สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ....เจอกับ พี่เป้ และคอลัมน์เล่าประสบการณ์เด็กนอกทุกๆ วันพฤหัสเช่นเคย ^^ หลายๆ ครั้งที่นำเรื่องราวนักเรียนแลกเปลี่ยนจากดินแดนอันไกลโพ้นนนนนนนที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักมาฝาก เช่น เม็กซิโก ปารากวัย เปรู และวันนี้ก็เช่นเคยค่ะ ประเทศที่เป็นต้นเรื่องในสัปดาห์นี้ มาจากทวีปอเมริกาเหนือที่หลายๆ คนแทบไม่รู้จัก นั่นก็คือ "โดมินิกัน" ค่ะ อืมมม... พี่เป้ เองก็เคยได้ยินแต่ชื่อแต่ไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ ชักอยากทำความรู้จักแล้วล่ะสิ เพราะฉะนั้นคงต้องอาศัยประสบการณ์เด็กนอกของสัปดาห์นี้เป็นตัวช่วย !! หากพูดถึงชื่อประเทศ "โดมินิกัน" แล้ว รับรองว่ามีคนไทยจำนวนไม่น้อยเลยล่ะที่ไม่รู้จัก ก่อนมาแลกเปลี่ยนที่นี่ "แอ๊ม" ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ไม่รู้ว่ามีประเทศชื่อนี้อยู่บนโลกด้วย? แต่พอได้รับเอกสารจาก AFS ที่ส่งมาถึงบ้านจึงลองหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศนี้ดู พบว่าน่าสนใจมากๆ เลยค่ะ ประเทศนี้เป็นประเทศหมู่เกาะเล็กๆ แถบอเมริกาเหนือ หรือบางคนจะเรียกละตินอเมริกา มีชายแดนติดกับประเทศเฮติ (แต่ไม่มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงเท่าเฮตินะคะ) ใช้ภาษาสเปนและใช้หน่วยเงินเป็นเปโซ ซึ่งค่าเงินใกล้เคียงกับเงินบาทมาก ตกประมาณ 1 เปโซ = 0.75 บาทไทยค่ะ ประเทศโดมินิกันมีชื่อเสียงด้านทะเล เพราะเป็นประเทศเกาะ ประเทศนี้มีทะเลที่สวยงามและมียอดเขาที่สูงที่สุดในแถบแคริบเบียนชื่อว่า Pico Duarte ซึ่งแอ๊มกับเพื่อนๆ ชาว AFS หลายคนได้ไปพิชิตมาแล้วเนื่องจากเป็น Camp ของ AFS โดยให้เลือกได้ว่าจะขี่ลาหรือเดิน แอ๊มกับเพื่อนชาวไทยที่มาด้วยกันเลือกเดินค่ะ สุดท้ายก็โดนพวกลาที่ตามมาทีหลังหอบไปเพราะเดินไม่ไหว ฮ่าๆ มันเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ บนยอดเขาวิวสวยอากาศเย็นสบาย มีแสงแดดอ่อนๆ ขากลับฟิตจัดเดิน 24 กิโลกลับที่พัก สุดท้ายกลับบ้านมา ไปโรงเรียนไม่ได้เลยค่ะ เดินไม่ได้ ปวดขา (ฮา) ย้อนเวลากลับไป ครั้งแรกที่เดินทางมาถึงประเทศโดมินิกัน เจ้าหน้าที่ AFS ที่นี่พูดภาษาอังกฤษใส่ เขาเข้าใจว่าเราพูดสเปนกันได้นิดเดียว (นิดเดียวจริงๆ) เลยใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกันในระยะแรก แอ๊มอยู่เมืองชื่อ SANTIAGO ไม่ใช่เมืองหลวง แต่เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในประเทศ ครั้งแรกที่เห็นหน้าโฮสท์ซึ่งมารอรับที่ปั๊มน้ำมันใกล้บ้าน ยอมรับว่ารู้สึกประหม่าสุดๆ เพราะใช้เวลานั่งเครื่องมาสองวันโดยที่น้ำไม่ได้อาบ แล้วมาถึงเมืองเวลาเที่ยงคืน ซึ่งข้าวก็ยังไม่ได้กิน ตอนนั้นโฮสท์พูดภาษาอังกฤษใส่ เราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกคะ (มึนอยู่) วันรุ่งขึ้นถึงได้เริ่มออกไปชมรอบๆ เมืองบ้าง ไปซื้อข้าวของที่จำเป็นเข้าบ้าน แล้วไปเที่ยวทะเลกับโฮสท์พี่สาวและพี่ชาย แอ๊มโชคดีด้วยแหละที่ได้โฮสท์พูดอังกฤษได้ทั้งบ้าน เพราะเพื่อนบางคนต้องใช้ภาษามือเอาเวลาสื่อสาร คนที่นี่หากพูดภาษาอังกฤษได้ก็จะพูดน้ำไหลไฟดับ สำเนียงมาเต็มเหมือนคนอเมริกา แต่ถ้าพูดไม่ได้ก็ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียวค่ะ พอโรงเรียนเปิดโฮสท์ก็พาไปปฐมนิเทศวันแรก เดินเข้าไปในโรงเรียนมีแต่คนมองหน้าเพราะไม่ค่อยมีคนเอเชียอยู่ที่นี่ หน้าอย่างเราๆ ที่นี่เรียก China (อ่านว่าชิน่า ภาษาสเปนแปลว่าเด็กจีน(เพศหญิง)) เดินไปทางไหนเรียกแต่ชิน่าไม่ก็ japonesa (ญี่ปุ่น) พอบอกไปว่าเป็น Tailandesa (คนไทย) ก็คิดว่าเราเป็นไต้หวัน -*- และหน้าอย่างพวกเราถ้ามาที่นี่จะกลายเป็นคนดัง ขนาดเขาถ่ายละครกันอยู่ เราเดินผ่านแบบแอบๆ เค้ายังหันมองเรากันทั้งคณะ เด่นซะยิ่งกว่านักแสดง (อันนี้เพื่อนแอ๊มเจอมา) คนที่นี่อัธยาศัยดี ไนซ์มากๆ บางทีไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ แต่เขาก็เข้ามาทักว่า Hola, Como estas? (Hi, How are you?) การทักทายที่นี่น่ารักค่ะ เป็นการเอาแก้มชนแก้มสำหรับผู้หญิงกับผู้หญิงหรือผู้หญิงกับผู้ชาย แต่จะมีผู้ชายบางประเภทที่เอาปากชนแก้มเลย (เรียกง่ายๆ ว่าหอมแก้ม) ซึ่งไม่ผิดปกติของคนที่นี่ แต่อาจจะผิดปกตินิดนึงสำหรับคนไทย 555 เราต้องบอกเขาค่ะ คนที่นี่เข้าใจง่าย บอกว่าไม่ก็คือไม่ ไม่เซ้าซี้แต่อย่างใด เรื่องการเรียนการสอน โรงเรียนเริ่มตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่ง เข้าแถวประมาณสิบนาทีแล้วแยกย้ายเข้าห้องเรียน เรียนทั้งหมดเจ็ดคาบเหมือนที่ไทยแต่เลิกเรียนบ่ายโมงครึ่ง