เคยมีวันที่รู้สึกว่าตัวเอง “ดวงตก” กันไหม?
วันที่อยู่ดี ๆ อะไรก็ดูไม่ได้ดั่งใจเรา แค่ตื่นมาก็ดันรู้สึกไม่จอยกันวันนี้เสียแล้ว อาจเป็นวันที่เราทำงานบางอย่างพลาดไป หรือจากเรื่องระหว่างวันที่มาสะกิดใจ จนทำให้หมดอารมณ์ในการทำสิ่งต่าง ๆ ไปได้เลย
มันมีเหตุผลอะไร อยู่เบื้องหลังการเกิดวันที่ไม่เป็นใจแบบนี้ไหม หรือเพราะเราแค่ดวงตกกันแน่ และมาลองวิเคราะห์กันว่า เราควรจะทำอย่างไรดี หากวันดังกล่าวได้ปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง
ทำไมถึงรู้สึกว่าวันนี้ไม่ดีเลย
ทราบหรือไม่ ว่าคนที่เชื่อว่าสิ่งไม่ดีจะเกิดขึ้น เช่น เชื่อว่าวันนี้จะดวงตก, เชื่อในปีชง, หรือเชื่อว่าวันนี้ไม่ใช่วันของเรา จะมีโอกาสได้เจอกับเรื่องไม่เป็นใจ หรือเรื่องไม่ดีได้มากกว่าคนที่ไม่เชื่อในสิ่งดังกล่าว
สถิติดังกล่าวได้ถูกอ้างอิงโดย ดร. ปีเตอร์ เบนท์ลี่ย์ ผู้เขียนหนังสือ “Why Sh*t Happens: The Science of a Really Bad Day” ที่ชวนไขข้อสงสัยเบื้องหลังการเกิดวันที่ไม่เป็นใจ โดยอาศัยหลักวิทยาศาสตร์กับจิตวิทยามาช่วยในการหาคำตอบ
เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะในช่วงเวลาหนึ่งวัน มีสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นมามากมาย แต่สมองของมนุษย์กลับมีความสามารถในการประมวลผลและจดจำอย่างจำกัด ทำให้เราไม่อาจจดจำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไปได้ และต้องใช้เวลาอย่างพอควร เพื่อย้อนนึกถึงเรื่องราวทั้งหลายที่เพิ่งเกิดขึ้นไป
ดังนั้นแล้ว สมองของมนุษย์จึงอาศัยการสรุปใจความสำคัญของข้อมูลที่ได้รับ และแปลงให้อยู่ในรูปของแพทเทินที่เชื่อมโยงเข้าถึงกัน เพื่อไม่ให้เกิดความซับซ้อนในพื้นที่ความจำ พร้อมกับยังเหลือพื้นที่มากพอในการจดจำเรื่องราวอื่น ๆ เข้ามาในอนาคตได้
และเมื่อเรามีพื้นที่การจำที่จำกัด จึงทำให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจนเป็นอาจิณ เช่น การตื่นนอน เข้าห้องน้ำ เดินเล่น ดื่มน้ำ เล่นมือถือ มักไม่ถูกจดจำลึกลงไปในระดับรายละเอียดมากนัก หากไม่มีเหตุการณ์สำคัญหรือผิดแปลกไปจากแพทเทินเดิมเกิดขึ้น เช่น อยู่ดี ๆ เกิดฝันร้ายแล้วสะดุ้งตื่น หรือเผลอทำมือถือหลุดมือจนหน้าจอแตก นั่นย่อมกลายเป็นความทรงจำฝังใจ ที่มักติดอยู่ในหัวเราไปได้อย่างยาวนานเลย (เหตุผลเดียวกันกับที่ทำไมเราถึงจำเรื่องที่อยากลืมได้เก่ง แต่ดันชอบลืมเรื่องที่ควรจำไปได้นั่นเอง)
ในเวลาเดียวกัน หากเราเชื่อว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดวงตก สมองเราก็เหมือนได้รับข้อมูลมาว่าให้โฟกัสอยู่กับสิ่งไม่ดีที่อาจเกิดขึ้น จนกลายเป็นว่าเรื่องเล็กน้อยอย่างการเผลอเดินเตะเตียงนอน ก็กลายเป็นความโชคร้ายไปได้แล้ว ทั้งที่มันสามารถเกิดขึ้นได้จากความประมาทของเราเอง และทำให้เรามองข้ามเรื่องราวอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างวันนั้นไป จนกลายเป็นความทรงจำขึ้นมาว่า วันนี้มีแต่เรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นเต็มไปหมด
หากยกตัวอย่างแบบง่าย ๆ ก็เหมือนถ้าคุณเป็นคนกลัวผี การเข้าไปอยู่ในห้องมืดเพียงคนเดียว ก็พร้อมทำให้คุณตัวสั่น และมองเห็นอะไรแปลก ๆ ที่ชวนขนลุกได้ทั่วทุกมุมห้องแล้ว กลับกันกับคนที่ไม่ได้มีความกลัว ก็สามารถเข้าไปนั่งเล่นในห้องเดียวกันได้อย่างไม่มีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นได้นั่นเอง
เรามักมองข้ามสาเหตุของเรื่องไม่ดีดังกล่าว เนื่องจากความขี้เกียจที่ถูกฝังไว้อยู่ในสมองมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ที่ส่งผลให้เราเลือกทำสิ่งที่สบายกว่า เช่น เลือกอ่านหนังสือมากกว่าออกไปวิ่ง เลือกนอนมากกว่าทำงาน ซึ่งกับกรณีของความคิดที่ว่า วันนี้มีเรื่องแย่เกิดขึ้นนั้น การที่เราเลือกคิดว่าเป็นเพราะโชคไม่ดี หรือเกิดจากดวงตก ก็เป็นการเลือกทางที่สรุปปัญหาดังกล่าวอย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องไปย้อนสืบหาต้นตอของเรื่องราวนั้น ๆ ขึ้นมา
ดังนั้นแล้ว ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาในข้างต้น ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าการเกิดวันดวงตกของเรา ไม่ใช่ผลจากการเรียงตัวของดวงดาว และไม่เกี่ยวกับว่าเรากำลังโดนพระเจ้ากลั่นแกล้งเลย แต่มันเกิดขึ้นเพราะมุมมองและความคิดของเราเป็นปัจจัยสำคัญ
แต่ต่อให้เราจะทราบถึงสาเหตุของความรู้สึกดังกล่าว ก็คงยากที่จะห้ามไม่ให้ความรู้สึกไม่ดีเกิดขึ้นมาอีกได้ ซึ่งถ้ามันมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นมาอีกรอบล่ะ จะต้องทำอย่างไรดี?
