เปิดประวัติ: ‘นาฮงจิน’ โปรดิวเซอร์ ‘ร่างทรง’ ตัวพ่อหนังผีชาวเกาหลี (หนังสยองขวัญแดนกิมจิต่างจากชาติอื่นอย่างไร?)

อันยองชาว Dek-D ทุกคนค่า~ เชื่อว่าหลายๆ คนคงได้เห็นกระแสภาพยนตร์เรื่อง ‘ร่างทรง (랑종/ The Medium)’ บนโลกออนไลน์กันแล้ว เรียกว่างานนี้ทำเอาฮือฮาสุดๆ เพราะนอกจากจะได้ ‘โต้ง บรรจง’ ผู้กำกับ ‘Shutter กดติดวิญญาณ’ ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีมากำกับแล้ว(แถมดังในเกาหลีมากๆ) ก็ยังมีอีกมือฉมังชาวเกาหลี ‘นาฮงจิน’ ตัวพ่อหนังสยองขวัญฝั่งนั้นมาเป็นโปรดิวเซอร์อีกด้วย เรียกว่าเป็นการเจอกันระหว่างตัวบิ๊กๆ ของ 2 ประเทศ จึงไม่แปลกใจเลยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้รับความสนใจทั้งในไทยและเกาหลี (เปิดตัวฉายที่เกาหลี 7 วันกวาดรายได้ไป 184 ล้านบาท OMG!)

และล่าสุดผลงานกำกับของพวกเขาก็ได้คว้ารางวัล ‘Best of Bucheon’ จากเทศกาลภาพยนตร์ Bucheon International Fantastic Film Festival ประจำปีนี้ที่เกาหลีใต้มาเป็นที่เรียบร้อย ทำเอาคอหนังชาวไทยอยากดูกันสุดๆ วันนี้พี่ชีตาร์เลยจะพาไปทำความรู้จักกับโปรดิวเซอร์เกาหลีคนนั้นและเผย 3 จุดเด่นของหนังสยองขวัญแดนกิมจิเพื่อเป็นน้ำจิ้มรอชม ‘ร่างทรง’ กันค่ะ ตามไปดูกันเลย~ 

‘นาฮงจิน’ ตัวพ่อหนังสยองขวัญเกาหลี 

Photo Credit: 한국경제
Photo Credit: 한국경제

‘ผมใช้เวลาคิดวนไปวนมาในหัวมากมายนับครั้งไม่ถ้วน 
เพื่อสั่งสม ออกแบบ และสร้างสรรค์ภาพในจินตนาการ 
จากนั้นผมก็จะรื้อสร้างใหม่เพื่อให้มันสามารถออกมาโลดแล่นในภาพยนตร์ได้ในขอบเขตที่แตกต่าง'
—นาฮงจิน, ผู้กำกับ ผู้เขียนบท และโปรดิวเซอร์ 

นาฮงจิน (나홍진) เกิดในปี 1974 จบการศึกษาจาก Korea National University of Arts (K-Arts)มหาวิทยาลัยสายอาร์ตตัวแม่ของเกาหลีใต้  หลังจากนั้นเขาได้เริ่มงานในวงการโฆษณาเพื่อไล่ตามความฝันที่อยากจะสร้างหนัง จนกระทั่งในปี 2003 เขาได้ก็เดบิวต์ในหนังสั้นเรื่องแรก ‘5 Minutes’ อย่างไรก็ตาม กลับเป็น ‘A Perfect Red Snapper Dish’ หนังสั้นแนวคอมเมดี-สยองขวัญเรื่องถัดมาในปี 2005 เจ้าของรางวัล ‘Best Film’ เวที the Mise-en-scene Short Film Festival ที่นำชื่อเสียงมาให้เขา 

จากนั้นนาฮงจินก็เริ่มประสบความสำเร็จในวงการอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2007 ‘Sweat’ หนังสั้นเสียดสีทุนนิยมภาพขาวดำที่ถ่ายทำด้วยเทคนิค Slow Motion ก็พาเขาก้าวขึ้นไปคว้ารางวัล ‘Best Short Film Director’ บนเวที the Grand Bell Award และ the Jury Prize ในงาน Bucheon International Fantastic Film Festival

Photo Credit: 네이버 블로그 - NAVER
Photo Credit: 네이버 블로그 - NAVER 

แล้วในที่สุดนาฮงจินก็ได้สร้างหนังความยาวปกติขึ้นมาเป็นเรื่องแรกเมื่อปี 2008 ซึ่งก็คือเรื่อง The Chaser ที่กระแสตอบรับปังแบบถล่มทลายสุดๆ ไม่เพียงทำรายได้ทะลุ Box Office ของเกาหลี แต่แทบจะกวาดทุกรางวัลใหญ่ๆ ในประเทศภายในปีนั้นไปเลยค่ะ! และหลังจากนั้นไม่กี่เดือนหนังเรื่องนี้ยังได้อวดโฉมใน ‘เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์’ และนักวิจารณ์หลายคนยกย่องให้เป็นหนัง ‘ลัทธิ’ แอ็คชั่นระทึกขวัญแห่งชาติเกาหลีเลยก็ว่าได้

