จบไปเรียบร้อยแล้วกับความสัมพันธ์ที่ค้างคาระหว่าง “เต๋” และ “โอ้เอ๋ว” ใน "แปลรักฉันด้วยใจเธอ” ซีรีส์น้ำดีจากค่าย นาดาวบางกอก ที่เรียกว่าเป็นกระแสมาตั้งแต่ EP.1 เริ่มออกอากาศ

ส่วนตัวแล้วพี่โอ๊ตมองว่าซีรีส์เรื่องนี้ค่อนข้างสะท้อนความเป็นจริงในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน ครอบครัว และแน่นอน จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ก็ต้องโฟกัสไปที่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนและคนรักนั่นเองค่ะ ต้องยอมรับเลยว่าการดำเนินเรื่องทั้ง 5 ตอน ทำออกมาได้ดีจริงๆ ทำให้เราได้เห็นมุมมองในความสัมพันธ์หลายแบบ พี่โอ๊ตเลยลองสรุปออกมาว่าเราได้เรียนรู้อะไรบ้างจากเรื่องนี้ค่ะ

*แอบเตือนว่าในเนื้อหามีการสปอยล์นะคะ ถ้าใครยังไม่เคยดูอยากให้ลองไปดูก่อนนะ

ความสัมพันธ์ที่ไม่เปิดใจคุยกัน

จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้จะบอกว่ามาจากการที่ไม่เปิดใจคุยกันก็ไม่น่าผิดค่ะ เต๋กับโอ้เอ๋วเคยเป็นเพื่อนสนิทกันมากๆ ในวัยเด็ก แต่พอมีเรื่องผิดใจกัน ต่างคนก็ต่างห่างหายกันไป ไม่ติดต่อกันอีกเลย แม้จะได้กลับมาเจอและเป็นเพื่อนกันอีกครั้งในตอนที่โตขึ้น แต่ทั้งคู่ก็ต้องผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้เสียความรู้สึกไปหลายต่อหลายครั้ง แค่เพราะว่าทั้งคู่ "ไม่คุยกัน"

จนทั้งสองคนตัดสินใจเปิดใจคุยกับอีกฝ่าย ถึงได้คงความสัมพันธ์ต่อไปได้ จุดนี้เองก็ถือเป็นการปลดล็อคความสัมพันธ์ด้วยการที่ต่างฝ่ายต่างยอมรับผิดและเต็มใจขอโทษซึ่งกันและกัน

ในทุกๆ ความสัมพันธ์ ไม่ว่าเพื่อน คนรัก หรือแม้แต่คนในครอบครัว การเปิดใจคุยกันคือตัวปลดล็อคที่ดีที่สุด เหตุผลง่ายๆ ก็คือเราไม่สามารถเดาใจอีกฝ่ายได้ว่าเขาต้องการอะไร คิดอะไรอยู่ และที่สำคัญเลย เราไม่ควรตัดสินใจแทนใคร โดยเฉพาะเรื่องของความรู้สึก ความไม่เข้าใจกันเพียงนิดเดียว มันทำให้เราต้องเสียโอกาส เสียความรู้สึก และเสียเวลาที่จะมีช่วงเวลาดีๆ ร่วมกัน ดังนั้นพี่โอ๊ตมองว่า ถ้าเราอยากให้ความสัมพันธ์เป็นไปด้วยความเข้าใจ ควรเปิดใจคุยกันในทุกๆ เรื่องจะดีกว่าค่ะ

ยอมรับตัวเอง

ถึงแม้ว่าซีรีส์เรื่องนี้จะพูดถึงหลากหลายความสัมพันธ์ ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง แต่ความสัมพันธ์แบบ LGBTQ+ ก็ถือว่าเป็นประเด็นหลักของเรื่องค่ะ

อย่างเรื่องนี้ ตัวละครที่สังเกตได้ชัดเจนที่สุดคือ โอ้เอ๋ว ที่ยอมรับว่าตัวเองคือ LGBTQ+ มาตั้งแต่แรก และ บาส เป็นตัวละครที่สะท้อนถึงการเปิดใจและไม่ต่อต้านในสิ่งที่ตัวเองชอบ

