1. "ก็มันยาก" (It's just so hard.)
ตอนเด็กๆ ทุกเรื่องก็เป็นเรื่องยากสำหรับเราทั้งนั้น ปั่นจักรยานให้เป็นก็ยาก ระบายสีไม่ให้ออกนอกเส้นก็ยาก บวกเลขสองหลักก็ยาก ขนาดภาษาไทยกว่าจะพูดได้อย่างทุกวันนี้ต้องผ่านมาขนาดไหน ฉะนั้นถ้าเราสามารถพัฒนาจากการออกเสียงคำว่า "แม่" ได้คำเดียว มาจนพูดน้ำไหลไฟดับได้ขนาดนี้ เราก็สามารถพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษได้เช่นเดียวกัน ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถของเราหรอก
2. "ไม่มีหัวด้านภาษา" (I'm not good with languages.)
ข้อนี้คล้ายกับข้อแรก พี่ก็ขอแย้งด้วยเหตุผลเดิมเช่นกัน จะมีทักษะด้านภาษาหรือไม่ก็ตาม ถ้าเราเรียนพูดไทยได้เราก็เรียนพูดอังกฤษได้ อย่าไปนึกถึงข้อสอบรามเกียรติ์ที่ตกแล้วตกอีก เพราะเอาจริงๆ ก็ไม่มีใครท่องอาขยานใส่กัน ฉะนั้นถึงคะแนนสอบภาษาอังกฤษจะไม่สวยก็อย่าเกลียดมัน หรือโทษตัวเองว่าไม่มีหัวด้านนี้ ที่จริงเราอาจมีทักษะในการใช้ในชีวิตจริงมากกว่าเพื่อนที่สอบได้ 4.00 ทุกเทอมก็ได้
3. "ไม่กล้าพูด" (I'm too embarrassed to speak.)
ถ้าเรียนแล้วไม่ลองเอามาใช้เลยก็ลืมเกลี้ยงแน่ๆ พี่เชื่อว่าเราเรียนคำราชาศัพท์กันมาแล้ว แต่พอเจออีกทีก็ต้องเปิดหนังสือดูคำแปลอยู่ดี ก็เราไม่เคยใช้จริงจะจำขึ้นใจได้ยังไง
4. "ถ้าพูดผิดแล้วดูโง่อ่ะ" (When I say something wrong; it makes me look stupid.)
เรากำลังฝึกฝนอยู่ ฉะนั้นก็ลองเอาไปใช้จริงด้วยการพูดไปเลย ถ้าผิดอีกฝ่ายก็ช่วยแก้ให้เอง และอีกฝ่ายคงไม่มองว่าเราโง่แน่นอน ลองนึกว่าถ้าชาวต่างชาติมาถามทางไป "ว้าด-พร้า-แก่ว" เราก็จะ "อ๋อ วัดพระแก้ว" ให้โดยอัตโนมัติ แถมไม่มองว่าเขาโง่ด้วย
5. "งั้นพูดก็ได้ แต่ต้องบอกก่อนเลยว่าภาษาอังกฤษเราง่อยมากนะ" (Firstly, I want to apologize for my poor English.)
ถ้าออกตัวแต่แรกเลยว่าภาษาอังกฤษเราไม่ดี อีกฝ่ายก็จะคิดทันทีว่ามันต้องไม่ดี แล้วพอเราพูดอะไรผิดมา เขาก็จะรู้สึกว่า "ช่างมัน" ไม่ช่วยแก้ ไม่ช่วยเราพัฒนาซะงั้น ฉะนั้นพูดไปก่อนโดยไม่ต้องรีบออกตัว พอผิดแล้วอีกฝ่ายแก้ให้ก็ค่อยบอกว่าเรากำลังเรียนอยู่ อีกฝ่ายจะยิ่งชื่นชมเราเลยว่า "ทำได้ขนาดนี้นี่เก่งมากเลยนะ" เมื่อได้ยินอะไรแบบนี้เราก็ยิ่งมีกำลังใจฝึกฝนตัวเองมากขึ้นด้วยนะ
6. "พูดแล้วก็ไม่เห็นใครจะเข้าใจเลย" (Nobody understands me.)
