ความเลวของมนุษย์
โครงการ Project Biue Beam อาวุธควบคุมธรรมชาติ Haarp
หลังจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิที่เพิ่งผ่านพ้นไป พร้อมกับได้คร่าชีวิตผู้คนบนโลกไปถึงกว่า 200,000 ชีวิต
หลายฝ่ายได้ตั้งคำถามกันว่า อะไรกันแน่คือสาเหตุของภัยพิบัติครั้งนี้ บ้างเชื่อว่าเป็นเพียงปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เท่านั้น บ้างก็ตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นผลจากการที่มนุษย์ได้ตักตวงทรัพยากรและทำลายธรรมชาติ
ไปอย่างมากมายมหาศาลเป็นเวลาช้านาน จนโลกขาดสมดุล นอกจากนี้ ยังมีผู้คนอีกกลุ่มที่แม้จะเห็นด้วยว่า
การทำลายสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะการปล่อยสารพิษที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์โลกร้อนนั้น
เป็นสาเหตุสำคัญสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่สภาพดินฟ้าอากาศวิปริตทั่วโลก แต่ทว่าไม่พอเพียงที่จะใช้อธิบาย
ปรากฏการณ์พิศดารทางธรรมชาติต่างๆที่ เกิดขึ้นพร้อมๆกันในช่วงไม่นานมานี้ พวกเขาเชื่อว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ไม่ทราบแหล่งที่มา ที่ได้เริ่มปรากฏตัวขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และได้ทวีความรุนแรงขึ้นในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
คือสาเหตุที่แท้จริงของความวิปริตทั้งปวง ทั้งนี้ ฝ่ายหนึ่งคาดว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้มีที่มาจากการระเบิดในอวกาศที่ห่างไกล
ของดาวที่เรียกว่าซูปเปอร์โนว่า แต่อีกฝ่ายเชื่อว่า เกิดจากอาวุธใหม่ที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น พวกเขาเหล่านี้มีหลักฐานอะไร
ยุคแห่งวิปริตทางธรรมชาติ
เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้เอง องค์กรสหประชาชาติได้จัดการประชุมขึ้น ณ เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่นเพื่อหาทางแก้ไขผลกระทบ
จากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นมากอย่างน่าตกใจ รายงานของที่ประชุมดังกล่าวระบุว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาประชากร
โลกกว่า 2.5 พันล้านคนต้องประสพกับภัยภิบัติทางธรรมชาติ เป็นจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นกว่าในช่วงทศวรรษก่อนถึง 60%
และในจำนวนผู้บาดเจ็บและล้มตาย กว่าครึ่งเกิดจากอุทกภัยและแผ่นดินไหว
ไม่เพียงแต่แนวโน้มการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติจะเพิ่มขึ้นในระยะยาวเท่านั้น แต่ทว่าเป็นที่น่าประหลาดว่าในปี 2547
จำนวนภัยภิบัติทางธรรมชาติดูเหมือนจะเพิ่มจำนวนและความรุนแรงขึ้นอย่างผิดปกติ ทั้งนี้บริษัทมิวนิก รี บรรษัทธุรกิจประกันภัยเสริม
(reinsurance)รายใหญ่ที่สุดของโลกระบุในรายงานชื่อ "ภัยพิบัติทางธรรมชาติ" ประจำปี 2547
ว่าเป็นปีหายนะของธุรกิจประกันภัยทั่วโลก จากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั้งปีกว่า 560 ครั้ง ทางบริษัทประเมินความสูญเสียทางเศรษฐกิจ
ที่ เกิดจากภัยพิบัติในปีที่แล้ว ว่ามีมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า5ล้านล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่รวมความเสียหายที่เกิดจากคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อวันที่ 26
ธันวาคม มูลค่าที่สูญเสียนี้มากกว่าความสูญเสียที่เกิดในปี 2546 กว่าถึงหนึ่งเท่าตัว ยิ่งไปกว่านี้ ตลอดหนึ่งปีมา
มิได้มีแต่กรณีการเกิดคลื่นยักษ์สึนามิขึ้นเป็นครั้งแรกในมหาสมุทรอินเดียเท่านั้น ที่เป็นเหตุการณ์ผิดปกติทางธรรมชาติ
ทว่ามีเหตุการณ์แปลกประหลาดอื่นๆเกิดขึ้นอีกมากมาย อาทิเช่น วันที่ 1 ธันวาคม 2547 เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ไม่ทราบแหล่งที่มา วัดความรุนแรงได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ไหลเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก ยังผลให้เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ กล่าวคือ ทำให้พื้นที่กว่า220,000 ตารางกิโลเมตร
ในประเทศจีนถูกหมอกหนาปกคลุมในวันถัดมา จนทำให้การคมนาคมแทบทั้งหมดต้องหยุดชะงักลง
และยังเกิดเหตุการณ์หมอกหนาจัดปกคลุมพื้นที่มหาศาลขึ้นอีก 2 ครั้งในวันที่ 14 และ 21 เดือนเดียวกันในประเทศจีนและอินเดียตอนเหนืออีก
ด้วย ผลของพลังงานแม่เหล็กอันไม่ทราบที่มานี้ ยังส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์พิศดารอื่นๆอีกทั่วซีกโลกเหนือ เช่น
เกิดลมพายุที่มีความรุนแรงเทียบเท่าพายุเฮอรีเคนในผรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ แคนาดา รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา
รวมทั้งส่งผลให้อุณหภูมิลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในหลายพื้นที่อีกด้วย เดือนสิงหาคมและกันยายน เฮอริเคนอเล็กซ์
ไอแวน ฟรานซิส ชาลี และ จีน เฮอริเคนถึงสี่ลูกกับอีกหนึ่ง พายุโซนร้อนได้ก่อตัวขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ในแถบแคริบเบียนอย่างที่ไ
ม่เคยมีมาก่อน ยังผลให้มีผู้คนหลายพันคนใน 6 ประเทศต้องถึงแก่ชีวิตและอีกหลายแสนคนต้องปราศจากที่อยู่อาศัยเดือนสิงหาคมที่จีน
เกิดพายุไต้ฝุ่นรานามิน พายุที่มีความรุนแรงที่สุดในรอบ 48 ปีทำให้มีผู้เสียชีวิต164 คน บาดเจ็บกว่า1,800 คน และคาดว่าถึงกว่า13 ล้าน
คนได้รับผลกระทบเพียงในระยะเวลา 5เดือนหลังของปีที่แล้ว มีรายงานการเห็นลูกไฟอุกาบาตมากถึงกว่า 50 ครั้ง ทั่วโลก
ในขณะที่สมาคมอุกาบาตของสหรัฐระบุว่า แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการเห็นลูกไฟอุกาบาต เกินกว่าเพียงปีละไม่กี่ครั้ง
หน้าร้อนปี 2547 ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับพายุไต้ฝุ่นมากครั้งที่สุด เป็นประวัติการณ์ เฉลี่ยแล้วหนึ่งลูกทุกสัปดาห์ตลอดฤดูกาลมีนาคม
เป็น ครั้งแรกที่มีพายุเฮอริเคนก่อตัวขึ้นในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้ ทำลายทฤษฎีที่เชื่อว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดพายุเฮอริเคนก่อตัวขึ้นใน
บริเวณ นี้ ด้วยลมพายุความเร็วถึง 150 กม./ชม. ยังผลให้มีผู้เสียชีวิตนับสิบคนในบราซิล นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ผิดธรรมชาติต่างๆ อีกมาก
มายที่เกิดขึ้นทั่วไปตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เช่น ร้อนที่สุด หนาวที่สุด ฝนตกมากที่สุด แล้งที่สุด ภูเขาไฟปะทุขึ้นพร้อมกัน
แผ่นดินไหว ลมพายุรุนแรงฯลฯ
ธรรมชาติวิปริตเกิดจากทฤษฎีโลกร้อนจริงหรือ?
