5 กลโกงในต่างแดน ต้องระวังไว้!

     สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com จากความไม่แน่ไม่นอนทางสถานการณ์บ้านเมือง จนไม่แน่ใจแล้วว่าจะได้พบกับปิดเทอมอาเซียนในตำนานที่นานสมชื่อจริงหรือไม่ หลายคนคงเริ่มลังเลว่าจะไปเรียนคอร์สระยะสั้นอันไหนดีน้า พี่พิซซ่า เองก็แนะนำไม่ถูกแล้วเหมือนกันค่ะ เพราะไม่รู้ว่าแต่ละที่เขามีนโยบายอะไรบ้าง แต่วันนี้พี่จะพาน้องๆ ไปดู 5 กลโกงที่นักเรียนคอร์สระยะสั้นเคยเจอในต่างแดนมาให้ดูค่ะ ทีนี้ไม่ว่าจะได้ไปเรียนที่ไหน ก็จะได้ตื่นตัวไว้เสมอเลยนะคะ



5 ที่สุดของกลโกงที่นักเรียนต่างชาติเคยโดนในต่างแดน






คดีที่หนึ่ง

     ที่เกิดเหตุ: เมืองออร์แลนโด้ รัฐฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา
     ข้อหา: โกงข้อมูลบัตรเครดิต
     อาวุธก่อเหตุ: ใบปลิวร้านพิซซ่า

     ที่นี่มีชื่อเสียงจาก Disney World ค่ะ เป็นสาขาที่น่าไปที่สุดเลย พี่เองก็อยากไปซักครั้งเช่นกัน ฉะนั้นน้องๆ ที่เคยไปเวิร์กและแวะเที่ยวก่อนกลับ หรือน้องๆ ที่ไปเรียนคอร์สภาษาและแวะไปเที่ยวหลายคนเจอวิธีขี้โกงมาแบบเดียวกันเลยค่ะ นั่นคือ "โกงเลขบัตรเครดิต" ค่ะ เพราะคุณพ่อคุณแม่ห่วงว่าน้องๆ จะไปลำบากที่โน่นเลยเปิดบัตรเสริมให้เอาติดตัวไว้ใช้ยามจำเป็น แต่ก็นะ เรียนมา 3 เดือนแล้วขอเที่ยวให้สะใจซักทีเถอะ บางคนเลยเปิดห้องพักหนึ่งคืนที่โรงแรมในสวนสนุก Disney World ไปเลยค่ะ แล้วก็มีมือดีเดินสอดใบปลิวเมนูพิซซ่าลอดใต้ประตูห้องเข้ามา ใบปลิวก็ดูดี ราคาก็น่าสนเพราะถูกกว่าของโรงแรมและสวนสนุกเกือบครึ่ง ซื้อมาเวฟกินสองวันน่าจะคุ้ม น้องๆ ก็เลยโทรไปสั่ง และปลายสายก็พูดตามสเต็ปว่า "ต้องหักเงินทันที ขอเลขบัตรเครดิตด้วยค่ะ" 

     แต่ประเด็นคือร้านพิซซ่านี้ไม่มีตัวตนบนโลก โอเปอร์เรเตอร์ก็ไม่ใช่พนักงานจริง แต่เป็นกลุ่มมิจฉาชีพที่รอขโมยข้อมูลบัตรของเราไปช้อปปิ้ง ซึ่งปัญหานี้ยังมีอยู่ถึงทุกวันนี้ค่ะ เพราะกำจัดยังไงก็ไม่หมด แถมเปลี่ยนใบปลิวไปเรื่อยๆ เป็นร้านพิซซ่าบ้าง อาหารจีนบ้าง ไก่ทอดบ้าง ตามจับจนคุณตำรวจที่นั่นไม่ต้องทำงานอื่นแล้ว

