67)

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

      สวัสดีค่าาาา พี่ชื่อยูริ dek67 เรียนม.ปลายแผนการเรียน EP ศิลป์ญี่ปุ่น ซึ่ง สอบติด TCAS รอบ 1 โครงการเรียนล่วงหน้า คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ค่ะ!  

กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของพี่ จะมาเล่าประสบการณ์ตั้งแต่ทำไมถึงตัดสินใจเลือกคณะคนละสายกับที่เรียน รีวิวการเตรียมตัวสอบเข้า การสัมภาษณ์ของพี่ และคำแนะนำที่อยากบอกทุกๆคนค่ะ





1. ทำไมถึงตัดสินใจเลือกคณะสัตวะ ?

    จริงๆแล้วพี่เป็น dek66 ที่เรียนม.4 สองครั้งค่ะ ก่อนอื่นเลยตั้งแต่เด็กๆ พี่ชอบวาดรูป และภาษาอังกฤษมากๆ คณะในฝันคือคณะดิจิตัลมีเดีย และสถาปัตย์ แต่พี่เกลียดคณิตเข้าไส้ วิทย์ก็ถูๆไถๆเอา พอจะขึ้นม.4 เพื่อนพี่หลายๆคนยื่นโควต้าเข้าห้องวิทย์คณิตกันหมด พี่เลยยื่นตามเพราะคิดว่าตัวเองคงเรียนไหวค่ะ


    ซึ่งตอนนั้น ก็ตามเวรตามกรรมเลย พี่เรียนไม่ไหว เกรดตก ไม่มีความสุขมากๆ และรู้สึกกดดันมากๆ จนสุขภาพจิตพี่เสียค่ะ พี่เลยตัดสินใจลาออกตอนม.4 เทอม 2 แล้วไปสอบเข้าม.4 ใหม่ห้องเรียนอีพีศิลป์ญี่ปุ่น เพราะคิดว่าทางของตัวเองคือทางอาร์ตแน่ๆ


    แต่พอเรียนม.4 ไปได้สักพัก พี่กลับไม่ค่อยมีแพชชั่นในการเรียน หมดไฟวาดรูป กลายเป็นว่าสิ่งที่พี่ชอบตั้งแต่เด็กๆ กลับไม่ใช่สิ่งที่พี่อยากทำเป็นอาชีพซะงั้น


    แล้วจุดพีคก็มาถึง ตอนม.4 เทอม 2 กระต่ายที่เลี้ยงไว้เสียเพราะไม่มีหมอที่เชี่ยวชาญรักษาค่ะ ตั้งแต่ตอนนั้นชีวิตพี่ก็พลิกไป เริ่มสนใจคณะสัตวแพทยศาสตร์ การดูแลรักษาสัตว์ พี่กลัวว่าแรงจูงใจที่พี่มีมันเป็นเพียงชั่ววูบ พี่เลยลองไปฝึกงาน เข้าค่ายสัตวะ ไปโอเพ่นเฮ้าส์ จนทำให้พี่มั่นใจ ว่านี่แหละ อาชีพในฝันของเรา




2. การเตรียมตัวสอบ
 

  • เตรียมกสพท พี่เริ่มเตรียมตัวตั้งแต่รู้ตัวตอน ม.4 เทอม 2 เรามาจากสายศิลป์ ต้องยอมรับว่าเรียนวิทย์คณิตมาน้อยกว่าห้องวิทย์ เราต้องพยายามมากกว่าเขา พอพี่รู้ตัว พี่ก็วางแผนอ่านหนังสือเตรียมรอบ 3 และลงมืออ่านทุกวัน ปูพื้นฐานใหม่ให้ตัวเอง ทำโจทย์ ทำแนวข้อสอบ เรียนพิเศษ
  • โครงการเรียนล่วงหน้าม.เกษตร พี่รู้สึกว่ารอบ 3 คู่แข่งเยอะมาก เลยลองหารอบอื่นที่รับสายศิลป์ จนมาเจอ โครงการเรียนล่วงหน้าม.เกษตรค่ะ เป็นโครงการที่เปิดให้นักเรียนม.4-6 เรียนเนื้อหาของมหาลัย สอบ แล้วนำคะแนนไปยื่นตอนม.6 ปีนึงเปิดให้สอบได้ 3 รอบ แต่ละรอบสมัครกี่วิชาก็ได้ ใช้เวลาเรียน 12 สัปดาห์ มีสอบกลางภาคและปลายภาครวมเป็น 100 คะแนน ซึ่งคณะสัตวะเกณฑ์คือ ให้เลือกสอบ 2 วิชาจาก คณิต ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ และเกรดรวมกันต้องได้ตั้งแต่ B+ (75) รับ 45 คน พี่เอารอบนี้เลยเพราะเป็นมหาลัยในฝัน แถมไม่ต้องใช้พอร์ตหรือเกรดเลย ซึ่งพี่เลือกสอบคณิตและชีวะไป 