แต่สำหรับ เต๋ ถือว่าเป็นตัวละครที่สะท้อนความสับสนทางจิตใจอย่างมาก เพราะด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างที่ทำให้เต๋ไม่สามารถแสดงออกอย่างชัดเจนได้ว่าตัวเองชอบโอ้เอ๋ว ด้วยความคิดที่คิดว่าผู้ชายต้องชอบผู้หญิงเท่านั้น และกลัวแม่ทำใจไม่ได้ถ้าลูกชายจะมีแฟนเป็นผู้ชาย ทำให้เกิดการตีกรอบทางความคิดของตัวเอง จนมองว่าการชอบเพศเดียวกันเป็นเรื่องที่ผิดและไม่มีใครยอมรับได้

การยอมรับตัวเองนั้นถือเป็นขั้นแรกในการสร้างความชัดเจนทางความรู้สึก และเป็นการให้เกียรติในความเป็นตัวเอง พี่โอ๊ตเชื่อว่าเราทุกคนเข้าใจความรู้สึกของตัวเองดีอยู่แล้ว แต่ด้วยกรอบจำกัดทางสังคมหรือครอบครัว ทำให้เราไม่กล้าแม้แต่จะเปิดใจให้ตัวเอง และปล่อยให้ความกลัวมาทดแทนในสิ่งที่เราต้องการ

อีกอย่างหนึ่งที่พี่โอ๊ตคิดว่าสำคัญไม่แพ้กันคือ การยอมรับว่าตัวเองมีคุณค่าพอที่จะรักใครซักคน มีคุณค่าพอจะเป็นที่รัก อย่ากดตัวเองเอาไว้ใต้มาตรฐานของใคร เพราะสุดท้ายแล้วความรู้สึกนั้นก็อยู่กับเราไม่ใช่คนอื่นค่ะ

ความสำคัญของการกระทำที่ชัดเจน

ต่อเนื่องมาจากการยอมรับหรือไม่ยอมรับตัวเอง สุดท้ายแล้วความรู้สึกนั้นก็จะแสดงออกมาทางการกระทำค่ะ อย่างเต๋เอง ในช่วงที่กลับมาสนิทกับโอ้เอ๋วแล้ว ก็เริ่มให้ความใส่ใจ ไม่ว่าจะติวให้ พาไปนู่นไปนี่ ตอบแชทไลน์ตลอด หรือยอมตื่นตีสี่เพื่ออ่านหนังสือเป็นเพื่อนโอ้เอ๋ว แต่พอมาถึงจุดหนึ่งที่เต๋เริ่มรู้สึกสับสนกับตัวเอง ก็ตัดสินใจเททุกอย่างทิ้งไปดื้อๆ โดยทิ้งอีกฝ่ายเอาไว้กับความไม่เข้าใจ

พี่โอ๊ตมองว่านี่เป็นความเห็นแก่ตัวของคนที่ไม่ชัดเจน ไม่ตกตะกอนว่าความรู้สึกของตัวเองเป็นแบบไหน แต่ทำทุกอย่างที่ใจอยากจะทำ ซึ่งมันเป็นการทำร้ายอีกฝ่ายอย่างจังเลยนะ ยิ่งถ้าไม่เคยเกิดการพูดคุยเรื่องสถานะกัน ก็ยิ่งทำให้อีกคนมีความหวังว่าเราก็คิดแบบเดียวกัน

ในขณะที่ บาส ผ่านการยอมรับความรู้สึกของตัวเองไปแล้ว เลยแสดงออกถึงความใส่ใจอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงกล้าที่จะสารภาพรักต่อหน้าคนอื่นๆ กล้าที่จะเดินจับมือโอ้เอ๋วแบบไม่อายใคร การกระทำแบบนี้นอกจากจะทำให้อีกฝ่ายสบายใจแล้ว ยังแสดงถึงการยอมรับในตัวตนของอีกฝ่ายด้วย

