"กร-PROXIE" เผยเทคนิคยื่น Portfolio เข้าคณะแพทยศาสตร์ พร้อมทำงานในวงการบันเทิงด้วย

สวัสดีค่ะน้องๆ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าช่วงนี้กระแส T-POP กำลังมาแรง มีนักร้อง ไอดอล ศิลปินวงใหม่ๆ  เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยหนึ่งในวงป้ายแดง ที่เพิ่งเดบิวต์ไปหมาดๆ เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา นั่นก็คือ วง PROXIE จากค่ายเพลง  bROTHERS MUSIC  ที่มีพี่ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี คอยดูแลอยู่ และสมาชิกในวงก็มาจากรายการ The Brothers Thailand นั่นเอง 

วันนี้พี่แนนนี่เลยจะพาน้องๆ ไปพูดคุยกับสมาชิกวง PROXIE  อย่าง "กร  วรรณไพโรจน์"  หนุ่มนักศึกษาแพทย์ ที่เพิ่งผ่านการสอบเข้ามหาวิทยาลัย การใช้ชีวิตเฟรชชี่ ไปพร้อมๆ กับการเดบิวต์เป็นศิลปินหน้าใหม่ในวงการ T-POP 

กร-PROXIE
กร-PROXIE

เริ่มต้นแนะนำตัวกันหน่อย

กร  วรรณไพโรจน์ สมาชิกวง PROXIE ครับ จบม.6 จากโรงเรียนนานาชาตินีวา ปัจจุบันเป็นนักศึกษาแพทย์  (หลักสูตรใหม่ พ.ศ. 2563) วิทยาลัยแพทยศาสตร์ศรีสวางควัฒน ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์  กำลังขึ้นปี 2  หรือ dek64 ครับ

แรงบันดาลใจที่เลือกเรียนแพทย์

เกริ่นก่อนว่า ในครอบครัวของกรไม่มีใครเป็นแพทย์เลย และก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาเรียนในสายวิทย์ได้แต่ด้วยความที่ตั้งแต่เด็กๆ กรและครอบครัวค่อนข้างคลุกคลีกับบรรยากาศของโรงพยาบาลในฐานะของคนไข้ เลยได้เห็นการทำงานของคุณหมอมาตลอด และก็มีคุณหมอท่านหนึ่งที่จุดประกายความชอบของกร คือ นอกจากเขาจะรักษาคนไข้แล้ว เขายังสามารถส่งพลังบวกให้กับครอบครัวของคนไข้อีกด้วย ทำให้รู้สึกว่าเป็นอาชีพที่มีพลังมากๆ รวมถึงช่วงที่คุณแม่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ทำให้เป็นแรงบันดาลใจใหญ่ๆ ที่อยากจะไปเรียนด้านนี้ และอยากจะช่วยรักษาคน คิดว่าตัวเองน่าจะมีศักยภาพพอที่สามารถทำสิ่งดีๆ ให้กับสังคมได้ 

รู้จักคณะนี้ได้อย่างไร

คณะนี้เป็นคณะที่เปิดใหม่ปีการศึกษา 2563 แต่ในบรรดากลุ่มเพื่อนๆ ที่ติวเข้าแพทย์เหมือนกัน คณะนี้เป็นคณะดาวรุ่งพุ่งแรง หลายคนอยากจะเข้าที่นี่ แล้วด้วยความที่น่าสนใจของหลักสูตรก็คือ เรียน 7 ปี ได้ปริญญา 2 ใบ แล้วก็มีโอกาสที่จะได้ไป UCL (University College London) ตอนปี 4 ด้วย ซึ่ง UCL ก็เป็นมหาวิทยาลัยในฝันของหลายคน แต่จริงๆ ได้ยินบ่อยมาก ว่าที่นี่ค่อนข้างอบอุ่น นักศึกษาไม่ได้เยอะมาก ทำให้ได้ใกล้ชิดกับอาจารย์

