นี่คือเรื่องจริงที่เล่าจากประสบการณ์ตรงของผู้หญิงคนหนึ่งที่พี่อิงรู้จักค่ะ เลยไปขอสัมภาษณ์มา คิดว่าจะต้องเป็นเรื่องที่ดีสำหรับน้องๆ ในวัยเรียนทุกคนแน่นอน เพราะปัจจุบันมีคนไทยน้อยมากที่รู้จักโรค กลัวโรงเรียน เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่เด็กแกล้งทำ เพื่อจะได้ไม่ต้องไปเรียน ที่เมืองนอกก็เพิ่งจะมาวิจัยกันจริงๆ จังๆ ไม่นานนี้เอง และยอมรับแล้วว่ามันเป็นโรคทางจิตอย่างหนึ่งจริงๆ ไม่ใช่แค่ความขี้เกียจ
ส่วนรายละเอียดจะเป็นยังไง อาการของน้องๆ เข้าข่ายหรือไม่ ไปอ่านบทสัมภาษณ์กันเลยดีกว่าค่ะ ขอบอกก่อนว่า อาจจะยาวหน่อย แต่ได้ประโยชน์แน่นอน สวัสดีค่ะ แนะนำตัวเองหน่อยนะคะ สมมติว่าชื่อ เอ แล้วกันนะคะ ตอนนี้อายุยี่สิบกว่าๆ แล้ว ชีวิตเป็นปกติสุขดีค่ะ เหมือนคนทั่วๆ ไป แล้วโรคที่เป็นนี่ชื่อโรคอะไรคะ แล้วรายละเอียดเป็นยังไงบ้าง โรคนี้ชื่อภาษาอังกฤษว่า School Phobia ค่ะ หรือแปลไทยว่า โรคกลัวโรงเรียน ที่เคยอ่านผ่านๆ ตามา เห็นว่าอาการมีหลากหลายค่ะ ทั้งที่เด็กแกล้งทำ หรือเป็นจริงๆ เช่นแกล้งไม่สบาย เพื่อจะไม่ไปโรงเรียน โกหกโน่นนี่ หรือกระทั่งทำร้ายตัวเองเพื่อจะไม่ไปเรียน และมีประเภทที่เจ็บป่วยจริงๆ โดยสาเหตุเกิดจากไม่อยากไปเรียน ทั้งอาเจียน ปวดท้อง หรือสาเหตุอื่นๆ แล้วที่คุณเอเป็น มันเป็นอย่างไหนคะ เป็นเองค่ะ คือมีอาการปวดท้องจริงๆ ขอถามย้อนกลับไปหน่อยนะคะว่า เริ่มเป็นตั้งแต่ตอนไหน ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้เลยค่ะ อันนี้ถามจากคุณพ่อคุณแม่ เอมีอาการงอแงไม่ยอมไปโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลหนึ่งเลย เป็นหนักมากๆ ถึงขนาดพูดว่าไม่ไปโรงเรียนๆ ได้เป็นร้อยๆ ครั้งจนกระทั่งหลับไปเลย แล้วก็จะร้องไห้ตอนไปถึงโรงเรียน ร้องเป็นชั่วโมง จนครูใหญ่ต้องเรียกพ่อแม่ไปพบ แล้วทดลองให้เอาญาติพี่น้องที่เป็นเด็กด้วยกันไปเรียนด้วย เอจะได้ไม่กลัว แล้วผลเป็นยังไงคะ เอปรับตัวได้ดีขึ้นค่ะ แล้วก็ร้องไห้น้อยลง จนกระทั่งไม่เป็นอีก แต่ทั้งหมดที่เล่ามานี่เอจำไม่ได้เลยนะคะ มาเริ่มจำความได้ตอนอยู่อนุบาล 2 ตอนนั้นรู้แล้วว่ามันเป็นหน้าที่ต้องไป ทั้งๆ ที่ไม่อยากไปเลย แต่ก็ต้องไปค่ะ เลิกงอแงแล้ว เพราะรู้แล้วว่าเปล่าประโยชน์ แล้วอาการปวดท้องเริ่มต้นเมื่อไหร่คะ อันนี้จำไม่ได้จริงๆ ค่ะ รู้แต่ว่าเป็นตั้งแต่เล็กมากๆ อาการคือจะปวดท้องทุกครั้งที่จะไปโรงเรียน หรือพูดถึงโรงเรียน หรือเจออะไรที่เกี่ยวกับการเรียน จะปวดมาก โดยเฉพาะเวลาจะออกจากบ้านไปเรียน เห็นรั้วโรงเรียนเนี่ย เริ่มปวดแล้ว ปวดจนหน้ามืดเลยค่ะ แต่ก็ต้องทนลงจากรถเดินเข้าไปเรียน เพราะรู้ว่าแม่ไม่พากลับบ้านหรอก ตอนไหนที่คิดว่าอาการตัวเองหนักที่สุด จริงๆ จำชีวิตอนุบาลไม่ค่อยได้มากหรอกค่ะ รู้แค่ว่ามีปวดท้อง มาจำได้แม่นๆ เลยตอนขึ้นประถมแล้ว ตอนนั้นย้ายโรงเรียนมาอยู่โรงเรียนคอนแวนต์ นั่นแหละ อาการหนักมาก เวลาแม่ขับรถมาส่ง จำได้เลยว่าพอยูเทิร์นรถปุ๊บ อีกไม่เกิน 5 นาทีรถจะจอดเทียบหน้าโรงเรียน เนี่ยแหละคือเวลาปวดท้อง ปวดที่เดิมเวลาเดิมจริงๆ ปวดทุกวัน บางทีนั่งน้ำตาซึมบนรถ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องลงจากรถเข้าโรงเรียน แต่แปลกนะคะ พอลงจากรถแล้ว เดินผ่านประตูเข้าไปแล้วก็จะหายเลย เคยบอกพ่อแม่ไหมคะ บอกค่ะ พ่อแม่รู้ตลอดเวลาปวดท้อง ทั้งสองท่านก็ไม่ได้คิดว่าเอแกล้งนะคะ เขาก็รู้ว่าเอปวดจริงๆ มีพาไปหาหมอเด็ก ซึ่งหมอเด็กก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอเป็นอะไร สันนิษฐานไปว่าเอเป็นโรคกระเพาะบ้าง กรดเกินบ้าง โอย สารพัด สุดท้ายก็ไม่มียาตัวไหนช่วยได้ค่ะ ปวดต่อไป ทำไมถึงเป็นแค่ตอนอยู่หน้าโรงเรียนคะ ตอนนั้นมันมีความเครียด หรือความกังวลปนอยู่ด้วยใช่ไหม ค่ะ คิดว่าน่าจะเพราะกังวลกับเครียด เพราะรู้สึกว่าทุกเช้าที่ต้องไปเรียนเนี่ย เหมือนออกจากหลุมหลบภัย ไปผจญภัยอยู่ในสนามรบ ตอนนั้นรู้สึกอย่างนี้จริงๆ รู้สึกว่าชีวิตที่โรงเรียนมันไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย เหมือนอยู่ในที่ที่อันตราย จะปลอดภัยก็ตอนคุณแม่มารับกลับบ้านตอนเย็น แล้วตอนเช้าก็ต้องไปผจญสนามรบใหม่ แบบนี้ทุกวันมันก็เลยปวดท้องทุกวัน แต่ความรับผิดชอบก็ทำให้เราต้องออกไปเรียน ไม่เคยหยุดเรียนเลย ทั้งๆ ที่ปวดท้อง เอผลการเรียนดีด้วยนะคะ ติดท้อป 1-3 ของห้องตลอดตั้งแต่ ป.1 - 6 ปวดทุกวันเลยเหรอคะ ใช่ค่ะ ทุกวันจริงๆ ไม่เว้นเลย ปวดแบบ ถ้าให้คะแนนเต็มสิบ ก็ปวดประมาณ 7-8 อะค่ะ เหมือนปวดเวลาจะถ่ายหนัก แต่มันไม่มีอะไรจะถ่าย ปวดมากจนมือเย็น เหงื่อออกมือ ตอนนั้นได้แต่ถามตัวเองว่าทำไมเราต้องเป็นแบบนี้ ทำไมไม่เห็นเด็กคนอื่นปวดท้องบ้าง ทำไมมีแต่เรา แล้วทำไมหมอช่วยไม่ได้ พ่อแม่ช่วยไม่ได้ ตอนนั้นไม่เข้าใจเลยค่ะ แต่ก็คิดแค่ว่า สักวันจะหายๆ แต่ก็ไม่หาย แล้วเป็นนานขนาดไหนคะ ตอนโตขึ้นหายหรือเปล่า ไม่ค่ะ เอปวดทุกวันจนขึ้น ป.6 เอาจริงๆ แล้วไม่ได้มีแต่อาการปวดท้องนะคะ ปวดหัวเข่าด้วย แต่ปวดท้องเนี่ยจะรู้เวลาแน่นอนใช่ไหมคะ แต่ปวดหัวเข่าเนี่ย ไม่รู้เวลาแน่นอน จะปวดข้างซ้าย ไม่ก็ขวา สลับกัน ปวดลึกเข้าไปข้างในเข่า ส่วนใหญ่จะปวดตอนกลางคืน ตอนจะนอนเนี่ยแหละ ปวดจนต้องลุกขึ้นมาร้องไห้ ไม่ได้นอน ปีนึงจะเป็นประมาณ 6-7 ครั้ง แต่ละครั้งทรมานมากค่ะ มันปวดทีเป็นชั่วโมงๆ แบบเหมือนหัวใจเต้นที มันก็ปวดตึ้บขึ้นมาที ทรมานมากๆค่ะ ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่ามันเกี่ยวข้องกัน พ่อแม่คิดว่าปวดขาเพราะเคยหกล้มตอนเด็ก ก็เลยพาไปหาหมอ แน่นอนว่าหมอช่วยไม่ได้ ไม่มีคำตอบ ถึงขนาดเจาะเลือดไปดูเลยค่ะว่าเอเป็นโรคข้อ กระดูก หรืออะไรอย่างอื่นไหม แต่ก็ไม่พบค่ะ หมอก็ได้แต่ส่ายหน้า จนปัญญาจะรักษา แล้วเมื่อไหร่คะ ที่เริ่มรู้แล้วว่าไม่ใช่อาการทางร่างกาย จึงไปพบจิตแพทย์ ตอนนั้นน่าจะมัธยมแล้วค่ะ ย้ายมาอีกโรงเรียนแล้ว อาการเบาลง จากปวดทุกวันก็เหลือแค่ สัปดาห์ละไม่กี่ครั้ง ปวดระยะเวลาสั้นลง แต่ตอนนั้นไม่ได้ตัดสินใจไปพบจิตแพทย์เพราะอาการปวดนะคะ เพราะยังคิดว่าเป็นเพราะร่างกาย ไม่ใช่อาการทางจิต แต่สาเหตุที่ตัดสินใจไปพบ ก็เพราะว่าโตพอจะเริ่มสังเกตเห็นแล้วว่า เราไม่เหมือนเพื่อนคนอื่น มีอะไรบางอย่างผิดปกติ เอไม่รู้จะจำกัดความผิดปกตินี้ยังไง แต่เอาง่ายๆ ว่า เอรู้สึกว่าตัวเองวิตกกังวล เครียดง่ายกว่าเพื่อนมากๆ หัวใจเต้นโครมครามได้โดยไม่มีสาเหตุ คือหวาดกลัวอย่างไม่มีสาเหตุจนตัวเองยังตกใจอะค่ะ ว่าทำไมแค่นี้ต้องกลัว ทำไมแค่นี้ต้องเครียดด้วย อย่างเช่น ครูเช็คชื่อ พอจะเรียกมาถึงเลขที่เราทีนี่ โหย หัวใจเต้นโครมครามอย่างกับจะหลุดออกมา มือเย็น เท้าเย็น ปวดท้องเลยก็มี แต่ตอนนั้นพอรู้แล้วล่ะว่า อาการปวดท้องมันมาจากความเครียด มันถึงจุดที่เบื่อแล้วอะค่ะ อยากหายมาก พอมองย้อนกลับไป นี่จวนจะสิบปีแล้วนะที่เป็นแบบนี้ พอสักที ก็เลยบอกแม่ โชคดีค่ะที่แม่เข้าใจ ยอมพาไปพบจิตแพทย์ ตอนนั้นคิดว่าแม่คงไม่ยอมแน่ๆ เพราะแม่ที่ไหนอยู่ๆ จะพาลูกไปหาหมอโรคจิต ทั้งๆ ที่ลูกไม่เป็นอะไร คือตอนนั้นการไปพบแพทย์ทางจิต มันต้องมีอาการทางประสาท หรือบ้าแล้วเท่านั้นอะค่ะ คนยังไม่ค่อยยอมรับ แต่เราเด็กรุ่นใหม่ไง เลยอธิบายให้แม่ฟังว่า ที่เมืองนอก อะไรนิดนึงเขาก็พาเด็กไปพบจิตแพทย์แล้วนะ มันไม่ใช่ต้องบ้าก่อนถึงไป แม่ก็เลยพาไป คิดว่าแม่คงจนปัญญาแล้วเหมือนกันที่จะหาหมอคนไหนมาช่วยเอ แล้วแพทย์ว่ายังไงบ้างคะ เป๊ะเลยค่ะ เข้าตำราแพทย์มากๆ แต่ว่าตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จักโรคกลัวโรงเรียนนี้นะคะ แต่หมอก็สรุปได้ใกล้เคียงว่าเอเป็นโรค perfectionist อันนี้ได้ยินครั้งแรกๆ งงมากๆ มันแปลว่าพวกชอบความสมบูรณ์แบบอะค่ะ หมอบอกว่านี่คือต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด คน 100 คนจะเจอแค่ 5 คนที่เป็น คือพวกไม่ยอมรับความผิดพลาด กลัวจะผิดพลาด กลัวจะทำไม่เหมือนคนอื่น ทำให้กดดันตัวเองจนเครียด พอเครียดมากๆ มันก็จะออกอาการมาทางร่างกาย แล้วแต่จะเป็น บางคนปวดหัว บางคนปวดท้อง บางคนอาเจียน พอหมอพูดนี่ เหมือนคนที่แบบ กำลังจะตายแล้วเห็นภาพในอดีตฉายย้อนกลับมาอะค่ะ ทั้งหมดเลย มันตอบได้จริงๆ ว่าเอเป็นโรคนี้จริงๆ แล้วตอบได้ทันทีเลยว่าทำไมเป็นหนักตอนอยู่ประถม เพราะโรงเรียนคอนแวนต์ที่เอเรียน กฎระเบียบเยอะมาก มากจนแทบจะบ้าอะค่ะ อย่างตอนพักกลางวัน จะขึ้นห้องต้องมีคู่เดินขึ้นห้อง ถ้าไม่มีจะโดนสารวัตรนักเรียนจับออกมา ส่วนจะโดนทำโทษไหม เอไม่รู้ เพราะเอไม่เคยไม่มีคู่ค่ะ ดิ้นรนจนมีทุกครั้ง แต่ตอนที่กินข้าวกลางวันเนี่ย ไม่มีสมาธิเลย กินไม่ลง เพราะมัวแต่พะวงจะหาคู่ขึ้นตึกเรียน แล้วต้องถอดรองเท้าขึ้นตึกเรียน ซึ่งต้องใส่ลงในถุงก็อบแก๊บด้วยนะคะ ถ้าไม่มีก็โดนลงโทษ หลังๆ โรงเรียนเปลี่ยนให้มาใช้ถุงผ้าของโรงเรียน ไม่ให้ใช้ถุงก็อบแก็บแล้ว ก็เดือดร้อนสิ ถ้าลืมเอามา ก็ซวยหนักกว่าเดิม ถุงใบนึงไม่ใช่ถูก ถ้าไม่มีเงินซื้อ ก็เตรียมปวดท้องได้เลย เอเครียดแน่นอน หรือเล็บมือถ้าเป็นดอกขาวๆ ครูตรวจเจอโดนตีมือค่ะ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นไม่เข้าใจเลยว่า ตีเด็กด้วยเรื่องนี้ได้ยังไง คือมันมาจากหลายสาเหตุมากที่เด็กจะมีจุดขาวๆ บนเล็บ ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจครูท่านนั้น หรือก็มีอยู่ดีๆ เรียกเด็กออกมาตี ไม้บรรทัดเหล็กนะคะ แล้วค่อยให้เหตุผลว่า ไม่เอาหนังสือเรียนขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ก่อนครูเข้าเรียน เรื่องแค่เนี้ยะ พวกนี้มันสะสมจนทำให้เอไม่อยากไปเรียน แต่เพราะว่าไม่ไปไม่ได้ จำเป็นต้องไป ร่างกายก็เลยเครียด แปลเปลี่ยนเป็นอาการปวดท้อง ปวดเข่า ซึ่งหมอบอกว่าความเครียดทำให้เกิดทุกอย่างได้ทั้งหมด แล้วหลังจากหาจิตแพทย์ ดีขึ้นไหมคะ มันค่อยๆ ดีขึ้นค่ะ คุณหมอให้ยากดประสาทตัวนึงมากิน แล้วคุณหมอก็บำบัดด้วยการให้เราลองทำอะไรที่ปกติเราจะกลัวมาตลอด แต่พอกินยาตัวนี้แล้วไม่กลัวไงคะ ตอนนั้นเลยยกมือ ออกไปเขียนคำตอบบนกระดาน ซึ่งถ้าเป็นก่อนหน้านั้น ฝันไปเถอะว่าจะทำ พอทำได้ คุณครูชม ก็มาเล่าให้หมอฟัง หมอบอกว่าให้จำความรู้สึกตรงนี้ไว้ว่า ถ้าเราไม่กลัว เราก็ทำได้ ตั้งแต่นั้นมาดีขึ้นมากๆ ค่ะ เหมือนเข้าใจแล้วว่าตัวเองป่วยเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นกับเรา ที่สงสัย ที่ทรมานมาเป็นสิบปีตอนนี้เข้าใจแล้วว่าเพราะความเครียด ชื่อโรคกลัวโรงเรียน รู้มาจากไหนคะ เอค้นหาข้อมูลอาการตัวเองหลังจากที่ดีขึ้นด้วยค่ะ คืออยากจะเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับตัวเอง จนเสิร์ชไปเจอข้อมูลเกี่ยวกับโรคกลัวโรงเรียน หลังจากไปหาหมอสักเกือบๆ สิบปีเลยแหละ ซึ่งอาการที่เขาบรรยายมันเป๊ะกับอาการของเอมากๆ จนเข้าใจแจ่มแจ้งเลยค่ะ ว่าเกิดอะไรขึ้นตอนเด็ก แล้วข้อมูลก็บอกไว้ด้วยว่าเด็กที่เป็นโรคนี้ ส่วนใหญ่จะมีนิสัยส่วนตัวคือเป็นพวก perfectionist เป๊ะจริงๆ ค่ะ แล้วข้อมูลที่ค้นมา งานวิจัยหลายตัวบอกว่า เด็กที่เป็นโรคนี้มักจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงตอนเด็ก เช่นพ่อแม่แยกทางกัน โดนทุบตีทำร้าย โดนบีบคั้นทางจิตใจ แต่สำหรับเอ เอไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุนะคะ แต่เหตุการณ์ที่จำได้แม่นๆ ตั้งแต่สมัยอนุบาลถึงตอนนี้ ก็คือเหตุการณ์ที่แม่หลอกพาไปโรงเรียน ทั้งๆ ที่เอไม่อยากไปนั่นแหละ บอกว่าไปเอาการบ้าน แต่พอเอลงจากรถ แม่กลับถอยรถออกไปเลย ตอนนั้นรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง เหมือนโดนหลอก ไม่เคยร้องไห้ด้วยความรู้สึกทั้งโกรธ ทั้งแค้น ทั้งกลัวแบบนั้นมาก่อน เป็นหนึ่งในไม่กี่ความทรงจำที่ติดตัวมาถึงตอนนี้ แต่เอก็บอกไม่ได้อยู่ดีแหละค่ะว่า มันคือสาเหตุหรือเปล่า ส่วนเรื่องทุบตีนี่ไม่เคยโดน พ่อแม่ก็ไม่ได้แยกทางกัน แต่ก็มักถูกลากไปอยู่ระหว่างการทะเลาะของพ่อแม่บ่อยๆ คิดว่าคงหลายๆ สาเหตุรวมกันจนเอเป็นโรคนี้ขึ้นมา สุดท้าย อยากฝากอะไรถึงน้องๆ บ้างไหมคะ ที่สงสัยว่าตัวเองเป็นโรคนี้ หรือไม่แน่ใจ คือต้องบอกก่อนว่า ตอนเอรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เอรู้สึกสงสารตัวเองมาก และก็สงสารเด็กคนอื่น ที่อาจจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคนี้อยู่ เพราะมันเป็นโรคจริงๆ ค่ะ ต่อให้น้องๆ แกล้งทำจนไม่ได้ไปเรียน แกล้งอาเจียน แกล้งป่วย แกล้งปวดหัวปวดท้อง หรือจะปวดจริงๆ ก็ตาม น้องเข้าข่ายโรคนี้แล้วค่ะ แต่ต้องเป็นต่อเนื่อง ยาวนานนะคะ ส่วนใหญ่ก็จะบอกไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่อยากไป แค่ไม่อยากไป รวมถึงน้องๆ ที่ถ้าใกล้สอบจะอาเจียน หรือจะรายงานแล้วเครียดจนปวดท้อง อาเจียน นอนไม่ได้ ตอนนั้นที่พี่ไปหาคุณหมอ ทั้งๆ ที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นอะไร เป็นโรคจิตจริงไหม คุณหมอบอกคำนึงที่ทำให้พี่เอประทับใจมากว่า ไม่มีใครบอกได้หรอกว่า คนคนนี้ต้องพบหมอหรือไม่ แต่ถ้าเมื่อไหร่สิ่งที่เป็นมันรบกวนจนไม่สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข นั่นแหละ คนนั้นเป็นโรคทางจิตที่ควรจะต้องพบหมอแล้ว ดังนั้นน้องคนไหนที่รู้สึกว่า อาการที่เป็นอยู่ มันทำให้น้องดำรงชีวิตได้ลำบาก ขัดขวางอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตน้อง ลองบอกพ่อแม่นะคะ แล้วให้ท่านพาไปพบจิตแพทย์ เพราะอาการทางกายหลายๆ อย่าง บางทีมันไม่ได้เกิดจากร่างกาย แต่เกิดจากจิตใจ อย่าคิดแค่ว่าตัวเองไม่เป็นไรๆ ไม่ได้เป็นบ้าสักหน่อย แล้วทนทรมานต่อไป มันไม่ดีเลยค่ะ และจะรักษายากยิ่งขึ้นด้วย ถ้าพี่เอรู้อย่างที่รู้ตอนนี้ตั้งแต่สมัยเด็ก พี่คงไปหาหมอแต่เด็กแล้ว และจะได้ไม่ต้องทนปวดท้องเป็นสิบปีแบบนี้ แถมพอโตขึ้น อาการมันก็หายไม่หมดค่ะ มันกลายเป็นโรคเครียดและวิตกกังวลแทน ที่พี่เอลองหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวเอง ก็ได้อ่านเจอบางการวิจัยว่า คนที่เป็นโรคกลัวโรงเรียนตอนเด็ก โตมาก็จะกลายเป็นโรคเครียดและโรควิตกกังวลแบบพี่เอนี่แหละค่ะ และการรักษาที่ดีที่สุดคือ รักษาให้เร็วที่สุด อย่าลืมสังเกตน้องๆ ของทุกคนด้วยนะคะ ว่าเป็นโรคนี้ไหม อิงก็ต้องขอขอบคุณคุณเอมากเลยนะคะ ที่มาแบ่งปันเรื่องราวเหล่านี้กับน้องๆ ชาวเด็กดี อย่าลืมนะคะ ถ้าใครสงสัยว่าตัวเองเป็นโรคนี้ อย่าอดทนค่ะ ให้ลองไปถามพ่อแม่ หรือไม่ก็ลองโทรสายด่วนนี้ดูนะคะ 1667 สายด่วนสุขภาพจิตของกระทรวงสาธารณสุข ก่อนจากกัน พี่อิงมีข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ ซึ่งเป็นผลวิจัยมาจากต่างประเทศ มาฝากน้องๆ กันด้วยค่ะ ลองไปอ่านกันดูนะคะ จะได้เข้าใจโรคนี้มากขึ้น เผื่อปรินท์ไปให้คุณพ่อคุณแม่อ่านด้วย