ดังนั้นการกระทำที่ชัดเจน ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างเส้นทางความสัมพันธ์ที่ไม่ซับซ้อน ต่างฝ่ายต่างรู้ว่าตัวเองเดินเส้นเดียวกันอยู่ ความชัดเจนทำให้ทุกอย่างไม่ยุ่งเหยิง และไม่ทำร้ายความรู้สึกของใครด้วย

การเสียสละเพื่อคนที่รัก

ในเรื่องนี้จะมีอยู่ 2 ตัวละคร ที่เห็นได้ชัดถึงความเสียสละให้กับคนที่ตัวเองรัก ก็คือ บาส และ ตาล แน่นอนว่าทั้งสองคนคือตัวแทนของคนที่ชัดเจนกับความรู้สึกของตัวเองมาตั้งแต่แรก เป็นคนที่มาก่อน แต่ต้องยอมถอยให้อีกคน เพราะรู้ว่าคนที่เรารักจะมีความสุขมากกว่า

การเสียสละในความสัมพันธ์ ไม่ได้แปลว่าเราคือคนแพ้ แต่มันหมายถึงความรู้สึกของเราที่รักและหวังดีต่อใครคนหนึ่งจริงๆ ต่างหาก อย่าไปคาดหวังว่าเราเสียแล้วต้องได้อะไรกลับมา เพราะนั่นแสดงว่าเราไม่ได้มีความจริงใจต่อการกระทำของตัวเองเลย

ความรักเป็นสิ่งที่ดี แต่ความรักไม่ใช่ทุกอย่าง

การยอมรับว่าตัวเองรักใครซักคนเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องทำทุกอย่างเพื่อความรักนั้น หรือยอมทิ้งอะไรบางอย่างที่สำคัญกับตัวเองเพื่อเขา

ในฉากที่เต๋ยอมสละสิทธิ์ของตัวเอง เพื่อให้โอ้เอ๋วได้ที่นั่งในคณะที่อยากเข้า สำหรับเต๋ อาจจะทำเพื่อขอโทษที่ตัวเองไม่สามารถให้สถานะกับโอ้เอ๋วได้ และคิดว่านี่คือการแสดงความรักอย่างนึง แต่ เรื่องความรักกับเรื่องอนาคต ไม่ควรเอามารวมกัน นอกจากจะเป็นการทำลายโอกาสตัวเองแล้ว ยังเหมือนเป็นการดูถูกอีกฝ่ายด้วย

หรือฉากที่เต๋เสียใจเรื่องโอ้เอ๋วกับบาส จนทำให้คุมอารมณ์ในห้องสอบไม่ได้ ทำให้สุดท้ายทำข้อสอบได้ไม่ทัน จนต้องพลาดในสิ่งที่เต๋ฝันเอาไว้ ที่จริงอันนี้ก็มองได้อยู่สองด้านค่ะ คือในเวลานั้นคงไม่มีใครกดอารมณ์ตัวเองไว้ได้ แต่ก็อยากให้มีสติโฟกัสในสิ่งที่สำคัญกว่าค่ะ

ในทุกๆ ความสัมพันธ์ พี่โอ๊ตมองว่ามันมีความซับซ้อนอยู่แล้วระหว่างทาง ดังนั้นตัวเราเองนี่แหละ ที่ต้องเป็นคนจัดระเบียบความสัมพันธ์นั้นให้ชัดเจนและราบรื่น อาจจะมีสะดุดกันบ้าง แต่เราก็จะสามารถลุกและไปต่อได้เร็วกว่าปล่อยให้ทุกอย่างค้างคาค่ะ บทเรียนที่ได้จากซีรีส์เรื่องนี้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะเอาไปใช้กับคนรักได้อย่างเดียว แต่เราสามารถเรียนรู้เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัว และคนรอบข้างได้อีกด้วยค่ะ ส่วนใครที่ยังไม่เคยดูเรื่องนี้ ก็ลองไปหาดูได้ใน LINE TV เลยจ้า

 

พี่โอ๊ต
พี่โอ๊ต - Columnist คอลัมนิสต์สายบิวตี้ ชอบอัปเดตเมคอัพ และศึกษาเรื่องสกินแคร์ เพื่อผิวสวยอย่างปลอดภัย

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น