แม้จะพูดแล้วฝ่ายตรงข้ามงงทุกครั้งก็ห้ามบอกตัวเองแบบนี้เด็ดขาดค่ะ เพราะมันจะยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง เราจะยิ่งกลัวมากขึ้นและอาจถึงขั้นเกลียดชังโลกได้เลย ฉะนั้นถ้าเขางงก็พยายามหาคำตอบให้ได้ว่างงตรงไหน แล้วก็นำมาปรับปรุงให้ตรงจุดค่ะ พัฒนาตรงนั้นมากเป็นพิเศษ และอย่าลืมฝึกพูดบ่อยๆ ด้วย มันต้องมีวันที่เขาเข้าใจเราแน่นอนค่ะ
7. "อาจารย์สอนไม่รู้เรื่อง" หรือ "ไม่ชอบอาจารย์คนนี้เลย" (I don't know what he's talking. I don't like him.)
ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือข้ออ้างก็อย่าให้มันมาเป็นอุปสรรคค่ะ อย่าลืมนะคะว่าการเก่งภาษาอังกฤษไม่ได้มาจากความรู้ในห้องเรียนอย่างเดียว ฉะนั้นถ้าเรามีปัญหากับการเรียนในห้อง เราก็สามารถหาตัวช่วยข้างนอกได้ จะเรียนพิเศษเพิ่ม หาเพื่อนต่างชาติออนไลน์ ดูหนังฟังเพลง อ่านบทความดีๆ มีสาระในเว็บ Dek-D.com หรือขอให้เพื่อนที่เก่งภาษาอังกฤษช่วยทบทวนให้ก็ได้เช่นกันค่ะ
8. "เกลียดวิชาท่องจำ" (I hate subjects that require a lot of memorization.)
อย่ามองว่าภาษาอังกฤษเป็นแค่วิชาที่โดนบังคับเรียนตามกฎหมายเท่านั้นสิคะ มองว่ามันเป็นทักษะอย่างหนึ่ง หรือศิลปะอย่างหนึ่งจะดีกว่า เรายังชอบเล่นดนตรีเพลงที่แกะโน้ตเองมากกว่าเพลงคลาสสิกที่อาจารย์สอนเลย ฉะนั้นถึงท่องจำสิ่งที่ต้องสอบไม่ได้ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องหยุดหาความรู้จากที่อื่นไปด้วย
9. "เรียนให้สอบเข้าได้ก็พอ" (Cramming for the examination is enough.)
นี่ก็คล้ายข้อเมื่อกี้ค่ะ ถ้ามองว่ามันเป็นแค่วิชา สอบเสร็จก็ลืมเกลี้ยงทันทีสิ นอกจากเนื้อหาเตรียมสอบแล้วก็ต้องฝึกฝนทักษะที่ใช้ในชีวิตจริงไปด้วยค่ะ
10. "ก็ใครมันจะไปเก่งเท่า (ชื่อใครซักคน) ล่ะ" (No one can beat ...)
ข้อนี้ห้ามโดยเด็ดขาด เป็นสุดยอดของความผิดมหันต์เลยค่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องภาษาอังกฤษนะคะ หมายถึงทุกๆ เรื่องเลย เราอย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเพื่อให้รู้สึกสิ้นหวังมากกว่าเดิมเด็ดขาดค่ะ เมื่อเจอคนเก่งกว่า เราสามารถชื่นชมเขาได้ แล้วก็ดูว่าเขาทำอย่างไรถึงเก่งได้แบบนั้น แล้วลองปรับใช้กับตัวเองเพื่อพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นค่ะ
11. "ไว้ไปเรียนสถาบันดังๆ 20 ชั่วโมงก็พูดปร๋อแล้ว" (That school can make me fluent in 20 hours.)