แล้วเราควรทำอย่างไรดี
เมื่อต้นเหตุของความรู้สึกดังกล่าว เกิดจากการที่เรานึกถึงสิ่งนั้น ๆ อยู่ภายในจิตใจของตัวเอง จนกลายเป็นความคาดหวังว่ามันจะต้องเกิดขึ้นมาอีก แล้วทั้งวันดังกล่าวจะเต็มไปด้วยเรื่องราวไม่ดีอย่างแน่นอน…
ดังนั้น สิ่งแรกที่สามารถทำได้ คือการตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม โดยพยายามอธิบายต้นตอความรู้สึกในแง่ลบนี้ออกมา มันคือความกังวล, ความเครียด, หรือความผิดหวังกันแน่? และใครหรืออะไรเป็นต้นเหตุของความรู้สึกนี้ เช่น “เครียดกับการเรียน, กังวลกับงานกลุ่ม” จากนั้นให้มูฟออนไปจากตรงนี้ ไม่คิดถึงเหตุและความรู้สึกนี้อีก เพราะถ้ายิ่งคิดซ้ำอยู่เรื่อย ๆ ก็เหมือนพาวนให้ความรู้สึกไม่ดี เข้ามามีอิทธิผลราวกับเป็นเมฆครึ้มที่อยู่บนหัวเรา และไม่ยอมหายไปไหน
จากนั้น ลองพยายามปรับสภาพแวดล้อมโดยรอบ เช่น ปรับระดับความสูงเก้าอี้ เปลี่ยนมุมนั่ง หาหนังกับเพลงแนวใหม่มาชมและฟัง หรืออาจเปลี่ยนบรรยากาศออกไปเดินเล่นข้างนอก เพื่อช่วยให้เราได้ก้าวออกจากความรู้สึกไม่ดีในตรงนั้นได้มากยิ่งขึ้น
และสิ่งที่สำคัญเลย คือแม้จะมีสิ่งเลวร้าย ผิดพลาด หรือไม่ดีเกิดขึ้นกับเรา ก็ไม่ได้แปลว่าอนาคตข้างหน้ามันจะต้องแย่ไปเสียทั้งหมด เพราะในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ก็อาจมีสิ่งดี ๆ มากมายเกิดขึ้นกับชีวิตของเรามาแล้ว เช่น วันนี้เราได้กินอาหารจานโปรด หรือของที่สั่งไว้มาส่ง ให้ลองนึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ควบคู่ไปด้วย โดยเชื่อว่าแม้จะมีเรื่องไม่ดีเกิดมาคั่นกลาง เหตุการณ์ถัด ๆ ไปของวันนี้ก็สามารถเป็นเรื่องที่ดีได้
เพราะนอกจากว่าเรามีสิทธิ์ที่จะมีความสุขกับชีวิตตัวเองได้แล้ว การเชื่อว่าชีวิตของเราเองนั้นมีความสุข และมีโชคที่ดี ก็สามารถเพิ่มโอกาสให้มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นกับตัวเองได้จริง เช่นเดียวกับที่เชื่อเรื่องไม่ดี จะทำให้เกิดเรื่องราวดังกล่าวเพิ่มขึ้นได้นั่นเอง
ทุกอย่างบนโลกนี้ ไม่อาจเป็นใจให้เราได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว บางครั้ง เราก็ต้องเลือกที่จะใช้ความขี้เกียจของสมองให้เป็นประโยชน์ เมื่อเข้าใจสาเหตุของความรู้สึกดังกล่าวแล้ว ก็แค่ยิ้มและมูฟออนต่อไป ด้วยความมั่นใจว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้ จะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเราได้
สุดท้ายแล้ว คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเราจะต้องเจอวันที่แย่เข้ามาอีกบ้าง แต่ไม่ใช่เพราะดวงตก หรือปัจจัยเหนือธรรมชาติใด ๆ เลย ทว่ามันมาจากความเป็นมนุษย์ของเรานี่แหละ ที่บ่มเพาะให้เกิดความรู้สึกไม่ดีดังกล่าวขึ้นมา ซึ่งก็หวังว่า เมื่อวันดังกล่าวมาถึงอีกครั้ง วิธีการในข้างต้น จะเป็นตัวช่วยให้คุณก้าวข้ามวันไม่ดีดังกล่าวไปได้อย่างราบรื่นที่สุด
2 ความคิดเห็น
เป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องดวงตกค่ะ แต่ครึ่งเดือนมานี้เกิดทุกวันจนคิดว่าเมื่อไหร่จะผ่านไป แล้วมันจะผ่านไปได้ดีไหม หรือมันแย่ซะจนเราจะไม่เจอเรื่องดีอีกแล้ว (เมื่อไหร่มันจะผ่านไปค้าบบบ)