Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

"หลั่งเลือดที่นานกิง"

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
"หลั่งเลือดที่นานกิง" หนังสือช็อคโลก ประวัติศาสตร์บาดหมางจีน-ญี่ปุ่น

พนิดา สงวนเสรีวานิช
มติชน 27 เมษายน 2548

ในที่สุดญี่ปุ่นก็ยอมขอโทษจีน รวมทั้งประเทศในเอเชียกรณีสังหารผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก
เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อที่ประชุมเอเชียแปซิฟิกที่ประเทศอินโดนีเซีย

ทำให้ความหมางใจกันถึงขั้นมีการเดินขบวนประท้วงญี่ปุ่นของคนจีนจำนวนมาก
ที่ยืดเยื้อกันมาเป็นสัปดาห์ คลี่คลายลง

กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากแบบเรียนประวัติศาสตร์ที่ผ่านการอนุมัติจาก
รัฐบาลญี่ปุ่นเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมาโดยเนื้อหาในแบบเรียนระบุว่า
โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นที่เมืองนานกิง เป็นเพียง "เหตุการณ์เล็กๆ" ที่มีคนจีน
"หลายคน" ถูกสังหาร

ทำไมคนจีนต้องโกรธแค้นขนาดนั้น

ถ้าเป็นเมื่อก่อน กรณีการสังหารหมู่ที่เมืองนานกิงอาจจะเหมือนกับเมืองอื่นๆ
ที่พ่ายแพ้สงคราม เพราะความจริงที่โหดร้ายนั้นถูกจงใจปิดบัง รวมทั้งถูก
ทำให้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์

กระทั่ง ปี ค.ศ.1994 ความจริงที่ ไอริส จาง บอกว่าพ่อแม่ของเธอเล่าให้ฟัง
โดยเรียกว่า "หนานจิง ต้าถูซา(การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)" ก็ปรากฏขึ้น

"เมื่อฉันเข้าร่วมในการประชุมที่จัดโดย สมาพันธ์โลกเพื่ออนุรักษ์ประวัติศาสตร์
สงครามโลกครั้งที่ 2 ในเอเชีย ซึ่งจัดขึ้นที่คูเปอร์มีโน รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อระลึกถึง
เหยื่อของเหตุการณ์สังหารโหดที่นานกิง

คณะผู้จัดงานขึงโปสเตอร์ขนาดใหญ่ที่แสดงภาพการฆ่าล้างเผ่าชาวนานกิงไว้
ในห้องโถงของที่ประชุม เป็นภาพน่ากลัวที่สุดในชีวิตฉัน"

เป็นเหตุให้ ไอริส จาง ต้องค้นคว้าหาข้อมูลทั้งจากเอกสารและจากการสัมภาษณ์
คนที่มีชีวิตรอดมาได้

ยิ่งขุดค้นลงไปมากเท่าไร ก็ยิ่งได้พบว่าหลักฐานข้อมูลต่างๆ นั้นมีให้ค้นคว้าได้
และมีอยู่ในอเมริกามาโดยตลอด ไม่ว่าจะโดยบาทหลวงที่ออกไปเผยแพร่ศาสนา
นักหนังสือพิมพ์หรือนายทหารที่ได้จดบันทึกเรื่องราว ถ่ายภาพเหตุการณ์เก็บไว้
ให้คนรุ่นหลัง

แล้วเรื่องราวต่างๆ ก็ร้อยเรียงออกมาเป็น "The Rape of Nanking :
The Forgotten Holocaust of World War II" หรือ "หลั่งเลือดที่นานกิง"
แปลโดยฉัตรนคร องคสิงห์ ค่ายสำนักพิมพ์มติชน

เรื่องราวที่บรรจุอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ที่ทหารญี่ปุ่นกระทำต่อเชลยชาวจีน ไม่เพียงทหาร
แต่กับพลเรือนตั้งแต่เด็กเล็ก หญิงสาว ไปกระทั่งคนแก่เฒ่า นั้นโหดร้ายนัก

แม้กระทั่งนาซีในนานกิงยังกล่าวถึงสิ่งที่ตนเห็นว่า "พฤติกรรมเยี่ยงเดียรัจฉาน"

อสุมะ ชิโร ทหารญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพยานในเหตุการณ์ทารุณโหดร้าย กล่าวว่า
ในระหว่างเวลาสองปีแห่งการฝึกอบรมทางทหารในกองพลทหารราบที่ 20
แห่งเกียวโต-ฟุ ฟูคูชิ-มา นั้น เราถูกสอนว่า