     ฉะนั้นฝากกระจายข่าวต่อๆ กันด้วยนะคะว่าถ้าเจอแบบนี้ไม่ว่าจะเมืองใดก็ตามให้ระวังไว้ก่อนค่ะ และควรเดินไปซื้อเองที่ร้านและชำระเป็นเงินสดจะดีที่สุด หรือถ้าอยากฟินให้ครบสูตรก็ให้สั่งจาก Room Service ของที่พักค่ะ 







คดีที่สอง

     ที่เกิดเหตุ: เมืองนิวยอร์กซิตี้ รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
     ข้อหา: รีดไถ
     อาวุธก่อเหตุ: แผ่น CD และหน้าตา

     เมืองที่จอแจที่สุดในโลก แต่ชาวนิวยอร์กแท้ๆ มีไม่ถึงครึ่งเมืองด้วยซ้ำ เพราะส่วนมากเป็นคนที่มาทำงานหรือมาเที่ยวเป็นหลัก ฉะนั้นจะมีคนมากหน้าหลายตาหลายชาติหลายภาษาเดินเบียดเสียดกันทั่วทั้งเมืองตลอดเวลาค่ะ และในจำนวนนั้นย่อมมีมิจฉาชีพปะปนมาด้วย โดยเฉพาะย่านไทม์สแควร์ชื่อดังที่ทุกคนต้องไป เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของแก๊งค์ "จิ๊กโก๋ CD" เลยทีเดียว

     ลักษณะการทำงานของแก๊งค์นี้คือ ทำเป็นผู้ที่กำลังตามล่าฝันให้กับตัวเอง เป็นศิลปินโนเนมที่อยากดังในเมืองใหญ่ มักเป็นหนุ่มหน้าตาดีหรือดูดี สะอาดสะอ้านท่าทางธรรมดาๆ ที่อยู่ๆ จะโผล่มาจากหลังมุมตึกและพูดว่า "ลองฟังเพลงผมมั้ยครับ" พร้อมกับยัดเยียดแผ่น CD ใส่มือน้องๆ แบบไม่คิดเงินค่ะ แล้ววินาทีที่น้องยื่น CD คืนใส่มือหนุ่มคนนั้น เพื่อนร่วมแก๊งค์อีกเกือบสิบคนที่หน้าโหดโฉดหรือชั่วก็โผล่มาล้อมตัวน้องเรียบร้อยแล้ว พร้อมรีดไถเงิน $10 จากน้องไม่งั้นมันไม่จบแน่

     ฉะนั้นต้องหลีกเลี่ยงการเดินคนเดียวตามที่เปลี่ยวหรือตรอกมืดๆ นะคะ แต่ถ้าโชคร้ายจ๊ะเอ๋ "จิ๊กโก๋ CD" เข้าแล้ว พอมันยัดแผ่นใส่มือน้อง ให้ทำหน้าใสซื่อแล้ววางบนพื้นเบาๆ อย่าให้มีรอยขีดข่วน แล้วรีบเดินไปอยู่ท่ามกลางฝูงชนให้เร็วที่สุด แต่อย่าโชคร้ายซ้ำซ้อน พาตัวเองเดินเข้าไปหาแหล่งมั่วสุมของแก๊งค์นี้เข้านะคะ 






คดีที่สาม

     ที่เกิดเหตุ: เมืองลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา
     ข้อหา: ชิงทรัพย์
     อาวุธก่อเหตุ: Taxi

     ยังคงอยู่ที่อเมริกาเพราะเป็นประเทศที่ใหญ่ และมีคนไปเที่ยวเยอะจริงๆ คราวนี้ลงมาดูที่เมืองคนบาปอย่างลาสเวกัสกันบ้าง เมืองนี้เต็มไปด้วยคาสิโนที่พร้อมจะดูดเงินนักท่องเที่ยวโดยไม่รู้ตัว และมีนักแสดงริมถนนอีกมากมายที่พร้อมจะรีดเงินถ้าน้องยืนดูการแสดงนานเกินหรือขอถ่ายรูปด้วย แต่กรณีที่เสียหายมากที่สุดคงต้องยกให้กับ "แท็กซี่ขี้ขโมย" เพราะแท็กซี่ที่เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องนี้เป็นอันดับ 1 ในอเมริกาเลยค่ะ (โชคดีมากที่ตอนนั้นพี่ได้แท็กซี่นิสัยดีสุดยอด) 