ข้อนี้จะเป็นจริงถ้าเราตั้งใจเรียนและทำกิจกรรมทุกอย่างที่อาจารย์บอกใน 20 ชั่วโมงนั้น และเรายังฝึกฝนเองต่อนอกห้องเรียนด้วย แต่ถ้าเราไปนั่งเรียนเฉยๆ แล้วไม่พยายามฝึกฝน ไม่ขวนขวายเองเพิ่มเติม ต่อให้เรียน 40 ชั่วโมงเราก็จะได้แค่สิ่งที่เอาไปสอบ แต่ไม่ได้ทักษะที่จะใช้ในชีวิตจริง
12. "โตแล้ว มาเรียนตอนนี้ก็ได้แค่นี้แหละ" (Adults don't learn languages well.)
จริงอยู่ค่ะที่เมื่อเราโตขึ้นเราจะเรียนรู้ภาษาได้ช้ากว่าตอนเด็กๆ แต่ก็อย่าเอามาเป็นข้ออ้างเชียว เพราะเมื่อรู้ว่าเราเรียนรู้ได้ช้าลง ก็แปลว่าเราต้องพยายามมากกว่าตอนเด็กๆ ไงคะ ข้อนี้ฝากถึงคนที่พ้นวัยเรียนโดยเฉพาะเลย "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น" ยังใช้ได้เสมอ ถ้าพยายามแล้วยังไม่ได้ก็ต้องพยายามมากขึ้นค่ะ ฮีบ! สู้ๆ
13. "ไม่มีเวลาไปเรียน" (I don't have time.)
ถึงจะงานรัดตัวหรือมุ่งมั่นกับการเรียนจนไม่มีเวลาไปลงเรียนจริงจัง ก็ไม่ได้แปลว่าเราไม่มีโอกาสฝึกฝนภาษาอังกฤษเลยนะคะ ลองเปลี่ยนมาฟังเพลงภาษาอังกฤษ ชมภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ ฟังวิทยุคลื่นที่รายงานเป็นภาษาอังกฤษขณะขับรถ หรืออ่านข่าวสารในโลกออนไลน์จากเว็บภาษาอังกฤษก็ได้ค่ะ อ่าน English Issues ที่ Dek-D.com อยู่เสมอ หรือตั้งกระทู้พูดคุยภาษาอังกฤษกันก็ถือว่าได้เรียนรู้ไปในตัวแล้วนะคะ
14. "ฟังเพลงฝรั่งมาทั้งชีวิต ก็ไม่เห็นจะเก่งขึ้นเลย" (I love English music but it's not helping.)
ต้องถามก่อนว่าฟังแล้วเปิดเนื้อเพลงไปด้วยมั้ย เพราะถ้าอ่านตามไปด้วยจะทำให้รู้ว่าคำไหนออกเสียงยังไง หรือถ้าเปิดเนื้อร้องตามแล้ว เราได้ทำความเข้าใจกับเนื้อหารึเปล่า นอกจากร้องเป็นฟีลลิ่งแล้วก็ควรศึกษาความหมายเพลงด้วยนะคะ พยายามแปลดูว่าเพลงนั้นสื่ออะไร คำศัพท์ไหนไม่รู้จักก็หาคำแปลแล้วจดไว้ การเรียนรู้จากเพลงที่ชอบจะทำให้เราสนุกที่ได้เรียนค่ะ
15. "อยู่แต่ในเมืองไทย จะให้ฝึกพูดแค่ไหนกัน" (I can't get fluent while living here.)
ตอนนี้ไม่ใช่ยุคที่เราเดินเท้าข้ามเมืองกันเป็นเดือนๆ แล้วนะคะ ถึงอยู่ในเมืองไทยก็ไม่ได้แปลว่าเราขังตัวเองอยู่ในห้องแบบตัดขาดจากโลกนี่นา เรามีตัวช่วยตั้งเยอะ จะฝึกพูดกับเว็บสอนภาษาก็ได้ ซื้อซีดีฝึกพูดมาพูดตามก็ได้ ทักทายเพื่อนที่กำลังเรียนภาษาอังกฤษเหมือนกันด้วยภาษาอังกฤษก็ได้ หรือจะหาเพื่อนต่างชาติไว้คุยออนไลน์ก็ได้ค่ะ พี่รู้จักตั้งหลายคนที่ไม่เคยไปเมืองนอกเลยและไม่เคยเรียนกับสถาบันสอนภาษาด้วย แต่ภาษาอังกฤษอยู่ในระดับดีทั้งฟังพูดอ่านเขียนเลย
16. "ขอไปอยู่อังกฤษซัก 6 เดือนก่อนนะ แล้วจะกลับมาพูดให้ฟัง" (I have to live in England to become fluent in English.)
