1. กว่าจะตื่นนอนได้ เลื่อนนาฬิกาปลุกไปไม่ต่ำกว่า 2-3 ครั้ง
2. แค่นึกถึงว่าพรุ่งนี้ต้องไปเรียน ก็ขี้เกียจแล้ว (นี่ง่ะ!!)
3. ทำอะไรได้ไม่สม่ำเสมอ เช่น ซื้อเครื่องออกกำลังกายมาใหม่ ก็เล่นได้ 2 อาทิตย์แรกแล้วไม่แตะอีกเลย ซื้อครีมมาใหม่ วาดฝันไว้ว่าทาทุกวันแล้วต้องสวยขึ้นเหมือนฟ้าประทานมา ปรากฎว่าทาได้ 3 วันก็เลิกทาซะแล้ว
ถ้ามีครบทั้ง 3 ข้อ ยินดีต้อนรับเข้าสู่กรุ๊ปคนขี้เกียจค่ะ ความขี้เกียจอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าขี้เกียจจนติดเป็นนิสัย ก็ส่งผลเสียตามมาได้มากมายเหมือนกัน เช่น ขี้เกียจอ่านหนังสือ ก็ทำให้สอบไม่ผ่าน, ขี้เกียจทำรายงาน ก็ทำให้รายงานเสร็จไม่ทันตามเวลา, ขี้เกียจดูแลตัวเอง เราเองก็จะดูแย่ลงในสายตาคนอื่น เป็นต้น วันนี้พี่มิ้นท์เลยขนวิธีแก้อาการขี้เกียจมาฝากน้องๆ ถึง 10 วิธีเลยทีเดียว ไปดูกันเถอะว่ามีเทคนิคอะไรบ้าง
มาข้อแรก น้องๆ ถึงกับบอกแม่ให้เตรียมไข่ต้ม พวงมาลัย ม้าลายเลยทีเดียว จะบอกว่าไม่ใช่พึ่งพาทางจิตใจแบบนั้นค่ะ ในที่นี้ "ที่พึ่ง" ของน้องๆ ก็คือ "พ่อแม่" ที่เปรียบเสมือนพระในบ้านของเรานั่นเอง เวลาเรามีปัญหาด้านการเรียนหรืออื่นๆ เช่น อาจารย์สั่งงานเยอะมาก การบ้านยากมาก ทำไม่ได้ หรือ ทำงานไม่ทันเลย จนเรารู้สึกเครียด ท้อแท้ ไม่มีกำลังใจทำงานอื่นๆ จนพาลกลายเป็นขี้เกียจ ก็เอาความไม่สบายใจเหล่านั้นมาปรึกษาพ่อแม่ของเรานี่แหละค่ะ ท่านพร้อมที่จะเป็นที่จะรับฟังเราอยู่แล้ว ดังนั้นเชื่อเถอะว่า ถ้าเราเครียด หาคนรับฟังเราแล้วจะสบายใจขึ้นเอง และยิ่งถ้าเราอารมณ์ดี จิตใจดีแล้วก็พร้อมที่จะทำสิ่งต่างๆ อีกมากมาย เหมือนได้เกิดใหม่ 5555
ปกติ เราเคยเห็นแต่ดีดนิ้วเวลาปิ๊งไอเดียใหม่ๆ แต่ถ้าน้องๆ สังเกตคนอื่น (หรือแม้แต่ตัวเอง) เวลาเราใช้ความคิด จะเผลอดีดนิ้วโดยไม่ทันตั้งตัวค่ะ ดังนั้นเวลาอยู่ว่างๆ อยากทำงาน แต่ไม่มีอารมณ์ทำงาน ลองดีดนิ้วสัก 1-2 ครั้ง จะช่วยให้เราฮึดขึ้นได้ค่ะ การดีดนิ้วไม่ได้ทำให้น้องๆ ขยันขึ้นโดยตรง แต่เป็นการกระตุ้นให้เราลงมือทำนั่นเอง ไม่เชื่อลองดู
ความเหนื่อย เป็นสาเหตุให้เราขี้เกียจทำทุกอย่างบนโลก แม้กระทั่งกิน!! แล้วนับประสาอะไรกับทำการบ้าน อ่านหนังสือ ความเหนื่อยเมื่อยล้า ทำให้น้องๆ ง่วงนอน อยากพักผ่อนทั้งวัน ทำอะไรก็ไม่มีสมาธิ ฉะนั้นกิจวัตรประจำวันอย่างการนอนเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียวค่ะ ลองนอนให้เต็มอิ่ม อิ่มในที่นี้คือ นอนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง และหลับให้สนิทค่ะ ตื่นเช้ามาสดชื่นมากๆ เรียนก็มีสมาธิ ทำการบ้านลื่นปรื้ดๆ เลยล่ะ