     วิธีการคือตอนที่รับเราขึ้นมานั้นจะสุภาพ เฟรนด์ลี่ ให้ความช่วยเหลือดีมาก ช่วยยกกระเป๋าเดินทางใบยักษ์ของน้องใส่ท้ายรถให้พร้อมรอยยิ้ม แต่เมื่อถึงโรงแรมหรือถึงสนามบิน อยู่ๆ ก็จะเข้าโหมด "ต้องรีบไปส่งรถ" คนขับจะเร่งให้น้องลงไปไวๆ และบอกว่าเดี๋ยวยกกระเป๋าลงให้ ซึ่งมันจะยกลงไม่หมดค่ะ แล้วจงใจทำเสียงดัง บ่นโน่นนี่ ปิดท้ายรถดังลั่นแล้วเหยียบมิดไปทันที เพราะน้องกำลังมึนๆ กับท่าทีที่เปลี่ยนไปของคนขับ ลงรถแล้วไปยืนเอ๋ออยู่วินาทีนึง แต่พอรู้ตัวอีกที กระเป๋า Carry-On ที่จะถือขึ้นเครื่องก็หายไปกับสายลมซะแล้ว 

     ถ้าน้องสามารถเอากระเป๋าขึ้นรถตรงส่วนคนนั่งให้นั่งไปกับน้องได้ก็ทำเถอะค่ะ อย่าแยกไปไว้ข้างหลังเลย และอย่าแยกหลายที่จัดแบบว่าใบนึงวางข้างคนขับ อีกใบวางข้างตัว อีกใบไว้ท้ายรถ มีโอกาสหายถึง 2 ใน 3 เลยนะคะ และอีกวิธีที่น่าจะได้กระเป๋าคืนมากที่สุดก็คือ จดชื่อคนขับ เลขรถ และข้อมูลทุกอย่างบนรถเอาไว้ พร้อมชื่อบริษัทที่เขียนข้างตัวรถด้วย อย่างน้อยตำรวจอาจจะตามได้ค่ะ






คดีที่สี่

     ที่เกิดเหตุ: กรุงโรม อิตาลี
     ข้อหา: ล้วงกระเป๋า
     อาวุธก่อเหตุ: เด็กและสตรี

     ส่วนมากพวกล้วงกระเป๋าจะเป็นผู้ชายวัยรุ่นที่มักกลืนหายไปในคลื่นมหาชนเมื่อเราตั้งใจมองหาดีๆ เสมอ แต่ที่กรุงโรมมีวิธีที่ถ้าไม่แน่จริงทำไม่ได้ค่ะ นั่นคือใช้ความรักเด็กของน้องๆ เป็นเครื่องมือ วิธีการคือทำเป็นคุณแม่มือใหม่อุ้มลูกน้อยมาเดินเล่นแล้วก็สะดุด...ลื่น...ล้ม

     ถ้าสโลโมชั่นภาพตอนที่เกิดเหตุได้จะเห็นว่า ผู้หญิงคนนั้นจงใจล้มและจงใจโยน "ลูก" ในอ้อมแขนไปทางน้องค่ะ ซึ่งด้วยความเป็นคนดีของเรา น้องๆ ก็จะรีบพุ่งตัวไปรับให้ทันที ก่อนจะพบว่ามันคือตุ๊กตาเด็กอ่อน แล้วกระเป๋าใส่กล้องคล้องไหล่ก็หายลับไปพร้อมกับคุณแม่ผู้ลื่นล้มคนนั้น ฉะนั้นถ้าเจอผู้หญิงล้มแล้วโยนลูกกระเด็นก็อย่าไปสนใจค่ะ ท่องเอาไว้ว่าแม่จริงๆ ต้องรักลูกยิ่งกว่าตัวเอง ถ้าล้มจริง ให้ตายยังไงก็ต้องยอมล้มกลิ้งเอาตัวรองรับลูกอยู่แล้ว ไม่มีทางเขวี้ยงลูกเป็นลูกบาสหรอกค่ะ