ข้อนี้คล้ายกับข้อเมื่อกี้ตรงที่สถานที่ไม่มีผลมากหรอกถ้าเราไม่ตั้งใจจริง พี่ก็เคยเจอคนไทยหลายคนที่ไปอยู่สหรัฐอเมริกาเป็น 10 ปี แต่สื่อสารได้แค่ประโยคทักทายทั่วไป พูดคุยเป็นเรื่องเป็นราวจริงจังไม่ได้ นั่นเพราะเขาใช้ภาษาอังกฤษแค่ตอนทำงานในร้านอาหารค่ะ นอกจากนั้นเขาก็คุยกันเองในกลุ่มคนไทย ฉะนั้นอยู่ที่ไหนก็สามารถเก่งได้ ขึ้นกับตัวเราค่ะ
17. "ไม่ชอบฝรั่งอ่ะ ไม่ต้องการคบหาด้วย" (I don't like Westerners.)
ถึงไม่ต้องคบหากับชนชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก ก็ไม่ได้แปลว่าชาติอื่นๆ จะไม่ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกับเรานะคะ ตอนเรียนภาษาเกาหลีช่วงแรกๆ พี่ก็ดูวิดีโอที่สอนโดยใช้ภาษาอังกฤษในการสอน ทำให้ได้พัฒนาสองภาษาควบคู่กันเลย
18. "ไม่รู้จะเรียนไปทำไม" (I don't know why I have to learn this.)
ภาษาอังกฤษเป็นอีกหนึ่งภาษาสากลของโลก เราสามารถเข้าใกล้โลกได้มากขึ้นผ่านภาษานี้ เว็บไซต์ที่มีข้อมูลดีๆ อาจนำเสนอเป็นภาษาอังกฤษก็ได้ ซึ่งถ้าเราไม่รู้ไว้เราก็จะรู้แค่ข้อมูลที่เกิดในไทยหรือที่มีคนแปลมาให้แล้วเท่านั้น หรือถ้าเราอยากไปเที่ยวรอบโลก จะให้พูดได้ทุกภาษาเลยก็คงไม่ไหว หรือต่อให้เราอยู่ในประเทศตลอดชีวิต ความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษก็ทำให้เราได้เปรียบอยู่ดี ลองนึกดีๆ ค่ะ เพราะมีเหตุผลมากมายที่เราควรเก่งภาษาอังกฤษแบบไม่ต้องฝืนใจตัวเอง หาให้เจอนะคะ
ยอมรับมาซะดีๆ ว่าเคยอ้างกันกี่ข้อ รู้แล้วก็ต้องหยุดข้ออ้างทั้งหมด แล้วใส่แรงใจแรงฮึดเข้าไป พยายามให้มากขึ้น อย่าคิดแต่เรื่องเกรดในห้อง แต่ให้ความสำคัญกับการใช้จริงด้วยนะคะ ความสนุกในการเรียนรู้มีอยู่เสมอ เปิดใจให้กว้างนะคะ
บทความนี้ถูกเขียนขึ้นโดยทีมงานเว็บไซต์ Dek-D.com เป็นที่แรก หากต้องการนำไปเผยแพร่ต่อในเว็บไซต์อื่น กรุณาใส่เครดิตให้ครบถ้วน |
55 ความคิดเห็น
98% คับ...