อยากขยัน บางทีมันก็ต้องฝืนความขี้เกียจค่ะ วิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่แก้ปัญหาความขี้เกียจได้ตรงจุดที่สุด นั่นก็คือ คิดว่าจะทำอะไร ก็ลงมือทำเดี๋ยวนั้น จะอ่านหนังสือหรอ.. ก็เดินไปหยิบหนังสือ จะทอดไข่เจียว..ก็ไปเตรียมกระทะ ตอกไข่ ใส่น้ำปลาแล้วทอดซะ ทุกอย่างจะสำเร็จเองถ้าเราลงมือทำ คำพูดติดปาก "เดี๋ยว" "เดี๋ยวก่อน" "อีกแป๊บนึง" เอาออกไปจากสมองเลยค่ะ ชิ่วๆ
แต่ละห้องเรียนมีคนหลายประเภท ขี้เกียจก็มี ขยันก็มี ขี้เกียจมากๆ ก็มี ขยันมากๆ ก็มี อย่าไปมองคนขี้เกียจแล้วบอกว่า "เห็นมั้ยเค้ายังไม่ทำ แล้วเราจะทำตามทำไป" ใครมองคนขี้เกียจแล้วคิดแบบนี้ ชีวิตล่มจมแน่ๆ ค่ะ ลองเปลี่ยนมามองเพื่อนที่ขยันบ้าง ขยันมากๆ ยิ่งดี แล้วทำตาม ซึมซับวิถีชีวิตของคนเหล่านั้นไว้บ้าง เป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเองทำตามแบบอย่างค่ะ
คนที่ขี้เกียจแล้วได้ดีก็มีค่ะ แต่คนขยันแล้วได้ดีมีเยอะมากๆ แล้วพี่มิ้นท์ก็อยากให้น้องเป็นแบบหลัง ดังนั้นลองสังเกตดูว่าคนขยันเขาเรียนยังไง ทำอะไรบ้าง แล้วนำมาปรับใช้ในชีวิตตัวเอง เชื่อว่าไม่นาน น้องๆ จะขยันขึ้นค่ะ
เรียนเฉยๆ อาจจะน่าเบื่อ จนเป็นที่มาของความขี้เกียจ ดังนั้นลองหาอะไรสนุกๆ ทำ กับเพื่อนที่โรงเรียนดูบ้าง เช่น เล่นกีฬากับเพื่อนๆ ดูเพื่อนซ้อมวงโยธวาทิต หัดเล่นดนตรี ช่วยครูทำงาน ฯลฯ ทำกิจกรรมให้ไปเติมเต็มการเรียน ชีวิตจะได้ไม่จำเจไปกับอะไรบางอย่างมากเกินไป ก็จะรู้สึกไม่เครียด จะเรียนด้วยความผ่อนคลายมากขึ้น แล้วอารมณ์ขยันมันจะมาเอง
7. ตั้งสติ ก่อนสตาร์ท
เกี่ยวกับความขยันยังไง? เกี่ยวแน่นอนค่ะ ความผิดพลาดบ่อยๆ จะทำให้เราไม่อยากทำอะไร หรือกลายเป็นคนขี้เกียจไปเลย เพราะกลัวทำแล้วผิดอีก เช่น ทำการบ้านเองแล้วผิดทุกครั้ง ครั้งต่อไปก็มาคิดว่า "ไม่ทำละ ทำไปเดี๋ยวก็ผิดอีก" กลายเป็นว่าแทนที่จะเพิ่มความพยายามเข้าไปมากขึ้นก็กลายเป็นเลี่ยงการบ้านไม่ทำซะเลย ดังนั้นถ้าไม่อยากเฟลเพราะทำผิดบ่อยๆ ก็ให้เพิ่มความรอบคอบให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำการบ้าน รายงาน หรือทำอะไรก็ตามในชีวิตประจำวัน เมื่อเราทำแล้วถูกเสมอ ก็จะมีกำลังใจและอยากทำสิ่งต่างๆ มากขึ้นนั่นเอง