ต่อมาในปี 2010 นาฮงจินยังได้ตัวนักแสดงหลักชุดเดิมอย่าง ‘คิมยุนซอก’ และ ‘ฮาจองอู’ มาร่วมแสดงใน ‘The Yellow Sea’ ซึ่งเป็นหนังเกาหลีเรื่องแรกที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก ‘20th Century Fox’ ของสหรัฐอเมริกา ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะไม่กวาดรายได้ในเกาหลีได้มหาศาลเท่ากับเรื่องก่อน แต่ก็ได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมในหมวด ‘Un Certain Regard’ ของเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ครั้งที่ 64 และได้รับการยอมรับในความสำเร็จทางด้านศิลปะอีกครั้ง 

Photo Credit: 네이버 블로그 - NAVER
Photo Credit: 네이버 블로그 - NAVER 

หลังจากนั้นนาฮงจินก็ได้ห่างหายจากวงการไปสักพัก และกลับมาในปี 2016 พร้อมกับผลงาน ‘The Wailing’ หนังแนวสยองขวัญที่ผนวกเรื่องราวของ Shamanism (ลัทธิคนทรง) เข้ากับความเชื่อของคริสเตียน นอกจากจะได้รับการยกย่องจากทั่วโลกในการฉายรอบปฐมทัศน์ระดับนานาชาติในเมืองคานส์แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังถูกฉายในหลายพื้นที่ทั่วโลก และปัจจุบันก็ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาเพื่อนำไปรีเมคเป็นฉบับฮอลลีวูดอีกด้วย!  

ถึงจะผลิตหนังเต็มๆ มาเพียง 3 เรื่อง แต่ความปังเป็นพลุแตกของแต่ละเรื่อง ก็ทำให้ ‘นาฮงจิน’ สามารถขึ้นแท่น ‘หนึ่งในผู้กำกับชาวเกาหลีระดับแนวหน้าของโลก’ ได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยค่ะ 

///

หนังระทึกขวัญเกาหลีต่างจากชาติอื่นยังไง?

หนังแนวสยองขวัญ (Thriller/ Horror) ของเกาหลีจะมีส่วนผสมสำคัญที่พบได้ไม่บ่อยในหนังแนวเดียวกันของชาติอื่นๆ เพราะนอกจากธีมเรื่องจะดาร์คสุดๆ แล้ว ผู้กำกับเองยังเป็นมือโปรด้านการส่งสารผ่านเนื้อเรื่องเอามากๆ เป็นเหตุผลที่หนังระทึกขวัญของเกาหลีได้รับความสนใจจากคอหนังจากทั่วโลกในช่วง 20 ปีให้หลังนี้ และยังเป็นขวัญใจในเทศกาลหนังต่างๆ ด้วย!

1. Contrast 

Photo Credit: 전자신문
Photo Credit: 전자신문

หนังเกาหลีแนวนี้มีวิธีการเล่าเรื่องแบบผสมประเภทหนังเข้าด้วยกัน ภายในเรื่องเดียวเราอาจจะได้ดูทั้งแนวโรแมนติก-คอมเมดี้ แล้วอยู่ๆ ก็อาจพลิกไปเป็นแนวสยองขวัญเลือดสาดโดยไม่รู้ตัว ฟังเผินๆ เหมือนจะพบเห็นได้ในหนังทั่วไปใช่ไหมล่ะ แต่ผู้สร้างหนังเกาหลีเขาได้ทำให้การเปลี่ยนผ่านเนื้อเรื่องทั้งดิบเถื่อนและรุนแรงกว่านั้นมาก และในขณะเดียวกัน ถึงเขาจะแทรกความคอมเมดี้เข้าไปในหนัง ก็ไม่ได้ทำให้ความรุนแรงในเรื่องลดน้อยลงเลย แต่กลับทำให้รู้สึกสลดหดหู่มากขึ้นไปอีก

เวลาที่เราดูหนังแนวนี้ ทุกคนคงเตรียมใจสะดุ้งกับอะไรที่น่ากลัวๆ ใช่มั้ยล่ะคะ แต่กิมมิก (Gimmick) ของหนังเกาหลีคือเขาจะหลอกให้เราตายใจก่อน ผ่อนคลายสักครู่ จากนั้นค่อยมาเจอความน่ากลัวที่จะโผล่มาเซอร์ไพรซ์เราในแบบที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว

2. Distance from the Truth

Photo Credit: 씨네 21
Photo Credit: 씨네 21

อีกหนึ่งแพตเทิร์นที่พบบ่อยคือการ ‘เอาผู้ชมออกจากความจริง’ เราแทบจะไม่รู้อะไรเลยในขณะที่ดู เพราะหนังพยายามจะกันเราออกจากความจริงหรือประเด็นสำคัญของเรื่องให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เราดำดิ่งอยู่กับการจินตนาการถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นานา บางครั้งเราก็ตกหลุมพรางเพราะดันคาดเดาผิดจุดและหลงกลัวไปผิดประเด็น ทำเอาต้องอ้าปากค้างกับตอนจบไปตามๆ กัน หรือหลายครั้งเรื่องราวก็อาจถูกเล่าผ่านตัวละครที่ไม่น่าเชื่อถือ (Unreliable narrator) จนคนดูไม่รู้เลยว่าควรจะเชื่ออะไรกันแน่? 

โดยทั่วไปแล้ว หนังประเภทนี้จะพุ่งเป้าไปที่การเฉลยที่ไปที่มาของเนื้อเรื่องหรือภูมิหลังของภูติผีปีศาจ (Antagonist) เพื่อให้ตัวละครหลักสามารถเอาชนะมันได้ในตอนจบ แต่สำหรับหนังสยองขวัญเกาหลีแล้วกลับไม่ใช่อย่างนั้น เพราะตัวละครหลักทำได้เพียง ‘ลอง’ หาหนทางไปสู่ ’ความจริง’ เรื่อยๆ ในความมืดแห่งความไม่รู้เท่านั้น กิมมิกนี้จึงเป็นเหมือนภัยคุกคามที่จะค่อยๆ คืบคลาน และผลักเราให้จมดิ่งกับความกลัวยิ่งกว่าครั้งไหนๆ...

3. Endings 

ภาพยนตร์เรื่อง The Chaser (추격자)
ภาพยนตร์เรื่อง The Chaser (추격자)

เมื่อตอนจบของเรื่องมาถึง เราจะมีอาการสับสน มึนงง อารมณ์ค้างกัน เพราะหนังไม่ได้ตั้งใจให้เรากลัว หากแต่เป็นการทำให้เรา ‘สิ้นหวัง’ กับเนื้อเรื่องที่ผ่านมาต่างหาก  

‘การใส่ Melodrama ที่หนักหน่วงลงไปนับเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของหนังสยองขวัญเกาหลี... เพราะนี่เป็นเรื่องเล่าของผู้แพ้ จึงมีตอนจบที่น่าเศร้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้’  
—หนังสือ Korean Horror Cinema 

เราจะแทบไม่รู้สึกกลัวสิ่งมีชีวิตลี้ลับอีกต่อไป มีเพียงความรู้สึกโศกเศร้าไปกับโชคชะตาของตัวละครหลักในเรื่องเท่านั้น ความรู้สึกสิ้นหวังนี้ต่างจากความกลัวโดยสิ้นเชิง เพราะมันทั้งหนักอึ้งและจะหลอกหลอนเราต่อไปแม้หนังจะจบลงแล้วก็ตาม…  

สำหรับเราแล้วเวลาดูหนังสยองขวัญเกาหลีทีไร จะรู้สึกเหมือนขึ้นโรลเลอร์โคสเตอร์อารมณ์ตลอดเลยค่ะ เดี่ยวตลกสักพัก หวานแหววแป๊บๆ แล้วก็ตัดเข้ามาแบบน่ากลัวหลอนจิต และจบปิดแบบเศร้าๆ หม่นๆ เล่นเอาคนดูซึมฝังลึกลงไปในใจกันเลยทีเดียว และสำหรับใครที่รอดู ‘ร่างทรง’ ไม่ไหว อยากจะเสพผลงานของคุณนาฮงจินสักเรื่องรอไปพลางๆ เราขอแนะนำเรื่อง ‘The Wailing’ เลยค่ะ เพราะจะมีกลิ่นอายความเชื่อเรื่อง ‘Shamanism (คนทรง)’ คล้ายๆ กัน บอกเลยว่าดีงาม ควรค่าแก่การดูแน่นอน : ) 

 Sources:https://mubi.com/cast/na-hong-jinhttp://www.koreanfilm.or.kr/eng/films/index/peopleView.jsp?peopleCd=10007437https://www.youtube.com/watch?v=490QcBgrNog
Dek-D Team ทีมคอลัมนิสต์ Dek-D

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น