มัดรวม! 8 โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษเก๋ๆ ยกระดับ ‘Essay’ ให้โดนใจคนอ่าน

สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D ทุกคน พอเปิดเทอมแล้วหลายคนคงต้องกำลังหัวหมุนกับวิชาภาษาอังกฤษอยู่แน่ๆ เลย โดยเฉพาะการเขียนเรียงความภาษาอังกฤษหรือ ‘Essay Writing’ ที่เป็นด่านปราบเซียนของใครหลายคน (รวมถึงพี่ด้วย แหะๆ) แม้ว่าจะยากขนาดไหน แต่ถ้าหากเรารู้จักโครงสร้างประโยคเยอะๆ หรือมีคลังแพตเทิร์นไว้หลากหลายรูปแบบ บอกเลยว่าจะช่วยให้เรียงความของเราสละสลวย เฉิดฉายและมีชั้นเชิง ใครได้อ่านต้องกดไลก์รัวๆ แน่อนนน! ว่าแล้วก็ตามมาจดกันเลยค่ะ  

……….…….

เขียน Essay ทั้งทีต้องมีอะไร?

pic by congerdesign from pixabay
pic by congerdesign from pixabay

ความจริงแล้วเรียงความภาษาอังกฤษนั้นไม่ได้ต่างจากเรียงความภาษาไทยเลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะสุดท้ายมันก็ประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลักๆ เหมือนกัน ได้แก่ คำนำ (Introduction), เนื้อเรื่อง (Body) และสรุป (Conclusion) แต่สูตรสุดฮิตที่เจอบ่อยๆ ต้องยกให้ ‘5 paragraph essay’ หรือการเขียนเรียงความห้าย่อหน้า ที่มีองค์ประกอบดังนี้

  • คำนำ [ย่อหน้าที่ 1]
     
  • เนื้อเรื่อง
    • เนื้อหาที่ 1 [ย่อหน้าที่ 2]
    • เนื้อหาที่ 2 [ย่อหน้าที่ 3]
    • เนื้อหาที่ 3 [ย่อหน้าที่ 4]
  • สรุป [ย่อหน้าที่ 5]

หากอิงตามสูตรนี้แล้ว น้องๆ ควรจะแจกแจงให้ชัดเจนตั้งแต่คำนำว่าส่วนของเนื้อหาที่ 1, 2 และ 3 จะมีข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับเรื่องอะไร พอเราเขียนถึงเนื้อเรื่องในแต่ละส่วนก็ค่อยอธิบายเพิ่มเติมต่อไปให้ชัดเจน ถ้าทำแบบนี้แล้วรับรองว่าคนอ่านจะไม่งงอย่างแน่นอนค่ะ!

จงชัดเจนใน Main Idea

pic by Pexels on pixabay
pic by Pexels on pixabay

Main Idea หรือ ‘ใจความความสำคัญ’ คือแก่นเรื่องทั้งหมดของเรียงความเรา ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคำนำ เนื้อเรื่อง หรือสรุป ทุกอย่างที่เราเขียนมาต้องสอดคล้องกับ Main Idea // ห้ามนอกประเด็นเลยนะ!

พี่ขอยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่าเรากำลังเขียนเรื่องเกี่ยวกับสุนัข โดยมีใจความว่า ‘Dogs are friendly.’ (สุนัขเป็นมิตร) เนื้อหาของเราก็อาจจะประกอบไปด้วยประโยคที่สนับสนุนใจความของเรา เช่น

  •  ‘Dogs love to have interaction with other animals.’ (สุนัขชอบมีปฏิสัมพันธ์กับสัตว์อื่น)
  • ‘Dogs have positive body language with humans.’ (สุนัขมีภาษากายเชิงบวกกับมนุษย์)

แต่ในทางกลับกัน ถ้าใจความของเราคือ  ‘Dogs are friendly.’ แต่เขียนเนื้อหาว่า ‘I like hamburger.’ (ฉันชอบแฮมเบอร์เกอร์) ซึ่งไม่เกี่ยวกันเลยแบบนี้ ถือว่าออกนอกประเด็นอย่างแรง ทั้งนี้ก็ใช่ว่าจะเขียนไม่ได้เสียทีเดียวนะคะ แต่น้องๆ จำเป็นต้องเขียนแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงและกลับไปที่ Main Idea ให้ได้ค่ะ

……….…….