คดีที่ห้า

     ที่เกิดเหตุ: พบได้ทั่วโลก
     ข้อหา: โจรกรรมข้อมูลบัตรเครดิตหรือตัวตนของน้อง
     อาวุธก่อเหตุ: โทรศัพท์และความไร้จิตสำนึก

     กลุ่มนี้พบได้ทั่วไปจริงๆ ค่ะ เพราะวิธีมันง่ายและลงทุนน้อยมาก นั่นคือขณะที่น้องนอนพักผ่อนหลังจากเข้าโรงแรมในคืนแรก ก็จะมีโทรศัพท์ขึ้นมาว่า "ขอโทษนะคะ เหมือนจะมีปัญหากับบัตรเครดิตคุณ รบกวนทวนเลขอีกทีได้มั้ยคะ" และด้วยความง่วงงัวเงีย น้องก็จะคว้าบัตรมาอ่านให้มันฟัง แล้วน้องก็นอนต่อโดยไม่เอะใจเลยว่าไม่มีโรงแรมไหนมีนโยบายนี้แน่นอน หรือถ้าโชคร้ายกว่านั้น มันจะแกล้งบอกว่าสำเนาพาสปอร์ตที่ซีร็อกซ์ไว้มันเบลอๆ ช่วยทวนเลขหน่อย แล้วทีนี้ก็จะมีน้องอีก 50 คนกระจายอยู่รอบโลก

     ถ้าเจอแบบนี้ให้บอกเลยว่าเดี๋ยวลงไปจ่ายที่ Front Desk ตอนเช้านะ แล้ววางหูไปเลย จากนั้นก็โทรกลับตามเบอร์ที่บอกไว้ในห้องพัก และถามเจ้าหน้าที่ Room Service ว่าโทรมาหรือไม่ ซึ่ง 100 ทั้ง 100 จะไม่มีค่ะ เพราะถ้ามีปัญหาเรื่องบัตรเครดิตแบบนี้ เขาจะส่งพนักงานขึ้นมาคุยด้วยเลย เพราะเขาก็กลัวว่าเราเป็นมิจฉาชีพมาแอบนอนฟรีแล้วหนีไปก่อนเช็คเอ้าท์เช่นกัน




     นี่ไม่ได้ขู่ให้กลัวแล้วไม่กล้าไปนะคะ ไปเถอะค่ะ เพราะพี่ก็ให้วิธีป้องกันและตรวจสอบไว้แล้ว แต่ที่สำคัญคือ มีสติเสมอ อย่าไว้ใจใคร และต้องจดจำรายละเอียดให้ได้มากๆ แค่นี้ก็ไม่มีใครมาหลอกอะไรน้องได้แล้วชัวร์



ข้อมูลและภาพประกอบ
www.huffingtonpost.com, knowrisk.com.au
lifestyle.in.msn.com, www.flightcatchers.net
www.travelandleisure.com, www.travelandleisure.com
พี่พิซซ่า
พี่พิซซ่า - Columnist คอลัมนิสต์ฝ่ายเรียนต่อนอก

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

แมว Member 20 ม.ค. 57 18:26 น. 1

สนุกดีค่ะ

เยี่ยม

โดนหลอกหลายแบบเลย ที่จริงเรื่องของแท็กซี่ในไทยก็มีเยอะเหมือนกันนะคะ มาแนวเดียวกันเลย

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด

5 ความคิดเห็น

แมว Member 20 ม.ค. 57 18:26 น. 1

สนุกดีค่ะ

เยี่ยม

โดนหลอกหลายแบบเลย ที่จริงเรื่องของแท็กซี่ในไทยก็มีเยอะเหมือนกันนะคะ มาแนวเดียวกันเลย

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด