สวัสดีน้องๆ ชาว Dek-D ค่ะ เชื่อว่าหลายคนที่อ่านบทความนี้อยู่อาจกำลังวางแผนเรียนต่อต่างประเทศ หรือบางคนอาจมีความสนใจที่จะเรียนต่อ แต่ยังจับจุดไม่ถูกว่าว่าควรเริ่มจากตรงไหน และมีเรื่องอะไรที่เราควรรู้บ้าง
วันนี้พี่พลอยกี้เลยขออาสาทำ Q&A พาไปเคลียร์ให้ชัดทุกประเด็นที่หลายคนมักสงสัยกัน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกมหาวิทยาลัย, การเขียน SoP ให้โดนใจกรรมการ, วิธีการสมัครทุนการศึกษา, การเตรียมตัวสมัครเรียน ฯลฯ จะมีคำถามที่เราสงสัยอยู่มั้ย ตามมาหาคำตอบกันต่อเลย!
…………………..
ปักหมุดเรียนต่อที่ไหนดี?
“อยากเรียนต่อนอก แต่ไม่รู้ว่าควรไปที่ไหนดี?”
“อยากเรียนต่อต่างประเทศ ไปที่ไหนก็ได้ ช่วยแนะนำหน่อย”
ที่ผ่านมามีน้องหลายคนเข้ามาปรึกษาและขอคำแนะนำเกี่ยวกับประเทศที่จะไปเรียนต่อ บางคนอาจมีช้อยส์และไอเดียในใจไว้บ้างแล้ว บางคนก็อยากให้ช่วยแนะนำว่าประเทศไหนก็ได้ เบื้องต้นแนะนำว่าให้น้องๆ ลองพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ลองแยกออกมาทีละประเด็น เพื่อหาจุดหมายที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของเราที่สุด ยกตัวอย่างเช่น
สาขาที่ต้องการเรียนต่อ
แต่ละประเทศมีสาขาวิชาที่คนนิยมไปเรียนต่อแตกต่างกัน สำหรับใครที่มีสาขาในใจอยู่แล้ว ขอแนะนำให้ลองเช็กจากเว็บ QS World University Rankings by Subject ซึ่งจัดอันดับให้เห็นกันชัดๆ ว่าสาขาที่ต้องการเรียนนั้น มีมหาวิทยาลัยไหนในโลกที่มีชื่อเสียงบ้าง อาจช่วยให้เจอมหา’ลัยที่ใช่ได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้น้องๆ ควรเข้าไปหน้าเว็บของมหาวิทยาลัย เพื่อเช็กข้อมูลหลักสูตรที่เราสนใจว่าจะได้เรียนวิชาอะไรบ้าง ใช้เวลาเรียนนานไหม ค่าเทอมเท่าไหร่ ใช้เอกสารอะไรในการสมัครเรียนบ้าง เป็นต้น เพราะแต่ละสาขาจะมีรายละเอียดแตกต่างกัน การศึกษาข้อมูลอย่างถี่ถ้วนถือเป็นสิ่งสำคัญเลยก็ว่าได้
ค่าใช้จ่ายในการเรียนต่อ
อย่างที่รู้กันว่าการเรียนต่อต่างประเทศนั้นมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ทั้งค่าเทอม ค่าครองชีพ ค่าที่พัก ค่าประกันสุขภาพ และค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆ อีกมากมาย โดยเบื้องต้นอาจคำนวณค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ได้ผ่านช่องทางต่อไปนี้
- ค่าเทอม & ค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการเรียน : เช็กได้ที่เว็บไซต์ของโปรแกรมที่อยากเรียนต่อ
- ค่าครองชีพ : เช็กข้อมูลเบื้องต้นได้ที่เว็บไซต์ NUMBEO (เว็บนี้จะสรุปค่าใช้จ่ายรายเดือนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เช่น อาหาร, ที่พัก, ค่าเดินทาง ฯลฯ และยังมีโปรแกรมเทียบค่าใช้จ่ายระหว่าง 2 ประเทศให้ใช้งานด้วย)
ภาษาที่ใช้เรียน
มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่มักจัดการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ แต่ในบางประเทศที่มีภาษาเป็นของตัวเอง เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน เยอรมนี ฝรั่งเศส เป็นต้น อาจจะมีโปรแกรมที่ต้องภาษาตัวเองในการเรียนการสอน ดังนั้น น้องๆ จึงอาจต้องเตรียมความพร้อมภาษา และต้องมีคะแนนใช้ยื่นสมัครเรียนด้วย
แต่อย่าเพิ่งกังวลไปค่ะ เพราะมหาวิทยาลัยแต่ละที่จะมีคอร์สปรับพื้นฐานภาษาให้ลงเรียนก่อนเปิดเทอม ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เวลาเรียน 1 ปี จากนั้นจึงจะเรียนต่อในระดับปริญญาได้ อีกทั้งบางสาขาอาจเปิดสอนเป็นหลักสูตรอินเตอร์ด้วย (แล้วแต่มหา’ลัย)
โอกาสทำงานต่อหลังเรียนจบ
ในการเรียนต่อต่างประเทศ น้องๆ ควรตั้งเป้าหมายให้กับตัวเองเอาไว้ว่า เราเรียนไปเพื่ออะไร จะใช้ต่อยอดอะไรได้บ้าง หรือมีเส้นทางอาชีพสายไหนที่เราอยากทำ ถ้าเรามีคำตอบให้ตัวเองอย่างแน่วแน่ ก็จะยิ่งช่วยให้เราเตรียมพร้อมและเรียนต่อต่างประเทศได้อย่างเป็นไปตามโกลมากขึ้น
ดังนั้นจึงแนะนำให้ศึกษาเกี่ยวกับหลักสูตรที่เราสนใจเรียนต่อว่า จบไปแล้วทำอะไรได้บ้าง หรือทางคณะ/มหาวิทยาลัยที่เราจะไปเรียนนั้นมี connection ร่วมกับบริษัทหรืออุตสาหกรรมมากแค่ไหน หรือมีการช่วย support เส้นทางหลังเรียนจบ (career paths) ให้กับนักศึกษายังไงบ้าง หรือลองหารีวิวจากรุ่นพี่ใน YouTube, Blog หรือในคอลัมน์ประสบการณ์เด็กนอก by Dek-D เพื่อเป็นแนวทางและเห็นภาพรวมมากขึ้น
นอกจากนี้หลายคนที่วางแผนเรียนต่อนอก มักสนใจเรื่องการทำงานต่อในประเทศนั้นๆ เพราะนอกจากเป็นโอกาสเก็บเกี่ยวประสบการณ์แล้ว บางประเทศก็อาจสนับสนุนการขอ Permanent Residence หรือ PR เพื่อย้ายถิ่นฐานในอนาคตได้ด้วย
ตัวอย่างประเทศที่มีวีซ่าให้นักเรียนต่างชาติ สามารถทำงานหลังเรียนจบได้
(อัปเดตข้อมูล เมษายน 2567)
- สหราชอาณาจักร: อนุญาตให้ผู้ถือ Student Visa ระดับ ป.ตรี/โท สามารถสมัคร Graduate Visa เพื่ออยู่หางานต่อได้ 2 ปี (3 ปี สำหรับระดับ ป.เอก) และเมื่อจบระยะวีซ่านี้แล้วสามารถสมัครวีซ่าประเภทอื่นๆ เพื่อพำนักต่อได้อีก เช่น Skilled Worker, Global Talent หรือ Innovator routes
- สหรัฐอเมริกา: อนุญาตให้ผู้ถือ F Student Visa สามารถสมัครโปรแกรม Optional Practical Training (OPT) ประเภท Pre-completion OPT (ทำงานก่อนเรียนจบ) และ/หรือ Post-completion OPT (ทำงานหลังเรียนจบ) โดยแบ่งเป็น
- กรณีเรียนจบสาขาอื่นๆ : ได้สิทธิ์ทำงานเป็นเวลา 12 เดือน
- กรณีเรียนจบสาขา STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics): ได้รับสิทธ์ขยายเวลาทำงาน (STEM OPT Extension) เพิ่มอีก 24 เดือน (รวมเป็น 36 เดือน)
- ออสเตรเลีย: ผู้ถือวีซ่านักเรียน (Subclass 500) ระดับปริญญา สามารถยื่นขอวีซ่าทำงานชั่วคราวหลังเรียนจบ (Subclass 485) ประเภท Post Study Work ได้ โดยมีระยเวลาดังนี้
- ป.ตรี: 4 ปี
- ป.โท: 5 ปี
- ป.เอก: 6 ปี
Note: รายละเอียดการยื่นขอวีซ่าทำงานหลังเรียนจบอาจเปลี่ยนแปลงได้ในภายหลัง โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ที่หน้าเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศของแต่ละแห่งค่ะ
วัฒนธรรม
