อะไรก็แพงไปหมด! พาส่อง “No-spend challenge” เทรนด์การใช้ชีวิต 0 วอนของชาวเกาหลี

อันยองฮาเซโยชาว Dek-D ทุกคนค่าา~ ในยุคที่มีสังคมมีความไม่แน่นอนอยู่ตลอดเวลาและไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้ และใครหลายคนต่างไขว่คว้าหาความสุขให้กับตัวเอง ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ตอบโจทย์ได้เร็วที่สุดก็คือ การมีเงินและใช้เงินซื้อของในสิ่งที่เราต้องการ  อย่างหลายปีก่อนในเกาหลีมีเทรนด์ฮิตในหมู่วัยรุ่นที่เรียกว่า "시발비용" (shibal biyong) ซึ่งแปลเป็นไทยก็คือ ‘การใช้จ่ายแบบอยากได้อะไรก็ซื้อแม่งไปเถอะ!’  เพราะคิดว่าต่อให้หาเงินไปเท่าไหร่ ในอนาคตก็ไม่มีทางรวยอยู่ดี (และจะมีชีวิตถึงวันนั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้) ดังนั้นหาเงินได้แล้วก็ใช้เลยสิคะ ซื้อวันนี้ก็มีความสุขวันนี้แหละ!  

แต่ด้วยความที่สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันสั่นคลอนไปทั่วโลก จากที่เคยใช้เงินแบบไม่สนอนาคต ตอนนี้ชาวเกาหลีก็ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สอยให้ประหยัดมากขึ้น จนทำให้เกิดเป็นเทรนด์ใหม่ที่ชื่อว่า “#무지출 챌린지 (no-spend challenge)” หรือการใช้ชีวิตด้วยเงิน 0 วอน! บอกเลยว่าชาเลนจ์นี้กำลังมาแรงมากกกก สงสัยมั้ยว่าแต่ละคนมีวิธีเซฟเงินยังไงบ้าง แล้วไม่ใช้จ่ายสักวอนจะใช้ชีวิตได้จริงๆ หรอ? ตามมาส่องเทรนด์นี้กันเลยค่ะ 가자~

Note:

  • 시발 = เป็นคำสบถของเกาหลี (มีความหมายเหมือนคำว่า f*ck ในภาษาอังกฤษ)
  • 비용 = ค่าใช้จ่าย
  • 무지출 = ไม่มีค่าใช้จ่าย
  • 챌린지 = ชาเลนจ์, ความท้าทาย

• • • • • • • • • •

ฉันจะใช้เงินแบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้น!

Photo  Credit:  yna.co.kr
Photo  Credit:  yna.co.kr

แน่นอนว่าที่มาของ “무지출 챌린지” (No Spend Challenge) หรือชาเลนจ์การใช้จ่ายเป็นศูนย์ (0) เกิดจากพิษเศรษฐกิจในปัจจุบันนั่นเองค่ะ ทั้งเรื่องอัตราเงินเฟ้อ น้ำมันแพง และราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งปกติแล้วประเทศเกาหลีใต้ก็มีค่าครองชีพที่สูงมากอยู่แล้ว ก็ยิ่งบวกเพิ่มขึ้นไปอีก

อย่างในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาข้อมูลจากสถิติเกาหลีเผยว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index) เพิ่มสูงถึง 6% ถือเป็นเปอร์เซนต์ที่สูงสุดในรอบ 23 ปีเลยล่ะค่ะ // ฝั่งไทยบ้านเราก็ไม่ต่างกันค่ะ อัตราเงินเฟ้อปีนี้เพิ่มสูงสุดในรอบ 13 ปีเลยค่าา 

นอกจากเหตุผลข้างต้นแล้ว ยังมีปัจจัยด้านเงินเดือนหรือรายได้ที่ไม่สัมพันธ์กับค่าใช้จ่ายที่แพงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้คนต้องหันมาใช้จ่ายกันอย่างประหยัดมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนนั่นเองค่ะ

• • • • • • • • • •

“ถึงจะมี 0 วอน ฉันก็อยู่ได้!”

Photo  Credit:  m.imbc.com
Photo  Credit:  m.imbc.com

แน่นอนว่ามีผู้คนให้ความสนใจกับเจ้าชาเลนจ์ใช้จ่าย 0 วอนจำนวนมาก โดยเฉพาะวัยรุ่นยุค MZ ที่มักจะเป็นคนนำเทรนด์ใหม่ๆ ให้กับสังคม ซึ่งก่อนหน้านี้วัยรุ่นกลุ่มนี้จะใช้ชีวิตด้วยแนวคิด ‘YOLO’ (You Only Live Once) ที่เน้นบริโภคนิยม ใช้จ่ายเพื่อเติมความสุขให้กับตัวเองแบบเต็มที่ จนเกิดเป็นเทรนด์ ‘시발비용’ ที่กล่าวไปด้านบน 

แต่เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจเปลี่ยนไป บวกกับเป็นกลุ่มคนที่ชื่นชอบความท้าทาย ทำให้ชาเลนจ์นี้ฮิตมากๆ ในหมู่วัยรุ่น MZ นั่นเอง โดยแต่ละคนก็ออกมาช่วยกันแชร์ทริกการใช้ชีวิตแบบประหยัดๆ ลงในช่องทางโซเชียลต่างๆ ทั้ง Instagram, TikTok หรือ YouTube เป็นต้น ยกตัวอย่างวิธีการเซฟงบของแต่ละคน เช่น

Photo Credit: Unsplash
Photo Credit: Unsplash
  • ทำเมนูอาหารง่ายๆ จากของเหลือในตู้เย็น // เจออะไรก็หยิบมารังสรรค์เมนูใหม่ในราคา 0 วอนไปเล้ยย
  • เมื่อน้ำมันแพงนักก็เปลี่ยนมาเดินหรือขี่จักรยานไปทำงานแทนการใช้รถสาธารณะหรือรถยนต์ (มีทางเท้าดีๆ ให้เดิน แถมกว้างและสะอาดแบบนี้ก็ถือว่าออกกำลังกายไปเลยสิคะ)
  • ตัดผมด้วยตัวเองแทนการไปซาลอน
  • แชร์ทริปทำยังไงให้ได้คูปองกินกาแฟฟรี
  • เชิญชวนให้หันมาใช้แอป ‘당근마켓 (Karrot)’ ซึ่งเป็นแอปสำหรับขายของมือสอง และแอป '앱테크' ที่เพียงเดินเยอะๆ ก็สามารถนำแต้มจากจำนวนก้าวไปแลกคูปองซื้อของได้ // ปังมากก

นอกจากทริกข้างบนแล้ว ยังมีชาวเน็ตหลายคนที่ทดลองทำชาเลนจ์นี้และทำเป็น Vlog แชร์ไลฟ์สไตล์ให้ทุกคนดูผ่านสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ โดยน้องๆ สามารถเข้าไปส่องเพิ่มเติมได้ที่ #무지출챌린지 ทั้งในIG,  YouTube และ TikTok เลยค่ะ มีคนทำชาเลนจ์ไว้เพียบเลยย

• • • • • • • • • •

ฟังดูดี แต่อาจทำไม่ได้จริง

Photo Credit: Unsplash
Photo Credit: Unsplash

แม้ว่าเทรนด์นี้จะเป็นที่นิยมไม่น้อย แต่ก็มีชาวเน็ตหลายคนออกมาค้านว่าเจ้าชาเลนจ์ 0 วอนไม่มีทางทำได้ 100% โดยให้ความเห็นว่าอาจจะลดค่าใช้จ่ายได้แค่ค่าเดินทาง เพราะยังไงก็ต้องใช้เงินซื้อข้าวหรือวัตถุดิบอยู่ดีแม้ว่าจะทำอาหารด้วยตัวเองก็ตาม บางส่วนก็ออกมาพูดว่าถ้าตั้งเป็นเป้าหมายรายเดือนจะดูสมเหตุสมผลมากกว่า เช่น ในเดือนนี้จะใช้เงินสำหรับค่าอาหารเพียง 300,000 วอน (ประมาณ 8,400 บาท) เป็นต้น

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนมองว่าชาเลนจ์นี้จะทำให้คนขาดปฏิสัมพันธ์กับสังคม เพราะบางคนเคร่งกับการใช้ชีวิตมากๆ จนถึงขั้นไม่ยอมไปดื่ม ไปเที่ยวกับเพื่อน หรือไม่ออกไปเจอใครเลย และอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตเพราะเครียดเกินไปอีกด้วยค่ะ

• • • • • • • • • •

ในมุมของพี่เองมองว่ามันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำได้ยั่งยืนขนาดนั้น ดูเหมาะกับช่วงที่จำเป็นต้องประหยัดมากกว่า แต่ก็ถือว่าเป็นเทรนด์ที่น่าสนใจดีนะคะ ทริกบางอันก็สามารถทำตามได้เลย แถมช่วยลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไปได้ด้วยย แล้วน้องๆ ชาว Dek-D มีเคล็ดลับประหยัดเงินในยุคข้าวยากหมากแพงแบบนี้กันยังไงบ้างคะ มาแชร์กันได้เลยน้า ^^ แล้วเจอกันใหม่บทความหน้าค่า อันยอง~

Sources:https://www.koreatimes.co.kr/www/nation/2022/08/718_333613.html http://www.ohmynews.com/NWS_Web/View/at_pg.aspx?CNTN_CD=A0002856702 https://www.mstoday.co.kr/news/articleView.html?idxno=79435 http://www.newsway.co.kr/news/view?ud=2022071516212152414 https://www.usmbc.co.kr/article/letter-0726 Photo  Credits: https://www.dailypop.kr/news/articleView.html?idxno=61764https://www.yna.co.kr/view/MYH20220718019200641https://m.imbc.com/enews/view/354358
พี่บีมบัน
พี่บีมบัน - Columnist สาวใต้ผู้หลงรักเครื่องเขียน ศิลปะ และติดซีรีส์จนไม่ยอมนอน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น