Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เรื่องลี้ลับ..คนหลงปา ภูพาน VS ภูกระดึง

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่


เมื่อไม่กี่วันมานี้ มีข่าวเรื่องพระธุดงค์ 2 รูปหลงป่าในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่   เลยเอาวิธีการป้องกันตัวเวลาหลงป่า และวิธีหนีเอาชีวิตรอดมาฝากกันนะคะ

เมื่อเดินหลงป่า

ทะเลขุนเขาถ้าหลงทางล่ะก็....หนาว
          การแก้ไขปัญหาหากว่าเราเกิดหลงป่าขึ้นมานั้น พรานหลายๆ ท่านได้แนะนำและก็บอกกับวิธีมาดังนี้ครับ

1.ให้สังเกตทิวไม้
          ถ้าหลงป่าให้พยายามเดินขึ้นที่สูงเอาไว้ให้สังเกตว่าชายเขาอยู่ที่ไหนให้ยึดแนวนั้นเป็นหลัก เพราะสุดชายเขามักจะมีลำธารอยู่เสมอ ชาวบ้านป่ามักจะอาศัยอยู่ติดกับต้นน้ำลำธาร เมื่อพบลำธารก็จะพบบ้านคน พร้อมกันนั้นให้สังเกตทิวไม้ชายเขา ดูสีของใบไม้ของป่าบริเวณนั้นเป็นหลัก ช่วงที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ใบไม้จะเขียว แต่ผิดจากใบไม้ในส่วนอื่น ๆ ที่จางกว่า มุ่งไปได้เลย รับรองว่าเจอน้ำในจุดนั้นอย่างแน่นอน แล้วจึงค่อย ๆ เดินตามน้ำที่ไหลลงไป รับรองว่าได้รอดออกจากป่าแน่นอนครับ

2. ให้สังเกตรากไม้

บ่อยครั้งที่ความแห้งแล้งเกิดขึ้น หากเดินไปพบลำธารที่แห้งแล้วก็จะรู้ได้อย่างไรว่ายามมีน้ำจะไหลลงไปทางไหน พรานสอนไว้ว่าให้สังเกตรากไม้ลำธารแห้งว่า รากไม้ลู่ไปทางทิศไหน ก็ให้ไปทางนั้น เพราะยามลำธารมีน้ำ รากไม้จะลู่ไปตามน้ำเสมอไป ให้ท่านเดินไปแล้วจะพบน้ำหรือบ้านคนแน่นอน

การหลีกเลี่ยงจากโรคมาลาเรียและโรคจากไรอ่อน

มีธารน้ำ ปลายลำธาร
ย่อมมีบ้านคน
          การพิจารณาภูมิประเทศในการนอนพักแรมเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะในป่าเขา เพราะจุดพักแรมใดที่มีความชื้น จุดนั้นจะเป็นแหล่งเพาะยุงที่อาจมีเชื้อไข้มาลาเรีย บ่อยครั้งที่พบในป่าชื้นที่มีต้นไม้ขึ้นเป็นดง มีตะไคร่น้ำขึ้นเขียวพร้อมกับฟอสฟอรัสเรืองแสงเต็มไปหมด พรานสอนว่าอย่าไปลงแคมป์พักแรมเป็นอันขาดเลย เพราะที่ชื้นแบบนั้นรับรองมาลาเรียเพียบแต่ส่วนใหญ่พวกเราก็มักจะพักแรมกันเนื่องจากสะดวกในการทำกิจกรรมทั้งการประกอบอาหารหรือชำระร่างกาย ดังนั้นเราจึงควรป้องกันไม่ให้ยุงและไรอ่อนกัดเราได้ โดยการสมเสื้อที่มิดชิด ทายาป้องกันยุงกันและแมลง และนอนในเต็นท์ หรือเปลที่มีมุ้งป้องกัน และในกรณีที่ออกจากป่าแล้วมีไข้สูงหนาวสั่น ถ้าไม่แน่ใจให้รีบพบแพทย์โดยด่วน เพื่อเจาะเลือดตรวจสอบ

ป้องกันสัตว์ป่าทำร้าย

          หลายครั้งที่พวกเราต้องรอนแรมอยู่ในป่า อาจได้ยินเสียงช้างป่าร้องอยู่ใกล้ๆ หากเป็นเราท่านทั่วไป ก็มักจะคิดและนึกว่าสัตว์ป่าย่อมกลัวไฟเสมอ เลยมักจะก่อกองไฟกันไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้มันเข้ามาใกล้เรา ซึ่งโดยทั่วไปแล้วนั่นใช่ว่าสัตว์ป่ากลัวไฟ แต่ไฟที่ว่านั้นมันเป็นไฟป่าต่างหากที่พวกมันกลัว ไม่ใช่กองไฟย่อมๆที่พวกเราก่อ เพราะว่าโดยทั่วไปแล้วช้างป่า มันจะวิ่งเข้ามาหากองไฟเพื่อหาความอบอุ่นเสมอ เพราะฉะนั้นดูให้ดีเสียก่อนล่ะว่ามีสัตว์อะไรอยู่แถวนั้น หากเป็นช้างป่าก็อย่าไปจุดกองไฟเชียวเดี๋ยวจะวิ่งกันกระเจิงแล้วหาว่าไม่เตือนน่ะครับ แต่หากว่าเป็นสัตว์ป่าทั่วไป คงจะจุดไว้ได้เพื่อเป็นการป้องกัน 



ข้อแนะนำผู้หลงทาง หรือ ผู้ที่แตกจากกลุ่มใหญ่
1.ควบคุมสติให้ได้ อย่ากลัว
2.ตรวจเช็คสิ่งของที่ติดตัว ว่ามีอะไรใช้ประโยชน์ได้บ้าง และวางแผนใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด
3.เมื่อรู้ตัวว่าหลงทางให้หยุดอยู่กับที่ อย่าพยายามเดินต่อไป ให้เลือกหยุดคอยบริเวณที่ผู้ตามหามองเห็นตัวเราได้ง่าย เช่นกลางด่าน เนินเขา ทุ่งโล่ง
4.ทิ้งรอย หรือเครื่องหมายแสดงทิศทางที่จะไป หากจำเป็นต้องเดินต่อ เช่นไปหาแหล่งน้ำหรือที่พักฯลฯ
5.ส่งสัญาณขอความช่วยเหลือ เป็นระยะ ๆ (นกหวีดไง ผมพกติดตัวเวลาเข้าป่าทุกที เป็นอุปกรณ์ฉุกเฉินที่บ้านเรามองข้ามครับ)
6.มองหาที่พัก เสบียง และจัดหาหาฟืนไว้ก่อนมืด