เราก็ไม่เก่ง
สภาพแวดล้อมเราว่าก็สำคัญนะ
ตัวเราเองเป็นคนที่ชอบภาษาอังกฤษ
แต่คือรอบๆข้างมีแต่คนไม่ชอบ
เราก็ไม่รู้จะเอาไปพูดกับใคร
ชอบแต่ไม่กล้าพูด กลัวพูดผิด 55555555
ขี้เกียจ สั้นๆได้ใจความ
เวลาเราขี้เกียจชอบร้องว่า โอ้ มาย! ทุกทีเลย เป็นการฝึกเปล่าหว่า...
คำศัพท์เราพูดผิดบ่อยค่ะแล้วเขาก็แก้ให้ เราก็พูดจนถูกสำหรับเราที่พบปะชาวต่างชาตินะ แต่ถ้าไม่เจอใครเลย ก็ลองหาในเน็ตเลยค่ะจะแชทออนไลน์ก็ได้ถ้ากลัวก็ไม่ต้องเอา หนัง เพลงอะไรได้หมดค่ะ ไม่ชอบหนังฝรั่ง เพลงฝรั่ง ชอบซีรีย์เกาหลี เพลงญี่ปุ่นก็ให้เปิดซับอิงเลยค่ะ มีแน่นอน 55555555
ผมชอบภาษาอังกฤษนะ เพื่อน ๆ บอกผมเรียนเก่ง แต่ตัวผมเองผมคิดว่ายังไม่ถึงจุด ๆ นั้น อาจจะเป็นเพราะว่าเราแค่รู้ดีกว่าเพื่อน ๆ ของตัวเองเท่านั้น 555++
ภาษาอังกฤษมันก็เหมือนกับการเดินทางจากไทยไปหาอังกฤษแล่ะ แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองยืนอยู่ที่ประเทศไรแล้ว (ประเทศอินเดียมั้ง 55) กว่าจะเดินไปถึงก็ต้องผ่านอีกหลายประเทศ แต่ก็ไม่เครียดอะไรนะ ปรับตัวไปทีละนิด สนใจอังกฤษวันละหน่อย มันก็โอเคกะตัวเองเองแล่ะ ก็เข้าใจนะบางคนไม่ชอบต่อให้อยากดีแค่ไหนก็ไม่เอา ก็เหมือนกะผมไม่ชอบคณิตแต่อยากดีคณิตสุดท้ายก็เริ่มเบื่อแล่ะ
(สรุปที่พิมพ์มานี่คือแนะนำป่าวว่ะนิ 55)
ชอบฟังเพลง แล้วอ่าน lyrics มันก็ได้เองอ่า
ตะก่อนมีทุกข้อที่กล้าวมา เเต่ตอนน้ไม่มีเเล้ว ตะก่อนเกียจอังกฤษ เรียกได้ว่าส่ายหน้าไม่พูดไม่เเตะคิดว่าจเรียนไปทำไมไม่ได้ใช้ไม่เอาท้องทำไมยาก ไม่เปิดใจเลยไม่รู้ว่า is am are was were ใช้ยังไงด้วยซ้ำ จนกระทั่ง ตอน ม3 เมื่อเดิน พ.ค. ไปอ่านกระทู้นึงในพันทิปเกี่ยวกับชีวิต นร เเลกเปลี่ยนเเล้วชอบ ก็เลยอยากเป็นบ้างนี้คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเริ่มเรียนอย่างจริงจัง เเค่เราเปิดใจกับมันเราก็สามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดายมากนะบอกเลย ดังนั้นคนที่อยากได้ อยากเก่งภาษาต้องเปิดใจเเละหมั่นฝึกฝน ไม่ต้องบ่นเลยก็ไม่รู้ศัพท์ หาการ์ตูนย์หรือบทความที่ชอบมาอ่านก็ได้ครับอ่านเพลินๆได้ศัพท์ด้วยคำไหนไม่รู้ก็เปิดดิ๊คเอาเเต่อย่าเปิดบ่อยหล่ะลองเดาดูบ้าง ยิ่งเห็นมากเราก็จะจำได้เองครับบบ