เกณฑ์การคัดเลือกหลักสูตรนี้ ใน TCAS64

  • มีผลสอบอย่างใดอย่างหนึ่ง
    • AS หรือ A Level  : มีคะแนนวิชาชีววิทยา, เคมี และคณิตศาสตร์ หรือฟิิสิกส์ แต่ละวิชาเท่ากับ
    • International Baccalaureate (IB) : มีคะแนนวิชาชีววิทยา และเคมี ในระดับ Higher level ไม่ต่ำกว่า 6 และคะแนนคณิตศาสตร์ ไม่ต่ำกว่า 6
    • SAT : มีคะแนนวิชาชีววิทยา เคมี และคณิตศาสตร์ หรือฟิสิกส์ แต่ละวิชาไม่ต่ำกว่า 700
  • มีคะแนนทักษะภาษาอังกฤษอย่างใดอย่างหนึ่ง
    • TOEFL (iBT) ไม่ต่ำกว่า 100
    • IETLS ไม่ต่ำกว่า 7.0
  • มี Portfolio (ประวัตส่วนตัว, รางวัลและเกียรติบัตร, ผลงานวิจัย, กิจกรรมจิตอาสา, ความสนใจ, ความสามารถพิเศษ และเรียงความภาษาอังกฤษ)
  • สอบสัมภาษณ์แบบ multiple mini-interview (MMI)

เริ่มเตรียมตัว

ตอนที่รู้สึกว่าอยากเรียนแพทย์ก็ไปนั่งศึกษาดูว่า แต่ละที่มีกำหนดเกณฑ์คุณสมบัติอย่างไรบ้าง บวกกับช่วงที่เรียนหนักๆ ช่วงที่ต้องติวหนังสือ กรก็ยังอยู่ในรายการ The Brother ด้วย เลยคิดว่าน่าจะมีเวลาน้อยกว่าคนอื่น เลยตั้งเป้าเป็นแพทย์ จุฬาภรณ์ เพราะตอนนั้นรับด้วย IELTS กับ SAT Subject บวกกับ Portfolio ไม่ใช้คะแนน BMAT ทำให้มุ่งเน้นติว IELTS กับ SAT Subject   ส่วน Portfolio ก็เก็บมาเรื่อยๆ มีหลายด้าน ทั้งจิตอาสา กิจกรรม คือพยายามคิดว่าจะทำ Portfolio ให้แตกต่างจากคนอื่นและโดดเด่นได้ยังไง

การเตรียม Portfolio 

ขั้นแรกกรจะแบ่งก่อนว่าใน Portfolio จะมีเนื้อหายังไงบ้าง ด้านการเรียน ด้าน Academic ก็จะเก็บพวกเกรดที่โรงเรียนและรางวัลต่างๆ พวก Honor Roll (เกียรตินิยม) จากทางโรงเรียนให้หมด ตอนนั้นมีสมัครเป็นประธานนักเรียน แม้ว่าจะไม่ได้เป็นประธานนักเรียนแต่ก็ใส่ลงไปใน Port

ส่วนด้านจิตอาสา  กรมีโอกาสได้ขึ้นดอย ไปแม่ฮ่องสอน นั่งรถไปหลายชั่วโมงเพื่อไปทาสีโรงเรียนให้น้องๆ และเอาของต่างๆ ไปให้เขา  ลองไปอยู่ไปนอนกับเขา ไปดูวิถีชีวิตของเขา และอีกอย่างนึงคือการเล่นดนตรีเพื่อระดมทุนให้โรงเรียนสอนคนตาบอด ซึ่งอันนี้เป็นผลมาจากตอนที่อยู่ในรายการ The Brothers ก็ต้องขอบคุณมากๆ คือคิดว่าเป็นอะไรที่ยูนีค (unique)  การเล่นดนตรี การเล่นกีฬาเป็นเหมือนความสามารถพิเศษของเรา งานอดิเรกที่ชอบของเรา ที่สามารถเอาไปลิงก์ (Link) ทำให้เป็นประโยชน์ เอาไปช่วยสังคมได้บ้าง

การเตรียมตัวสอบ IELTS  - SAT Subject

กรเลือกติว เลือกสอบ IELTS ก่อน เพราะว่าเรียนนานาชาติมา คิดว่าน่าจะถนัดมากกว่า และน่าจะเก็บคะแนนได้ง่ายกว่า จากนั้นเริ่มไปเรียน SAT Subject 3 วิชาหลัก (ชีววิทยา คณิตศาสตร์ เคมี )​ ที่ต้องใช้ทีละตัว  กรจะดูคะแนนขั้นต่ำว่าแต่ละวิชากำหนดไว้เท่าไหร่ แล้วพยายามเรียนเนื้อหาก่อน เสร็จแล้วถึงนั่งทำโจทย์ กรเองก็มีไปเรียนพิเศษ ติวสอบหลายที่ มีทั้งที่เวิร์คและไม่เวิร์ค แต่สุดท้ายก็เจอที่ที่นึงที่เหมาะกับกรมากที่สุดก็คือที่ที่เน้นการตะลุยโจทย์เยอะมากๆ เลยตะลุยโจทย์ไปเรื่อยๆ จนกว่าคะแนนเฉลี่ยจะพอผ่านเกณฑ์ เพื่อให้มั่นใจในห้องสอบจริง คือ พวกข้อสอบ Standardized test (แบบทดสอบมาตรฐาน) แบบนี้ การคุ้นชินกับสไตล์ของโจทย์ค่อนข้างที่จะสำคัญ ข้อสอบจะออกเป็นแนวไหน ออกอะไรบ้าง choice (ตัวเลือก) เป็นยังไง

การสอบสัมภาษณ์ MMI

เป็นอีกหนึ่งชาเลนจ์ ในชีวิตกรเลย ที่ตื่นเต้น และเรียกได้ว่ายากที่สุดอย่างนึง ต้องเตรียมตัวนานมาก แต่โชคดีที่ว่าก่อนหน้านั้นได้อยู่ใน The Brothers มีโอกาสที่จะได้ฝึกการตอบคำถาม ฝึกวิธีการคิดก่อนพูดต่างๆ ทำให้สามารถนำมาปรับใช้ได้ แต่ข้อที่มันยาก คือมีหลาย station หลายห้อง บรรยากาศค่อนข้างกดดัน อาจารย์เขาก็ประเมิน ก็วัดเราในทุกๆ ด้าน มีหลายๆ ห้องที่ต้องโชว์ทัศนคติ โชว์วิธีคิดมากๆ หรือเป็นห้องที่แบบไม่มีข้อถูกผิด แค่อยากจะเห็นการแสดงความคิดเห็นในแต่ละเรื่อง

อย่างเช่น ที่กรเจอและคิดว่ายาก คือเรื่องการทำแท้งอาจารย์ถามว่า ถ้ามีคุณแม่ตั้งท้อง รู้ว่าถ้าคลอดออกมาลูกจะพิการ เป็นออทิสติก คุณแม่เลยอยากจะแท้งลูก แต่คุณพ่อ หรือสามีไม่อนุญาต เนื่องจากเรื่องของศาสนา ถ้าเราเป็นหมอเคสนี้ เราจะทำยังไง (แล้วกรตอบไปว่ายังไง?) ตอนแรกกรยังไม่สรุป ให้คุณพ่อคุณแม่มาคุยกัน ถ้าไม่ทำแท้งปล่อยให้ลูกเกิดมา จะมีผลดีผลเสียยังไง หรือถ้าทำแท้งจะมีผลดีผลเสียยังไง แล้วก็ค่อยให้ตัดสินใจกันเองอีกครั้งหนึ่ง กรคิดว่าน่าจะเป็นคำตอบที่โอเคไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ตอนใกล้หมดเวลาอาจารย์ก็ถามย้ำว่าแล้วสรุปจะทำหรือไม่ทำ ตอนนั้นก็ตอบไปว่าให้เป็นสิทธิ์ของมารดาในการตัดสินใจในเรื่องนี้ไป

รีวิวการเรียนที่นี่

ที่นี่กรคิดว่าค่อนข้างยูนีค (unique) แล้วก็สนุกมากๆ เพราะว่าเราได้ exposure สู่การทำงานของแพทย์จริงๆ ได้มีการสัมผัสกับคนไข้ มีการเรียนซักประวัติคนไข้ ตรวจร่างกายเบื้องต้นจริงๆ อย่างที่สอบไปล่าสุดก็เป็นการคลำม้ามแล้ว ปกติหลายๆ ที่ ปี1 จะเป็นแค่เรียนวิชาสามัญ วิชาทั่วไป เฉยๆ แต่ที่นี่สนุก ได้ลงมือทำ ได้ลงพื้นที่แล้ว ได้เจอคนไข้จริงๆ เพิ่มความสนุก ไม่น่าเบื่อ ได้สัมผัสว่าการทำงานเป็นแพทย์จะเป็นยังไง ไม่ใช่แค่เรียนจากหนังสือ เช่น มีรอบนึงมีโอกาสได้ไปที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ไปดูหลายๆ แผนก ที่กรชอบ คือเขาพาเข้าไปใน ER หรือแผนกฉุกเฉิน ได้เห็นจริงๆ ว่าการทำงานหนักเป็นยังไง ได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของคนไข้ในนั้น ยิ่งทำให้รู้สึกอยากจะแบบรีบเรียนให้จบเร็วๆ ไปทำงานจริงๆ สักที คือถ้าไม่มีโควิด ก็จะได้ไปหน่วย พอ.สว (หน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) ด้วยน่าจะสนุกกว่านี้อีก  ส่วนปี 2 คิดว่าน่าจะได้ออกฟิวส์มากขึ้น น่าจะเรียนลงลึก เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์มากขึ้น แล้วน่าจะมีได้ผ่ากรอสด้วย