เขาแบ่งเวลาเรียนดีมากๆ ต้องยอมรับ ส่วนเนื้อหาแอ๊มว่าง่ายกว่าเมืองไทย อย่างแอ๊มอยู่เกรด11 (ม.5) แต่เรียนเนื้อหาของม.3-ม.4 วิชาที่ง่ายมากๆ คือเลข กลายเป็นเทพเลขประจำห้องไปเลย เพื่อนๆ อึ้งกันใหญ่ทั้งๆ ที่อยู่ไทยไม่ได้เรื่องเลยกับวิชานี้ ที่ง่ายรองลงมาคือภาษาอังกฤษ ที่นี่เขาจะใช้แกรมม่าแปลกๆ หน่อยเพราะเรียนอังกฤษแบบอเมริกา (ประเทศใกล้อเมริกา)แต่ไม่ยากเท่าไหร่ เด็กไทยชิลๆ วิชาที่ยากที่สุดสำหรับแอ๊มคือภาษาฝรั่งเศส ที่นี่บังคับเรียนเปรียบเหมือนภาษาที่สอง แอ๊มเรียนวิทย์-คณิตมาซะด้วย ต้องมาเรียนภาษาฝรั่งเศสเวอร์ชั่นสเปนนี่ทำเอามึนไปหลายวัน สำหรับอาหารการกิน ที่นี่ทานข้าวเป็นอาหารหลักเหมือนเมืองไทย แต่จะมีซอสถั่วที่เรียกว่าอาบิชูเอร่าราดข้าว และที่ขาดไม่ได้คือ Platano (คล้ายๆ กล้วย) เขาจะนำมาทอด อบ หรือวิธีการอื่นๆ อีกมากมาย มีให้ทานทุกมื้อควบคู่ไปกับอะโวคาโด้ ส่วนอาหารที่แอ๊มชอบคือ Mofongo ค่ะ มันคล้ายๆ หมูกรอบบ้านเราผสมกับมันฝรั่งเป็นชิ้นๆ มีน้ำซอสราดอร่อยมากๆ เรื่องที่โดดเด่นและต่างจากที่ไทยอย่างเห็นได้ชัดคือชีวิตไนท์ไลฟ์หรือชีวิตตอนกลางคืน คนที่นี่ชอบเที่ยวกลางคืน ชอบออกไปร่อนยามราตรีตามผับบาร์หรือดิสโก้เธคมากๆๆ แอ๊มเคยไปกับพี่สาว(เป็นงานวันเกิดพี่) สนุกมากๆ เพื่อนๆของพี่สาวก็ตื่นเต้นกันใหญ่ว่าพี่เรามีน้องเป็นคนไทยด้วย เจ๋งไปเลยอะไรแบบนี้ (ได้ยินเขาอุทาน) ที่นี่เปิดเพลงดังมากไม่เว้นแม้แต่ขณะขับรถอยู่ อย่างโฮสท์พี่ชายเปิดเพลงฟังทีนี่ หัวใจแอ๊มเต้นตามจังหวะกลองเลย ดังมากๆ ส่วนใหญ่เป็นเพลงอเมริกามิกซ์ๆ กัน บางทีเป็นเพลง Regeton กับ Bachata ซึ่งเป็นแนวเพลงของที่นี่ เหมือนเพลงใต้ดินหรือเพลงแนวๆ วง Budda bless แต่เร็วกว่า เต้นมันส์ดีค่ะ สำหรับกฎการเข้าผับบาร์เหมือนที่ไทยคือต้องอายุสิบแปดปีขึ้นไปและมีการตรวจบัตรประชาชน แอ๊มอายุสิบเจ็ดแต่เข้าได้ครั้งนั้นเพราะไปกับพี่สาวและเขาปิดบาร์เลี้ยง เป็น Private Party สุดท้าย ขอเม้าท์เรื่องเปิ่นๆ ฮาๆ เรื่องแรกเกิดขึ้นตอนทำข้อสอบภาษาสเปนครั้งแรก ตอนนั้นอ่านอะไรไม่ออกเลย เห็นมีข้อความอะไรไม่รู้ตั้งแต่ A-F คิดว่าเป็นชอยส์ให้เลือกเลยเอามาเขียนในช่องว่าง ปรากฏว่ามันคือกติกาการสอบค่ะ !! ตอนเขาแจกกระดาษคืน เพื่อนๆ มาเห็นนี่หัวเราะกันใหญ่ ..... เรื่องที่สองคืออาจารย์เขาพูดอยู่ดีๆ ก็หยุดไป แอ๊มไม่แน่ใจว่าเขาพูดจบหรือยังเพราะฟังไม่ออก แต่เพื่อนคนนึงเขาปรบมือแล้วหันมาถามคนอื่นๆ ว่า ไม่ปรบมือกันเหรอ? แอ๊มเลยปรบมือขึ้นมา ปรากฏว่าเพื่อนมันแกล้งค่ะ 555 อาจารย์หันมามองหน้าเลยเพราะยังไม่พูดไม่จบแต่แอ๊มปรบมือนำไปแล้ว ส่วนเพื่อนๆ นี่ฮากันกระจาย แอ๊มก็ทำเนียนฮาไปกับเขาด้วย ส่วนเรื่องสุดท้ายคือไปซื้อของในเมือง จะหาตู้ ATM กดเงินเพิ่มก็ไม่รู้ทาง จึงถามคนแถวๆ นั้นด้วยภาษาสเปน เขาตอบกลับมาฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่อยู่ดีๆ ก็มีผู้ชายคนนึงเดินเข้ามาถามว่า Do you speak English? (ประเด็นสำคัญคือเขาหล่อมาก ฮ่าๆ)แล้วเดินไปส่งแอ๊มกับเพื่อนถึงที่กดเงิน พอถึงหน้าตู้ เขาให้เบอร์โทรมาด้วย บอกว่าถ้าหลงทางให้โทรหา เขาจะมาช่วย ตอนนั้นคิดถึงพระเอกขี่ม้าขาวในนิยายสุดๆ เลยค่ะ 555 อ่านจบแล้ว มีใครรู้สึกเหมือนกันมั้ยคะว่า อยากเห็นหน้าหนุ่มรูปหล่อผู้ใจดีมาช่วยบอกทางคนนั้น ฮ่าๆๆๆ แถมยังแจกเบอร์อีก อู้ยยย 5555 ที่สำคัญ คนประเทศนี้เค้าน่ารักมากๆๆ เลยค่ะ ขนา่ดไม่ค่อยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศนี้บ่อยๆ แต่อ่านแบบนี้ชักเริ่มจะหลงรักซะแล้ว ^^ ส่วนใครมีประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ อยากแบ่งปันบ้าง อย่ารอช้าหรือมัวอาย ส่งมาด่วนที่ pay@dek-d.com รออยู่นะๆๆ
และในปี 2012 นี่ขอบอกเลยว่าพิเศษมากๆ ค่ะ จากรูปแบบเดิมของคอลัมน์เล่าประสบการณ์เด็กนอกที่จะเป็น "นักเรียนไทยที่ไปแลกเปลี่ยนในเมืองนอก" มาเขียนเล่าประสบการณ์ แต่สำหรับปีนี้ ในบางตอนจะเป็น "นักเรียนต่างชาติที่มาแลกเปลี่ยนในเมืองไทย" (หรือไปประเทศอื่นๆ) มาเขียนเล่าประสบการณ์ให้ฟัง ใครอยากรู้ว่าจะเป็นยังไง เค้าคิดยังไงกับบ้านเรา รออ่านกันได้ทุกวันพฤหัสเช่นเคย
|
แสดงความคิดเห็น
ถูกเลือกโดยทีมงาน
ยอดถูกใจสูงสุด
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการที่จะลบความเห็นนี้ใช่หรือไม่ ?
27 ความคิดเห็น
แม่ ! หนูจะไปประเทศนี้ !! 5 555
อะโห พี่ฟิตมากอะ เดิน 24 กิโล 55 5 สุดยอดค่ะ :)
ปล. อยากอ่านนักเรียนต่างชาติที่มาแลกเปลี่ยนเมืองไทยไม่ไหวแล้วค่าพี่เป้ 555
อัธยาศัยดีมากๆเลย
I wish i've once been there.
Me gusta Espanol
ชอบตรงพระเอกขี่ม้าขาวคะ >< น่าร้ากที่สู้ดดดดดดด