ส่วนมากบ้านเราไม่ค่อยหลงกันไกลเท่าไรนัก ความจริงมีอีกหลายข้อ เอาแค่นี้แล้วกันครับ

สำหรับผู้ตามหา
1.เริ่มจากจุดสุดท้ายที่พบเห็นผู้หลงทาง
2.สังเกตรอยหรือเครื่องหมายของผู้หลงทางที่อาจทิ้งไว้
3.จดจำหรือขอข้อมูลบางประการของผู้หลงทางจากเพื่อนๆเช่นยี่ห้อรองเท้า แบบของพื้นรองเท้า ของใช้ส่วนตัว น้ำหนักผู้หลงทาง สิ่งขิงที่เขานำติดไปด้วย ฯลฯ ทางที่ดีเอาญาติ ๆ หรือเพื่อน ๆ เขาไปตามหาด้วย ถ้าไม่ลำบากนัก จะช่วยในการตามรอยได้รวดเร็วและเม่นยำขึ้น
4.ถ้ามีหลายคนให้แยกกันค้นหาจนพบรอยของผู้หลงทาง
5.เตรียมอุปกรณ์ปฐมพยาบาล และเสบียงเพื่อผู้หลงทางไปด้วย
6.อย่าหยุดตามหา แม้ในเวลากลางคืน ผู้หลงทางอาจกำลังรอความช่วยเหลือเร่งด่วน

และที่ไม่ลืม!!!! ก็คือ..เรื่องราวลี้ลับ..ที่คนเคยหลงป่าตัวจริงเขามาเล่าให้ฟัง...ไปดูกันเลยแล้วกันนะคะ



PS.   หวังว่าวันนี้จะเป็นวันดีของคุณ

แสดงความคิดเห็น

131 ความคิดเห็น

<<<กาปีกขาว>>> 12 มี.ค. 52 เวลา 09:35 น. 1

หลงป่า..."ที่ภูพาน"....เรื่องจริงกับสิ่งที่มิอาจพิสูจน์ได้

ที่มา http://board.palungjit.com/showthread.php?t=134358

เรื่องนี้เป็นเรื่องสด ๆ ร้อนๆ จากน้องที่ทำงานค่ะ พอดีว่าเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา....น้องผู้ชายคนนี้ได้โทรมาขอลาหยุด โดยอ้างว่า "ผมหลงป่าครับ" ทุกคนในห้องก็ยังอดที่จะแซวไม่ได้ว่า....ป่าไหนของมันว้า~!! และไม่ได้คิดว่าน้องคนนี้จะพูดจริง ๆ

ปรากฏว่าวันนี้...น้องมาทำงานได้ตามปกติ แต่ตามเนื้อตัวมีรอยขีดข่วน ยุงกัด หนามตำ เต็มไปหมด แล้วน้องผู้ชายคนนี้เลยเล่าให้ทุก ๆ คนให้ห้องฟังถึงประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นว่า....เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ไปเที่ยวจังหวัดอุดรกับเพื่อนๆ และได้แวะไปเล่นน้ำที่น้ำตกธารงาม ที่เทือกเขาภูพานมา

โดยระหว่างที่จะกลับนั้น เป็นวันอาทิตย์ช่วงประมาณเกือบ ๆ 4 โมงเย็นเห็นจะได้.....น้องคนนี้ก็บอกกับเพื่อน ๆ ว่า "เดี๋ยวขอไปฉิ๊งฉ่องก่อน....เดี๋ยวมา" ซึ่งก็เดินไปไม่ไกลจากสายตาของเพื่อน ๆ ในกลุ่มมากนัก โดยมีเพื่อนอีกคนเดินตามมาด้วย

....แต่ซักพัก...อยู่ๆ น้องคนนี้ก็ออกวิ่ง และหายเข้าไปในป่าไผ่ต่อหน้าต่อตา ซึ่งเพื่อนที่มาด้วยกันก็พยายามเรียก....แต่น้องคนนี้ก็ไม่ยอมหันหลังกลับมา เพื่อนคนนึงจึงตัดสินใจวิ่งตามไปด้วย....โดยเห็นหลังไว ๆ แต่ก็ไม่สามารถตามทัน เพราะอยู่ ๆ น้องคนนี้ก็หายตัวไปรวดเร็วมาก
จากคำให้การของน้องคนดังกล่าวเล่าว่า.....ณ ตอนนั้น.....

"ผมจำได้ตลอดเวลา...ว่าผมเตรียมตัวจะกลับบ้าน สะพายเป้เรียบร้อยแล้ว แต่บอกเพื่อน ๆ ว่าจะขอไปฉี่ก่อน และจากนั้น....ผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย......

ซึ่งพี่ ๆ ในห้องก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกัน !!

"เอ็งเมา.....แน่นอน !!"

น้องคนนี้มันก็เถียงว่า..."ผมยอมรับว่ากินเหล้าจริง...แต่ก็ยังรู้สึกตัว และรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ตลอดเวลา เพราะถ้าผมเมามากถึงขนาดไม่รู้สึกตัว....และจำอะไรไม่ได้ ผมก็ไม่น่าจะวิ่งไปได้ไกลขนาดนั้น เพราะคนเมาก็ต้องเดินโซซัดโซเซ การที่จะวิ่งเข้าไปในป่าไผ่แบบนั้นยิ่งไม่น่ามีทางเป็นไปได้"

"หลับในชัวร์ !!" พี่อีกคนคิด......