ผู้คนทั่วไปมักเชื่อคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ว่า ความผิดปกติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ มีต้นตอมาจากการเผาผลาญพลังงานฟอสซิล
และทำให้เกิดกาซคาร์บอนไดออกไซด์ ประกอบกับการปล่อยสารซีเอฟซีที่ทำลายชั้นโอโซน ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก
จนอุณหภูมิโลกสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าคำอธิบายข้างต้นหาได้เป็นที่ยอมรับเป็นเอกฉันท์ในวงการวิทยาศาสตร์ไม่
ตรงกันข้ามยังมีการโต้แย้งกัน ถึงข้อบกพร่องในทฤษฎีเรือนกระจกและทฤษฏีโลกร้อน ตลอดมา ทฤษฎีเรือนกระจกนั้น
ข้อบกพร่องอยู่ที่ เหตุใดรูโหว่ในชั้นบรรยากาศโลก จึงไม่เกิดขึ้นเหนือพื้นที่ที่มีสถิติการปล่อยสารซีเอฟซี เป็นจำนวนมาก
อาทิเช่น เหนือเมืองใหญ่และเขตอุตสาหกรรมต่างๆ แต่กลับไปเกิดขึ้นยังบริเวณขั้วโลกทั้งสองด้าน ทั้งนี้ ทีมวิจัยของอังกฤษ
ได้รายงานเมื่อปลายปีที่แล้วว่า ชั้นโอโซนในบริเวณขั้วโลกใต้ มีปริมาณโอโซนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวถึง 10%
ในส่วนของทฤษฎีโลกร้อนนั้น ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ที่บริเวณผิวพื้นโลกและการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
ในชั้นบรรยากาศระดับล่างและกลาง ในช่วง 20 ปีมานี้ พิสูจน์ว่าทฤษฎีนี้ผิดพลาด เนื่องจากพบว่า ในช่วงเวลาเดียวกันนี้
อุณหภูมิที่ผิวพื้นโลกสูงขึ้นจริง แต่อุณหภูมิในชั้นบรรยากาศกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งหากทฤษฎีโลกร้อนถูกต้องแล้ว
อุณหภูมิทั้งสองบริเวณนี้จะต้องสูงขึ้นเช่นเดียวกัน
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไม่ทราบที่มา:กุญแจไขปริศนา?
นักวิทยาศาสตร์ตรวจพบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (รังสีแกมม่า) นี้ได้ในบริเวณขั้วโลกเหนือเป็นครั้งแรกเมื่อกว่า 5 ปีมาแล้ว
และหลังจากเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ก็ได้พบว่าปริมาณคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก ได้เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนความถี่และความรุนแรง
ท้องฟ้าในบริเวณขั้วโลกเหนือที่ปกติมืดมิดตลอดเวลาในช่วงฤดูหนาว ปัจจุบันกลับมีแสงสว่างเกิดขึ้นเป็นประจำ
"ขอบฟ้าถูกยกสูงเหมือนกับชูขึ้นด้วยมือของพระเป็นเจ้า" นายเดวิดสันกล่าว เขาเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลแคนาดา
ซึ่งประจำการอยู่ที่สถานีตรวจสอบอากาศเมืองเรซาลูด เบย์ ทวีปอาร์คติก นักวิทยาศาสตร์หลายฝ่ายเชื่อว่า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าลึกลับนี้ คือต้นเหตุของความวิปริตทั้งหมดที่เกิดขึ้นตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ มีงานวิจัยของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐที่พบว่า อิทธิพลรังสีแกมม่าสามารถทำให้เกิดรูโหว่ในชั้นโอโซน
โลกเย็นลง ฝนกรดและการเกิดเมฆหมอกได้ ผลของงานวิจัยนี้ได้ถูกยืนยันอีกครั้ง โดยการค้นพบของทีมนักวิทยาศาสตร์เยอรมัน
จากสภาบันนิวเคลียร์ฟิสิกส์แมกส์ แพลงค์ สถาบันเลื่องชี่อของโลกในปี 2545 ไม่เพียงแต่รังสีแกมม่าน่าจะเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทาง
ภูมิอากาศเท่านั้น แต่ด้วยคุณสมบัติที่เป็นพลังงานแม่เหล็กจึงส่งผลต่อสนามแม่เหล็กโลก และอาจสามารถกระตุ้น
ให้เกิดแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิดได้อีกด้วย ผลการศึกษาของทีมนักวิทยาศาสตร์ ประจำสภาบันภูมิฟิสิกส์ประเทศจอร์เจีย
จากการเก็บข้อมูลเปรียบเทียบเป็นเวลา 30 ปี จากปี 2501 - 2531 สรุปว่าปฏิกิริยาระหว่างโลกกับสนามพลังงานแม่เหล็ก
เป็น ปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงสูงกว่า 6 ริกเตอร์ขึ้นไปในส่วนของจำนวนดาวตกที่เพิ่มขึ้นมากผิดปกติในปีที่แล้วก็
เช่นกัน แม้จะยังไม่มีผลงานวิจัยในด้านนี้อยู่เลยก็ตาม แต่นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของโลกหลายคนก็เริ่มตั้งข้อสันนิษฐานว่า
มีความเป็นไปได้ที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อาจเกี่ยวข้องกับจำนวนดาวตกที่เพิ่มขึ้น
คลื่นพลังงานแม่เหล็กเหล่านี้มาจากไหน? ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดถึงที่มาของคลื่นพลังงานแม่เหล็กลึกลับ
