เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองยังไงดี
การเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองนั้นหากมีเทคนิคและวิธีการเรียนที่ดีแล้ว ก็จะง่ายมากจนใครๆ ก็สามารถทำได้ บทความนี้จะมาพูดถึงเทคนิคเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง โดยครอบคลุมทุกแบบ รวมถึงคนที่เพิ่งเริ่มต้นเรียนก็สามารถนำไปปรับใช้ได้
1. เข้าใจพื้นฐานภาษาอังกฤษของตัวเองก่อน
ก่อนจะเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ หากเข้าใจพื้นฐานหรือระดับภาษาของตัวเองก่อน ก็จะเลือกเรียนได้ตรงจุดมากขึ้น การเรียนง่ายเกินระดับก็อาจจะทำให้เบื่อหรือพัฒนาช้ากว่า ในขณะที่การเรียนยากเกินระดับก็อาจทำให้เรียนไม่เข้าใจหรือท้อได้ง่าย ดังนั้นจึงควรต้องทดสอบระดับภาษาของตัวเองก่อนเลือกเรียนเสมอ เพื่อวัดระดับความรู้ความเข้าใจของตัวเองก่อน ซึ่งแม้ว่าจะเป็น Beginner ก็สามารถทดสอบได้ เช่น ดูว่าตัวเองรู้คำศัพท์ระดับไหน ทดลองอ่านหนังสือง่ายๆ ไปถึงระดับยาก เช่น นิทานเด็กไปสู่เรื่องสั้นเยาวชนไปสู่คอลัมน์ข่าว หรืออาจจะมีบางทักษะที่พัฒนาเร็วหว่าหรือช้ากว่าอีกทักษะหนึ่ง ซึ่งก็สามารถดูได้ผ่านการทดสอบทักษะภาษาของตัวเอง
2. ตั้งเป้าหมายของการเรียนภาษาอังกฤษ
การตั้งเป้าหมายในการเรียนเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะการพัฒนาตัวเองเป็นเรื่องยากลำบาก ที่จะต้องเจอปัญหาที่ทำให้เรารู้สึกแย่ รู้สึกท้อแท้ได้ ดังนั้นการตั้งและมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองได้เป็นอย่างดี ช่วยฝึกฝนทักษะและผ่านความรู้สึกท้อแท้ไปได้ โดยตัวอย่างของการตั้งเป้าหมายที่ดีต่อการเรียนภาษาก็เช่น
- อยากไปเที่ยวต่างประเทศ
- อยากฟังเพลง อ่านหนังสือหรือดูหนังภาษาอังกฤษได้
- ได้รู้จักคนใหม่ๆ หาเพื่อนใหม่ๆ
- ไปเรียนต่อ
- เพิ่มความก้าวหน้าด้านการทำธุรกิจหรือการงาน
เป้าหมายเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อมีเป้าหมายชัดเจนแล้ว แรงใจที่จะเรียนต่อก็จะตามมาเอง
3. เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษจากการเรียนคำศัพท์ใหม่ๆ
เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ ด้วยการเรียนคำศัพท์พื้นฐานจะช่วยให้เข้าใจประโยคได้ง่ายขึ้นและต่อยอดการเรียนรู้อื่นๆ ได้มากขึ้น โดยคำศัพท์ที่เราสามารถเริ่มฝึกได้ก็จะเป็นคำศัพท์ที่เราเห็นบ่อยในสื่อรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเพลง หนังภาพยนตร์ หรือสังคมรอบตัวเราเอง ด้วยเหตุนี้เอง จึงควรฝึกอย่างรอบด้านทั้งฟัง พูด ดูและเขียนคำศัพท์ หรืออาจจะใช้เทคนิคการท่องศัพท์ให้จำได้ มาช่วยเสริมในการฝึกศัพท์ไปด้วย
4. ฟังเพลงและร้องเพลง
การฟังและร้องเพลงเป็นหนึ่งในวิธีเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษที่ช่วยให้เลียนเสียงและจำคำศัพท์ได้เยอะและเร็ว ด้วยจังหวะและทำนองที่นอกจากจะเพิ่มความสนุกสนานแล้ว ยังมีช่วยให้จดจำคำศัพท์ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ทำให้เบื่ออีกด้วย จึงเหมาะสมกับทุกคนอย่างมาก ที่สำคัญยังเป็นการเรียนรู้ภาษาที่เป็นธรรมชาติและเหมือนกับเจ้าของภาษา ช่วยให้การออกเสียงมีความแม่นยำขึ้นอีก
5. ฟัง ฟัง ฟัง และฟัง
นอกจากการร้องเพลงแล้วก็ยังมีช่องทางอื่นๆ ที่จะช่วยให้โอกาสที่จะได้ฟังคำศัพท์เพิ่มเข้าไปอีก เช่น วิทยุ พอดคาสต์ ซึ่งสำหรับแต่ละระดับก็มีสื่อที่เหมาะกับการฟังต่างกันไป เช่น
- ผู้ที่อยู่ในระดับ Beginner และต้องการเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองสามารถเลือกรายการง่ายๆ เช่น รายการสำหรับเด็ก เล่านิทาน บทสนทนาโต้ตอบสั้นๆ เป็นตัวเริ่มต้นได้ ช่องทางที่น่าสนใจ ได้แก่
- Learning English Broadcast พอดคาสต์ฝึกฟังภาษาอังกฤษที่ออกแบบมาสำหรับผู้เรียนโดยเฉพาะ โดยผู้ดำเนินรายการจะเน้นพูดให้ช้าลง และใช้คำศัพท์ที่ไม่ยากเกินไป
- Storyline Online: รายการเล่านิทานสำหรับเด็ก พร้อมซับไตเติ้ล
- Ello: เว็บไซต์ฟังบทสนทนาสั้นๆ หัวข้อทั่วไป พร้อมทรานสคริปต์สำหรับอ่านควบคู่
- ผู้ที่อยู่ในระดับ Intermediate อาจเลือกการฟังข่าวสั้นในหัวข้อทั่วไปที่สนใจ ฟังบทสนทนาที่ยาวมากขึ้น หรือเริ่มฟังนิยาย เรื่องราว สารคดีทั่วไปที่ไม่ซับซ้อนมาก ช่องทางที่น่าสนใจ ได้แก่
- BBC Learning English Podcast: พอดคาสต์สอนภาษาอังกฤษผ่านเรื่องที่น่าสนใจในชีวิตประจำวัน
- English Learning for Curious Minds Podcasts: พอดคาสต์เล่าเรื่องราวหลากหลาย ออกแบบมาสำหรับผู้เรียน จึงพูดไม่เร็วมาก และมีทรานสคริปต์ให้
- Gimlet Media: รายการและซีรีส์เสียงหลากหลายแนว ทั้งแนวสารคดี ระทึกขวัญ ไซไฟ และโรมานส์ ทั้งนี้ ความยากง่ายของเนื้อหาขึ้นอยู่กับรายการหรือซีรีส์ที่เลือกฟัง
- ABC News Daily: พอดคาสต์ข่าวจากทั่วโลก ในบางตอนจะมีการสัมภาษณ์ ทำให้ได้ฟังภาษาอังกฤษที่มีความหลากหลาย ขนาดข่าวไม่ยาวมาก เฉลี่ยประมาณ 10 นาที เมื่อเทียบกับช่องข่าวอื่นๆ แล้ว ถือว่าพูดช้ากว่านิดหน่อย
- ผู้ที่อยู่ในระดับ Advanced อาจเลือกการฟังข่าวที่มีความซับซ้อนมากขึ้น หรือฟังหนังสือเสียงที่มีความยาวมากขึ้น ช่องทางที่น่าสนใจ ได้แก่
- CNN 5 Things: พอดคาสต์สรุปข่าว ที่แม้ว่าจะสั้น แต่มีเนื้อหาที่ซับซ้อนทั้งประเด็นสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และอื่นๆ รวมถึงรายงานข่าวค่อนข้างเร็ว เหมาะกับคนที่ฟังภาษาอังกฤษคล่องแล้วต้องการอัพสกิล
- The Daily: พอดคาสต์ข่าวที่เป็นที่นิยมมากๆ มีความยาว 20-30 นาที รายงานข่าวหลากหลายประเด็นจากทั่วโลกเป็นความเร็วระดับสนทนาในรายการข่าวปกติ ซึ่งถือว่าช้าลงกว่า CNN 5 Things แต่ก็เหมาะกับผู้ที่ฟังคล่องแล้วเช่นกัน
- Librovox: คลังหนังสือเสียงสาธารณะ สามารถฟังหนังสือได้หลากหลายประเภท
- TED Podcast: พอดคาสต์ของ TED Talk พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องทางวิชาการหลากหลายประเด็น เช่น เทคโนโลยี จิตวิทยา การพัฒนาตัวเอง
6. สื่อบันเทิงรอบตัวช่วยได้
อีกหนึ่งแหล่งที่ดีในการฝึกภาษาก็จะเป็นสื่อบันเทิงรอบตัว เช่น หนัง ซีรีส์ รายการทีวี ยูทูบเบอร์ เกม ซึ่งจะมีข้อดีตรงที่คำเหล่านี้มักจะเป็นคำที่พบบ่อยและใช้งานในสถานการณ์จริง ไม่ใช่คำหายากหรือคำที่ใช้แค่ในการร้องเพลงหรือในวรรณกรรมเท่านั้น ซึ่งหากใครอยากเริ่มฝึกภาษาด้วยวิธีนี้ ก็ขอแนะนำ 10 ซีรี่ย์ฝึกภาษาอังกฤษไว้เป็นตัวเลือกเพิ่มไปด้วย
7. เรียนรู้หลักการออกเสียงให้ถูกต้อง
การออกเสียงที่ถูกต้องนอกจากจะทำให้เราสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยให้เกิดความมั่นใจในการสื่อสารอีกด้วย เพราะจะทำให้เรากล้าใช้ภาษามากขึ้นส่งผลให้เราได้ฝึกฝนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไป ทำให้คนที่เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษจนมีพื้นฐานที่ดีแล้ว สามารถพัฒนาทักษะต่อเนื่องไปได้ในเวลาอันสั้น ความมั่นใจในการใช้ภาษาจึงสำคัญมากดังนั้น วิธีการอย่าง 5 เทคนิคฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษให้เหมือนเจ้าของภาษา จึงเป็นเรื่องน่าสนใจมากสำหรับผู้ที่ต้องการฝึกภาษาอังกฤษ
8. เรียนรู้ไวยากรณ์พื้นฐาน
หลังจากคุ้นชินกับการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันของเจ้าของภาษาผ่านการเรียนรู้ตามสื่อต่างๆ แล้ว การเรียนรู้ไวยากรณ์จะช่วยให้เข้าใจที่มาที่ไปของประโยคและความหมายของมันมากขึ้น หลายคนคิดว่าในการเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษนั้น ไวยากรณ์เป็นหนึ่งในเนื้อหาการเรียนที่และน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วไวยากรณ์ในระดับพื้นฐานนั้นถือว่าไม่ได้ซับซ้อนจนยากเกินความสามารถแน่นอน! มาดูกันว่าไวยากรณ์พื้นฐานที่ควรรู้มีอะไรบ้าง
- Part of Speech ประเภทและหน้าที่ของคำ นับว่าเป็นไวยากรณ์พื้นฐานหัวข้อใหญ่ที่จะทำให้เข้าใจไวยากรณ์อังกฤษได้มากขึ้น โดยในหัวข้อ Part of Speech ก็จะมีกฎการใช้คำแต่ละประเภท เช่น Noun หรือ คำนาม ก็จะได้เรียนรู้เรื่อง นามนับได้ และนามนับไม่ได้ หรือในเรื่องของ Verb หรือคำกริยาก็จะมีแยกย่อยเป็นเรื่องต่างๆ เช่น Modal Verb, Linking Verb และ Verb Conjugation เป็นต้น เรียกว่าเรียนเรื่องนี้ไว้เป็นพื้นฐาน สามารถกระจายความรู้ออกไปได้กว้างเลยทีเดียว
- Interrogative Word คำที่ใช้แสดงคำถาม เช่น What, Where, When และ Why
- Subject – Verb Agreement การใช้ประธานและกริยาให้สอดคล้องกัน
- Parallel Structure โครงสร้างคู่ขนาน หรือเรียกกว่าการเรียงโครงสร้างประโยคโดยใช้กลุ่มคำที่ทำหน้าที่เหมือนกัน
- Tenses รูปประโยคที่บ่งบอกถึงกาลและเวลาในทัศนะของผู้พูด
เป็นต้น
9. ฝึกพูด
ในขั้นตอนการเตรียมตัวเพื่อเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ การพูดเป็นทักษะที่จำเป็นต้องฝึกด้วยการพูดให้ร่างกายจดจำได้ จึงจะพัฒนาความเก่งในทักษะประเภทนี้ได้ ซึ่งการฝึกพูด ฝึกสนทนานั้นเป็นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้การเรียนภาษาอังกฤษพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถเริ่มต้นที่การทำอะไรง่ายๆ เช่น เลียนแบบสิ่งที่เคยได้ยิน ลองพูดตามประโยคหรือคำพูดต่างๆ ก็สามารถพัฒนาการพูดได้
10. ฝึกอ่าน
การเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษด้วยการพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษนั้นมีข้อดีที่จะทำให้เราเข้าถึงตัวเลือกการเรียนภาษาที่หลากหลายและมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการอ่านข่าวและบทความออนไลน์ ที่นอกจากจะได้ภาษาแล้ว ยังได้รู้เท่าทันโลก อ่านเรื่องสั้น นิยาย หรือแม้แต่บทสนทนาในเว็บบอร์ด ข้อความโซเชียลมีเดียก็สามารถทำได้ โดยสามารถเลือกฝึกตามระดับได้ เช่น
- ผู้ที่อยู่ในระดับ Beginner สามารถเริ่มต้นโดยการทดลองอ่านหนังสือนิทานง่ายๆ แล้วสรุปว่าเรื่องเกิดอะไรขึ้น ใครทำอะไรกับใครก็ได้ หรืออาจจะเริ่มจากหนังสือภาษาอังกฤษแนะนำอื่นๆ ที่ถูกใจเราก็ได้ ช่องทางที่น่าสนใจ ได้แก่
- Lingua English Text for Beginners: บทอ่านสั้นๆ พร้อมควิซที่ช่วยตรวจสอบความเข้าใจในแต่ละบทความ
- Fairytalez: เว็บไซต์อ่านนิทานปรัมปราคลาสสิกหลากหลายเรื่อง
- ผู้ที่อยู่ในระดับ Intermediate อาจเลือกฝึกอ่านข่าวภาษาอังกฤษ บทความสั้นๆ ในหัวข้อทั่วไปที่สนใจ หรือนิยายที่มีระดับความยากอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ช่องทางที่น่าสนใจ ได้แก่
- Buzzfeed: เว็บไซต์บันเทิงที่มีทั้งบทความและควิซทายใจ โดยเนื้อหาจะเป็นเรื่องเบาๆ สบายสมอง และเรื่องที่กำลังฮิตในหมู่วัยรุ่นทั่วไป
- Vice: เว็บไซต์รวบรวมงานเขียนน่าสนใจจากทั่วโลก มีทั้งข่าวและบทความวัฒนธรรม สังคม ไลฟ์สไตล์ ฯลฯ
- Openlibrary: เว็บไซต์รวบรวม E-book หลากหลายแนว โดยจะมีหลากหลายเล่มที่สามารถอ่านได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
- ผู้ที่อยู่ในระดับ Advanced อาจเลือกการอ่านข่าวที่มีความซับซ้อนมากขึ้น หรือหัวข้อที่มีความเป็นวิชาการ ใช้ศัพท์ที่เป็นทางการมากขึ้น ช่องทางที่น่าสนใจ ได้แก่
- Lithub: เว็บไซต์รวบรวมบทความ ข้อคิดเห็น และบทวิเคราะห์ต่างๆ โดดเด่นด้วยการใช้ภาษาที่สละสลวยเป็นเอกลักษณ์ โครงสร้างประโยคยาว รวมถึงใช้คำศัพท์ที่หลากหลาย
- JSTOR: เว็บไซต์รวมรวมวารสารและงานวิชาการจากทั่วทุกมุมโลกในสาขาวิชาที่กว้างขวางและครอบคลุม
- Google Scholar: ช่องทางการค้นหาบทความและงานเขียนแนววิชาการในทุกหัวข้อ
11. ฝึกเขียน
การฝึกภาษาอังกฤษผ่านการเขียนนั้น สามารถพัฒนาหลายทักษะไปพร้อมๆ กัน โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้หนังสือหรืออุปกรณ์อะไรมากในการพัฒนาทักษะ และมีความสำคัญในการทำงานและเรียนอย่างมาก เช่น การเขียน Essay Writing ก็ต้องใช้ทักษะเขียนเป็นหลักทั้งนั้น ซึ่งเราสามารถเริ่มต้นด้วยการ ฝึกเขียนประโยคสั้นๆ ก่อนดูตัวอย่าง ลอกเลียนจากพจนานุกรม และลองสับเปลี่ยนคำศัพท์ เป็นต้น