ทำความเข้าใจและเอาชนะ โรคกลัวโรงเรียน โดย cbsnews.com เด็กหลายๆ คนแกล้งป่วยเพื่อไม่ต้องไปเรียน แต่ถ้าความเครียดทำให้เด็กป่วยจริงๆ ล่ะ? มันมีโรคที่เรียกว่า โรคกลัวโรงเรียน จริงๆ ซึ่งมีชื่อทางวิชาการหลากหลายชื่อ เช่น School Phobia, School Refusal, Didaskaleinophobia โรคนี้เกิดขึ้นกับเด็กประมาณ 2-5% ตามผลการวิจัยของ สถาบันโรคเกี่ยวกับความเครียดแห่งสหรัฐอเมริกา (Anxiety Disorders Association of America) โดยเฉลี่ย อาการมักจะเกิดขึ้นช่วงอายุ 7.5 ปี และมักเกิดในช่วงการเปลี่ยนย้ายโรงเรียน จากประถมไปมัธยม เด็กที่ป่วยด้วยโรคนี้มักจะเป็นเด็กที่ค่อนข้างฉลาดกว่าเด็กทั่วไป อาการที่เกิดอาจจะกินระยะเวลาถึง 4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับการรักษา 40% ของเด็กที่เรียนไม่จบชั้นมัธยมนั้น ตรวจพบว่ามีอาการทางจิต และครึ่งหนึ่งของ 40% นี้ตรวจพบว่ามีอาการของโรคกลัวโรงเรียน อาการของโรคเป็นอย่างไร? อาการแรกจะแสดงออกชัดมาทางร่างกาย เด็กจะรู้สึกคลื่นไส้ ท้องเสีย หรืออาเจียน หรืออาจจะปวดหัว และเป็นลม บางรายอาจรู้สึกเหนื่อยและเฉื่อยชา ไม่อยากทำอะไร อาการเหล่านี้อาจจะเป็นหนักมาก และคล้ายคลึงกับอาการของผู้ใหญ่ที่เป็นโรคเครียด อะไรเป็นสาเหตุ? หนึ่งในสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือ ความเครียด เด็กที่มีนิสัยชอบความสมบูรณ์แบบ หรือ perfectionist หรือเด็กที่กังวลกับการบ้าน รายงาน จะมีโอกาสเป็นโรคนี้มากขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้คือเรื่องใหญ่สำหรับเด็ก ที่มองข้ามไม่ได้ เด็กรู้สึกกดดันได้เท่าๆ กับที่ผู้ใหญ่รู้สึก หรือในบางกรณีอาจเกิดจากการที่เด็กต้องหยุดเรียนเพราะป่วยด้วยโรคอื่นๆ แต่ก็ต้องเครียดกังวลว่าจะเรียนตามเพื่อนไม่ได้ หรือก็มีกรณีที่เด็กเอาจริงเอาจังกับความสำเร็จมากเกินไป จนกลัวว่าจะล้มเหลว ส่วนสาเหตุอื่นๆ ก็อาจจะมาจากเรื่องรุนแรงในครอบครัว เช่น การหย่าร้าง หรือการเปลี่ยนแปลงที่ฉับพลัน เช่นย้ายโรงเรียน ถ้าสาเหตุเกิดจากครอบครัว เช่น การหย่า อาการของโรคกลัวโรงเรียนจะหนักขึ้นและมีอาการคล้ายโรคเครียดในผู้ใหญ่มากขึ้น เพราะเด็กจะไม่อยากไปโรงเรียน ด้วยต้องการจะอยู่ควบคุมสถานการณ์ในบ้าน เพื่อปกป้องแม่ และทำให้พ่อยอมอยู่บ้าน ถ้าเด็กไปโรงเรียน เขาจะรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย อีกสาเหตุที่สำคัญก็คือ ถูกเพื่อนๆ กลั่นแกล้งล้อเลียน ถูกเพื่อนๆ แบน หรือถูกชกต่อย มีเรื่องทะเลาะ สำหรับเด็กแล้ว การถูกเพื่อนปฏิเสธ ล้อเลียน เป็นเรื่องใหญ่มาก พอๆ กับโลกแตก จึงทำให้เกิดความเครียดได้มากและรุนแรง สาเหตุสุดท้ายและสำคัญที่สุดก็คือ ตัวพ่อแม่เด็กเอง เด็กจะซึมซับอารมณ์ของผู้ใหญ่ได้ง่าย โดยเฉพาะความเครียดและความกลัว เมื่อผู้ใหญ่หวาดกลัว เด็กก็จะกลัวด้วย พ่อแม่เด็กมีอาการเครียดได้ง่ายหรือเปล่า? พ่อแม่เป็นโรคเครียดหรือไม่? ถ้าพ่อแม่หงุดหงิด หัวเสียง่าย เด็กก็จะเป็นด้วยเช่นกัน ดังนั้นพ่อแม่ควรจะต้องทำตัวและทำใจให้สงบต่อหน้าเด็ก จะทำให้เด็กอาการดีขึ้น แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเด็กเป็นโรคกลัวโรงเรียนจริงๆ หรือแค่แกล้งทำเพราะไม่อยากไปเรียน