8 โครงสร้างประโยคยกระดับ Essay

หลังจากเข้าใจการเขียน Essay แบบคร่าวๆ แล้ว ลองมาดูโครงสร้างประโยคที่น่าหยิบไปใช้ในการเขียนเรียงความภาษาอังกฤษกันต่อเลยดีกว่าค่ะ บอกเลยว่าเจอบ่อยมากกกก เกียมปากกามาจดต่อเลยค่าา

pic  by Biljana Jovanovic on Pixabay
pic  by Biljana Jovanovic on Pixabay

1. [ N1 ] + is + what + [ N2 ] + is all about

โครงสร้างนี้ใช้เพื่ออธิบายใจความหลักของสิ่งหนึ่งค่ะ แปลคร่าวๆ ก็คือ “… คือความหมายของ …” ประมาณว่าถ้าพูดถึงสิ่งนี้แล้ว ภาพที่สำคัญที่สุด ครอบคลุมที่สุดก็คือคำนี้ 

โดยทั่วไปโครงสร้างนี้จะวางคำนาม [N1] ที่เน้นใจความสำคัญไว้ข้างหน้ามากกว่าา [N2] ซึ่งเป็นอีกสิ่งที่ถูกพูดถึง อธิบายแบบนี้น้องๆ อาจจะยังไม่เห็นภาพ ว่าแล้วก็ลองมาดูประโยคที่คล้ายคลึงกันค่ะ

ประโยคเดิม: This painting is all about the artist's love life. (ภาพวาดนี้มีความหมายเกี่ยวกับชีวิตรักของศิลปิน)   = The artist’s love life is what the painting is all about. (ชีวิตรักของศิลปินคือความหมายที่ภาพวาดนี้ต้องการจะสื่อ) 

เห็นไหมคะว่าการเรียงโครงสร้างประโยคใหม่แบบนี้เป็นการเน้นความหมายมากกว่าค่ะ 

ตัวอย่างประโยคอื่นๆ

  • Beauty is what skin care is all about.
    (ความสวยคือความหมายของการดูแลผิว)
  • Sharing is what love is all about.
    (การแบ่งปันคือความหมายของความรัก)

2. [ N. ] + love + nothing more than + … 

โครงสร้างนี้ใช้บอกถึงสิ่งที่ประธานของประโยครู้สึกชอบมากๆ จนไม่มีอะไรจะมาเทียบเคียงได้เลยค่ะ (ชอบมากแบบตะโกนนนน) ซึ่งจะคล้ายๆ กับรูปประโยคแบบ I love you more than anything. (ฉันรักเธอมากกว่าสิ่งใด) แต่เราพลิกกลับเป็น I love nothing more than you. ฉันไม่เคยรักอะไรไปมากกว่าเธอเลย! บอกเลยว่าไม่ซ้ำซากจำเจแน่นอน~ 

ตัวอย่างประโยค

  • They love nothing more than to be happy.
    (พวกเขาไม่เคยจะรักอะไรไปมากกว่าการมีความสุข)
  • She loves nothing more than fangirling over K-idols.
    (เธอไม่เคยจะรักอะไรไปมากกว่าการหวีดไอดอลเกาหลี)

3. There is no doubt that + …

หากน้องๆ อยากเขียนเพื่อเน้นย้ำแนวคิดทฤษฎี หรือพูดถึงสิ่งที่เห็นๆ กันอยู่แล้ว ลองมาใช้โครงสร้าง “There is no doubt that…” เลยสิคะ แปลแบบง่ายๆ ก็คือ “ไม่ต้องสงสัยเลยว่า…/ไม่มีข้อกังขาเลยว่า…” 

รูปแบบนี้ใช้ได้ทั้งกรณีที่อยากจะเกริ่นเพื่อเชื่อมไปกับเรื่องอื่นๆ เช่น There is no doubt that earth has gravity, but how does it happen? (ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโลกมีแรงโน้มถ่วง แต่มันเกิดขึ้นได้ยังไงล่ะ? = ใช้เล่าต่อถึงเรื่องกำเนิดแรงโน้มถ่วงได้) 