เพราะการไปเรียนต่อต่างประเทศ เราไม่ได้แค่ไปเรียนอย่างเดียว แต่ต้องใช้ชีวิตอาศัยอยู่ร่วมกับผู้คนในประเทศนั้นๆ ด้วย ดังนั้น ถ้าหากจะไปเรียนต่อที่ไหนก็ควรศึกษาเรื่องสังคม และไลฟ์สไตล์แต่ละประเทศ เพื่อเลือกดูว่าเราเข้ากับวัฒนธรรมแบบไหน ลองจินตนาการภาพว่าเราจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างราบรื่นหรือไม่ หรือว่ามีเรื่องอะไรที่เราควรรู้และปรับตัวก่อนไปเรียนบ้าง
สภาพอากาศ
ต้องบอกว่าเรื่องของอากาศก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญมากๆ ในการใช้ชีวิตเรียนต่อในต่างประเทศ เพราะส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจโดยตรง น้องๆ ลองจินตนาการดูว่า ถ้าหากเราได้ไปเรียนต่อในประเทศที่มีฝนตกแทบทุกวัน หรือบางประเทศมีฤดูหนาวที่ยาวนาน มีหิมะตกทุกวันและแทบไม่มีแสงแดด เราจะใช้ชีวิตอยู่ได้มั้ย? เพราะที่ผ่านมามีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกซึมเศร้าและหดหู่กับสภาพอากาศ และตกอยู่ในภาวะ Seasonal Affective Disorder (SAD) หรือซึมเศร้าตามฤดูกาล
ดังนั้น น้องๆ จึงต้องศึกษาให้ดีว่าประเทศนั้นๆ มีกี่ฤดู ฝนตกบ่อยไหม อุณหภูมิสูงสุด-ต่ำสุดเท่าไหร่ ฯลฯ เพื่อที่จะได้เตรียมพร้อมปรับตัวและรับมือกับสภาพอากาศที่จะเจอหลังไปเรียนต่อนั่นเองค่ะ
ควรเตรียมตัวตั้งแต่ตอนไหน?
การเตรียมตัวที่ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง! ดังนั้นใครที่มีจุดหมายชัดเจนแล้วว่าอยากเรียนต่อที่ไหน ขอแนะนำให้เตรียมตัวล่วงหน้าก่อนสมัครประมาณ 1 ปี เพราะการเตรียมเอกสารอาจกินเวลานานได้ เนื่องจากปัจจัยหลายอย่างที่อาจเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น
- เอกสารบางฉบับ (เช่น Transcript, ใบแสดงวุฒิการศึกษา, เอกสารที่เป็นภาษาไทย) จะต้องนำไปแปลเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นๆ และรับรองให้เรียบร้อยก่อนสมัคร (แล้วแต่มหาวิทยาลัย)
- จดหมายแนะนำ (Recommendation Letter) ควรติดต่ออาจารย์แต่เนิ่นๆ เพื่อให้ท่านมีเวลาในการเขียน
- หากต้องใช้คะแนนภาษายื่นสมัครด้วย เราก็ต้องไปสอบวัดระดับภาษาก่อน โดยแต่ละประเภทจะเปิดสอบเป็นช่วงๆ และอาจใช้เวลาตรวจนาน ถ้าเราสอบช่วงใกล้วันเปิดรับสมัคร ผลคะแนนอาจออกมาไม่ทันได้ค่ะ
ต้องยื่นเอกสารอะไรบ้าง?
เอกสารที่มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ให้ยื่นส่ง มีดังนี้
- เอกสารยืนยันตัวตน เช่น สำเนาหนังสือเดินทาง, สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน เป็นต้น
- เอกสารทางการศึกษา เช่น ใบคาดว่าจะจบ, ใบแสดงวุฒิการศึกษา, Transcript เป็นต้น
- จดหมายแนะนำ (Recommendation Letter) จากอาจารย์หรือหัวหน้างาน
- เรียงความแนะนำตัว (Statement of Purpose; SoP)
- ผลสอบวัดระดับภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นๆ
Note: แต่ละหลักสูตร/มหา’ลัยจะกำหนดเอกสารการสมัครเรียนแตกต่างกัน น้องๆ ควรเช็กในหน้าเว็บไซต์ รวมถึงระเบียบการรับสมัคร (Guideline) อย่างละเอียดนะคะ
เขียน SoP ยังไงให้โดนใจกรรมการ?