หาพี่กรเจอกันไหมค้า?
หาพี่กรเจอกันไหมค้า?

ชีวิตกรในห้องเรียน

กรเป็นเพื่อนแบบไหนในกลุ่ม? ก็คิดว่ากรเป็นตัวโดนซะส่วนใหญ่นะครับ โดนแกล้ง แต่แกล้งเพราะความเอ็นดู ความสนิทสนมแบบผู้ชาย แกล้งกันไปแกล้งกันมามากกว่า แต่ก็เป็นกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันมากๆ พร้อมจะ support กัน

ถ้าย้อนกลับไปตอนเรียนมัธยม กรเป็นเด็กหลังห้อง เสียงดัง แล้วรู้สึกว่ารบกวนอื่นเขา พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ตั้งใจเรียนมากขึ้น แต่ยังนั่งหลังห้องเหมือนเดิม แต่ถ้าอยู่นอกห้องเรียนก็ค่อนข้างซ่าเหมือนกัน ตามธรรมดาของผู้ชายเลย

พักเรื่องการเรียน มาคุยการทำงานบ้าง

หลังจากรายการ The Brothers จบ ก็รู้ว่ากรได้รับเลือกมาเป็นหนึ่งในยูนิต PROXIE ซึ่งก็ตกใจแล้ว ก็ดีใจมากครับ แล้วซิงเกิลแรกของพวกเรา Crazy Love (รักบ้าบอ) ก็ค่อนข้างเป็นอะไรที่สนุกสนาน ไม่คิดว่าจะได้มาเต้นอะไรแบบนี้ ตอนฝึกซ้อม ฝึกกันหนักมากๆ เพื่อให้เดบิวต์ได้ดีที่สุด ได้เจอเพื่อนๆ ในวงทุกวันเลย

ช่วงเดินสายไปหลายๆ ที่ก็สนุกครับ ตอนนี้ (วันที่สัมภาษณ์) เดินสายมา 4 วันแล้ว เป็นอะไรที่ใหม่และเหนื่อย แต่โชคดีที่พี่ติ๊กติวมาดี พวกเรื่องของการตอบคำถามต่างๆ ก็เลยไม่น่ากังวลขนาดนั้น แล้วก็โชคดีที่สอบเสร็จแล้วพอดี

ส่วนเรื่องชื่อวงที่กรเป็นคนคิด จริงๆ ตอนนนั้นมีหลายชื่อ แต่ด้วยความที่ตอนเด็กๆ กรชอบเล่นเกม เคยได้ยินคำว่า proxy มาก่อน รู้สึกว่ามันเท่ พอไปค้นความหมาย ก็หมายถึงว่า ตัวกลางหรือตัวแทนที่จะคอยเชื่อมต่อ user กับ server อะไรแบบนี้ในเชิงเทคโนโลยี กรเลยเอามาเปรียบเปรยกับชื่อวงก็จะให้เราเป็นเหมือนตัวแทน ตัวกลางส่งพลังส่งความสุขให้กับแฟนๆ ได้ แล้วก็มีเปลี่ยนการสะกดคำ เปลี่ยน y เป็น ie เป็นจะได้เป็น 6 อักษร 6 คนพอดี

ทั้งเรียนหมอ ทั้งทำงานไปด้วย แบ่งเวลายังไง

ตอนนี้ยังพยายามหาวิธีที่เหมาะสมกับตัวกรมากที่สุดอยู่ เพราะว่าพึ่งปี 1 เอง โชคดีที่เป็นการเรียนออนไลน์ซะส่วนใหญ่ แต่เวลาเรียนก็เต็มที่ พยายามตั้งใจในห้องให้ได้มากที่สุด เพราะรู้ว่าอาจจะมีเวลาอ่านหนังสือน้อยกว่าคนอื่น  มีเวลาว่างตอนไหน ก็พยายามหยิบ lecture (เลคเชอร์) ขึ้นมาอ่านทบทวน ส่วนเวลาซ้อม ก็ต้องซ้อมเต็มที่เหมือนกัน