หรือจะใช้ในกรณีพูดคุยปกติในชีวิตประจำวันก็ได้เหมือนกันค่ะ เช่น I got hundred scores in Math. There is no doubt that our teacher is gonna be proud of me. (ฉันได้คะแนนวิชาคณิตศาสตร์ 100 คะแนน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณครูของเราจะต้องภูมิใจในตัวฉันอย่างแน่นอน)

ตัวอย่างประโยค

  • There is no doubt that Taylor is the best in songwriting.
    (ไม่มีข้อกังขาเลยว่าเทย์เลอร์นั้นคือที่สุดในเรื่องของการแต่งเพลง)
  • There is no doubt that they planned to trick us. 
    (ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาวางแผนจะหลอกเรา)

4. Another key thing to remember is + …

ประโยคนี้ใช้สำหรับเน้นย้ำสิ่งที่เราต้องการจะบอกผู้อ่านค่ะ แปลได้ว่า “อีกสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ก็คือ…” ประมาณว่าต้องจำให้ขึ้นใจเลยนะ! มักจะเป็นกฎเหล็ก สิ่งจำเป็นที่ถูกลืมบ่อยๆ และเนื้อหาสำคัญ (รีบเอาปากกามาวงด่วนๆ)

ถ้าสังเกตดูก็จะพบว่าประโยคนี้มีคำว่า Another ที่แปลว่า อีกสิ่ง, สิ่งอื่น, อย่างอื่น  ซึ่งหมายความว่าประโยคนี้จะใช้เขียนหลังจากส่วนสำคัญก่อนหน้าได้เขียนขึ้นแล้ว หรือ ใช้พูดหลังจากคู่สนทนาพูดสิ่งสำคัญไป แล้วเราก็พูดเสริมขึ้นอีกนั่นเองค่ะ

ตัวอย่างประโยค

  •  Another key thing to remember is this house is haunted. 
    (อีกสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ก็คือบ้านนี้มีผีสิง)
  • Another key thing to remember is do not forget your concert ticket. 
    (อีกสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ก็คือ อย่าลืมบัตรคอนเสิร์ตของคุณ)
pic by mariofcomeh61 on Pixabay
pic by mariofcomeh61 on Pixabay

5. [ N. ] + may + put on a + [ Adj. ] + front but inside 
+ [ Sentence ]

ประโยคนี้ก็น่าจดไปใช้มากกก เพราะเป็นการพูดถึงความขัดแย้งระหว่างภายในและภายนอกค่ะ แปลว่า “… อาจจะดู …. แต่ข้างในนั้น ….”

put on a …. front ในที่นี้หมายถึงภาพลักษณ์ที่แสดงออกมา และ inside ในที่นี้ก็หมายถึงตัวตนที่แท้จริง  ทริกการจำง่ายๆ ก็คือ ลองนึกถึงสุภาษิตไทยที่บอกว่า ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง หรือ ข้างนอกขรุขระข้างในต๊ะติ๊งโหน่งก็ได้ค่ะ (หรือยากกว่าเดิมนะ 555555)

ตัวอย่างประโยค

  • Otters may put on a cute front but inside they are predators.
    (ตัวนากอาจจะดูน่ารัก แต่แท้จริงแล้วพวกมันเป็นสัตว์นักล่า)
  • Celebrities may put on a perfect front but inside they are also normal. 
    (คนดังอาจจะดูสมบูรณ์แบบ แต่พวกเขาก็เป็นคนทั่วไปนี่แหละ)

6. The + [ Comparative adj/adv.] +…, + 
[ The comparative adj./adv.] + …

ยังจำบทเรียนการเปรียบเทียบในภาษาอังกฤษกันได้มั้ยคะ? ใช่แล้วค่ะ! พวกที่ต้องเติม -er หรือใส่ more ข้างหน้า หรือที่เรียกว่า “Comparative adj/adv.” ซึ่งเราจะใช้เวลาที่ต้องการพูดถึง “อะไรที่…กว่า” เช่น older (แก่กว่า), newer (ใหม่กว่า), longer (นานกว่า), more expensive (แพงกว่า), more complex (ซับซ้อนกว่า) เป็นต้น