ถ้าเราไม่เคยมองเห็นประโยชน์ของสิ่งที่ทำเราก็ไม่มีวันได้แรงบันดาลใจกลับคืนมา ยิ่งเป็นความขยันด้วยแล้ว ต้องฝืนนิสัยตัวเองมากๆๆๆๆๆ เทคนิคข้อนี้หลายคนอาจจะเคยทำมาก่อนแล้วค่ะ แต่เป็นการเขียนเป้าหมายของตัวเองแปะฝาบ้านหรือจดคำศัพท์แปะฝาบ้าน พี่มิ้นท์ก็เลยเอามาประยุกต์นิดนึง คือ เปลี่ยนมาเขียนข้อดีของการขยันแปะฝาบ้าน 10 ข้อกำลังดี เช่น ขยันแล้วแม่ภูมิใจ, ขยันแล้วสอบติดคณะที่อยากเรียน, ขยันแล้วแม่ซื้อโทรศัพท์ให้ใหม่, ขยันแล้วแม่เอาไปคุยโวกับญาติได้ เป็นต้น
ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตแข่งกับเวลาอยู่นะคะ น้องๆ คงเคยได้ยินว่า "คนที่คิดและเริ่มลงมือทำก่อน จะได้เปรียบ" เป็นความจริงค่ะ สองทุ่มวันนี้เรายังดูทีวี แต่คนอื่นอีกนับพันกำลังนั่งอ่านหนังสือ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าวันสอบใครจะสบายกว่ากัน ซึ่งเทคนิคนึงที่จะทำให้เรามีเวลามากกว่าคนอื่น คือ การตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้นกว่าเวลาจริง กำลังดีคือประมาณ 5-10 นาทีค่ะ จะทำให้เราใช้เวลาเร็วกว่าคนอื่น และกระตุ้นให้เราทำอะไรเร็วขึ้น ขยันขึ้น ทำให้เรามีเวลาในชีวิตเพิ่มขึ้นด้วย เช่น จากเดิมออกจากบ้าน 7 โมง เป็นช่วงรถติดมากๆๆ แต่ถ้าตั้งเวลาเร็วขึ้น 10 นาที เท่ากับว่าเราออกจากบ้านจริง 6.50 น. รถอาจจะยังไม่ติด ถึงโรงเรียนเร็วมีเวลาพักผ่อนหรือตรวจทานการบ้านอีกด้วย
แต่วิธีนี้มีข้อห้ามนิดนึงค่ะ ตั้งเวลาล่วงหน้าไปแล้ว ก็อย่าไปจำว่าเราตั้งเวลาล่วงหน้านะ ไม่งั้นวิธีนี้จะไร้ประโยชน์เลยจ้า
กฎ 21 วัน คือ การทำสิ่งใหสิ่งหนึ่งติดกัน 21 วัน เราจะทำสิ่งนั้นจนเป็นนิสัยไปเองโดยอัตโนมัติ ข้อนี้เป็นกฎจิตวิทยาที่มีการทดลองกันมาแล้วจริงๆ ว่า 21 วันเป็นช่วงที่เราค่อยๆ เรียนรู้ และปรับให้กลายเป็นความเคยชิน ดังนั้น น้องๆ ลองอ่านหนังสือก่อนนอน 20 นาทีให้เป็นนิสัย จัดตารางสอนให้เป็นนิสัย หรือทำอะไรก็ตาม ให้ติดกัน 21 วัน เราจะกลายเป็นคนใหม่ทันทีค่ะ
ใครก็ตามที่เข้ามาอ่านบทความนี้แล้ว แสดงว่าอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เลิกขี้เกียจ ฉะนั้นอ่านแล้วก็อย่าขี้เกียจทำตามล่ะ ไม่งั้นก็ไม่มีวันหายขี้เกียจแน่ๆ และถ้าน้องๆ มีเทคนิคเพิ่มความขยันวิธีอื่นๆ ก็อย่าขี้เกียจคอมเม้นนะคะ มาแชร์ไอเดียกันดีกว่าจ้า
92 ความคิดเห็น
จ่ะลองพยายามทำดูครับ
ชอบข้อสุดท้ายมากๆค่ะ ท่าจะทำได้ดี
กฏ 21 วัน
จะลองดูนะครับ :)
เจ๋งงงงง
ผมก็นึกว่าผมเป็นอยู่คนเดียว. 5555
สาระดีเยี่ยม
4. ลงมือทำทันทีที่นึกออก...นอนไปแล้ว เพิ่งจะมานึกออก - - #กรรม
จะพยายามน่ะค่าาาา
วันนี้ผมยังขาดเรียน
อยู่บ้านเลยครับ ขี้เกียจไปโรเรียน
โอเคจะขยันล้ะ !