แต่หลังจากที่ฟังเหตุการณ์หลังจากนั้น ทุกคนก็เปลี่ยนความเห็นซะใหม่ว่า ....การเมาอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้จิตอ่อน และง่ายต่อการถูกควบคุม......ของบางสิ่งบางอย่างที่เหนือธรรมชาติ.....


PS.   หวังว่าวันนี้จะเป็นวันดีของคุณ
0
<<<กาปีกขาว>>> 12 มี.ค. 52 เวลา 09:36 น. 2
ภูพาน (2)

หลังจากที่น้องคนนี้หายตัวไปในตอนช่วง
4 โมงเย็น.......เขาก็วิ่งเข้าป่าไผ่ไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้สึกตัว.....ซึ่งเพื่อน ๆ ก็เดินหากันอยู่ซักพักแต่ก็ไม่สามารถเข้าไปได้ลึก เนื่องจากเป็นป่าไผ่ จึงตัดสินใจไปแจ้งกับทางเจ้าหน้าที่อุทยาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็รีบจัดทีมออกค้นหา โดยแบ่งเป็นออกเป็น 3 ทีม และเริ่มเคลื่อนขบวนประมาณ 6 โมงเย็น.....

(โดยให้นักทำนายของท้องที่นั้น ทำนายดูก่อนว่าอยู่ตรงจุดไหน ซึ่งก็ได้ความว่า....ยังปลอดภัยอยู่ และเขาจะออกมาเองที่ทุ่งเลี้ยงวัว ให้ไปรอรับที่นั่น)

แต่ทุกคนรวมถึงเจ้าหน้าที่ลงความเห็นว่า...ยังไงก็ต้องออกตามหา...โดยเจ้าหน้าที่ 2 ทีมแรกค้นหาแถว ๆ ริมน้ำตกและบริเวณโดยรอบ ส่วนอีกทีมไปพร้อมๆ กันกับกลุ่มเพื่อนของน้องคนนี้ ซึ่งในตอนแรกเจ้าหน้าที่ลังเลเล็กน้อย เมื่อทุกคนแจ้งว่า...เพื่อนเขาได้หายตัวไปจากจุดๆ นี้

สาเหตุที่เจ้าหน้าที่ชุดนี้เกิดความลังเลใจเล็กน้อย อันเนื่องมาจาก....ป่าแถบนี้เป็น "ดงงูจงอาง" จึงไม่ค่อยมีใครอยากจะเข้าไปยุ่ง เพราะกลัวว่าจะเกิดอันตรายกับน้องๆ ที่มาด้วย....แต่เพื่อนคนที่เห็นว่าเพื่อนหายไปต่อหน้าต่อตา...ก็รีบเดินนำเข้าไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น.......ทั้งหมดเลยต้องจำใจเดินเข้าไปพร้อมๆ กัน .....

ส่วนน้องคนที่หลงป่าอยู่นั้น....มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เดินไปเจอ ท่อนไม้ขนาดใหญ่ท่อนนึงที่ขวางหน้าอยู่ น้องคนนี้เล่าต่อว่า....พอผมเห็นท่อนไม้นี้....ก็หยุดวิ่งในทันที...เหมือนคนได้สติ เหมือนเพิ่งหลุดจากภวังค์ ซึ่งพอรู้สึกตัวตอนแรก เค้าก็ตกใจว่าตัวเองอยู่ที่ไหน.....ทำไมรอบ ๆ ตัวมีแต่ป่า มองอะไรก็มืดไปหมด และเมื่อดูเวลาก็ประมาณทุ่มกว่า ๆ (แสดงว่าเดินโดยไม่รู้สึกตัวประมาณ 3 ชั่วโมง) โดยที่ไม่ได้รู้สึกเหนื่อย หรือหอบแม้แต่น้อย

บรรยากาศรอบๆ ตัวมืดมาก และมองอะไรไม่ค่อยเห็น เพราะรอบๆ มีแต่ต้นไผ่เต็มไปหมด แถมด้านบนมีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมอยู่หนาแน่น เมื่อได้สติน้องคนนี้ก็เริ่มสำรวจตนเอง.....พบว่าเป้ที่สะพายข้างหลังก็ยังอยู่ดี แขนขายังอยู่ครบ

ซักพักก็ตั้งสติคิดได้ว่าจะต้อง "รีบปีนต้นไม้"...เพราะกลัวว่าด้านล่างอาจจะมีสิงสาราสัตว์ออกหากินในตอนกลางคืนเข้ามาทำร้าย โดยคิดว่าจะใช้พระจันทร์ในการนำทาง เข้าใจว่าพระจันทร์ขึ้นทางด้านไหน ด้านนั้นคงเป็นทิศตะวันออก (แต่ไม่ได้คิดว่ามันมีข้างขึ้นข้างแรมเลยนะนั่น)


PS.   หวังว่าวันนี้จะเป็นวันดีของคุณ
0
<<<กาปีกขาว>>> 12 มี.ค. 52 เวลา 09:37 น. 3
ภูพาน (3)

ซึ่งพอเดินคลำทางไปได้ซักพัก การเดินเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะต้องเดินเท้าเปล่า บวกกับโดนต้นไผ่กับพวกหนามบาดตามเนื้อตามตัว จนรู้สึกเจ็บไปทั้งมือและแขน (ทั้ง ๆ ที่ตอนที่เดินเข้าป่ามา....ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรทั้งนั้น)


น้องผู้ชายคนนี้เล่าให้ฟังต่อว่า....เมื่อมองไปด้านบนก็จะเห็นต้นไม้ใหญ่ปกคลุมไปหมด...แต่ไม่รู้ว่าโคนต้นมันอยู่ตรงไหนเพราะรอบๆ มีแต่ต้นไผ่กับหนามอะไรไม่รู้เต็มไปหมด แต่ซักพักก็เจอโคนต้นไม้ขนาดพอเหมาะต้นหนึ่ง ก็เลยรีบปีนขึ้นไปโดยไม่ลังเลใจ.....

เมื่ออยู่ด้านบนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว....ปรากฏว่าเป้ที่สะพายหลังเจ้ากรรม.....ดันตกลงไปข้างล่าง (เหมือนในหนัง)......ซึ่งเค้าคิดว่า ยังไงซะ!! จะไม่ลงไปเก็บแน่นอน.....เพราะสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องล่างก็คือ.......

อะไรซักอย่าง.........ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ แต่เป็นสีขาวๆ ผลุบไปผลุบมา....ยืนมองมาจากทางด้านล่าง..... ซึ่งน้องคนนี้ปกติมันก็ไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางนางไม้อะไรอยู่แล้ว.....เค้าจึงเลยพยายามเพ่งดูให้ชัดว่าตาฝาดไปรึเปล่า....หรือว่าจิตหลอนไปเอง.....

"ในใจก็ได้แต่คิดว่า....ถ้าเป็นเจ้าป่าเจ้าเขา...ก็ช่วยตามคนมาช่วยผมทีเถอะ"

และในระหว่างที่อยู่บนต้นไม้นั้น....เค้าก็ตะโกนไปเรื่อยๆ เพื่อว่าจะมีใครได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ จนราวๆ เกือบ 5 ทุ่ม....ทีมค้นหาก็ได้ยินเสียงตะโกนของน้องดังแว่วมาไกลๆ...

ซึ่งตอนนี้ก็เสียงก็เริ่มแหบและหิวน้ำมากๆ (แต่สิ่งที่ยังรออยู่ใต้ต้นไม้นั่นก็ยังวนเวียนไม่ยอมไปไหน) จนกระทั่งทีมค้นหาเริ่มจัดพิกัดของเสียงได้ และเริ่มพูดกันรู้เรื่อง

"น้อง !! อย่าลงจากต้นไม้นะ อยู่กับที่ เดี๋ยวหลง!!

"ผมไม่ลงหรอก!!! มีใครก็ไม่รู้รออยู่ข้างล่าง!! " แต่ไม่รู้ว่าพวกเจ้าหน้าที่จะได้ยินหรือไม่......

ซักพัก...เมื่อทีมค้นหามาถึง....ก็วนอยู่แถวนั้นประมาณ 2-3 รอบ เพราะมองไม่เห็นต้นไม้ที่น้องอยู่ แต่น้องเห็นแสงจากไฟฉายของพวกเขาแล้ว ซึ่งมันก็รอจนพวกเจ้าหน้าที่มาที่โคนต้นไม้...จึงยอมลงมา และสิ่งที่ก่อนหน้านี้เห็นว่า สิ่งที่แว๊บไปแว๊บมาอยู่ด้านล่างนั้น อยู่ๆ ก็หายวับไปกับตาไม่เห็นวี่แวว


PS.   หวังว่าวันนี้จะเป็นวันดีของคุณ
0
<<<กาปีกขาว>>> 12 มี.ค. 52 เวลา 09:38 น. 4
ภูพาน (4)

ซึ่งเมื่อลงมาถึง...ก็ไม่มีใครพูดอะไรกัน
(ทีมนี้มาพร้อมกันกับเพื่อนของน้องอีก 3 คน) เจ้าหน้าที่บอกว่า.....ดีนะที่น้องหลงมาทางนี้...เพราะเดินอีกไม่ไกล (ประมาณ 2 ชม.) ก็จะถึงทางออกไปยังทุ่งเลี้ยงวัวของชาวบ้านแล้ว... โชคดีนะที่ไม่วิ่งตรงไปเรื่อยๆ ไม่งั้นมีหวังเข้าป่าลึกไปแล้ว......

"พี่ๆ ระหว่างที่ผมหาทางจะปีนต้นไม้.....ผมเห็นแสง...เหมือนแสงไฟนีออนตามบ้านคน...เห็นประมาณ 3 ที่" (ไม่ได้ถามถึงสิ่งที่รอมันอยู่ด้านล่างต้นไม้)

"หิ่งห้อยไงน้อง" เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตอบ

"ผมไม่ใช่คนกรุงเทพฯ นะพี่......จะได้ไม่รู้ว่าหิ่งห้อยเป็นยังไงนะ....ผมคนอุบลฯ " (แต่ทำงานที่กรุงเท๊ป~)

"อ๋อ.....เห็ดเรืองแสงไงน้อง....แล้วได้เข้าไปดูใกล้ๆ ไม๊ล่ะ??" เจ้าหน้าที่อีกคนถาม โดยที่ทุกคนก็ไม่เคยรู้ว่าเห็ดเรืองแสงเป็นเช่นไร

"ไม่ได้เข้าไปดูครับ...ผมไม่เชื่อในสิ่งที่ตาเห็น" หมายความว่า....ไม่ควรเชื่อสิ่งที่ตาเห็นในป่า เพราะแสงนั่นอาจจะหลอกให้เข้าใจผิด คิดว่าเป็นบ้านคน แล้วล่อให้เดินไปตามทางนั้น (ขนาดมีไฟฉายในกระเป๋าเป้ เค้าก็ยังไม่ใช้) เพราะกลัวว่าทางที่เห็น อาจจะไม่ใช่ทางออกจริงๆ

"ดีแล้วๆๆ" เจ้าหน้าที่ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกัน

แต่ก็ถูกของน้องคนนี้.....เพราะเค้ากะว่า ถ้าตอนเช้ายังไม่มีใครตามหาเค้าพบ...เค้าก็จะเดินไปตามทางที่พระอาทิตย์ขึ้นนี่แหล่ะ ซึ่งทางนั้นก็เป็นทางออกไปที่ทุ่งเลี้ยงวัว แต่ถ้าหากว่า....เค้าไม่เจอขอนไม้ท่อนนั้นขวางหน้าเอาไว้แล้วล่ะก็.....ตอนนี้อาจจะยังไม่มีใครหาเค้าแล้วก็เป็นไปได้.....

เมื่อมาถึงทางออก ทางเจ้าหน้าที่ ที่เหลือได้ประสานงานให้นำรถมารับ น้องๆ กลุ่มนี้ที่ทุ่งเลี้ยงวัว (ระยะทางประมาณ 10 กว่ากิโล)

"น้อง....แล้วไม่กลัวเหรอ....ร้องไห้ด้วยใช่ไม๊....พี่ได้ยินเสียงร้องไห้" เจ้าหน้าที่คนนึงพูดแซวขึ้น....

น้องนี่ก็งง....ว่ายังไม่ทันได้ร้องไห้ซักกะแอะ...มีแต่ร้องตะโกนแหกปากปาวๆ ว่าอยู่ตรงนี้.....แต่เพื่อนๆ ยืนยันว่าได้ยินเสียงร้องไห้จริงๆ ในระหว่างทางที่มา.......

สรุปได้ก็คือ.....เจ้าหน้าที่ของทางอุทายานน่ารักมากๆ ไม่ได้กล่าวตำหนิน้องนี่ซักคำ ได้แต่บอกว่าโชคดีแล้วที่หาเจอ ซึ่งคนที่ได้ฟังต่างก็เข้าใจว่า.....

1. น้องอาจจะโดน....เจ้าแม่หรือเจ้าพ่องูจงอาง แถวนั้นหลอกพาตัวไป....เพราะดันไปฉิ๊งฉ่องโดยไม่ได้ขออนุญาติ....ซึ่งการที่เค้าวิ่งเข้าป่าไป 3 ชม. แล้วไปได้ไกลเป็น 10 กิโล ในป่าไผ่....โดยไม่รู้สึกเหนื่อย หรือโดนหนามบาด (เหมือนมีคนนำทางไป)

2. น้องเค้าเดินไปได้ยังไงโดยไม่รู้สึกตัว ซึ่งเค้าควรจะเดินเหยียบหนาม ไม่ก็โดนหนามบาด...ซึ่งเค้าน่าจะรู้สึกตัวบ้าง....จริงไม๊คะ??
แต่หน้าตาน้องไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อยเลยนะคะ แผลที่ได้ก็หลังจากตอนที่มันเดินหาทางปีนต้นไม้นั่น

3. สิ่งที่อยู่ด้านล่างต้นไม้ อาจจะเป็นเจ้าป่าเจ้าเขา ที่คอยช่วยเฝ้าเอาไว้ไม่ให้ใครไปเอาตัวน้องคนนี้ลงมาได้ หรือเปล่า??
เพราะน้องบอกว่าไม่ได้รู้สึกกลัวสิ่งที่เห็นแม้แต่นิดเดียว แต่กลัวว่าจะไม่มีใครตามหาน้องพบมากกว่า


PS.   หวังว่าวันนี้จะเป็นวันดีของคุณ
0
<<<กาปีกขาว>>> 12 มี.ค. 52 เวลา 09:39 น. 5

เรื่องจากรายการตีสิบ ประสบการณ์ลี้ลับ ที่กลุ่มนักศึกษา(มหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ)ได้ไปเจอมาที่ภูกระดึง

เรื่องเกิดขึ้นจากการที่พวกเขานัด กันไป ท่องเที่ยว พักแรม ที่ภูกระดึง (ตอนก่อนเดินทางไปเที่ยว คุณยายของรุ่นพี่ในกลุ่มท่านก็ได้เตือนให้ไหว้ เจ้าที่เจ้าทางเจ้าป่า เจ้าเขา ตามประสาผู้ใหญ่ที่เป็นห่วงหลาน)

แต่พอมาถึงตอนเช้าที่ภูกระดึงเขาก็ไม่ได้นึกถึงพวกเขาไปกันทั้งหมด 10 คน และไม่เคยมีใครมาเที่ยวภูกระดึงมาก่อนเลย หนึ่งในนั้นชื่อ บอยเป็นคนไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องอาถรรพ์และเป็นคนโผงผาง พูดจาไม่ค่อยดีนัก ตามสไตล์วัยรุ่นห่ามๆ (มาก) ทั่วไป หยาบคายบ้าง ท้าทายบ้าง เพื่อนๆห้ามก็เหมือนยิ่งยุ (เพื่อนๆบอกว่าเขาพูดหยาบมากๆ จนไม่สามารถพูดออกอากาศได้)

ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวบนภูกระดึงวันแรก (บอย ก็พูดจาแบบคะนองปาก ไปเรื่อยๆ) แล้วกลุ่มของพวกเขาก็หลงป่า(เข้าใจว่าช่วงเที่ยวกลุ่มน้ำตก)หาทางออกไม่เจอ เป็นเวลานาน พี่ใหญ่ของกลุ่มเริ่มไม่สบายใจ(คนเดียวกับที่ยายบอกให้ไหว้เจ้าที่)

จึงไปยกมือไหว้ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนั้นด้วยความเข้าใจเองว่าจะต้องขอขมาเจ้าที่เจ้าทางและหลังจากที่ขอขมาแล้วเดินต่อซักพักเขาก็เห็นไม้สีแดง(ลักษณะเป็นไม้ปลายงอม้วนเข้าคล้ายไม้เท้า) เขาก็เข้าใจเองอีกว่าปลายไม้ชี้บอกทางออกและตัดสินใจเดินตามทางนั้นโดยเก็บเอาไม้ชิ้นนั้นมาด้วย ซักพักก็เดินพ้นออกมาจากป่าจริงๆ

เมื่อพ้นออกมาจากป่าได้แล้วก็เดินเที่ยวต่อเพื่อไปที่ผาหล่มสัก เมื่อถึงผาหล่มสัก ยังไม่เย็นมากจึงนั่งๆนอนๆพักผ่อนรอชมพระอาทิตย์ตกดินบริเวณนั้น(กลุ่มพวกเขาไม่ได้เอากล้องถ่ายรูปไปมีเพียงโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายรูปได้)


PS.   หวังว่าวันนี้จะเป็นวันดีของคุณ
0
<<<กาปีกขาว>>> 12 มี.ค. 52 เวลา 09:40 น. 6

ภูกระดึง (2)

ในตอนนั้นมีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆอีกหลายกลุ่มที่มีจุดประสงค์เดียวกัน บ้างก็ถ่ายรูป บ้างก็พักผ่อน ฯ ด้วยความที่เป็นผู้ชายล้วน และด้วยความคึกคะนองของบอย เขาได้ตะโกนเสียงอันดังว่า...ค..ว..ย ออกไปที่ผาเพื่อฟังเสียงสะท้อนกลับมา ในตอนนั้นบอยก็รู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองมาที่เขาอย่างเคืองๆ เขาเข้าใจว่าเป็นวัยรุ่นกลุ่มอื่นๆบริเวณนั้น เขาจึงถามเพื่อนๆว่ามีกลุ่มไหนมองเขามั๊ย เพื่อนๆต่างก็บอกว่าไม่มีใครมอง


เมื่อชมพระอาทิตย์ตกแล้ว พวกเขาก็ใช้เส้นทางเรียบผากลับที่ทำการฯ ด้วยเหตุที่พวกเขาไม่มีใครเตรียมไฟฉายไปด้วยและไม่เคยมาจึงพยายามเดินเป็นกลุ่มตรงกลางเพื่อหวังจะอาศัยแสงไฟ และเดินตามกลุ่มอื่นๆ แต่เมื่อเดินไปเรื่อยๆ แสงไฟจากนักท่องเที่ยวกลุ่มหน้าค่อยๆห่างออกไปทุกที พวกเขาก็เร่งฝีเท้าเพื่อตามให้ทัน ปรากฎว่าตามไม่ทันแสงจากกลุ่มหน้าหายไปแล้ว

เมื่อหันไปด้านหลังก็ไม่เห็นกลุ่มอื่นๆ ที่ตามมาเลย มีเหลือพวกเขาอยู่กลุ่มเดียว จึงรีบเดินให้เร็วขึ้น เดินจนถึงร้านค้าระหว่างทางจึงถามทางกลับ และขอซื้อเทียน ได้เพียงแค่ 2 เล่ม เพราะที่ร้านเหลือแค่นั้นและที่ร้านค้าก็แนะนำให้เดินทางลัดเพราะเห็นว่าดึกแล้ว (เข้าใจว่าเป็นเส้นทาง ผานาน้อย - องค์พุทธเมตตา) เขาก็เดินกันต่อ

ตอนแรกพวกเขาเดินเรียงหน้ากระดาน 4 คน พอเดินๆไปทางก็แคบลงๆ จนพวกเขาต้องเดินเรียงเดี่ยว โดยให้คนแรกถือเทียน 1 เล่ม และคนสุดท้ายถืออีก 1 เล่ม บอยเป็นคนที่อยู่รั้งท้ายสุด ตลอดทางพวกเขาจะนับ 1 ถึง 10 เป็นระยะๆ เพราะมืดมากเผื่อใครหายจะได้รู้ เส้นทางค่อยๆลาดต่ำลงหญ้าสองข้างทางสูงเกือบจะท่วมหัวหมอกก็ลอยต่ำเรียดพื้น มองไปข้างหน้าเห็นเพียงท้องฟ้าที่มืดมิด มองต่ำกว่ายอดไม้เห็นเพียงสีดำสนิท ระยะการมองเห็นเพียงรัศมีแสงเทียน

ในระหว่างที่เดินอยู่ ทุกคนรู้สึกมีสิ่งไม่ปกติเกิดขึ้นตลอด บ้างรู้สึกเหมือนมีคนวิ่งเอามือระต้นหญ้าข้างทางผ่านพวกเขาไป แต่ไม่มีใครกล้าทัก พอเดินๆไปเพื่อนที่เดินอยู่หน้าบอย กระซิบว่าเห็นคน บอยก็ตบหัวเพื่อนพร้อมบอกว่า คนที่ใหนไม่เห็นมีเลย (แต่หลายคนเล่าว่าเห็นเหมือนคนตัวดำตัวใหญ่มากๆนั่งยองๆกอดเข่ามองพวกเขาอยู่ข้างทางห่างไปไม่ไกลมาก ระยะเพียงพ้นแสงเทียน จะเห็นจากหางตาเพราะไม่กล้าหันไปมอง) เดินไปได้ซักพักบอยรู้สึก เหมือนมีคน มาหายใจรดต้น คอ และรู้สึกแน่นที่หน้าอกมากๆ พวกเขาเดินไปถึงทาง 3 แพร่ง ปรึกษากันว่าจะเลี้ยวซ้ายหรือขวาดี และเริ่มนับเพื่อให้ตรวจสอบเพื่อนว่าครบหรือเปล่า นับได้ 9 แล้วเงียบไป ไม่มีเสียงขานของบอย

ตอนแรกก็นึกว่าบอยแกล้ง แต่พอมองหาไม่เจอ พวกเขาส่วนหนึ่งจึงรีบวิ่งย้อนกลับไปเส้นทางเดิม และพบบอยนอนอยู่ข้างทางในลักษณะที่ตั้งแต่ส่วนเอวลงไปอยู่ในป่า ส่วนท่อนบนอยู่บนทางเดิน เหมือนมีคนกำลัง ลากโดยดึงขาเขาเข้าไปในป่า เพื่อนๆก็ช่วยกันดึงไว้ และร้องเรียกพวกที่เหลือ พวกที่ตามมาก็วิ่งเตะรากไม้ได้แผลไปคนนึง

ตอนนั้นบอยมีอาการกระตุก ตาเหลือก ตัวแข็ง พวกเพื่อนๆ ก็ตกใจ ช่วยกันบีบนวด แขน-ขา เขาต่างก็รู้สึกว่าตัวบอยแข็งมาก แข็งไปทั้งตัวเลย บีบไม่ลงไม่ยุบเลย พวกเขาจึงพยายามหามบอยโดยคนหนึ่งซ้อนใต้แขนทั้งสอง อีกคนยกขา เดินไป ตอนแรกยกไม่ขึ้นรู้สึกหนักมาก พอยกขึ้นและในระหว่างที่เดิน คนที่อยู่หน้าสุด ร้องว่าเห็นงูอยู่ข้างหน้า ทุกคนเห็นเป็นงูเหมือนกันหมด 9 คนยกเว้น บอย ที่ไม่รู้สึกตัวแล้ว แต่จากงูกลายเป็นกิ่งไม้ไปต่อหน้าพวกเขานั้นแหละ โดยพวกเขายืนยันว่าตอนแรกเป็นงูจริงๆ


PS.   หวังว่าวันนี้จะเป็นวันดีของคุณ
0
<<<กาปีกขาว>>> 12 มี.ค. 52 เวลา 09:42 น. 7

ภูกระดึง (3)

คนที่หามบอย
2 คนเริ่มไม่ใหวแล้ว ทั้งที่บอยตัวนิดเดียว คนหามทั้งสองคนตัวใหญ่กว่าเยอะ ต้องให้เพื่อนมาช่วยกันหามอีกคน เขาบอกว่า บอยตัวหนักขึ้น ครับหาม 3 คนก็ไม่ไหวบอยก็หล่นลงมา มีอาการชักอย่างน่ากลัว ตาก็เหลือกด้วย

ในขณะนั้นเองเพื่อนอีกคน ก็เห็นแสงไฟ เคลื่อนเข้ามาและปรากฎว่าเป็นแสงไฟจากรถมอร์เตอไซต์ ทั้งๆที่ตอนแรกไม่ได้ยินเสียงรถเลย คนขับเป็น ชายใส่ชุด ทหารพราน สวมโม่ง พวกเขาก็บอกว่ามีคนเจ็บให้ช่วยหน่อย

คนที่ขับรถก็บอกให้เอาคนเจ็บขึ้น รถมา และให้คนขึ้นรถมาอีกคนคอยจับคนที่เจ็บไม่ให้ร่วง รุ่นพี่คนเดิมก็เลยขึ้นไปประคองบอย และได้เอาไม้สีแดงที่เก็บมาด้วยให้รุ่นน้องอีกคนถือไว้ ชายขับมอร์เตอไซต์ ได้แนะนำให้พวกที่เหลือเดินเลี้ยวขวาที่ทางแยกข้างหน้าเพื่อกลับที่ทำการฯ จะถึงเร็วกว่า

รุ่นพี่คนที่นั่งซ้อยรถไปด้วยก็เล่าว่าเมื่อถึงทางแยกมอร์เตอไซต์กลับเลี้ยวซ้ายบอกว่าทางสะดวกกว่า และรุ่นพี่ได้เล่าให้คนที่ขับรถไปว่าเขามาเที่ยวกันแล้วเพื่อนก็เป็นอะไรไม่รู้ ทันใดนั้นคนที่ขับรถอยู่ก็หัวเราะขึ้นโดยมีน้ำเสียงเปลี่ยนไป จากเดิมเสียงใหญ่มากและพูดยานๆว่า มันไม่เป็นอะไรหรอก

ตอนนั้นเขากลัวมากๆ แต่ก็ขับมาส่งจนถึงบริเวณสะพานไม้หลังที่ทำการฯ เจ้าหน้าที่ที่ขับรถก็บอกให้ประคองบอยไปห้องพยาบาล ซึ่งตอนนั้นตัวบอยไม่หนักเหมือนก่อนหน้านั้นแล้ว ถึงห้องพยาบาล เจ้าหน้าที่พยาบาลก็ให้กินยาและนอนพักก่อน ส่วนตัวรุ่นพี่ก็เดินไปซื้ออาหารอุ่นๆที่ร้านค้ามาไว้ให้บอยกิน

พอกลับมาถึงบอยก็ฟื้นแล้วแต่ยังงงๆอยู่ มาพูดถึงเพื่อนอีก 8 คนที่เดินกลับ ตอนนั้นเทียนดับไปแล้ว พวกเขาก็ อาศัยแสงไฟ จากโทรศัพท์ มือถือ ตลอดเวลาที่พวกเขาเดินไปเหมือนมีคนตามมาตลอด และเพื่อนคนนึงโดนพลักตกหลุม ถึง 2 ครั้ง โดยเพื่อนทุกคนยืนยันว่าไม่มีใครแกล้ง

แล้วพวกเขาก็เห็นแสงไฟข้างหน้า เป็นแสงไฟตามบ้านอะไรประมาณนี้พวกเขาก็รีบเดิน แต่ยิ่งเดินยิ่งไกล และแล้วแสงไฟก็หายไป แต่พวกเขาก็ยังเดินต่อไป แต่ก็วนมาที่เดิมตลอด ทุกคนเริ่มกลัว เริ่มลนกันหมด แล้วก็มีคนยกมืออธิฐานกับไม้ บนบานเจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าเขาขอให้ถึงที่พักซักที แล้วไม่นานเพื่อนคนหนึ่งก็แหวกหญ้าที่สูงท่วมหัวข้างทางออกมาเจอแสงไฟจากที่ทำการฯ ทั้งๆที่ไม่ไกลพวกเขาก็หลงอยู่เป็นนาน

PS.   หวังว่าวันนี้จะเป็นวันดีของคุณ
0
<<<กาปีกขาว>>> 12 มี.ค. 52 เวลา 09:43 น. 8


ภูกระดึง (4)


พวกเขาพบกับ เจ้าหน้าที่ที่ใส่ชุดทหาร สวมโม่ง
2 คนส่องไฟมาทางเขา แล้วบอกว่า เจอพวกมันแล้ว ตอนแรกเขานึกว่าเพื่อนเขาที่มากับรถ บอกให้คนออกมาตามหาพวกเขา แต่ไม่ใช่และทหาร 2 คนก็เดินหายไปใหนไม่รู้ แล้วพวกเขาก็มาถึงหลังที่ทำการ เขามาถึงที่พักกันแล้ว และพวกเขาก็ได้จุดธูปขอขมาเจ้าที่เจ้าทางพอปักธูป กำลังเดินกลับ

บอยก็ออกมาพอดี โดยที่ไม่มีอาการใดๆเลย มาตอนเช้าบอยเล่าหลังจากได้สติว่าตอนที่ล้มลงนั้นยังรู้สึกตัว เห็นว่ามีคนตัวใหญ่หน้าตาโกรธมากมาทำให้ล้มและกดหน้าอกเอาไว้ตอนที่เพื่อนๆพยายามแบกตัวเขาขึ้นมา พวกเขาได้ตามถามหาเจ้าหน้าที่ที่มาส่งบอย เพื่อจะขอบคุณ ปรากฏว่าไม่มี และ พวกเจ้าหน้าที่บอกว่า ไม่มีใครใส่ชุดเต็มยศขนาดนั้นหรอก