ชีวะ - เป็นเนื้อหาม.ปลายทั้งหมดยำรวมกันค่ะ พี่เรียนช่วงปิดเทอมขึ้นม.5 พี่จะตั้งใจเรียนคลิปของอาจารย์แล้วจดทุกคำพูดของอาจารย์ แล้วค่อยมาสรุปเป็นภาษาตัวเอง วาดและจำรูปที่มีในสไลด์ แล้วท่องทุกวันค่ะ ทำให้พี่เก็บกลางภาคมาได้ 48/50 คะแนน เป็นท็อปของรุ่น (ตอนรู้คะแนนคือชื่นใจมากๆ) แล้วสอบไฟนอลมา ได้เกรด A มาตัวแรกค่ะ heart





คณิต - ตัวร้ายค่ะ พี่อ่อนคณิตด้วย เป็นเนื้อหา Cal 1 ของคณะวิศวะเลย เนื้อหาประมาณม.6 แต่ลึกกว่า สูตรเยอะมากๆ สารภาพว่าตอนลงเรียน พี่ยังไม่รู้เลยว่า log ln e คืออะไร (5555555555) พี่เริ่มจากการปูพื้นฐานที่ต้องใช้ก่อน เช่นตรีโกณ ลอคการิทึม กราฟฟังก์ชันให้แม่นๆ แล้วเริ่มเรียนทฤษฎี ทำความเข้าใจความเป็นมาของสูตรก่อน เรียนพิเศษ แล้วทำโจทย์ทุกวันเลยค่ะ ช่วงนั้นเป็นช่วงเปิดเทอมม.5 เทอม 2 ต้องเรียนทั้งของโรงเรียนกับของโครงการ เหนื่อยมากๆ กิจกรรมก็เยอะ เวลาไหนในห้องว่างๆพี่ก็เอาโจทย์มาทำค่ะ ฝึกเยอะๆ เก็บกลางภาคไปได้ 42.50 คะแนน สุดท้ายสอบได้เกรด A ค่ะ 







สัมภาษณ์ - พี่ยื่นเกรด AA ไปและมีสิทธิ์สอบสัมเมื่อมกราที่ผ่านมาค่ะ มีถามให้แนะนำตัว ถามว่าทำไมถึงอยากเข้าคณะสัตวะ แผนการเรียนที่พี่เรียนมีประโยชน์อะไรต่อคณะนี้ (อันนี้เจ็บจี๊ดดดด) และก็มีให้อ่านคำถามจากกระดาษ A4 แล้วตอบกรรมการค่ะ เป็นคำถามประมาณว่าถ้าเราตื่นสายในวันที่เราต้องไปทำกิจกรรมที่เราเป็นเฮด เราจะทำอย่างไร ประมาณนี้ค่ะ ซึ่งสัมก็ผ่านไปได้ด้วยดี!





3. คำแนะนำ จากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง

    สำหรับน้องๆที่อาจจะกำลังเครียดเรื่องมหาวิทยาลัยหรือแผนการเรียน น้องๆค่อยๆค้นหาตัวเอง โดยการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ลองสิ่งใหม่ๆ ทำกิจกรรม ฝึกงาน เข้าร่วมเวิร์คช้อป ทำจิตอาสา เข้าค่าย ไปโอเพ่นเฮ้าส์ เพื่อหาตัวเองในเวอร์ชั่นที่มีความสุขในการทำสิ่งที่ใช่

    สำหรับน้องๆคนไหน ที่มาจากสายศิลป์ มีความฝันอยากเป็นหมอคน หมอหมา หมอฟัน เภสัช วิศวะ หรือน้องๆสายวิทย์ ที่อยากเข้านิเทศ อักษร ให้ลองลิสต์ลำดับมหาลัยที่อยากเข้า แล้วตามหารอบอื่นๆเพื่อเพิ่มโอกาสตัวเอง จะได้ไม่ต้องรอลุ้นแค่รอบสามค่ะ ถ้ามั่นใจแล้ว ก็ลุยเลย อย่ากดดันตัวเอง มีความมั่นในตัวเองเยอะๆ แต่ก็ไม่มากเกินจนประมาทข้อสอบหรือคู่แข่งนะคะ เพราะการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ไม่สิ้นสุด และชีวิตคือการได้ลอง จงเดินหน้าไปให้เต็มที่ค่ะ!





สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณครอบครัวที่คอยซัพพอร์ท เชื่อใจ สนับสนุนยูริมาโดยตลอด 
ขอบคุณเพื่อนๆที่คอยให้กำลังใจ ปลอบยูริในวันที่ยูริไม่มีความมั่นใจในตัวเอง
ขอบคุณอาจารย์ และเซนเซย์ ที่เข้าใจ และตอบเวลายูริถามเรื่องเรียน

ขอให้น้องๆ dek68 dek69 และรุ่นต่อๆไป โชคดีและได้เป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ชอบนะคะ

ใครสงสัยอยากสอบถามอะไร สามารถคอมเม้นท์ หรือทัก IG : studywithyuriiii นะคะ แล้วโชคดีค่ะ

แสดงความคิดเห็น

>

2 ความคิดเห็น

Dhabfhd 23 เม.ย. 67 เวลา 16:24 น. 2

การเปลี่ยนจากสาขาวิชาเด็กศิลป์ไปสู่คณะสัตวแพทย์เป็นการเปลี่ยนทางการศึกษาที่สำคัญและมีความหมายอย่างมาก นี่เป็นการตัดสินใจที่ต้องการความพยายามและความมุ่งมั่นในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองในสาขาวิชาที่แตกต่างกันอย่างมาก

หากคุณต้องการเปลี่ยนจากสาขาวิชาเด็กศิลป์ไปสู่คณะสัตวแพทย์ นี่คือขั้นตอนที่คุณอาจต้องทำ:
1. ศึกษาความต้องการเข้าศึกษาในคณะสัตวแพทย์: ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับคณะสัตวแพทย์ที่คุณสนใจ ศึกษาเกี่ยวกับหลักสูตรการศึกษา ความต้องการทางการศึกษา เงื่อนไขการรับเข้าศึกษา และขั้นตอนในการสมัครเข้าศึกษา
2. เตรียมตัวและสอบเข้าคณะสัตวแพทย์: ในกรณีที่คณะสัตวแพทย์มีการรับสมัครผ่านทางการสอบ เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสอบ เช่น ศึกษาหัวข้อที่เกี่ยวข้อง ฝึกทำข้อสอบแบบซ้อม และเตรียมเอกสารที่จำเป็นสำหรับการสมัคร
3. สมัครเข้าคณะสัตวแพทย์: ทำการสมัครเข้าศึกษาในคณะสัตวแพทย์ตามขั้นตอนที่กำหนด รวมถึงการกรอกแบบฟอร์มและส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องตามคำแนะนำ
4. เรียนรู้และพัฒนาตนเอง: เมื่อได้รับการรับเข้าศึกษาในคณะสัตวแพทย์ คุณจะต้องเรียนรู้และพัฒนาตนเองในสาขาวิชานี้ ซึ่งอาจมีการศึกษาทฤษฎี การฝึกปฏิบัติ และการศึกษาเพิ่มเติมที่ต้องทำ
การเปลี่ยนสาขาวิชาเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่ถ้าคุณมีความมุ่งมั่นและความพร้อมในการเรียนรู้ คณะสัตวแพทย์อาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคุณในการพัฒนาอาชีพและตามความฝันของคุณครับ
ขอให้คุณประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนสาขาวิชาและการศึกษาในคณะสัตวแพทย์ครับ
1
yurichan 23 เม.ย. 67 เวลา 20:19 น. 2-1

ขอบคุณสำหรับข้อสรุปดีๆและกำลังใจนะคะ

0