พร้อมบินแล้วหนึ่ง! เรียนภาษาและทำงานที่ ‘ออสเตรเลีย’ ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง?

สวัสดีค่ะชาว Dek-D หลายคนคงรู้จักโครงการ Work and Study หรือโครงการเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยอยู่แล้วใช่ไหมคะ? ที่จริงแล้วโครงการนี้มีประเทศที่น่าสนใจเปิดโปรแกรมเรียนอยู่ไม่น้อยเลย หนึ่งในนั้นก็คือ ‘ออสเตรเลีย’ ประเทศสุดฮอตฮิตที่นักเรียนไทยเลือกลงหลักปักฐานที่นี่ และสำหรับใครที่กำลังเก็บข้อมูลกันอยู่ พี่ปลื้ม เลยจะมาแชร์วิธีเตรียมพร้อมฉบับมือใหม่กันค่ะ!

..................

รู้จัก Work and Study!

พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นโครงการที่ให้นักเรียนสามารถเดินทางไปเรียนต่างประเทศและจะได้วีซ่าที่สามารถทำงานและเรียนควบคู่กันไปด้วย โดยประเทศที่เปิดโครงการนี้ก็มีมากมายเลย เช่น แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และดูไบ ส่วนนักเรียนที่สามารถเข้าร่วม Work and Study จะต้องมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปค่ะ 

เมือง Sydney
เมือง Sydney
Photo Credit: unsplash/@danfreemanphoto

  ___________

เตรียมไปเรียนภาษาที่ออสเตรเลีย 
(ฉบับ Beginner)

เหตุผลที่หลายคนสนใจเรียนต่อ ‘ออสเตรเลีย (Australia)’ เพราะว่าที่นี่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ดี มีหลากหลายวัฒนธรรม คนไทยอาศัยอยู่เยอะ และออสเตรเลียใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ ที่สำคัญคือมีโรงเรียนสอนภาษาเยอะมากกกก เรียกว่าสภาพแวดล้อมเหมาะกับการเรียนสุดๆ! 

แต่อีกปัญหาโลกแตกสำหรับหลายคนก็คือ ‘ไม่รู้ว่าจะเรียนที่ไหนดี’ ว่าแล้วพี่ก็เลยขอแชร์วิธีเลือกสถานที่เรียนที่ใช่และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เรากันค่ะ ~  

1. เลือกเมืองตาม Lifestyle

ก่อนที่เราจะเลือกสถาบันที่อยากเรียน แนะนำว่าให้ลองศึกษาและเลือกเมืองที่เข้ากับสไตล์การใช้ชีวิตก่อนค่ะ เพราะว่าออสเตรเลียนั้นเป็นประเทศที่สภาพแวดล้อมค่อนข้างหลากหลาย  อย่างถ้าชอบแสงแดดและกิจกรรมกลางแจ้งอาจจะเลือกไปเมืองบริสเบน (Brisbane) อยากได้ฟีลลิงเหมือนกรุงเทพก็ต้องซิดนีย์ (Sydney) หรือสายชิคๆ ชอบคาเฟ่แนะนำเมืองเมลเบิร์น (Melbourne) สาเหตุที่อยากให้เลือกโลเกชันก่อนเป็นอันดับแรก เพราะเราจะได้ปรับตัวง่าย รวมถึงได้อยู่ในสภาพแวดล้อมกับสภาพอากาศที่ชอบค่ะ

2. เลือกสถาบันสอนภาษาที่ถูกใจ

หลังจากเราเลือกเมืองได้แล้ว ก็มาถึงการเลือกการโปรแกรมคอร์สเรียนและสถาบันสอนภาษาค่ะ อย่างถ้าใครจะสมัครผ่านเอเยนซี เค้าก็จะมีลิสต์รายชื่อแต่ละสถาบันให้เลย พร้อมข้อมูลเปรียบเทียบความแตกต่าง เช่น บางที่เลือกเวลาเรียนไม่ได้ บางที่สามารถลงเวลาเรียนเองได้ รวมถึงกฏเคร่งครัดของหลายๆ สถาบัน เช่น ต้องพูดภาษาอังกฤษในสถาบันเท่านั้น หากคุณครูหรือเจ้าหน้าที่ได้ยินอาจมีการทำโทษ อย่าง หักคะแนน หรือโดนใบเตือนเลยล่ะค่ะ T__T (ส่วนใหญ่จะมีกฎนี้)