ซึ่งยังคงสร้างความวิปริตทางธรรมชาติทั่วโลกในขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งคาดว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้
น่าจะมาจากการระเบิดของซุปเปอร์โนวา หรือดาวฤกษ์ที่กำลังจะดับสูญชื่อ SN1987a เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นห่างจากโลก
12,000 ล้านปีแสงเมื่อปี2530 การระเบิดครั้งนั้นถือเป็นการระเบิดที่รุนแรงที่สุดในจักรวาล เป็นอันดับสองรองจากการระเบิด
ที่เรียกว่าบิ้กแบงในปี2540 "การระเบิดของดาว SN1987a ปลดปล่อยพลังงานอภิมหาศาลในหนึ่งวินาที
เทียบได้กับพลังงานของดาวฤกษ์ทั้งหมดในจักรวาลรวมกัน" สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงาน ทั้งนี้คาดว่า
โลกจะสามารถแลเห็นการระเบิดนี้ได้ก่อนปี2553 ทั้งนี้ ยังมีนักวิทยาศาสตร์อีกส่วนหนึ่ง ที่เชื่อว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าปริศนานี้
มีที่มาจากในโลกนี้เองและเกิดจากการกระทำของมนุษย์ หลายฝ่ายชี้ชัดมายังอาวุธในโครงการของกองทัพสหรัฐที่มีชื่อว่าฮาร์พ
(High Frequency Active Auroral Reseach Program) หรือ HAARP ฮาร์พเป็นส่วนสำคัญ
ในยุทธศาสตร์การริเริ่มป้องกันทารทหาร ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ หรือที่รู้จักกันในชื่อโครงการสตาร์วอร์ ฮาร์พถูกริเริ่มขึ้น
ในยุคของประธานาธิบดีเรแกน โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อศึกษา "การใช้ไอโอโนสเฟีย (ชั้นบรรยากาศระดับสูง)
เพื่อเป้าหมายของกระทรวงกลาโหม" นายอีสแมน เจ้าของลิขสิทธิ์เทคโนโลยีที่ใช้ในโครงการนี้ กล่าวถึงฮาร์พว่า
"สามารถรบกวนระบบโทรคมนาคมทั้งหมดในพื้นที่ขนาดใหญ่มากบนโลก... เบี่ยงเบนทิศทางหรือทำลายจรวดและเครื่องบิน...
ปรับเปลี่ยนภูมิอากาศ..." ดอกเตอร์เมกิช นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งที่ติดตามโครงการฮาร์พ อธิบายถึงการทำงานของ
อาวุธนี้ว่า ฮาร์พ "อาศัยเทคโนโลยีการส่งคลื่นวิทยุพลังมหาศาล เพื่อยกบริเวณชั้นบรรยากาศส่วนบน (ไอโอโนสเฟีย) ของโลกขึ้น
โดยเล็งพลังงานไปยังพื้นที่บนชั้นบรรยากาศและเผาบริเวณนั้นจนร้อน( หลอมละลายจนกลายเป็นเสมือนจานพลาสม่าขนาดยักษ์
ที่สามารถรับส่งคลื่นได้) จากนั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็จะสะท้อนกลับมายังโลกและทะลุทะลวงทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งที่มีชีวิตและไม่มี"
อะไรที่ชี้ว่าเทคโนโลยีในการบังคับดินฟ้าอากาศมีจริง
หลักฐานที่น่าเชื่อถือที่สุด อยู่ที่การยอมรับเกี่ยวกับเทคโนโลยีในการบังคับดินฟ้าอากาศ ของบุคคลสำคัญ
สถาบันและองค์กรชั้นนำระดับโลกต่างๆ อาทิเช่น เอกสารชื่อ "กองทัพอากาศสหรัฐ 2025" ที่ประกาศใช้ในปี 2539
ได้ระบุเป้าหมายในอนาคตของกองทัพอากาศสหรัฐว่า "การเปลี่ยนแปลงดินฟ้าอากาศ จะเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ความมั่นคง
ทั้งในและระหว่างประเทศและสามารถกระทำได้แบบเอกภาคี... มันเป็นไปได้ทั้งเชิงการรุกและรับหรือกระทั่งในการข่มขู่ศัตรู...
ความสามารถในการทำฝน หมอกและพายุหรือเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนอกโลก... และการสร้างดินฟ้าอากาศต่างๆ
นี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีแบบบูรณาการ ซึ่งสร้างเสริมศักยภาพให้กับสหรัฐหรือลดทอนศักยภาพของศัตรู...
" จริงอยู่ที่ข้อความข้างต้นนี้เป็นเพียงเป้าในอนาคต แต่ก็หมายถึงว่า ก่อนหน้าการประกาศ สหรัฐได้ทำเริ่มลงทุนพัฒนาและ
ทดลองเทคโนโลยีการควบคุมดินฟ้าอากาศ เป็นประจำมาเป็นเวลาช้านาน จนกว่าจะมั่นใจได้ว่าสามารบรรลุภาระกิจที่ตั้งไว้ได้ ปี
2539 สำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานคำพูดของนายวิเลียม โคเฮน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐที่กล่าวถึงการก่อการร้าย
ณ มหาวิทยาลัยจอร์เจีย ตอนหนึ่งมีใจความว่า "การป้องกันเกี่ยวกับอาวุธที่ไม่ธรรมดาจะต้องเพิ่มมากขึ้น
เมื่อกลุ่มผู้ก่อการร้ายพัฒนาอาวุธเคมีและเชื้อโรค และกรรมวิธีทางพลังงานแม่เหล็กที่สามารถเปิดรูโหว่ ในชั้นโอโซน
หรือ กระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิดได้"เป็นไปได้หรือที่กลุ่มผู้ก่อ การร้าย จะสามารถค้นคิดอาวุธร้ายแรงเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง ?