"ความจงรักภักดียิ่งใหญ่กว่าภูผา หากชีวิตของผมเองยังไม่สำคัญ ชีวิตของ
ศัตรูก็ยิ่งสำคัญน้อยเสียจนไม่มีค่าอะไรเลย"

ทหารทุกคนล้วนได้รับการฝึกให้ความรู้สึกของอย่างมนุษย์หมดไป วันแล้ว
วันเล่าจะต้องฝึกให้รู้จักการตัดหัวมนุษย์และเสียบดาบปลายปืนเข้าไปในร่าง
เป็นๆ ของเชลยเหล่านั้น

และขณะเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงก็ได้มีการจัด "การแข่งขันฆ่า" ดูซิว่า
ใครจะสามารถฆ่าเจ๊กได้ถึง 100 คน ก่อนที่กองทัพญี่ปุ่นจะบุกถึงเมืองนานกิง

หนังสือพิมพ์ "เจแปน แอดเวอร์ไทเซอร์" ฉบับวันที่ 7 ธันวาคม รายงานว่า
เรือตรีมูคาอิ โทชิอาขิ และเรือตรีโนดะ ทาเคฉิ จากหน่วยคาตากิริเข้าร่วม
ในการแข่งขันกระชับมิตร ซึ่งอีกสัปดาห์ต่อมาก็รายงานว่า ทหารทั้งสอง
เกิดไม่แน่ใจว่าใครได้คะแนนถึง 100 ก่อน ดังนั้นจึงตกลงใจขยับเป้าเป็นฝ่ายละ 150

"คมดาบของมูคาอิบิ่นไปเล็กน้อยจากการแข่งขัน เขาเล่าว่าเป็นเพราะการผ่าตัว
คนจีนออกเป็นสองครึ่งดาบเลยกระแทกเข้ากับหมวกเหล็กและอื่นๆ และบอกว่า
การแข่งขันนี่ สนุกดี"

ส่วน โอมาตะ ยูคิโอะ ผู้สื่อข่าวประจำกองทัพ ซึ่งได้เห็นเชลยศึกชาวจีนถูกนำ
ไปยังท่าเรือเซี่ยกวาน แล้วถูกสั่งให้ยืนเรียงกันที่ริมฝั่งแม่น้ำ รายงานว่า

พวกที่ยืนอยู่แถวแรกถูกตัดหัว แถวที่สองถูกบังคับให้ผลักร่างไร้หัวลงน้ำไป
จากนั้นคนในแถวถัดมาก็ถูกตัดหัวเช่นกัน การฆ่าหมู่ดำเนินไปไม่หยุดยั้ง
จากเช้ายันค่ำ

แต่ด้วยวิธีนี้ทหารญี่ปุ่นฆ่าได้แค่วันละ 2,000 คน จนเหน็ดเหนื่อยกับวิธีการนี้
พอถึงวันถัดมาจึงหันมาใช้ปืนกล ทหารสองคนกราดปืนกลเข้าใส่เชลยที่ยืน
เรียงแถวกันอยู่ ปังๆ ปังๆ ทหารเหนี่ยวไก ขณะเชลยกระโดดหนีลงน้ำ

แต่ไม่มีใครไปได้ถึงอีกฝั่งสักคน!

มีไม่คนที่รู้ว่าทหารเอาดาบปลายปืนเสียบร่างทารกที่ยังเป็นๆ แล้วตวัดร่างนั้น
ลงในหม้อน้ำเดือด

ที่ทรมานใจคนอ่านยิ่งนักคือ เรื่องของการข่มขืน

ไม่มีใครบอกได้แน่ชัดว่าตัวเลขของสตรีในนานกิงที่ถูกข่มขืนมีมากเท่าใด
ตั้งแต่ 20,000 จนถึง 80,000 คน เพราะทหารญี่ปุ่นข่มขืนผู้หญิงไม่เลือกหน้า
ตั้งแต่ชาวนา เด็กนักเรียน ครู แม้กระทั่งแม่ชี ตั้งแต่อายุ 12 ปี ไปจนถึง 80 ปี

เด็กสาวถ้ายังอยู่ในบ้านก็เสี่ยงต่อการถูกข่มขืนต่อหน้าสมาชิกในครอบครัว
ซึ่งมีไม่น้อยที่ลูกชายถูกบังคับให้ข่มขืนแม่ พ่อถูกบังคับให้ข่มขืนลูกสาว
แต่หากออกจากบ้านเพื่อเดินทางไปยังเขตปลอดภัย ก็เสี่ยงต่อการถูกจับได้
กลางทาง

กระนั้นกองทัพญี่ปุ่นก็ยังสร้างเรื่องโกหกว่า มีตลาดที่พวกแม่บ้านสามารถ
นำไก่และเป็ดมาแลกกับข้าวสารและแป้งปรุงอาหารได้ แต่เมื่อพวกผู้หญิง
ไปถึงที่นั่นพร้อมด้วยข้าวของที่จะแลก พวกเธอกลับได้พบกับทหารเป็นฝูง
คอยทีอยู่

ผู้หญิงที่นานกิงถูกข่มขืนไม่เลือกเวลาและสถานที่ หนึ่งในสามเกิดขึ้นตอน
กลางวันแสกๆ

"พวกที่รอดมาได้เล่าว่า พวกทหารจับผู้หญิงถ่างขาออกแล้วก็ข่มขืนพวกเธอ
ทั้งๆ กลางแจ้ง ที่กลางถนน และต่อหน้าฝูงชนที่มุงดู"

ถึงแก่เฒ่าก็ไม่เว้น "ทหารญี่ปุ่นที่ข่มขืนหญิงวัยหกสิบคนหนึ่งออกคำสั่ง
ให้นางใช้ปากทำความสะอาดอวัยวะเพศให้ และเมื่อยายวัย 62 อีกคน
ออกปากว่านางแก่เกินกว่าจะทำเรื่องอย่างนั้นได้ พวกเขาก็ตอกท่อนไม้เข้า
ไปในตัวนาง

ยายวัยแปดสิบจำนวนมากถูกข่มขืนจนตายคาที่"

พยานชาวจีนหลายรายเล่าว่า ทหารข่มขืนเด็กผู้หญิงที่กลางถนน เสร็จแล้ว
ก็ใช้ดาบฟันร่างของพวกแกขาดเป็นสองท่าน นอกจากนั้นยังมีบางรายที่
ถูกแล่ช่องคลอดด้วยดาบของผู้ชำเราเอง

กับผู้หญิงท้องหลังจากการเรียงคิวแล้ว "บางทีทหารก็คว้านผ่าหน้าท้อง
ของหญิงที่พวกตนข่มขืน แล้วเขี่ยเอาลูกอ่อนออกมาดูเล่น!"

นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายๆ คนที่ถูกมัดไว้กับเก้าอี้ กับเตียง หรือเสาบ้าน
ในสภาพเปลือยเปล่าในฐานะเป็นอุปกรณ์สนองกามถาวร

"ในระหว่างการข่มขืนมโหฬารที่เกิดขึ้นในตัวเมือง บ่อยครั้งที่ทหารญี่ปุ่น
ฆ่าเด็กและทารกทิ้ง เพียงเพราะพวกแกเข้ามายุ่มย่ามขวางทาง พยานที่เห็น
เหตุการณ์เล่าถึงภาพเด็กๆ หรือทารกที่ถูกเอาผ้ายัดปาก หรือไม่ก็ถูกเสียบตาย
คาดาบปลายปืน เพราะพวกแกเกิดร้องขึ้นมาขณะแม่กำลังถูกข่มขืน"

และเมื่อเบื่อหน่ายกับกามที่สวาปามเข้าไปจนเกินอิ่มแล้ว วิธีการหฤหรรษ์
อันสุดมอย่างหนึ่ง คือ "การเสียบช่องคลอด"

สองขาของซากศพพวกผู้หญิงที่พบตามท้องถนนในเมืองนานกิงถ่างแยก
มีสิ่งของต่างๆ ทิ่มแทงค้างอยู่ในอวัยวะ ไม่ว่าจะเป็นท่อนไม้ กิ่งไม้ หรือ
กอหญ้า

ทหารนายหนึ่งยัดขวดเบียร์เข้าไปในช่องคลอดที่เขาเพิ่งเสร็จออกมา
จากนั้นก็ยิงเจ้าของช่องคลอดรายนั้นทิ้ง

การข่มขืนชนิดไม่เลือกหน้าในนานกิงทำให้เกิดเสียงโวยวายอย่าง
รุนแรงจากกลุ่มประเทศตะวันตก แต่ปฏิกิริยาของรัฐบาลญี่ปุ่นกลับ
วิปลาสยิ่ง เพราะแทนที่จะห้ามปรามหรือลงโทษผู้กระทำผิด
ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของญี่ปุ่นกลับวางแผนทำซ่องใต้ดินขนาด
มหึมา ที่มีเครือข่ายใช้ผู้หญิงนับพันๆ จากทั่วเอเชีย

โดยการสั่งให้จัดตั้ง "บ้านผ่อนคลาย" ขึ้น จากนั้นหลอกล่อ ซื้อขาย
หรือไม่ก็ลักพาตัวผู้หญิงประมาณแปดหมื่นถึงสองแสนคน ซึ่งส่วนใหญ่
มาจากเกาหลี อันเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น แต่ก็มีจำนวนมากเช่นกันที่
มาจากจีน ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย

โดยหวังว่าจะลดตัวเลขผู้หญิงท้องถิ่นที่ถูกข่มขืนไม่เลือกหน้าลงให้ได้
แจกถุงยางอนามัย ด้วยหวังจะหยุดยั้งโรคติดต่อจากการร่วมเพศ และ
เพื่อให้รางวัลแก่ทหารที่เครียดจากการสู้รบที่แนวหน้ามาเป็นเวลานาน

ปี ค.ศ.1991 โยชิมิ โยชิอาขิ ศาสตราจารย์นักประวัติศาสตร์เรืองนาม
แห่งมหาวิทยาลัยโช ค้นพบเอกสารชิ้นที่จั่วหัวว่า "การรับผู้หญิงเข้า
ซ่องทหาร" จากหน่วยงานกลาโหมของญี่ปุ่น ตราที่ประทับบนเอกสาร
นอกจากแสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกับผู้บัญชาการระดับสูงของกองทัพ
คำสั่งที่ระบุในเอกสารคือ ให้มีการจัดสถานที่ "เพื่อความผ่อนคลายทางเพศ"
เพื่อให้ทหารหยุดข่มขืนผู้หญิงในจีน

"บ้านผ่อนคลาย" แห่งแรกเปิดขึ้นที่นานกิงในปี ค.ศ.1938

กระนั้นก็ตาม วิลเฮลมินา วอทริน หรือที่ใครๆ เรียกว่า "มินนี" วัย 51 ปี
คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยศิลปะและวิทยาศาสตร์สตรีจินหลิง
ซึ่งช่วยปกป้องสตรีชาวนานกิงนับพันๆ ไว้จากการถูกทหารญี่ปุ่นข่มขืน
ยังยอมรับว่าเธอถูกหลอกให้ส่งตัวผู้หญิงให้กับทหารญี่ปุ่น

"...ทหารญี่ปุ่นตามรังควานอย่างไม่ลดละด้วยการกวาดเอาพวกผู้ชายออก
ไปฆ่า เอาผู้หญิงไปไว้ในซ่องของกองทัพ ซึ่งบางครั้งวิธีการคัดเลือกก็เป็นไป
อย่างหน้าด้านๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกนี้จะใช้วิธีเข้ามาแอบจับตัว ด้วยการ
กระโดดข้ามรั้วไม้ไผ่ หรือแหกแนวรั้วด้านข้างเข้ามา แล้วจับเอาผู้หญิงที่
เจอตรงนั้น"

โชคดีที่ จอห์น แมกี ใช้กล้องถ่ายภาพยนตร์ชนิดสมัครเล่นถ่ายภาพเหยื่อ
หลายรายที่นอนแบ็บอยู่กับเตียงในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนานกิง ร่างของคน
เหล่านั้นถ้าไม่บิดเบี้ยวยับเยินก็ดำเกรียมเพราะถูกเผาทั้งเป็นจนแทบไม่เหลือ
สภาพมนุษย์

ส่วนจอร์จ ฟิทช์ เสี่ยงด้วยชีวิตในการนำฟิล์มม้วนนั้นหลบออกมาได้ถึงเซี่ยงไฮ้
และได้รับอนุญาตให้เดินทางออกจากนานกิงในวันที่ 19 มกราคม โดยบรรจุ
ฟิล์มชนิด 16 มม. จำนวน 8 ม้วน เย็บซ่อนอย่างดีในสาบเสื้อโค้ตขนอูฐที่สวมใส่

เรื่องราวเหล่านี้จึงแดงออกมา

อย่างไรก็ตาม ด้วยการเรียนรู้ร่วมกันที่จะขออภัยและให้อภัยซึ่งกันและกัน
เชื่อว่าเวลาจะช่วยเยียวยาความรู้สึก เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งเหล่านี้คือ
หน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์
credit : http://www.matichonbook.com/newsdetail.php?gd=44775

แสดงความคิดเห็น

>

14 ความคิดเห็น