หลังจากเราเลือกเมืองและสถาบันเรียบร้อยแล้ว จากนั้นกรอกใบสมัคร และสอบวัดระดับภาษา (ขึ้นอยู่กับทางสถาบัน คอร์ส และเอเยนซีด้วยว่าต้องสอบไหม) เมื่อชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว น้องๆ จะได้รับเอกสารตอบรับจากสถาบันมาค่ะ จากนั้นเตรียมเอกสารให้พร้อมแล้วเข้าสู่การยื่นขอวีซ่ากันเลย

Note: น้องๆ สามารถสมัครได้เองโดยไม่ต้องผ่านเอเยนซีนะคะ แต่ถ้าใครไม่ค่อยมีเวลาและไม่มั่นใจในการเตรียมเอกสาร การใช้บริการเอเยนซีก็จะช่วยให้เราลดขั้นตอนและคลายกังวลได้เยอะเลยค่ะ  

เมือง Melbourne
เมือง Melbourne
Photo Credit: unsplash/@blurblock07

3. ขั้นตอนการเตรียมตัวยื่นขอวีซ่านักเรียน (Subclass 500)

  1. เตรียมหนังสือเดินทางเล่มปัจจุบัน (passport) มีอายุไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
  2. เตรียมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน, สำเนาทะเบียนบ้าน, สำเนาสูติบัตร
  3. เตรียมเรซูเม่ หรือประวัติการทำงาน (Resume/CV) และวุฒิบัตรสำเร็จการศึกษา
  4. นักเรียนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี จะต้องมีเอกสาร Welfare Arrangements และ Parental Consent จากผู้ปกครอง และจะต้องขอเอกสารยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศด้วย
  5. ต้องมีเอกสารตอบรับการลงทะเบียนเรียนจากสถาบันการเรียน
  6. ซื้อประกันสุขภาพสำหรับนักศึกษาต่างชาติ
  7. ยื่นคำร้องขอวีซ่านักเรียน

4. ขอวีซ่าได้ง่ายขึ้นด้วยผลสอบภาษาอังกฤษ!

บางสถาบันการเรียนไม่ต้องการคะแนนสอบเราก็สามารถสมัครเรียนได้เลย แต่ในขั้นตอนการยื่นวีซ่าหากใครที่มีผลสอบเหล่านี้จะสามารถช่วยให้วีซ่าผ่านได้ง่ายยิ่งขึ้นค่ะ คะแนนที่ได้ใช้ เช่น 

ข้อสอบ

ผลคะแนนขั้นต่ำ

IELTS (International English Language Testing System) 5.5 
TOEFL (Test of English as a Foreign Language) 46
CAE (Cambridge English: Advanced)162
OET (Occupational English Test)Pass A or B
PTE (Pearson Test of English  Academic)42

ผลสอบจะต้องมีอายุไม่เกิน 2 ปีหลังจากวันสอบ

** คะแนนเหล่านี้ไม่ตายตัวนะคะ ที่พี่บอกไปด้านบนอาจช่วยให้ผ่านวีซ่าได้ แต่ถ้าใครสมัครคอร์สเรียนที่ยากหน่อยก็อาจต้องใช้คะแนนสูงกว่านี้ด้วย
 

เมือง Brisbane
เมือง Brisbane
Photo Credit: unsplash/@ongerek

5. หลักฐานด้านการเงิน

เชื่อว่าหลายคนคงรู้อยู่แล้วว่าเวลาเราจะออกเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะเที่ยวหรือเรียน เราก็ต้องมีหลักฐานทางการเงินหรือ Financial Statement เพื่อเป็นหลักฐานและประเมินว่าเรามีทุนพอที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในประเทศของเขาหรือไม่ (เพราะค่าครองชีพสูงมั่ก!) 