12. ใช้แอปพลิเคชันและสื่อการสอนต่างๆ
การใช้แอปพลิเคชันและสื่อการสอนต่างๆ เพื่อช่วยในการเรียนภาษาอังกฤษนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะสิ่งเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อสอนและทำปฏิสัมพันธ์กับเรา ทำให้การเรียนภาษาไม่น่าเบื่อและมีกิจกรรมให้ทำอยู่เรื่อยๆ อีกเรื่องหนึ่งคือความสะดวกในการที่จะเรียนภาษาที่ไหนก็ได้ เวลาไหนก็ได้จึงเหมาะกับผู้ที่อยากเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองในช่วงว่างๆ นั่นเอง
13. หาแรงบันดาลใจ
จุดเริ่มต้นในการเรียนภาษาอังกฤษที่จะช่วยให้เราเก่งขึ้นโดยไม่รู้ตัว ให้เริ่มจากการหาสิ่งที่ชอบแล้วนำความรู้ที่ได้มาฝึกฝนภาษาเพิ่มเติมจากสิ่งนั้น เช่น อาจจะเป็นแฟนภาพยนตร์ แฟนซีรีส์ มีการ์ตูนเรื่องที่ชอบ ชอบท่องเที่ยว ฯลฯ ที่จะช่วยผลักดันให้เราทำกิจกรรมที่พัฒนาทักษะภาษาเราได้โดยไม่น่าเบื่อ เช่น ถ้าอ่านการ์ตูนอาจหาเวอร์ชันภาษาอังกฤษ หรือพูดคุยกับคนที่ชอบสิ่งเดียวกัน ชอบท่องเที่ยวอาจจะหาคำศัพท์เกี่ยวกับการท่องเที่ยว อ่านบล็อกท่องเที่ยวง่ายๆ แล้วจดคำศัพท์ หรือคนชอบดูหนังก็สามารถดูหนังฝึกภาษาอังกฤษได้
14. สร้างพื้นฐานที่ดีไปกับสถาบันสอนภาษา
ข้อสุดท้ายขอส่งท้ายว่าถ้าใครรู้เคล็ดลับแล้วแต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าจะเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองยังไงดี สถาบันสอนภาษาที่มีแผนการสอนที่ออกแบบมาเพื่อปรับพื้นฐานภาษาให้แน่นก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี มีจุดเด่นหลายอย่าง เช่น
- สามารถช่วยดีไซน์หรือหาคอร์สให้เหมาะสมกับทักษะของเรา
- มีการชี้นำการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพทำให้การเรียนเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
- สร้างบรรยากาศการเรียนให้ไม่น่าเบื่อ
- สามารถแรงบันดาลใจ วิธีและช่องทางที่เราจะพัฒนาทักษะภาษาต่อเนื่องไปได้อีก
หลายคนอาจจะเป็นห่วงว่าจะต้องเสียเงินมากในการเรียนกับสถาบันหรือเปล่า แต่ในความจริงนั้นสถาบันหลายที่จะสามารถทดลองเรียนก่อนได้ เช่น ในคอร์ส Pre-Inter ของทาง InterPass เองก็สามารถมาทดลองเรียนก่อนได้เช่นกัน
สรุป
การเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองทำได้ไม่ยาก ขอแนะนำให้เริ่มจากการทดสอบระดับภาษาของตนเอง ตั้งเป้าหมาย และเริ่มฝึกฝน โดยอาจเริ่มจากปูพื้นฐานด้วยศัพท์สำคัญ เสริมทักษะการฟังและอ่านจากเจ้าของภาษาผ่านสื่อต่างๆ ที่หาได้ทั่วไป จากนั้นเลียนแบบการพูดและการเขียนผ่านตัวอย่างที่ได้เห็น รวมทั้งพัฒนาความเข้าใจผ่านไวยากรณ์พื้นฐาน นอกจากนี้ สำหรับน้องๆ คนไหนที่ยังไม่แน่ใจในเส้นทางการเรียนภาษา และอยากจะมีคนมาช่วยแนะนำแนวทางเพื่อเริ่มต้นก้าวแรกในการเรียนภาษาอังกฤษอย่างมั่นใจที่สุด การให้สถาบันสอนภาษาที่มีหลักสูตรครบถ้วนมาช่วยปรับพื้นฐานและให้คำปรึกษาก็ถือว่าเป็นไอเดียที่ดีเช่นกัน
แสดงความคิดเห็น