Statement of Purpose (SoP) หรือ Personal Statement เป็นเอกสารสำคัญในการสมัครเรียนหรือสมัครทุนก็ว่าได้ เพราะช่วยทำให้คณะกรรมการรู้จักเรามากขึ้นว่า เราเป็นใคร มาจากไหน มีจุดเด่นอะไรบ้าง ฯลฯ หรือพูดง่ายๆ ก็คือเป็นการพรีเซนต์ตัวเองผ่านเรียงความ เพื่อให้เขาเห็นว่าทำไมควรเลือกเรานั่นเอง
- และหากใครอยากได้ Tips เด็ดๆ ในการเขียน SoP ตามไปอ่านกันต่อในบทความนี้ได้เลยค่ะ : แชร์ 7 ทริคเขียน ‘Personal Statement’ แบบปังๆ ยื่นสมัครทุนที่ไหนก็ได้หมด!
- นอกจากนี้มหา’ลัยอาจขอให้ส่งเรียงความประเภทอื่นเพิ่มเติม ซึ่งเราก็ได้สรุปทริกในการเขียนไว้ให้แล้ว!
ต้องสอบวัดระดับภาษาใดบ้าง?
ผลสอบวัดระดับภาษาที่ต้องยื่นสมัครมักขึ้นอยู่กับหลักสูตรนั้นๆ ว่าใช้ภาษาอะไรในการเรียนการสอน โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 กรณีหลักๆ ดังนี้ค่ะ
- หลักสูตรที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ: มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ให้ยื่นคะแนนภาษาอังกฤษ อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น IELTS Academic, TOEFL, SAT, ACT, PTE เป็นต้น (แล้วแต่มหา’ลัย)
- หลักสูตรที่สอนเป็นภาษาต่างประเทศอื่นๆ: มักใช้ผลสอบวัดระดับภาษาของประเทศนั้นๆ เช่น TOPIK (เกาหลี), JLPT (ญี่ปุ่น), DELF (ฝรั่งเศส), Goethe-Zertifikat (เยอรมนี), HSK (จีน) เป็นต้น
Note: คะแนนขั้นต่ำขึ้นอยู่กับทางหลักสูตรกำหนด
[ชวนอ่านต่อ]
- เทียบกันให้ชัด! รู้จัก 5 การสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่ใช้ยื่นมหา’ลัยได้ทั่วโลก
- อ่านก่อนสมัครผิด! เปรียบเทียบ ‘TOEFL ITP’ กับ 'TOEFL iBT’ ต่างกันตรงไหน? ใช้ยื่นกรณีอะไรบ้าง?
- รู้จัก 'Duolingo English Test' การสอบภาษาอังกฤษออนไลน์แบบใหม่ ใช้ยื่นเข้ามหา'ลัยได้ทั่วโลก! (ราคาไม่แพงด้วย)
- รู้จัก ‘Goethe-Zertifikat’ การสอบภาษาเยอรมัน ใช้ได้ทั้งเรียนต่อ-ขอทุน-สมัครงานในเยอรมนี
- ไม่ได้มีแค่ DELF: พาไปรู้จัก ‘TCF’ การสอบวัดระดับภาษาฝรั่งเศสสำหรับยื่นมหา’ลัย! (ต่างกันยังไงบ้าง?)
- HSK9 มาแน่! รวม 6 เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับมาตรฐานวัดความรู้ภาษาจีนแบบใหม่
มหาวิทยาลัยจะเปิดรับสมัครเมื่อไหร่?
มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะเปิดรับสมัครล่วงหน้า ประมาณ 6 เดือน - 1 ปี ก่อนที่เราจะไปเรียนค่ะ โดยมหาวิทยาลัยในแต่ละประเทศจะมีช่วงวันเปิด-ปิดรับสมัครแตกต่างกัน // ลองมาเช็ก Timeline คร่าวๆ ของจุดหมายการเรียนต่อยอดฮิตกันค่ะ!
Timeline สมัครเรียนต่อ ‘สหราชอาณาจักร’
เทอม (Intake) | ช่วงเวลารับสมัคร |
September (เปิดเทอมเดือนกันยายน) | เดือนกันยายน - มีนาคม |
January (เปิดเทอมเดือนมกราคม) | เดือนกันยายน - พฤศจิกายน |
Timeline สมัครเรียนต่อ ‘สหรัฐอเมริกา’
เทอม (Intake) | ช่วงเวลารับสมัคร |
Fall (เปิดเทอมเดือนกันยายน) | เดือนสิงหาคม - ธันวาคม |
Spring (เปิดเทอมเดือนมกราคม) | เดือนมกราคม - เมษายน |
Summer (เปิดเทอมเดือนมิถุนายน) | เดือนพฤษภาคม - สิงหาคม |
Timeline สมัครเรียนต่อ ‘เกาหลีใต้’
เทอม (Intake) | ช่วงเวลารับสมัคร |
Fall (เปิดเทอมเดือนกันยายน) | เดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน |
Spring (เปิดเทอมเดือนมีนาคม) | เดือนกรกฎาคม - ตุลาคม |
Note:
- บางหลักสูตร/มหาวิทยาลัยอาจมีกำหนดการรับสมัครและวิธีการสมัครแตกต่างไป โปรดตรวจสอบที่หน้าเว็บไซต์ของแต่ละแห่ง
- บางเทอม (Intake) อาจไม่ได้เปิดรับสมัครทุกหลักสูตร ดังนั้นเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย เราควรเช็กดีๆ ว่าคอร์สที่อยากเรียนนั้นเปิดรับสมัครเทอมไหน เพราะบางทีอาจมีคนสมัครเป็นจำนวนมาก และอาจรับแบบ first come, first served
- ข้อมูลในตารางด้านบนอ้างอิงจากเว็บไซต์ UCAS ระบบส่วนกลางที่ใช้สมัครเรียนต่ออังกฤษ, ระเบียบการรับสมัครของมหา’ลัยในเกาหลีใต้ รวมถึง Hands On ผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนต่อ UK และ USA
How To: สมัครเรียนยังไง?
ปกติแล้วมหาวิทยาลัยจะให้กรอกใบสมัครและอัปโหลดเอกสารที่เกี่ยวข้องผ่านระบบออนไลน์ อาจมีบางแห่งที่ต้องส่งเอกสารการสมัครไปทางไปรษณีย์ น้องๆ สามารถศึกษาวิธีการสมัครอย่างละเอียดได้ที่หน้าเว็บไซต์ของแต่ละที่ค่ะ ทั้งนี้ ทางมหาวิทยาลัยอาจเป็นพาร์ตเนอร์กับเอเจนซีต่างๆ ซึ่งเราสามารถใช้บริการในการสมัครผ่านตัวเอเจนซีได้ด้วยเช่นกัน
ใช้บริการเอเจนซีดีไหม?
อย่างที่บอกไว้ในหัวข้อที่แล้วว่า บางมหาวิทยาลัยเป็นพาร์ตเนอร์กับเอเจนซี ซึ่งเป็นตัวแทนให้บริการด้านการเรียนต่อต่างประเทศ ซึ่งข้อดีคือเขาจะให้คำปรึกษาแบบไม่คิดค่าบริการ ตั้งแต่ขั้นตอนหาโปรแกรมและมหาวิทยาลัยที่ตอบโจทย์กับเรา, ดำเนินการสมัครเรียน, คอยติดตามผลการสมัคร รวมถึงอำนวยความสะดวกเรื่องการหาที่พักให้ด้วย (แล้วแต่เอเจนซี)
เหมาะสำหรับใครบ้าง?
ถ้าหากน้องๆ คนไหนที่ไม่มีเวลาในการเตรียมตัวด้วยตัวเอง ไม่มีข้อมูลมาก่อน และอยากได้ที่ปรึกษาเพื่อช่วยเพิ่มความอุ่นใจการสมัครเรียน การเลือกใช้บริการเอเจนซีก็เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยลดความกังวลได้ไม่น้อย แถมบางเอเจนซียยังมีการจัด meeting เพื่อแลกเปลี่ยนสร้างคอนเน็กชันกับเพื่อนๆ คนไทยที่จะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยเดียวกันอีกด้วย ถือว่าได้พบปะเพื่อนๆ เวลาบินไปเรียนจะได้ไม่เหงาเกินไป~
มีช่องทางช่วยเซฟงบบ้างไหม?
แน่นอนว่าการไปเรียนต่อต่างประเทศนั้นมีค่าใช้จ่ายหลายรายการที่ต้องรับผิดชอบ ทั้งค่าเทอม ค่าครองชีพ ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายจิปาถะมากมายที่ไม่อาจคาดเดาได้ ดังนั้นหลายคนที่ไปเรียนต่อต่างประเทศจึงมักหาช่องทางที่จะช่วยเซฟค่าใช้จ่ายระหว่างเรียนต่อ ยกตัวอย่างเช่น
การทำงานพาร์ตไทม์
การทำงานหลังเลิกเรียนเป็นตัวเลือกยอดฮิตสำหรับนักเรียนนอก เพราะได้ทั้งประสบการณ์การทำงานและเงินบางส่วนมาช่วยซัพพอร์ตสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ แต่ก่อนที่จะทำพาร์ตไทม์ น้องๆ ต้องเช็กกับทางมหาวิทยาลัยก่อนว่าอนุญาตให้ทำงานระหว่างเรียนได้หรือไม่ รวมถึงศึกษารายละเอียดวีซ่านักเรียนของประเทศที่เราไปเรียนว่า อนุญาตให้นักศึกษาต่างชาติทำงานพาร์ตไทม์ได้ไม่เกินกี่ชั่วโมง และมีเงื่อนไขว่าอย่างไรบ้าง เช่น
- สหราชอาณาจักร: ช่วงเปิดเทอมสามารถทำงานพาร์ตไทม์ได้สูงสุด 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และ ทำงานเต็มเวลา (สูงสุด 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) ในช่วงปิดเทอม
- สหรัฐอเมริกา: ช่วงเปิดเทอมสามารถทำงานพาร์ตไทม์ได้สูงสุด 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และ ทำงานเต็มเวลา (สูงสุด 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) ได้ในช่วงปิดเทอม โดยต้องเป็นงานที่อยู่ภายในมหาวิทยาลัย (on campus) เท่านั้นค่ะ
- ออสเตรเลีย: ช่วงเปิดเทอมสามารถทำงานพาร์ตไทม์ได้สูงสุด 48 ชั่วโมงต่อ 2 สัปดาห์ และไม่จำกัดชั่วโมงทำงานในช่วงปิดเทอม
(ข้อมูลอัปเดตเมษายน 2567)
ขอทุนการศึกษา
อีกทางเลือกที่แนะนำคือ การสมัครทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนต่างชาตินั่นเองค่ะ ซึ่งทุนนั้นมีหลายประเภท โดยมูลค่าและเงื่อนไขในการรับทุนก็จะแตกต่างกันไป มีตั้งแต่ส่วนลดค่าเล่าเรียน, ทุนเรียนฟรี (ยกเว้นค่าเล่าเรียน 100%) และทุนเต็มจำนวน ที่ให้ทั้งค่าเทอม, เบี้ยเลี้ยง, ตั๋วเครื่องบิน, ค่าที่พัก ฯลฯ (แล้วแต่ประเภททุน) ซึ่งเราสามารถเช็กได้ที่หน้าเว็บไซต์มหาวิทยาลัยหรือสถานทูตประเทศต่างๆ ค่ะ
ยกตัวอย่างเช่น
1) ทุนจากมหาวิทยาลัย สำหรับวิธีการสมัครก็แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแต่ละทุน เช่น
- ทุนที่พิจารณาให้อัตโนมัติ: จะตัดสินผู้ได้รับทุนจากเอกสารสมัครเรียนที่เราส่งไป เช่น Transcript, Portfolio, SoP เป็นต้น หรือพูดง่ายๆ คือไม่ต้องสมัครทุนแยกนั่นเอง
- ทุนที่เปิดรับพร้อมการสมัครเรียน: มักมีช่องทางให้กรอกใบสมัครทุนทางออนไลน์แยกจากระบบรับสมัครเรียน โดยน้องๆ อาจต้องส่งเอกสารเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณา เช่น Letter of Motivation หรือตอบคำถามต่างๆ เป็นต้น
- ทุนที่สมัครหลังมหา’ลัยตอบรับแล้ว: ส่วนใหญ่จะให้ยื่นสมัครผ่านระบบออนไลน์หลังจากได้รับ Offer ให้เข้าเรียนแล้ว โดยจะกำหนดวันเปิด-ปิดรับสมัครเฉพาะของโครงการทุนนั้นๆ
2) ทุนรัฐบาลไทย หรือ ทุนสำนักงาน ก.พ. เป็นทุนเต็มจำนวนสำหรับคนไทยที่ต้องการไปศึกษาต่อ ป.ตรี ป.โท ป.เอก หรือ ป.โทควบเอก ในสาขาวิชาที่กำหนด ณ มหาวิทยาลัยในต่างประเทศ แบ่งเป็นหลายประเภททุน เช่น ทุนเล่าเรียนหลวง, ทุนกระทรวงการต่างประเทศ, ทุน UiS เป็นต้น
ทุนนี้มีเงื่อนไขว่า ผู้รับทุนจะต้องกลับมาทำงานในหน่วยงานที่กำหนด สำหรับระยะเวลาการทำงานจะขึ้นอยู่ประเภททุนที่ได้รับ โดยจะเปิดรับสมัครคัดเลือกในช่วงเดือนกันยายน - ธันวาคมของทุกปี ใครที่สนใจสมัครก็สามารถเข้าไปศึกษารายละเอียดเบื้องต้นที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.พ. ได้เลยค่ะ
3) ทุนรัฐบาลต่างประเทศ เช่น ทุน Chevening (UK), ทุน Fulbright (US), ทุน MEXT (ญี่ปุ่น) เป็นต้น มอบให้หลายระดับทั้ง ป.ตรี ป.โท ป.เอก รวมถึงหลักสูตรอนุปริญญา (แล้วแต่ประเภททุน) เพื่อเข้าเรียนในสถานศึกษาของประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นทุนเต็มจำนวน และไม่ต้องใช้ทุนคืนหลังเรียนจบ โดยแต่ละโครงการมีช่วงระยะเวลาเปิด-ปิดรับสมัครแตกต่างกันไป
4) ทุนจากองค์กรเอกชน ส่วนใหญ่จะมอบให้ไปเรียนต่อระดับ ป.ตรี หรือ ป.โท ในสาขาวิชาที่กำหนด มักเป็นทุนเต็มจำนวนที่มีเงื่อนไขรับทุนแตกต่างกันไป โดยอาจระบุให้กลับมาบรรจุเป็นพนักงานของบริษัทนั้นๆ หลังเรียนจบแล้ว ตามระยะเวลาตามที่กำหนด ตัวอย่างโครงการทุนการศึกษาจากองค์กรดัง เช่น SCG New Gen Scholarship, KBank Annual Scholarship, PTT International Scholarship Program เป็นต้น
…………
ทั้งหมดนี้ก็เป็นตัวอย่างคำถามฮิตๆ ที่พี่ได้รวบรวมมาฝากสำหรับมือใหม่ที่อยากเรียนต่อต่างประเทศ เชื่อว่าน่าจะช่วยให้เข้าใจภาพรวมในการาสมัครเรียนได้มากขึ้นนะคะ ^^
และหากใครอยากค้นคว้าข้อมูลเรื่องการเรียนต่อต่างประเทศเพิ่มเติม สามารถกดติดตามเพจ Study Abroad by Dek-D และ Study Guide ไปเรียนต่อนอกกันเถอะ เพราะเราจะมาอัปเดตข่าวสารการเรียนต่อ ทุนการศึกษา รวมถึงแชร์ประสบการณ์ของเหล่ารุ่นพี่ทีมต่อนอก ฯลฯ แบบจัดเต็มทุกวีคเลยค่ะ!
รวมถึงติดตามงานอิเวนต์สุดจึ้งสำหรับสายต่อนอก “Dek-D’s Study Abroad Fair” งานแฟร์เรียนต่อต่างประเทศที่จะจัดขึ้นทุกปี ได้ที่เว็บไซต์ DekDstudyabroadfair.com ได้เลยค่ะ~
…………
สำหรับใครที่มองหาโอกาสโกอินเตอร์ ตอนนี้มีหลายทุนกำลังเปิดรับสมัคร
ตามไปเช็กกันต่อได้เลยที่ "โปรแกรมค้นหาทุนเรียนต่อนอก by Dek-D"
ติดตามทุนต่อนอกง่ายๆ กับ Dek-D
- Website: www.dek-d.com/studyabroad
- X: @tornokandcourse
- IG: @tornokandcourse
- Facebook: Study Abroad เรียนต่อนอก by Dek-D
- Facebook: Study Guide ไปเรียนต่อนอกกันเถอะ
- TikTok: @tornokandcourse
0 ความคิดเห็น