แต่สำหรับรูปแบบประโยคนี้จะเป็นการรวม 2 วลีไว้ในประโยคเดียวกัน แปลแบบกระชับได้ว่า “ยิ่ง…เท่าไหร่ ก็ยิ่ง…เท่านั้น”  เช่น ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งปวดหัวมากเท่านั้น หรือ ยิ่งตั้งใจเรียนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีผลการเรียนดีมากเท่านั้น เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น ก็ลองไปดูตัวอย่างประโยคข้างล่างกันดีกว่าค่ะ

ตัวอย่างประโยค

  • The lesser you spend, the more you save.
    (ยิ่งคุณใช้น้อยเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งประหยัดมากขึ้นเท่านั้น)
  • The more you practice, the better results you get.
    (ยิ่งคุณซ้อมมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งได้ผลลัพธ์ที่ดีมากเท่านั้น)

7. The reason why + [ N. ] + … + is that + …

เวลาจะอธิบายเหตุผล พี่เชื่อว่าน้องๆ หลายคนคงเลือกใช้คำว่า ‘Because …… ’ กันใช่มั้ยล่ะ แต่แบบนี้ก็จะดูเบสิคไปหน่อย และเพื่อดูเป็นภาษาเขียนที่สละสลวยมากขึ้น โครงสร้างประโยคนี้ที่มีความหมายว่า “เหตุผลที่ … ก็คือ …” ก็น่าจดไปใช้ไม่น้อยเลยค่ะ 

ประโยคเดิม: I want to eat because I’m hungry. (ฉันอยากกินเพราะฉันหิว) = The reason why I want to eat is that I am hungry. (เหตุผลที่ฉันอยากกิน ก็เพราะว่าฉันหิว) 

เห็นได้ชัดเลยว่าใจความคล้ายเดิมแต่กลับเน้นย้ำถึงเหตุผลมากขึ้น แถมหลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำใน essay ได้อีกด้วย!

ตัวอย่างประโยค 

  • The reason why I respect him is that he speaks for people.
    (เหตุผลที่ฉันเคารพเขา ก็เพราะว่าเขาเป็นกระบอกเสียงเพื่อประชาชน)
  • The reason why she left you is that she doesn’t love you anymore.
    (เหตุผลที่เธอทิ้งคุณไป ก็เพราะว่าไม่ได้รักคุณอีกต่อไปแล้ว)

8. It is time for + [ N. ] + to + …

สำหรับประโยคปิดท้ายขอยกให้โครงสร้างนี้เลยค่ะ มีความหมายว่า “ได้เวลาแล้วสำหรับ/ที่ … จะ…”  ซึ่งใช้ได้ในหลายๆ บริบทมากๆ ทั้งเวลาเขียนเรื่องซีเรียส เช่น ได้เวลาแล้วที่คนไทยจะตระหนักเรื่องประชาธิปไตย หรือเรื่องชิลๆ ขำๆ เช่น ได้เวลาแล้วที่เราต้องเลิกติ่ง // เอาไปปรับใช้ได้หมดเลอออ

ตัวอย่างประโยค

  • It is time for me to shine.
    (ได้เวลาแล้วที่ฉันจะเฉิดฉายเปล่งประกาย)
  • It is time for LGBTQ+ people to have equal rights.
    (ได้เวลาแล้วที่ชาว LGBTQ+ จะได้รับสิทธิเท่าเทียม)

ถ้าอยากได้วลีและคำเชื่อมเด็ดๆ อีก ดูต่อได้ที่

15 คำและวลีเริ่ดๆ ช่วยพลิกโฉม Essay ธรรมดาให้ Perfect กว่าที่เคย

………

เป็นยังไงกันบ้างคะ >< หวังว่าน้องๆ ทุกคนคงจะได้ประโยคไปหัดแต่งเขียน essay กันเพิ่มนะคะ แต่สำหรับตอนนี้  ‘It is time for me to say goodbye.’ แล้วค่ะ ได้เวลาแล้วที่พี่พันตาจะต้องบอกลาน้องๆ ไว้เจอกันใหม่ใน English Issues บทความหน้าค่า~

**********************

sources:https://learnenglishfunway.com/20-useful-structures-help-you-write-better-essays/#There_isntwasnt_time_for_someone_to_V’https://magoosh.com/ielts/useful-sentence-patterns-ielts-writing/ 
พี่พันตา
พี่พันตา - Columnist คนที่ไม่ได้มีพันตาแต่อยากทะลุมิติไปพันล้านพหุจักรวาล

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น