วิธีที่จะตอบได้ก็คือสังเกต...ถ้าเด็กร้องขอจะอยู่บ้าน มีอาการเยอะแยะมากมาย จนพ่อแม่ยอม แล้วเด็กก็ดีขึ้นทันที แบบทันตาเห็นเลยทีเดียว จนดูเหมือนแกล้ง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเด็กแกล้งทำ ถ้าความเครียดนั้นทำให้เด็กถึงขนาดอาเจียน นั่นก็แสดงว่าเด็กกลัวการไปโรงเรียนจริงๆ และการไม่ไปเรียนนี้ ทำให้เขาผ่อนคลายสบายใจมากขึ้น ถึงขนาดที่พ่อแม่สังเกตเห็นได้ง่ายๆ สรุปก็คือ พ่อแม่ต้องสังเกต แล้วจะสัมผัสได้ถึงความกลัวของเด็ก และความหวาดกลัวที่หายไปในทันทีเมื่อเรายอมตามคำขอ พ่อแม่ต้องรู้ก่อนว่าลูกของตัวเองเป็นโรคนี้จริงๆ แล้วเมื่อแน่ใจว่าเป็น ก็ให้ลองถามคำถามแบบขอความเห็นเช่น ทำไมถึงไม่ชอบโรงเรียน? วันนี้มีการบ้านอะไรรึเปล่า? อย่าแค่ปฏิเสธแล้วลากลูกไปเรียน พยายามถามเขาว่า เขาชอบอะไรเกี่ยวกับโรงเรียนบ้าง แล้วเตือนให้เด็กนึกถึงช่วงเวลาสนุกๆ ที่โรงเรียน ให้เด็กรู้สึกว่า พ่อแม่อยู่ข้างเขา เข้าใจเขา และพร้อมจะช่วยเหลือเขา ไม่ใช่เห็นว่าเขาเกเรแล้วจะลากไปโรงเรียนท่าเดียว จากนั้นก็ต้องบอกคุณครู ให้คุณครูช่วยเหลือ ให้ช่วยสังเกต แล้วจะเห็นว่าอะไรเป็นสาเหตุ บอกให้เด็กรู้ด้วยว่า พ่อแม่เตรียมการช่วยเหลือลูกยังไง หากเกิดอะไรที่โรงเรียน เช่น ถ้าโดนเพื่อนแกล้ง มาบอกครูคนนี้นะ พ่อแม่บอกคุณครูไว้แล้ว แล้วพ่อกับแม่จะรีบมาหาลูกทันที ถ้าทำทุกวิถีทางแล้วไม่สามารถทำให้เด็กยอมไปเรียนได้ ก็อาจจะต้องปรึกษาแพทย์ คุณหมอบอกวิธีทางบรรเทาอีกทางก็คือ การหายใจลึกๆ ฟังเพลงเบาๆ นั่งสมาธิ เป็นวิธีที่ได้ผลกับทั้งผู้ใหญ่และเด็ก และหนทางสุดท้ายคือปรึกษาแพทย์ รับรองว่าจะได้คำแนะนำดีๆ แน่นอน
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับน้องๆ นะคะ ใครมีอาการแบบนี้ลองมาเล่าแชร์ให้ฟังกันบ้างนะคะ และถ้าใครมีอาการของโรคอื่นๆ เช่น โรคความผิดปกติทางการกิน - อนาร็อกเซีย บูลิเมีย คือทานแล้วล้วงคอ ไม่ยอมทานจนป่วน โรคทานไม่หยุด โรคความผิดปกติอื่นๆ เช่น โรคลักของ โรคใดๆ ก็ตามที่น้องเป็น และอยากแบ่งปันเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง เพื่อให้คนที่กำลังเริ่มเป็นโรค ได้รู้ตัว และรักษาก่อนจะสายไป ส่งเรื่องราวของน้องมาหาพี่อิงได้ที่ publishing (แอด) dek-d.com นะคะ แล้วพี่อิงจะติดต่อกลับไปค่ะ
ข้อมูล: choolrefuser.org.uk ภาพประกอบ: blogs.babble.com blog.mlive.com media.mlive.com
|
75 ความคิดเห็น
เมื่อกี้ดูหนังที่พระเอกเป็นครูสอนเลขปวดเข่าขึ้นมาทันทีเลยอ่ะ
ตอนเด็กๆก็ร้องไห้ไม่อยากไปเรียน
โตมาหน่อยถูกเรียกไปเขียนคำตอบก็ใจเต้น
เดี๋ยวนี้ก็ถ้าไม่นึกถึงโรงเรียนก็ไม่เป็น
แต่ถ้าเป็นพวกนิยายโรงเรียน แฟนตาซี เวทย์มนตร์อะไรงี้เราไม่เป็นนะ
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 12 มีนาคม 2554 / 19:57
เป็นตั้งแต่อนุบาลถึงม.ต้น
ตอนนี้อยู่ม.ปลายก็หายละ^^
อยู่ดีๆก็เลิกเป็นอ่ะ
ไม่อยากออกจากบ้าน ( อันนี้น่าจะมาจากความขี้เกียดเรียนมากกว่า)
นั่นล่ะสาเหตุหลักของเรา ที่กลัวโรงเรียน
แต่พอตอนนี้ขึ้นมัธยม ย้ายมาอยู่โรงเรียนรัฐบาล
เคยเป็นนะ
เเต่เเค่ปวดหัวเฉยๆอ่ะT^T
(ล้อเล่งค่ะ)
จะปวดท้องมาก ๆ ไม่ก็เวลาเครียดจะปวดหัวแบบจี๊ด ๆเลย
ส่วนโรคกลัวร.ร.นี่...ไม่รู้สินะ ผมคงไม่ถึงขั้นกลัวโรงเรียนหรอก แต่มีปัญหาที่โรงเรียนจนไม่อยากไป อยากอยู่แต่ในบ้าน แต่ผมก็ไม่ได้เป็นหนักขนาดนั้นหรอก ส่วนหนึ่งมันคิดไปเองด้วย ปัจจุบันนี้ก็ยังไปโรงเรียนได้อยู่
อ่านแล้วน้ำตาจะไหลเลยอ่ะ มันใช่ โดนจริงๆ รู้สึกสงสารตัวเองสมัยก่อน
ตั้งแต่จำความได้ แค่เห็นรั้วโรงเรียนก็อยากตายแล้ว ตอนนั่งอยู่ในรถ เวลานั้น มันเครียดมากอ่ะ อยากร้องไห้ หนาว เหนื่อย ใจสั่น ไม่อยากทำอะไรเลย พอเดินลงไปก็รู้สึกหนาวๆ กลัว ต้องทนทรมานอย่างนั้นอยู่ทุกเช้าอ่ะ
เมื่อก่อนอาการของเราจะประมาณเด็กเฉื่อยชา(ตอนนี้ก็เป็นอยู่นะ 555) แบบ รู้สึกเฉื่อยชาอยู่ตลอดเวลา ไม่อยากทำอะไรเลยอ่ะ ไม่เคยสดใส สดชื่นแบบเด็กคนอื่นๆเขาเลย เงียบ หนักถึงขั้นพ่อต้องถามอยู่บ่อยๆว่าเรามีปัญหาอะไรหรือเปล่า แต่ก็ไม่รู้จะบอกพ่อยังไง เรามันเด็กเงียบ 555
ทุกวันนี้นั่งรถเมล์ไปเรียนเองยังภาวนาอยู่ทุกวันบนรถเมล์เลยอ่ะ ว่าให้มีคลื่นยักษ์ซัดเข้ามา น้ำท่วมโลกไปตอนนั้นเลย ไม่อยากไปถึงโรงเรียน
ตอนครูเช็กชื่อก็เหมือนกัน อาการนั้นเลย
แต่โรคชอบความสมบูรณ์แบบคงไม่ใช่เราแล้วอ่ะ เพราะตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เราเริ่มรู้สึกว่าเรายอมรับมันได้ ถึงแม้เราจะดูเงียบๆไปหน่อยและไม่ค่อยเข้าหาคนอื่นก็เหอะ มันก็เลยทำให้เราไม่ค่อยเข้าพวก แต่เราก็รู้สึกว่านี่มันเรา มันเป็นยังงี้มาตั้งแต่เกิดแล้วอ่ะ พยายามเท่าไรมันก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย ก็เลยเลยตามเลย
เราก็เลยไม่ใช่พวกที่กลัวความแตกต่าง ความไม่เข้าพวก หรือไม่เหมือนคนอื่น
ก็นะ แต่ละคนย่อมมีสไตล์เป็นของตัวเอง ถ้าโลกนี้มีแต่คนที่เหมือนกันหมดโลกก็คงน่าเบื่อแย่
ตอนนี้ก็เลยแอบภูมิใจในตัวเองลึกๆในสิ่งที่เราไม่เหมือนคนอื่น 555
ถึงขั้นหาหมอ แต่พอม.ปลายเริ่มหายล่ะ
เราว่าเราเป็นโรคชอบความสมบูรณ์แบบนะ เราจะเครียดทุกครั้งที่มีความผิดพลาดขึ้นไม่ว่าเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก และไม่ว่าเป็นเราหรือเพื่อนที่ทำให้เกิดความผิดพลาด เราจะรู้สึกรับไม่ได้ เรายอมรับว่าได้รับความกดดันจากทางบ้านมากในเรื่องการเรียน แล้วเวลาที่พ่อแม่ทะเลาะกัน เราจะหน้ามืด เวียนหัว คลื่นไส้ด้วย บางทีเรารู้สึกว่ารับไม่ได้ แบบไม่อยากอยู่ในสถานการณ์นั้นอีกแล้ว
ไม่เคยเป็นค่ะเด็กดีๆๆ ที่ไหนได้ติดเพื่อนต่างหาก!!!!!!!!!!!!!
ขาดเพื่อนไม่ได้เลยค่ะ ไปไหนไปกัน ........................................
อยากจะดูรายชื่อโรคกลัวแต่ละอย่างเข้าดูเว็ปนี้ได้เลย
www.phobialist.com