สำหรับประเทศออสเตรเลีย หลักฐานทางการเงินนั้นจะต้องครอบคลุมทุกค่าใช้จ่ายเลยค่ะ ทั้งค่าเรียน ค่าที่พัก ค่าครองชีพ และตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ซึ่งค่าใช้จ่ายนั้นก็จะขึ้นอยู่กับทางเลือกที่แต่ละคนใช้ด้วย

ระยะเวลาเรียน

Statement ที่ควรมี

6  เดือน400,000  บาท ขึ้นไป
1 ปี750,000 บาท ขึ้นไป

เงินที่แจ้งไว้ข้างต้นขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในแต่ละช่วงนั้นด้วย ยิ่งยอดเงินเยอะยิ่งดีค่ะ และยอดเงิน Statement ไม่นับรวมเป็นค่าเรียนนะคะ

ตัวอย่างค่าเรียนรวม statement ที่ต้องมี (โดยประมาณ)

  • สำหรับ 6 เดือน 
    ค่าเรียน 150,000 บาท + Statement 400,000 บาท 
    = 550,000 บาท

NOTE:  ระยะเวลาของ Student Visa ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของคอร์สเรียนนั้น แต่ละประเทศจะอนุญาตให้นักเรียนทำงานได้ต่างกัน ในส่วนของวีซ่านักเรียนออสเตรเลียอนุญาตให้ทำงานได้ไม่เกิน 20 ชั่วโมง/สัปดาห์ในช่วงเปิดเทอม และทำงานได้ไม่จำกัดเวลาในช่วงปิดเทอม

6. งานเยอะตอบโจทย์สาย Multi-Skills 

ผู้ที่ถือวีซ่านักเรียนออสเตรเลียสามารถหางานได้เองเลยค่ะ ซึ่งก็มีหลากหลายแล้วแต่ความถนัดของแต่ละคนเลย ตั้งแต่ร้านอาหารไทย ทำความสะอาด งานฟาร์ม ขับอูเบอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย เราสามารถหางานได้ตามร้านที่รับสมัครค่ะ 

ใครที่มีสกิลและความมั่นใจสูงหน่อยแนะนำว่าถือเรซูเม่เข้าไปในร้านคาเฟ่ หรือร้านที่มีเจ้าของเป็นคนต่างชาติได้เลย รับรองสกิลภาษาจะอัปขึ้นแบบสุดปังแน่นอน แถมอาจได้ค่าจ้างสูงขึ้นด้วยนะคะ! // แนะนำให้ลองเข้ากรุปหางานในออสเตรเลีย & กรุปคนไทยในออสฯ จะมีคนคอยอัปเดตงานเรื่อยๆ ค่ะ 

**การเลือกทำแต่ละงานขอให้เลือกและตัดสินใจดีๆ นะคะ ทั้งที่พัก การเดินทาง คำนวณเวลาเรียน จัดสรรให้ถูกจะได้ไม่เหนื่อยมากทีหลังค่ะ**

เมือง Perth
เมือง Perth
Photo Credit:  unsplash/@urlaubstracker

 

สรุปข้อดีของโครงการนี้คือได้ไปเรียนภาษาเป็นหลัก เจอเพื่อนใหม่ๆ และทำงานไปด้วยได้ค่ะ ส่วนข้อเสียคือค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงเลยเพราะต้องเสียค่าเรียนด้วย น้องๆ คนไหนสนใจก็ลองสอบถามค่าใช้จ่ายจากแต่ละเอเยนซีได้เลยค่ะ (มีเยอะมากกก ลองเทียบและตัดสินใจดีๆ) เพราะออสเตรเลียนั้นค่าเรียนนั้นจะแตกต่างกันขึ้นอยู่ที่เมือง ยิ่งในเมืองใหญ่ๆ ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งสูง แต่รับรองว่าไม่เหงาแน่นอนค่ะ เพราะมีนักเรียนต่างชาติมาเรียนเยอะเช่นกัน // ส่วนใครที่เคยไป Work and Study มาแล้วอยากแชร์สตอรี่ของตัวเอง ก็คอมเมนต์กันได้นะคะ รออ่านอยู่ ^^

 

References:https://www.pearsonpte.com/articles/australian-student-visa-application-guidehttps://unsplash.com/photos/7Zb7kUyQg1E https://unsplash.com/photos/PCbpcMAY_ew https://unsplash.com/photos/ZXgGLpUF8cg https://www.bbc.com/news/world-australia-45093429 
พี่ปลื้ม
พี่ปลื้ม - Columnist คอลัมนิสต์

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น