ส่วนแม่ค้าเมื่อได้ยินเรื่องก็ให้ความเห็นว่าเป็นผู้ช่วยองค์พุทธเมตตา ที่ออกมาให้ความช่วยเหลือผู้คนบ่อยๆ เมื่อพวกเขาได้เดินกลับไปดูเส้นทางที่เดินมาเมื่อคืน พบว่าต้นไม้ใหญ่ๆที่เห็นเมื่อคืนไม่มีเลย มีเพียงหญ้าเตี้ยๆสูงไม่ถึงเข่า

มีหลักฐานว่าเป็นเส้นทางเดิมคือร่องรอยพลาสเตอร์ ที่เขาใช้กันหล่นอยู่ข้างทางอยู่เลย ทิศที่รถมอเตอร์ไซค์วิ่งมาก็ไม่มีทาง เป็นทุ่งหญ้าและทางสามแยกก็ใช้ได้เพียงด้านขวา เพราะด้านซ้ายที่รถมอเตอร์ไซค์เลี้ยวมาเมื่อคืนที่ผ่านมา เส้นทางขาด น้ำ เซาะทางเป็นร่องลึกใช้ไม่ได้ จึงเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่รวมๆกันหลายอย่าง

ก่อนลงจากภูกระดึงพี่ใหญ่รู้สึกขอบคุณไม้เท่า และได้เอาไปพิงไว้หลังต้นสนใหญ่ที่สุดบริเวณกางเต้นท์ เมื่อพวกเขากลับลงมาถึงตีนภูฯ ก็แวะไปไหว้ศาลเจ้าพ่อภูกระดึง ปรากฎว่าในศาล มีไม้เท้าสีแดงอยู่ ลักษณะไม้เท้า เหมือนกับไม้ที่พวกเขาใช้เมื่ออยู่บนภูฯ พวกเขาจึงคิดว่าเจ้าพ่อฯ ได้ไปช่วยพวกเขา

(รายการตีสิบไปถ่ายภาพมาเปรียบเทียบกับภาพในโทรศัพท์มือถือมีลักษณะคล้ายกันอย่างมาก) พอกลับมาถึงบ้านแม่ ของบอยออกมาเปิดประตูหน้าบ้านให้และทักว่าเอาใครมาด้วยอยู่หน้าบ้าน ตัวใหญ่ตาแดงเชียว

บอยไม่ได้เล่าให้แม่ฟัง เพราะกลัวโดนดุ แต่ได้เล่าให้พี่สาวฟัง แล้วพี่สาวก็เล่าให้แม่ฟังในที่สุดหลังจากได้ยินแม่เล่าถึงความฝันช่วงที่บอยไปเที่ยวภูกระดึง ว่าได้ฝันเห็นต้นไม้ใหญ่แผ่ กิ่งมาเหมือนมือกำลังไล่ต้อนเด็กตัวเล็กๆอยู่ แม่บอยก็ร้องบอกว่าอย่าไปทำเลยสงสารเด็กมันในฝันก็ไม่ได้เห็นเป็นบอยนะเห็นเป็นเด็กตัวเล็กๆเท่านั้นเอง

ในขณะที่แม่บอยนั่งคุยกับพี่สาวอยู่เกิดได้ยินเสียงแว่วขึ้นมาว่าให้พวกมันไปขอขมากู

แล้วพวกเขาก็เล่าให้แม่ฟัง จึงได้พาบอยไปทำสังฆทาน และอาบน้ำมนต์

PS.   หวังว่าวันนี้จะเป็นวันดีของคุณ
0
PiLii 12 มี.ค. 52 เวลา 18:00 น. 18

โหย.. อ่านไป เหลียวมองข้างหลังไป ยิ่งค่ำๆ อยู่ด้วยอ่ะ 
อยู่คนเดียวด้วย แค่พัดลมพัดใส่กระดาษเสียงดังผั่บขึ้นมา
เรานี่สะดุ้งเฮือกเลย สยองชะมัด

0
โจ๊ก 12 มี.ค. 52 เวลา 18:45 น. 19

เราเคยไปภูกระดึงนะ&nbsp ไปผาหล่มสักด้วย

เหอ ๆ ๆ

แล้วก็เดินทางกลับตอนกลางคืนด้วย...เหตุการณ์คล้ายกันเลย
แล้วจะบอกมันมืดมากตอนที่กลับ&nbsp เดินเลียบผาอ่ะ&nbsp 
ไม่มีไฟเลย&nbsp มีแค่ไฟจากดวงจันทร์

น่ากลัวมากเลย&nbsp ถ้าคิดภาพตามตอนที่ตัวเองเดิน

เหอๆ ๆๆ

0
Ml 'z ❀Namokio ¨ 12 มี.ค. 52 เวลา 19:57 น. 20

เราเคยไปเข้าถ้ำอยู่ภูผาม่านอ้ะ

มีเด็กที่อยู่กลุ่มเดินทางเดียวกัน สูบบุหรี่ในถ้ำด้วย

แล้วกลุ่มพวกเรารั้งท้ายสุดเลย

วันนั้นมีคนนำทางแค่ 2 คน อยู่ข้างหน้ากันหมด

กลุ่มพวกเราหลงถ้ำเลยอ้ะ เดินไปไม่เจอทางออก มันจะเป็นห้องๆหนึ่ง

ตอนแรกนึกว่าเดินลงไป เพราะเห็นรอยเท้าเดินลงไปเต็มไปหมด

ที่จริงมันต้องปีนขึ้นข้างบน

น่ากลัวมากๆๆๆ  ถ้าไม่มีคนเข้ามาตาม  พวกเราคงติดอยู่ในนั้นอีกนาน

ออกทางเก่าก็น่ากลัว ไกลด้วย มืด  ในถ้ำน่ากลัวสุดๆ


PS.  ~ Aisuru Aishiteru ~
0