คือเราเป็นคนขี้เกียจมากกกกกกกกกกกก
คำพูดสุดฮอตของเราคือ เดี๋ยวก่อน อีกแปป ห้านาที สิบนาที ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์นึงนะคะ
วันศุกร์ครูสั่งการบ้านเยอะมาก ซึ่งต่อจากวันศุกร์คือเสาร์อาทิตย์ถูกมั้ย เราเลยแบบ โห้ยยย อีกตั้งสองวัน มีเวลาตั้งเยอะ จนกระทั่งวันเสาร์ เราก็ไม่ทำไร ปัดไปตอนเย็น พอถึงตอนเย็น เราก็นั่งเล่นคอม เล่นไปเล่นมา เพลินไง เล่นยันเที่ยงคืน... ก็เลยปัดเป็นอาทิตย์! พอถึงวันอาทิตย์เราตื่นประมาณเที่ยงกว่า ตื่นมา ติดนิสัยไงคะ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น ยาววว ยันบ่ายสองแล้วไปอาบน้ำ =____= พออาบน้ำเสร็จ ไปหาไรกินอีก กินอยู่สักพักจากนั้นดูทีวี ดูละครไปเรื่อย พอละครจบเราก็นั่งตอบแชท ไปๆมาๆ เห้ย สี่ทุ่ม! งานยังไม่ทำ เราก็แบบร้อนใจแล้ว ตารางเรียนยังไม่จัด อะไรก็ยังไม่ทำ กำหนดส่งพรุ่งนี้แล้วด้วย สรุป! กว่าจะได้ปั่นงานก็เที่ยงคืนของวันอาทิตย์!!!
ดูสิคะ นี่คือพฤติกรรมของเรา การผัดวันประกันพรุ่งมันไม่มีไรดีเลย เราพยายามทำตัวให้ขยันหลายรอบแล้ว แต่คือเรามีสิ่งยั่วยุเยอะไง... ห้านาทีก็หยิบโทรศัพท์มาดูแล้ว เช็คเฟส เช็คทวิต หรือไม่ตอนเรียนอยู่ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเป็นระยะๆ เพื่อดูเวลาว่าอีกกี่นาทีหมดคาบเรียน... T^T
ขี้เกียจมากกก ขี้เกียจขั้นโคม่า แต่เราว่าวิธี 21 วันนี่น่าสนนะ จะลองทำดู แต่อีโรคติดโทรศัพท์นี่แก้ไม่ได้แล้วมั้งง 55555555 ติดเหลือเกิน
สู้ๆ!!
ที่บ้านก็ปรับอยู่แล้วเร็วกว่า 10 นาทีแต่ดันจำได้ว่าปรับเวลา
ข้อ 4 นี่เป็นสันดานไปแล้วอ่ะ ถถถถถถถถถถ
กฎ 21 วันน่าสนร
กฏ21วัน *0* น่าลองๆ ขอไปเริ่มทำเลยนะค่ะ