อย่างช่วงก่อนสอบที่ผ่านมา ก็คือช่วงเดบิวต์พอดี ต้องซ้อมหนักและไม่สามารถลาซ้อมได้เลย อย่างเช่นวันที่ 28 เมษายนที่ผ่านมา ที่เป็นวันเดบิวต์ แล้ววันสอบไฟนอลจริงๆ ก็คือสอบต้นพฤษภาคม ได้เวลาพักประมาณ 2 - 3 วันก็ต้องรีบอ่านหนังสือให้ทัน และโชคดีที่เพื่อนๆ น่ารัก พึ่งพาได้ หลายคนพร้อมที่จะช่วย ช่วยติวให้กร ต้องขอบคุณพวกเข้ามาก ส่วนเวลาซ้อม เพื่อนๆ กับพี่ในวงก็ช่วยเหมือนกัน ก็ต้องขอบคุณที่เขาเข้าใจกร บางทีอาจจะเรียนหนักบ้าง  บางที On-site ค่อนข้างไกล มาซ้อมช้าบ้าง เขาก็ไม่ได้บ่น ไม่ได้ว่าอะไรกร ต้องขอบคุณมากๆ เลยครับ ส่วนช่วงนี้ปิดเทอมพอดี ประมาณ 1 เดือน กรคิดว่าสามารถเต็มที่ทั้งร่างกายและใจ มีความพร้อมที่จะออกไปลุยงาน และสนุกกับเพื่อนๆ ในวงมากๆ ครับ

ระหว่างการเรียนหมอ กับเป็นศิลปินอะไรยากกว่ากัน

กรว่าการทำทั้ง 2 อย่างให้ได้ดีควบคู่กันไป ค่อนข้างยากและเป็น challenge ท้าทายที่สูงที่สุดแล้ว เหมือนรู้สึกว่า 2 อย่างนี้อยู่คนละโลกเลย ต้องแบ่งร่างนิดนึง ตอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยก็อยู่ในคราบของนักศึกษา แต่พอมาออฟฟิศ มาซ้อมกับเพื่อนๆ หรือออกไปทำงาน จะต้องเป็นศิลปิน กรจะเต็มที่ทั้งสองด้าน

อย่างก่อนหน้านี้มีปรึกษาพี่ติ๊กและทางผู้ใหญ่ว่า ถ้ากรเรียนด้านนี้ จะเรียนค่อนข้างหนัก แต่ผู้ใหญ่ก็น่ารักมาก สนับสนุนให้ได้มากที่สุดทั้ง 2 ด้าน คือถ้าไม่จำเป็นต้องลาเรียน ไม่จำเป็นต้อง skip ด้านนั้นไป ก็จะสนับสนุนให้เรียนให้ได้มากที่สุด

แนวทางการเรียนหมอเฉพาะทางในอนาคต

ช่วงนี้ยังไม่สามารถบอกได้ 100% ว่าจะไปทางไหน เพราะยังไม่ได้ลองขึ้นวอร์ด ยังไม่รู้ว่าแต่ละวอร์ดมีเสน่ห์ของมันยังไง แต่เมื่อก่อนเคยพูดกับเพื่อนๆ ไว้ตั้งแต่ก่อนสอบติดว่า ค่อนข้างสนใจเป็นสูตินรีแพทย์ ด้วยความที่คุณหมอที่กรเคยเจอตอนเด็กๆ เขาเป็นหมอสูติ แล้วเขาก็น่ารักมากๆ เป็นผู้ชายที่มีความอ่อนโยน มีความเข้าใจ การพูดจาน่ารักมาก เลยเห็นเป็นไอดอลครับ แต่คุณพ่อก็อยากให้ไปทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง หรือทางผิวหนังที่สามารถต่อยอดทำธุรกิจได้ด้วย ซึ่งด้านธุรกิจเองก็เป็นอีกด้านที่กรชอบ เพราะตอนเด็กๆ ค่อนข้างใกล้ชิดกับธุรกิจที่บ้าน (คาเฟ่) เพราะว่าพ่อกับแม่ทำกันเองซะส่วนใหญ่ ไม่ได้มีผู้ช่วยเยอะกรก็เข้าไปช่วยแบ่งเบาภาระเท่าที่เคยทำได้ เคยไปช่วยทำบัญชีอยู่ครับ แต่ช่วงนี้งานเยอะก็เลยมุ่งมาทางด้านนี้ก่อน ที่บ้านก็เข้าใจครับ