เพราะตลอดมาพวกเขามีศักยภาพเพียงการลอกเลียน และประยุกต์อาวุธขึ้นจากเทคโนโลยี ที่มีบรรดาประเทศมหาอำนาจ
ได้ค้นคิดพัฒนาและใช้การได้จริงแล้วทั้งสิ้น ปี2544 วุฒิสมาชิกจากรัฐโอไฮโอนาย เดนิส คูชินิชได้ เสนอร่างกฎหมายเลขที่
HR2977 ว่าด้วยการห้ามใช้อาวุธในอวกาศ ตอนหนึ่งของร่างนี้กล่าวถึง "อาวุธทางภูมิอากาศหรืออาวุธทางรอยเลื่อนของชั้นแผ่นดิน"
เป็นไปได้หรือ ที่ผู้ที่เป็นถึงวุฒิสมาชิกสหรัฐ จะกล้าเสนอกฎหมายนี้หากปราศจากหลักฐานข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการพัฒนาอาวุธเหล่านี้
นอกจากบุกคลสำคัญและองค์กรของสหรัฐเองจะกล่าวถึงการพัฒนาและทดลอง อาวุธที่เปลี่ยนแปลงดินฟ้าอากาศแล้ว บุคคลสำคัญและ
องค์กรในระดับโลกต่างๆก็ได้เคยแสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้อาวุธนี้ด้วย ที่ประชุมใหญ่องค์กรสหประชาชาติประจำปี 2540
ได้มีการลงนามในอนุสัญญา "การห้ามใช้เทคโนโลยี การปรับเปลี่ยนดินฟ้าอากาศเพื่อการทหารและการรุกราน
ที่สร้างผลกระทบที่กว้างขวาง ยาวนานและรุนแรง" ทั้งนี้นิยามของ "เทคโนโลยีการปรับเปลี่ยนดินฟ้าอากาศ" หมายถึง "
เทคโนโลยีที่จงใจเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางธรรมชาติ การเคลื่อนไหว องค์ประกอบ โครงสร้างของโลกรวมถึง
ชั้นบรรยากาศต่างๆหรืออวกาศ" หลักฐานที่ชี้ถึงแสนยานุภาพของฮาร์พ ในปี 2546 สมาชิกของคณะกรรมาธิการถึงสี่คณะ
ของสภาสูงสุดรัสเซียหรือสภาดูม่า และสมาชิกสภาทั้งหมด 90 ท่าน ได้ร่วมกันลงชื่อในรายงานเสนอต่อประธานาธิบดีวลาดีเมีย
ปูติน องค์กรสหประชาชาติและประเทศสมาชิก องค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ผู้นำและรัฐสภาทุกประเทศ องค์กรทางวิทยาศาสตร์
ที่มีชื่อเสียงและสื่อมวลชนชั้นนำของโลก เพื่อเรียกร้องให้ประชาคมโลกมีมติห้ามสหรัฐทดลองอาวุธที่มีแสนยานุภาพสูงนี้
ในรายงานนี้ปรากฏข้อความดังนี้ "ภายใต้โครงการฮาร์พ สหรัฐกำลังสร้างอาวุธใหม่ทางธรณีฟิสิกส์ ซึ่งอาจสามารถส่งอิทธิพล
ต่อชั้นบรรยากาศใกล้โลก ด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง""แสนยานุภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดนี้ อาจเปรียบเทียบได้กับการเปลี่ยนแปลง
จาก อาวุธมีคมสู่อาวุธปืน หรือจากอาวุธธรรมดาสู่อาวุธนิวเคลียร์" รายงานนี้ยังระบุอีกว่าสหรัฐกำลังสร้างอาวุธฮาร์พนี้ในพื้นที่สามแห่ง
แห่งแรกที่รัฐอลาสก้า สหรัฐอเมริกา แห่งที่สองที่กรีนแลนด์และที่สามในประเทศนอร์เว ทั้งนี้สหรัฐเตรียมที่จะเริ่มทดลองอย่างเต็มที่
ได้ตั้งแต่ต้นปี 2546 "เมื่ออุปกรณ์ทั้งหมดได้ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศจาก อลาสก้า นอร์เวและกรีนแลนด์ ความแม่นยำ
ในการกำหนดเป้าหมายพร้อมกับอานุภาพอันมหัศจรรย์ จะนำไปสู่ความสามารถอันแท้จริงในควบคุมชั้นบรรยากาศใกล้โลก"
รายงานของสภาดูม่าสรุปก่อนหน้านี้ในปี 2541 คณะกรรมมาธิการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความมั่นคงและ
นโยบายการทางทหาร ก็ได้เคยร้องเรียนต่อรัฐสภาสหภาพยุโรป จากกรณีที่สหรัฐปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า ในการเปิดเผยข้อมูลและอนุญาตให้
องค์กรอิสระนานาชาติ เข้าไปตรวจสอบโครงการฮาร์พ อีกทั้งยังเรียกร้องให้รัฐสภายุโรปร่างสนธิสัญญาระหว่างประเทศ
ว่าด้วยผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมจากกิจกรรมทางการทหารอีกด้วยทั้งนี้ สหรัฐประกาศว่า ปัจจุบันโครงการฮาร์พกำลังอยู่
ในชั้นตอนสุดท้ายของการขยายกำลังส่ง และคาดว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ให้ใช้การได้เต็มที่ในราวปี 2549
(ปัจจุบัน แน่นอนคงใช้ได้อย่างเต็มที่แล้ว)
สรุป ในวันนี้คงไม่มีประโยชน์อันใด ที่จะพยายามติดตามค้นหาข้อเท็จจริงถึงสาเหตุของวิปริตทางธรรมชาติ
ที่กำลังเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของธรรมชาติ หรือฝั่งที่เชื่อว่าเป็นฝีมือมนุษย์
ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่า มวลมนุษยชาติกำลังจะเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่ใหญ่หลวงในอนาคตอันใกล้นี้
แต่แน่นอนการคาดการณ์ของพวกเขาอาจะผิดก็ได้ สิ่งที่สังคมไทยน่าจะพิจารณาก็คือ ในอนาคตอันใกล้นี้
มีความเป็นไปได้ที่สังคมไทยจะต้องเผชิญกับมหันตภัยทางธรรมชาติต่างๆ ที่รุนแรงและใหญ่หลวงเสียยิ่งกว่า
คลื่นยักษ์สึนามิที่เพิ่งผ่านพ้นไป ทว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ โอกาสที่ประชาชนคนไทยจะต่อสู้จนได้รัฐบาลที่ดี
พอที่เรียกได้ว่าพวกเขาคือตัวแทนของพวกเรานั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลย และต่อให้ความฝันนี้เป็นจริง
พวกเขาก็มิอาจปกป้องช่วยเหลือพวกเราจากภัยพิบัติต่างๆเหล่านี้ได้เลย ฉะนั้นวันนี้ การคิดแต่เพียงการต่อสู้
ทางการเมืองจึงไม่เพียงพอเสียแล้ว เพื่อไม่ประมาท เราควรต้องเริ่มคิดอ่านเตรียมการ เพื่อความอยู่รอดของพวกเรากันเองด้วย
โครงการ Project Biue Beam อาวุธควบคุมธรรมชาติ Haarp
หลังจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิที่เพิ่งผ่านพ้นไป พร้อมกับได้คร่าชีวิตผู้คนบนโลกไปถึงกว่า 200,000 ชีวิต
หลายฝ่ายได้ตั้งคำถามกันว่า อะไรกันแน่คือสาเหตุของภัยพิบัติครั้งนี้ บ้างเชื่อว่าเป็นเพียงปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เท่านั้น บ้างก็ตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นผลจากการที่มนุษย์ได้ตักตวงทรัพยากรและทำลายธรรมชาติ
ไปอย่างมากมายมหาศาลเป็นเวลาช้านาน จนโลกขาดสมดุล นอกจากนี้ ยังมีผู้คนอีกกลุ่มที่แม้จะเห็นด้วยว่า
การทำลายสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะการปล่อยสารพิษที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์โลกร้อนนั้น
เป็นสาเหตุสำคัญสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่สภาพดินฟ้าอากาศวิปริตทั่วโลก แต่ทว่าไม่พอเพียงที่จะใช้อธิบาย
ปรากฏการณ์พิศดารทางธรรมชาติต่างๆที่ เกิดขึ้นพร้อมๆกันในช่วงไม่นานมานี้ พวกเขาเชื่อว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ไม่ทราบแหล่งที่มา ที่ได้เริ่มปรากฏตัวขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และได้ทวีความรุนแรงขึ้นในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
คือสาเหตุที่แท้จริงของความวิปริตทั้งปวง ทั้งนี้ ฝ่ายหนึ่งคาดว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้มีที่มาจากการระเบิดในอวกาศที่ห่างไกล
ของดาวที่เรียกว่าซูปเปอร์โนว่า แต่อีกฝ่ายเชื่อว่า เกิดจากอาวุธใหม่ที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น พวกเขาเหล่านี้มีหลักฐานอะไร
ยุคแห่งวิปริตทางธรรมชาติ
เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้เอง องค์กรสหประชาชาติได้จัดการประชุมขึ้น ณ เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่นเพื่อหาทางแก้ไขผลกระทบ
จากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นมากอย่างน่าตกใจ รายงานของที่ประชุมดังกล่าวระบุว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาประชากร
โลกกว่า 2.5 พันล้านคนต้องประสพกับภัยภิบัติทางธรรมชาติ เป็นจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นกว่าในช่วงทศวรรษก่อนถึง 60%
และในจำนวนผู้บาดเจ็บและล้มตาย กว่าครึ่งเกิดจากอุทกภัยและแผ่นดินไหว
ไม่เพียงแต่แนวโน้มการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติจะเพิ่มขึ้นในระยะยาวเท่านั้น แต่ทว่าเป็นที่น่าประหลาดว่าในปี 2547
จำนวนภัยภิบัติทางธรรมชาติดูเหมือนจะเพิ่มจำนวนและความรุนแรงขึ้นอย่างผิดปกติ ทั้งนี้บริษัทมิวนิก รี บรรษัทธุรกิจประกันภัยเสริม
(reinsurance)รายใหญ่ที่สุดของโลกระบุในรายงานชื่อ "ภัยพิบัติทางธรรมชาติ" ประจำปี 2547
ว่าเป็นปีหายนะของธุรกิจประกันภัยทั่วโลก จากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั้งปีกว่า 560 ครั้ง ทางบริษัทประเมินความสูญเสียทางเศรษฐกิจ
ที่ เกิดจากภัยพิบัติในปีที่แล้ว ว่ามีมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า5ล้านล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่รวมความเสียหายที่เกิดจากคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อวันที่ 26
ธันวาคม มูลค่าที่สูญเสียนี้มากกว่าความสูญเสียที่เกิดในปี 2546 กว่าถึงหนึ่งเท่าตัว ยิ่งไปกว่านี้ ตลอดหนึ่งปีมา
มิได้มีแต่กรณีการเกิดคลื่นยักษ์สึนามิขึ้นเป็นครั้งแรกในมหาสมุทรอินเดียเท่านั้น ที่เป็นเหตุการณ์ผิดปกติทางธรรมชาติ
ทว่ามีเหตุการณ์แปลกประหลาดอื่นๆเกิดขึ้นอีกมากมาย อาทิเช่น วันที่ 1 ธันวาคม 2547 เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ไม่ทราบแหล่งที่มา วัดความรุนแรงได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ไหลเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก ยังผลให้เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ กล่าวคือ ทำให้พื้นที่กว่า220,000 ตารางกิโลเมตร
ในประเทศจีนถูกหมอกหนาปกคลุมในวันถัดมา จนทำให้การคมนาคมแทบทั้งหมดต้องหยุดชะงักลง
และยังเกิดเหตุการณ์หมอกหนาจัดปกคลุมพื้นที่มหาศาลขึ้นอีก 2 ครั้งในวันที่ 14 และ 21 เดือนเดียวกันในประเทศจีนและอินเดียตอนเหนืออีก
ด้วย ผลของพลังงานแม่เหล็กอันไม่ทราบที่มานี้ ยังส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์พิศดารอื่นๆอีกทั่วซีกโลกเหนือ เช่น
เกิดลมพายุที่มีความรุนแรงเทียบเท่าพายุเฮอรีเคนในผรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ แคนาดา รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา
รวมทั้งส่งผลให้อุณหภูมิลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในหลายพื้นที่อีกด้วย เดือนสิงหาคมและกันยายน เฮอริเคนอเล็กซ์
ไอแวน ฟรานซิส ชาลี และ จีน เฮอริเคนถึงสี่ลูกกับอีกหนึ่ง พายุโซนร้อนได้ก่อตัวขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ในแถบแคริบเบียนอย่างที่ไ
ม่เคยมีมาก่อน ยังผลให้มีผู้คนหลายพันคนใน 6 ประเทศต้องถึงแก่ชีวิตและอีกหลายแสนคนต้องปราศจากที่อยู่อาศัยเดือนสิงหาคมที่จีน
เกิดพายุไต้ฝุ่นรานามิน พายุที่มีความรุนแรงที่สุดในรอบ 48 ปีทำให้มีผู้เสียชีวิต164 คน บาดเจ็บกว่า1,800 คน และคาดว่าถึงกว่า13 ล้าน
คนได้รับผลกระทบเพียงในระยะเวลา 5เดือนหลังของปีที่แล้ว มีรายงานการเห็นลูกไฟอุกาบาตมากถึงกว่า 50 ครั้ง ทั่วโลก
ในขณะที่สมาคมอุกาบาตของสหรัฐระบุว่า แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการเห็นลูกไฟอุกาบาต เกินกว่าเพียงปีละไม่กี่ครั้ง
หน้าร้อนปี 2547 ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับพายุไต้ฝุ่นมากครั้งที่สุด เป็นประวัติการณ์ เฉลี่ยแล้วหนึ่งลูกทุกสัปดาห์ตลอดฤดูกาลมีนาคม
เป็น ครั้งแรกที่มีพายุเฮอริเคนก่อตัวขึ้นในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้ ทำลายทฤษฎีที่เชื่อว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดพายุเฮอริเคนก่อตัวขึ้นใน
บริเวณ นี้ ด้วยลมพายุความเร็วถึง 150 กม./ชม. ยังผลให้มีผู้เสียชีวิตนับสิบคนในบราซิล นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ผิดธรรมชาติต่างๆ อีกมาก
มายที่เกิดขึ้นทั่วไปตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เช่น ร้อนที่สุด หนาวที่สุด ฝนตกมากที่สุด แล้งที่สุด ภูเขาไฟปะทุขึ้นพร้อมกัน
แผ่นดินไหว ลมพายุรุนแรงฯลฯ
ธรรมชาติวิปริตเกิดจากทฤษฎีโลกร้อนจริงหรือ?
ผู้คนทั่วไปมักเชื่อคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ว่า ความผิดปกติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ มีต้นตอมาจากการเผาผลาญพลังงานฟอสซิล
และทำให้เกิดกาซคาร์บอนไดออกไซด์ ประกอบกับการปล่อยสารซีเอฟซีที่ทำลายชั้นโอโซน ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก
จนอุณหภูมิโลกสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าคำอธิบายข้างต้นหาได้เป็นที่ยอมรับเป็นเอกฉันท์ในวงการวิทยาศาสตร์ไม่
ตรงกันข้ามยังมีการโต้แย้งกัน ถึงข้อบกพร่องในทฤษฎีเรือนกระจกและทฤษฏีโลกร้อน ตลอดมา ทฤษฎีเรือนกระจกนั้น
ข้อบกพร่องอยู่ที่ เหตุใดรูโหว่ในชั้นบรรยากาศโลก จึงไม่เกิดขึ้นเหนือพื้นที่ที่มีสถิติการปล่อยสารซีเอฟซี เป็นจำนวนมาก
อาทิเช่น เหนือเมืองใหญ่และเขตอุตสาหกรรมต่างๆ แต่กลับไปเกิดขึ้นยังบริเวณขั้วโลกทั้งสองด้าน ทั้งนี้ ทีมวิจัยของอังกฤษ
ได้รายงานเมื่อปลายปีที่แล้วว่า ชั้นโอโซนในบริเวณขั้วโลกใต้ มีปริมาณโอโซนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวถึง 10%
ในส่วนของทฤษฎีโลกร้อนนั้น ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ที่บริเวณผิวพื้นโลกและการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
ในชั้นบรรยากาศระดับล่างและกลาง ในช่วง 20 ปีมานี้ พิสูจน์ว่าทฤษฎีนี้ผิดพลาด เนื่องจากพบว่า ในช่วงเวลาเดียวกันนี้
อุณหภูมิที่ผิวพื้นโลกสูงขึ้นจริง แต่อุณหภูมิในชั้นบรรยากาศกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งหากทฤษฎีโลกร้อนถูกต้องแล้ว
อุณหภูมิทั้งสองบริเวณนี้จะต้องสูงขึ้นเช่นเดียวกัน
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไม่ทราบที่มา:กุญแจไขปริศนา?
นักวิทยาศาสตร์ตรวจพบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (รังสีแกมม่า) นี้ได้ในบริเวณขั้วโลกเหนือเป็นครั้งแรกเมื่อกว่า 5 ปีมาแล้ว
และหลังจากเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ก็ได้พบว่าปริมาณคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก ได้เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนความถี่และความรุนแรง
ท้องฟ้าในบริเวณขั้วโลกเหนือที่ปกติมืดมิดตลอดเวลาในช่วงฤดูหนาว ปัจจุบันกลับมีแสงสว่างเกิดขึ้นเป็นประจำ
"ขอบฟ้าถูกยกสูงเหมือนกับชูขึ้นด้วยมือของพระเป็นเจ้า" นายเดวิดสันกล่าว เขาเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลแคนาดา
ซึ่งประจำการอยู่ที่สถานีตรวจสอบอากาศเมืองเรซาลูด เบย์ ทวีปอาร์คติก นักวิทยาศาสตร์หลายฝ่ายเชื่อว่า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าลึกลับนี้ คือต้นเหตุของความวิปริตทั้งหมดที่เกิดขึ้นตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ มีงานวิจัยของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐที่พบว่า อิทธิพลรังสีแกมม่าสามารถทำให้เกิดรูโหว่ในชั้นโอโซน
โลกเย็นลง ฝนกรดและการเกิดเมฆหมอกได้ ผลของงานวิจัยนี้ได้ถูกยืนยันอีกครั้ง โดยการค้นพบของทีมนักวิทยาศาสตร์เยอรมัน
จากสภาบันนิวเคลียร์ฟิสิกส์แมกส์ แพลงค์ สถาบันเลื่องชี่อของโลกในปี 2545 ไม่เพียงแต่รังสีแกมม่าน่าจะเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทาง
ภูมิอากาศเท่านั้น แต่ด้วยคุณสมบัติที่เป็นพลังงานแม่เหล็กจึงส่งผลต่อสนามแม่เหล็กโลก และอาจสามารถกระตุ้น
ให้เกิดแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิดได้อีกด้วย ผลการศึกษาของทีมนักวิทยาศาสตร์ ประจำสภาบันภูมิฟิสิกส์ประเทศจอร์เจีย
จากการเก็บข้อมูลเปรียบเทียบเป็นเวลา 30 ปี จากปี 2501 - 2531 สรุปว่าปฏิกิริยาระหว่างโลกกับสนามพลังงานแม่เหล็ก
เป็น ปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงสูงกว่า 6 ริกเตอร์ขึ้นไปในส่วนของจำนวนดาวตกที่เพิ่มขึ้นมากผิดปกติในปีที่แล้วก็
เช่นกัน แม้จะยังไม่มีผลงานวิจัยในด้านนี้อยู่เลยก็ตาม แต่นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของโลกหลายคนก็เริ่มตั้งข้อสันนิษฐานว่า
มีความเป็นไปได้ที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อาจเกี่ยวข้องกับจำนวนดาวตกที่เพิ่มขึ้น
คลื่นพลังงานแม่เหล็กเหล่านี้มาจากไหน? ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดถึงที่มาของคลื่นพลังงานแม่เหล็กลึกลับ
ซึ่งยังคงสร้างความวิปริตทางธรรมชาติทั่วโลกในขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งคาดว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้
น่าจะมาจากการระเบิดของซุปเปอร์โนวา หรือดาวฤกษ์ที่กำลังจะดับสูญชื่อ SN1987a เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นห่างจากโลก
12,000 ล้านปีแสงเมื่อปี2530 การระเบิดครั้งนั้นถือเป็นการระเบิดที่รุนแรงที่สุดในจักรวาล เป็นอันดับสองรองจากการระเบิด
ที่เรียกว่าบิ้กแบงในปี2540 "การระเบิดของดาว SN1987a ปลดปล่อยพลังงานอภิมหาศาลในหนึ่งวินาที
เทียบได้กับพลังงานของดาวฤกษ์ทั้งหมดในจักรวาลรวมกัน" สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงาน ทั้งนี้คาดว่า
โลกจะสามารถแลเห็นการระเบิดนี้ได้ก่อนปี2553 ทั้งนี้ ยังมีนักวิทยาศาสตร์อีกส่วนหนึ่ง ที่เชื่อว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าปริศนานี้
มีที่มาจากในโลกนี้เองและเกิดจากการกระทำของมนุษย์ หลายฝ่ายชี้ชัดมายังอาวุธในโครงการของกองทัพสหรัฐที่มีชื่อว่าฮาร์พ
(High Frequency Active Auroral Reseach Program) หรือ HAARP ฮาร์พเป็นส่วนสำคัญ
ในยุทธศาสตร์การริเริ่มป้องกันทารทหาร ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ หรือที่รู้จักกันในชื่อโครงการสตาร์วอร์ ฮาร์พถูกริเริ่มขึ้น
ในยุคของประธานาธิบดีเรแกน โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อศึกษา "การใช้ไอโอโนสเฟีย (ชั้นบรรยากาศระดับสูง)
เพื่อเป้าหมายของกระทรวงกลาโหม" นายอีสแมน เจ้าของลิขสิทธิ์เทคโนโลยีที่ใช้ในโครงการนี้ กล่าวถึงฮาร์พว่า
"สามารถรบกวนระบบโทรคมนาคมทั้งหมดในพื้นที่ขนาดใหญ่มากบนโลก... เบี่ยงเบนทิศทางหรือทำลายจรวดและเครื่องบิน...
ปรับเปลี่ยนภูมิอากาศ..." ดอกเตอร์เมกิช นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งที่ติดตามโครงการฮาร์พ อธิบายถึงการทำงานของ
อาวุธนี้ว่า ฮาร์พ "อาศัยเทคโนโลยีการส่งคลื่นวิทยุพลังมหาศาล เพื่อยกบริเวณชั้นบรรยากาศส่วนบน (ไอโอโนสเฟีย) ของโลกขึ้น
โดยเล็งพลังงานไปยังพื้นที่บนชั้นบรรยากาศและเผาบริเวณนั้นจนร้อน( หลอมละลายจนกลายเป็นเสมือนจานพลาสม่าขนาดยักษ์
ที่สามารถรับส่งคลื่นได้) จากนั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็จะสะท้อนกลับมายังโลกและทะลุทะลวงทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งที่มีชีวิตและไม่มี"
อะไรที่ชี้ว่าเทคโนโลยีในการบังคับดินฟ้าอากาศมีจริง
หลักฐานที่น่าเชื่อถือที่สุด อยู่ที่การยอมรับเกี่ยวกับเทคโนโลยีในการบังคับดินฟ้าอากาศ ของบุคคลสำคัญ
สถาบันและองค์กรชั้นนำระดับโลกต่างๆ อาทิเช่น เอกสารชื่อ "กองทัพอากาศสหรัฐ 2025" ที่ประกาศใช้ในปี 2539
ได้ระบุเป้าหมายในอนาคตของกองทัพอากาศสหรัฐว่า "การเปลี่ยนแปลงดินฟ้าอากาศ จะเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ความมั่นคง
ทั้งในและระหว่างประเทศและสามารถกระทำได้แบบเอกภาคี... มันเป็นไปได้ทั้งเชิงการรุกและรับหรือกระทั่งในการข่มขู่ศัตรู...
ความสามารถในการทำฝน หมอกและพายุหรือเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนอกโลก... และการสร้างดินฟ้าอากาศต่างๆ
นี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีแบบบูรณาการ ซึ่งสร้างเสริมศักยภาพให้กับสหรัฐหรือลดทอนศักยภาพของศัตรู...
" จริงอยู่ที่ข้อความข้างต้นนี้เป็นเพียงเป้าในอนาคต แต่ก็หมายถึงว่า ก่อนหน้าการประกาศ สหรัฐได้ทำเริ่มลงทุนพัฒนาและ
ทดลองเทคโนโลยีการควบคุมดินฟ้าอากาศ เป็นประจำมาเป็นเวลาช้านาน จนกว่าจะมั่นใจได้ว่าสามารบรรลุภาระกิจที่ตั้งไว้ได้ ปี
2539 สำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานคำพูดของนายวิเลียม โคเฮน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐที่กล่าวถึงการก่อการร้าย
ณ มหาวิทยาลัยจอร์เจีย ตอนหนึ่งมีใจความว่า "การป้องกันเกี่ยวกับอาวุธที่ไม่ธรรมดาจะต้องเพิ่มมากขึ้น
เมื่อกลุ่มผู้ก่อการร้ายพัฒนาอาวุธเคมีและเชื้อโรค และกรรมวิธีทางพลังงานแม่เหล็กที่สามารถเปิดรูโหว่ ในชั้นโอโซน
หรือ กระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิดได้"เป็นไปได้หรือที่กลุ่มผู้ก่อ การร้าย จะสามารถค้นคิดอาวุธร้ายแรงเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง ?
เพราะตลอดมาพวกเขามีศักยภาพเพียงการลอกเลียน และประยุกต์อาวุธขึ้นจากเทคโนโลยี ที่มีบรรดาประเทศมหาอำนาจ
ได้ค้นคิดพัฒนาและใช้การได้จริงแล้วทั้งสิ้น ปี2544 วุฒิสมาชิกจากรัฐโอไฮโอนาย เดนิส คูชินิชได้ เสนอร่างกฎหมายเลขที่
HR2977 ว่าด้วยการห้ามใช้อาวุธในอวกาศ ตอนหนึ่งของร่างนี้กล่าวถึง "อาวุธทางภูมิอากาศหรืออาวุธทางรอยเลื่อนของชั้นแผ่นดิน"
เป็นไปได้หรือ ที่ผู้ที่เป็นถึงวุฒิสมาชิกสหรัฐ จะกล้าเสนอกฎหมายนี้หากปราศจากหลักฐานข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการพัฒนาอาวุธเหล่านี้
นอกจากบุกคลสำคัญและองค์กรของสหรัฐเองจะกล่าวถึงการพัฒนาและทดลอง อาวุธที่เปลี่ยนแปลงดินฟ้าอากาศแล้ว บุคคลสำคัญและ
องค์กรในระดับโลกต่างๆก็ได้เคยแสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้อาวุธนี้ด้วย ที่ประชุมใหญ่องค์กรสหประชาชาติประจำปี 2540
ได้มีการลงนามในอนุสัญญา "การห้ามใช้เทคโนโลยี การปรับเปลี่ยนดินฟ้าอากาศเพื่อการทหารและการรุกราน
ที่สร้างผลกระทบที่กว้างขวาง ยาวนานและรุนแรง" ทั้งนี้นิยามของ "เทคโนโลยีการปรับเปลี่ยนดินฟ้าอากาศ" หมายถึง "
เทคโนโลยีที่จงใจเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางธรรมชาติ การเคลื่อนไหว องค์ประกอบ โครงสร้างของโลกรวมถึง
ชั้นบรรยากาศต่างๆหรืออวกาศ" หลักฐานที่ชี้ถึงแสนยานุภาพของฮาร์พ ในปี 2546 สมาชิกของคณะกรรมาธิการถึงสี่คณะ
ของสภาสูงสุดรัสเซียหรือสภาดูม่า และสมาชิกสภาทั้งหมด 90 ท่าน ได้ร่วมกันลงชื่อในรายงานเสนอต่อประธานาธิบดีวลาดีเมีย
ปูติน องค์กรสหประชาชาติและประเทศสมาชิก องค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ผู้นำและรัฐสภาทุกประเทศ องค์กรทางวิทยาศาสตร์
ที่มีชื่อเสียงและสื่อมวลชนชั้นนำของโลก เพื่อเรียกร้องให้ประชาคมโลกมีมติห้ามสหรัฐทดลองอาวุธที่มีแสนยานุภาพสูงนี้
ในรายงานนี้ปรากฏข้อความดังนี้ "ภายใต้โครงการฮาร์พ สหรัฐกำลังสร้างอาวุธใหม่ทางธรณีฟิสิกส์ ซึ่งอาจสามารถส่งอิทธิพล
ต่อชั้นบรรยากาศใกล้โลก ด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง""แสนยานุภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดนี้ อาจเปรียบเทียบได้กับการเปลี่ยนแปลง
จาก อาวุธมีคมสู่อาวุธปืน หรือจากอาวุธธรรมดาสู่อาวุธนิวเคลียร์" รายงานนี้ยังระบุอีกว่าสหรัฐกำลังสร้างอาวุธฮาร์พนี้ในพื้นที่สามแห่ง
แห่งแรกที่รัฐอลาสก้า สหรัฐอเมริกา แห่งที่สองที่กรีนแลนด์และที่สามในประเทศนอร์เว ทั้งนี้สหรัฐเตรียมที่จะเริ่มทดลองอย่างเต็มที่
ได้ตั้งแต่ต้นปี 2546 "เมื่ออุปกรณ์ทั้งหมดได้ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศจาก อลาสก้า นอร์เวและกรีนแลนด์ ความแม่นยำ
ในการกำหนดเป้าหมายพร้อมกับอานุภาพอันมหัศจรรย์ จะนำไปสู่ความสามารถอันแท้จริงในควบคุมชั้นบรรยากาศใกล้โลก"
รายงานของสภาดูม่าสรุปก่อนหน้านี้ในปี 2541 คณะกรรมมาธิการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความมั่นคงและ
นโยบายการทางทหาร ก็ได้เคยร้องเรียนต่อรัฐสภาสหภาพยุโรป จากกรณีที่สหรัฐปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า ในการเปิดเผยข้อมูลและอนุญาตให้
องค์กรอิสระนานาชาติ เข้าไปตรวจสอบโครงการฮาร์พ อีกทั้งยังเรียกร้องให้รัฐสภายุโรปร่างสนธิสัญญาระหว่างประเทศ
ว่าด้วยผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมจากกิจกรรมทางการทหารอีกด้วยทั้งนี้ สหรัฐประกาศว่า ปัจจุบันโครงการฮาร์พกำลังอยู่
ในชั้นตอนสุดท้ายของการขยายกำลังส่ง และคาดว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ให้ใช้การได้เต็มที่ในราวปี 2549
(ปัจจุบัน แน่นอนคงใช้ได้อย่างเต็มที่แล้ว)
สรุป ในวันนี้คงไม่มีประโยชน์อันใด ที่จะพยายามติดตามค้นหาข้อเท็จจริงถึงสาเหตุของวิปริตทางธรรมชาติ
ที่กำลังเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของธรรมชาติ หรือฝั่งที่เชื่อว่าเป็นฝีมือมนุษย์
ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่า มวลมนุษยชาติกำลังจะเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่ใหญ่หลวงในอนาคตอันใกล้นี้
แต่แน่นอนการคาดการณ์ของพวกเขาอาจะผิดก็ได้ สิ่งที่สังคมไทยน่าจะพิจารณาก็คือ ในอนาคตอันใกล้นี้
มีความเป็นไปได้ที่สังคมไทยจะต้องเผชิญกับมหันตภัยทางธรรมชาติต่างๆ ที่รุนแรงและใหญ่หลวงเสียยิ่งกว่า
คลื่นยักษ์สึนามิที่เพิ่งผ่านพ้นไป ทว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ โอกาสที่ประชาชนคนไทยจะต่อสู้จนได้รัฐบาลที่ดี
พอที่เรียกได้ว่าพวกเขาคือตัวแทนของพวกเรานั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลย และต่อให้ความฝันนี้เป็นจริง
พวกเขาก็มิอาจปกป้องช่วยเหลือพวกเราจากภัยพิบัติต่างๆเหล่านี้ได้เลย ฉะนั้นวันนี้ การคิดแต่เพียงการต่อสู้
ทางการเมืองจึงไม่เพียงพอเสียแล้ว เพื่อไม่ประมาท เราควรต้องเริ่มคิดอ่านเตรียมการ เพื่อความอยู่รอดของพวกเรากันเองด้วย
6 ความคิดเห็น
เดี๋ยวก้อมีพวกไรเดอร์กะพวกเรนเจอร์มาจัดการเองแหละ
ไม่ต้องห่วง
โห พวกเรา ต้องรีบโดยสารเรือโนอาร์ หนีไปจากโลกกันแล้ว
เพราะรู้สึกว่าอะไรบนโลกก็แย่ไปหมด
ถ้าไม่รีบแก้ไข เผ่าพันธ์ชาวโลกจะสูญพันธ์นิ
เหอะๆ เยอะเกิน อ่านไม่หมด
ความเลวของมนุษย์
จขกท. ไม่ได้เป็นมนุษย์หรอ
55+ ล้อเล่นๆ
ปี 2549
นี่มันปี 2551 จะ 2552 แล้วนะ
ถ้าใช้ได้เต็มกำลังแล้ว ป่านนี่พวกเราก็คงตายห่ากันไปนานแล้วนะสิ
แหมเค้าทำเสร็จก็ไม่เห็นจะต้อง โชว์พาว ทำลายล้างอะไรขนาดนั้นเลยนี่
ถึงจะอยากทดสอบขนาดไหนก็เถอะ แต่ถ้าคำนวณแล้วผลมันหนักหนาล่ะก็ เก็บไว้ดีกว่า
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?