หลังจากนี้แฟนคลับจะมีโอกาสเห็นไลฟสไตล์ของกรในรั้วมหาวิทยาลัยบ้างไหม

พอเดบิวต์ไปสักพัก มีคิดไว้ว่าในอนาคตจะมี Content มาให้แฟนๆ ที่ติดตามอยู่ หรือว่ารุ่นน้องที่อยากเรียนแพทย์ และอยากเข้าเรียนคณะเดียวกับกร ให้เห็นว่า เป็นอยู่ยังไง เรียนยังไง เพื่อนๆ เป็นยังไงบ้าง สนุกสนานแบบไหน ถ้ามีโอกาสก็จะเอามาลงในช่องให้ได้ดูกันครับ

เมื่อโดนแฟนคลับเรียกหมอกร รู้สึกยังไงบ้าง 

กรยังไม่เคยพูดออกสื่อที่ไหนเลยเรื่องนี้ จริงๆ รู้สึกขอบคุณ ภูมิใจ และเข้าใจทุกๆ คนที่เชื่อในตัวกรและสนับสนุนกรและเอ็นดูกร ในช่วงที่กำลังเรียนแพทย์ แต่ในอีกมุมนึง กรก็รู้สึกว่า อาจจะยังเป็นนักศึกษาอยู่ปี 1 เองด้วยซ้ำ ยังไม่ใช่แพทย์เต็มตัว ยังเรียนไม่จบ แต่ก็จะพยายามไม่เอามาเป็นความกดดัน และจะไม่ห้าม ไม่ให้เรียกว่าหมอ กรจะใช้เป็นพลัง ผลักดันให้เรียนให้ได้และจบให้ได้ 

สุดท้ายฝากถึงน้องๆ ที่กำลังเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย

ก่อนอื่นเลยถ้าน้องๆ ทุกคนชัดเจนในเป้าหมายของตัวเองแล้ว ก็ลงมือทำเลย! น้องๆ ต้องรู้ก่อนว่า กว่าจะไปถึงจุดนั้น จะต้องทำอะไรบ้าง แล้วทำให้เป็น Step Step ไป วางแผนให้ดี และอย่ากลัวที่จะตื่นมาทำสิ่งที่จำเป็น และอย่ากลัวที่จะฝัน กรเข้าใจว่าอาจจะกดดัน แต่ว่าอย่ากดดันตัวเองมาก ชมตัวเอง ให้กำลังใจตัวเองเยอะๆ แล้วไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง อย่างน้อยก็รู้อยู่แก่ใจว่าเราตั้งใจและพยายามทำมันอย่างให้ดีที่สุด พยายามคิดไว้ว่าอันนี้ไม่ใช่สิ่งสุดท้ายในชีวิต มันสำคัญก็จริง แต่โอกาสมันก็เข้ามาได้เรื่อยๆ และก็จะมีอะไรเข้ามาในชีวิตอีกเยอะ ตรงนี้มันไม่ใช่จุดจบทั้งหมด  อย่าไปกังวล

 

โอ้โห...ก็ต้องปรบมือรัวๆ ให้กับความเก่ง และความทุ่มเทของพี่กรเลยค่ะ ทั้งในเรื่องของการเตรียมตัวสอบ การเรียนแพทย์ และการเดบิวต์เป็นศิลปิน พี่กรสามารถทำให้สิ่งที่ชื่นชอบไปพร้อมๆ กันได้เป็นอย่างดี น้องๆ คนไหนที่อยากเป็นหมอ หรือกำลังเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย อย่าลืมเอาคำแนะนำของพี่กรไปประยุกต์ใช้กับตัวเองกันนะคะ

พี่แนนนี่
พี่แนนนี่ - Columnist เด็กเอกไทย คลั่งไคล้มิกกี้(เม้าส์) หลงใหลอิตาลี คอยเฝ้าลงพื้นที่ ตามข่าว TCAS

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

2 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากเว็บไซต์ Dek-D.com ขอสงวนสิทธิ์ในการงด โพสต์ข้อความซื้อ/ขาย/แลกเปลี่ยน/โฆษณา สินค้าทุกชนิดในเว็บบอร์ด เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้ใช้งานท่านอื่น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด