โต้วาที: สถาบันกวดวิชา จำเป็นต่อเด็กไทย
ตั้งกระทู้ใหม่
"สถาบันกวดวิชา จำเป็นต่อเด็กไทย"
สนับสนุน หรือ เห็นต่าง แสดงความคิดเห็นกันได้เลย
สนับสนุน หรือ เห็นต่าง แสดงความคิดเห็นกันได้เลย
26 ความคิดเห็น
การที่ทุกคนเห็นว่ากวดวิชาจำเป็น เป็นเพราะไม่รู้จักพึ่งตัวเองหรือเปล่า ลองอ่านหนังสือเอง ไม่เข้าใจก็ถามครู-เพื่อนเป็นเรื่องๆ ซื้อหนังสือเสริมมาอ่าน ทำข้อสอบเก่าเยอะๆ จัดสรรเวลาให้เหมาะ แค่นี้เราก็ไม่ต้องพึ่งกวดวิชาแล้ว ที่สำคัญคนที่สอบได้อันดับต้นๆของประเทศ หรือเด็กต่างจังหวัดที่สอบได้มหาวิทยาลัยชั้นนำเขาก็ไม่ไปกวดวิชากันทั้งนั้น ฝากไว้ให้คิดด้วย
ถ้าพูดถึงวิถีชีวิตของเด็กในอุดมคติ สถาบันกวดวิชา ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น
แต่หากพูดถึง "เด็กไทย" ในบริบทปัจจุบัน ที่ระบบการศึกษาไทยห่วยแตก ถือว่าจำเป็น
เพราะอะไร ?
เพราะสังคมไทยในปัจจุบัน ผู้ที่ไม่จบสูง ๆ เกรดดี ๆ มหาลัยมีชื่อ แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีโอกาสในสังคม
หลายคนอาจจะซึนเดเระ บอกว่าที่จริงบริษัทเขาดูความสามารถกัน ไม่ได้ดูเกรดดูมหาลัยกันหรอก
ขอถามกลับว่า... แล้วความสามารถมันจะดูยังไง ?
ในเมื่อเด็กจบใหม่ไม่เคยไปทำงานที่ไหน มันจะดูความสามารถได้ยังไง ? สุดท้ายก็ต้องดูสิ่งที่การันตรีเด็กที่จบใหม่คนนั้นแทน
นั่นก็คือใบวุฒิการศึกษา ว่าจบมาจากไหน เกรดเท่าไหร่
จริงอยู่ ว่าอาจจะไม่ใช่ทั้งหมดที่จะสรุปได้ถึงความสามารถของเด็กคนนั้น แต่มหาลัยที่มีชื่อมักจะเข้ายากจบยาก แล้วคนที่จบมาจากที่นั่นไม่คิดหรือว่าน่าจะมีโอกาสสูงที่จะเก่งกว่ามหาลัยไร้ชื่อที่เข้าง่ายจบง่าย ?
กระนั้นบางคนอาจจะแย้งว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จหลายคนก็ไม่ได้จบมหาวิทยาลัย
แต่ขอถามสักหน่อย คนที่ทำเช่นนั้นได้มีสักกี่คนกันแน่ ?
คนที่จบมหาลัยดี ๆ แล้วประสบความสำเร็จ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้จบมหาลัยประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่ ?
คนที่ไม่จบมหาลัยแล้วประสบความสำเร็จ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้จบแล้วล้มเหลวคิดว่ามีเท่าไหร่ ?
บางคนอาจจะหลงกับคำที่ว่า "ไม่จบมหาลัยก็ประสบความสำเร็จได้" แต่นั่นเพราะคนผู้นั้นเขาเก่งจริงต่างหาก
ซึ่งไม่คิดหรือว่า หากเขาจบมหาลัยมาก่อนหน้า อาจจะทำให้เขาประสบความสำเร็จมากกว่านี้อีก
ด้วยเหตุนี้มันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่เด็กไทยมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนดีเรียนเก่ง เพื่อจะสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ให้ได้
ทว่า... การศึกษาไทยถือว่ามีปัญหามาก
ครูที่สอน มีความรู้จริงในเรื่องที่สอนมากแค่ไหน ? ไม่มีใครรู้ เพราะไม่มีใครไปประเมินเลยสักครั้ง
ที่มีประเมินก็พบว่า แม้แต่ภาษาไทยง่าย ๆ ครูที่ทำการสอนนักเรียนก็ยังทำไม่ผ่าน !
อึ้ง!นักเรียน-ครู-ผู้บริหารรร.สอบเขียนภาษาไทยตกกราวรูด
ยังไม่รวมถึงหลายครั้งพบว่าครูเองก็ไม่ได้ทำการสอนในชั่วโมงเรียนอย่างเต็มที่ อู้บ้าง บ่นเรื่องตัวเอง+การเมืองบ้าง ซึ่งพบเจอเด็กที่บ่นเช่นนี้เป็นประจำ
ซ้ำร้าย สิ่งที่ครูสอนหลายครั้งก็ยังเป็นแค่เพียงพื้นฐาน แต่ที่ออกสอบเพื่อเข้ามหาลับคือระดับ"โอลิมปิกส์วิชาการ" ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะบอกว่าความรู้ที่ครูสอนในโรงเรียนย่อมไม่พออย่างแน่นอน
กลับกัน การเรียนพิเศษ จะช่วยให้เด็กสามารถทำข้อสอบได้ดีกว่า เพราะเขาเปิดมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
เรียนเองยังไงก็มีข้อจำกัด ติวกับเพื่อนถ้าเพื่อนไม่เก่งก็ช่วยไม่ได้ ขอให้ครูช่วย... หากในชั่วโมงยังไม่รู้เรื่องแล้วให้ครูช่วยนอกชั่วโมงเรียนจะช่วยได้แค่ไหน ? ในหนังสือเรียนหรือข้อสอบเก่า มันบอกทริคงั้นรึว่าคิดเร็ว ๆ ให้ทำยังไง ? บอกรึว่าวิธีการตัดช้อยส์ทำยังไง ? หากไม่รู้ก็แปลว่าต้องเสียเวลาไปมากกว่าที่ควรเป็น ซึ่งขอถามหน่อย ข้อสอบพวกนี้ทำกันทันอย่างนั้นหรือ ? ถ้าให้เวลาถมเถก็ว่าไปอย่าง แต่ขอจริงมันไม่ใช่ ! มันมีเวลาจำกัด พวกทริคการทำข้อสอบเหล่านี้ไม่มีทางที่จะได้มาจากครู จากเพื่อน จากหนังสืออย่างเด็ดขาด มีแต่สถาบันกวดวิชาเท่านั้นที่จะให้เราได้ !
แน่นอน หากจะบอกว่า มีคนที่สอบระดับต้น ๆ ของประเทศยังไม่เห็นต้องเรียนพิเศษเลย
ขอถามกลับว่า.... เชื่อคำพูดนั้นได้แค่ไหน ?
และถึงเชื่อได้ ถามต่อว่าเขาเรียนอยู่ในโรงเรียนอะไร ? โรงเรียนชั้นนำของประเทศใช่ไหม ? ซึ่งคนที่จะอยู่ในโรงเรียนแบบนั้นได้คิดหรือว่าจะไม่เคยผ่านการติวเพื่อจะสอบเข้ามาก่อนเลย ? และโรงเรียนส่วนใหญ่ของประเทศมีคุณภาพมากพอที่สอนในความรู้ระดับที่สอบเข้ามหาลัยได้ง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ ?
และถึงจะได้เรียนอยู่ในโรงเรียนชั้นนำ แต่คนที่สามารถเรียนเองติวเอง จนถึงขั้นนั้นได้มีสักกี่คน ?
ทำได้คนเดียว แต่อีกเป็นพัน ๆ คนที่เหลือล้วนแต่ต้องติวพิเศษหมด แปลว่าคนที่ไม่ต้องเรียนพิเศษคนนั้นเป็นคนเก่ง เป็นคนอัจฉริยะมาตั้งแต่ต้น
ดังนั้นหากคิดแค่ว่าเขาทำได้แล้วเราต้องทำได้ด้วย นั่นคือการฆ่าตัวตาย ! เพราะคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ขืนไปใช้วิธีเดียวกันย่อมไม่มีทางประสบผลเหมือนกับเขาได้อยู่แล้ว !
และอีกสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ การเรียนเพื่อสอบที่มีประสิทธิภาพที่สุด ยังไงก็คือการเรียนกับสถาบันกวดวิชา เพราะเขาเกิดขึ้นเพื่อเหตุนี้โดยเฉพาะอยู่แล้ว การเรียนด้วยตัวเอง ติวกับเพื่อน ฟังจากครู อ่านจากหนังสือ ยังไงก็มีข้อจำกัด ดังนั้นหากต้องการจะสอบให้ได้คะแนนดี ๆ การเรียนกับสถาบันกวดวิชาก็น่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดอยู่แล้ว ! ยกเว้นแต่ตัวเราคิดว่าความสามารถเท่านี้พอกับคณะในมหาลัยที่เราต้องการเข้าแล้ว เราก็เลยไม่มีความจำเป็นต้องเรียนพิเศษเพิ่ม มันก็ได้
...แต่ คนที่ทำเช่นนั้นได้จะมีสักกี่คน ? และมั่นใจแค่ไหนว่าจะได้ชัวร์ ? สู้เพิ่มความมั่นใจด้วยการติวเพิ่มไม่ดีกว่าหรือ ?
ด้วยเหตุนี้จากที่พูดมาทั้งหมด "เด็กไทย" มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกวดวิชา หาไม่แล้วโอกาสที่จะสอบเข้ามหาลัยดี ๆ ชั้นนำได้ ก็คงจะลางเลือนเต็มที
#1
- โรงเรียนกวดวิชา มีเพื่อทางนี้อยู่แล้ว ดังนั้นการเรียนเพื่อสอบเข้าที่ได้ประสิทธิภาพที่สุด ยังไงก็ต้องเรียนกับสถาบันกวดวิชา
- ถ้าอ่านหนังสือเองแล้วทำได้ ก็ไม่ต้องมีโรงเรียนแล้ว
- ถ้าครูสอนแล้วเข้าใจ คงไม่ต้องมาเรียนต่อเองหลังชั่วโมงเรียนหรอก
- เพื่อนยังไงก็ไม่ใช่ครู ช่วยได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น
- หนังสือเสริม ข้อสอบเก่า ทำได้แค่วัดระดับของตัวเอง กับฝึกฝนอย่างถึก ๆ หากต้องการทริคการทำข้อสอบเร็วพวกนี้จะไม่มีบอก
- เด็กต่างจังหวัดที่สอบได้มหาลัยชั้นนำ เขาก็กวดวิชา เคยเจอขนาดนั่งรถเป็นชั่วโมง ๆ เพื่อมากวดวิชาในเมืองเลย (เคยเจอคนที่ทำงี้จริง ๆ แล้วเขาก็ติดบางมดไปแล้ว) ไม่ก็สอบเข้าเพื่อมาเรียนโรงเรียนในกรุงเทพ พูดตามตรงคิดไม่ออกเหมือนกันว่าที่อยู่ในเขตชนบทจริง ๆ จะเรียนเก่งได้ยังไงถ้าไม่มีอะไรบางอย่างที่ช่วยสอนให้เขาเก่งขึ้นได้ อย่างน้อยที่สุดหนังสือติวสอบอะไรพวกนี้ก็ต้องซื้อหามาอ่านแน่ ๆ ซึ่งคงไม่มีขายในเขตชนบทหรอก แต่ต้องขวนขวายมาหาซื้อถึงในตัวเมืองเป็นอย่างต่ำ
- คนที่สอบได้อันดับต้น ๆ ของประเทศโดยไม่ต้องกวดวิชา เรียนอยู่โรงเรียนไหน ? โรงเรียนระดับท็อปของประเทศหรือเปล่า ?
- คนที่สอบได้อันดับต้น ๆ ของประเทศโดยไม่ต้องกวดวิชามีกี่คนจากจำนวนคนเก่ง ๆ ทั้งหมด ? ถ้ามีแค่ไม่กี่คนนั่นคือเคสพิเศษ ไม่ใช่เคสปรกติ ซึ่งเลียนแบบไม่ได้แน่นอน
หมายเหตุ ถ้าไม่ต้องการเรียนกวดวิชา แล้วยังประสบความสำเร็จในชีวิต
ก็ไม่ต้องสอบเข้ามหาลัย ไปเรียนสายวิชาชีพอะไรพวกนี้โดยตรงเลยดีกว่า
ถ้าเป็นสายสามัญ สายที่ต้องสอบเข้ามหาลัย ยังไงก็มีความจำเป็นที่จะต้องเรียนกวดวิชาสักทางหนึ่ง
เรากดเลือกเรียนเพราะการศึกษาไทยมัน"ห่วย"ครูไร้คุณภาพที่จะสอน ไม่มีจริยธรรม มัวแต่คิดว่ารายงานของฉันต้องเสร็จก่อนที่จะสอนเด็กๆ รีบๆเก็บคะแนนเด็ก หรือไม่ก็ตามงานเด็กๆเพราะกลัวให้คะแนน0กับนักเรียนแล้วผู้ปกครองจะตามมาด่า
เอาจริงๆนะ ครูควรจะให้นักเรียนมีความรับผิดชอบเองไม่ใช่ว่ามาไล่ตามงานงกๆ แล้วก็ให้ครึ่งคะแนนผ่าน ถ้ามีความเป็นครูจริง ต้องไม่ใช่สักแต่สอนควรให้แบบฝึกหัด เช่นพวกการบ้านไปด้วย(แต่ควรจะสั่งให้มันเพลาๆหน่อยไม่ก็ช่วยปรับเวลาเรียนจะดีมาก) การที่คุณให้นักเรียนไปอ่านเองมันจะเกิดผลไหมถ้านักเรียนอ่านไปก็เกิดแต่คำถามในหัว? เราว่าการที่ฝึกให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดเป็นอะไรที่ดีนะเพราะมันทำให้จำ ฝึกความขยันหมั่นเพียร เพราะพวกใบงาน วิเคระาห์บลาๆเนี่ย ก็อปมาจากgoogle ไม่ได้เรียบเรียงอะไรเลยแล้วก็ได้คะแนนเต็มไปอย่างง่ายๆ
เราไม่ได้เก็บกดแต่คิดว่าถ้าไม่อยากให้นักเรียนกวดวิชามันต้องแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุก็คือการศึกษา เรียนมากสุดท้ายคนเก่งๆก็โดนต่างประเทศชิงตัวไปหมด รัฐบาลควรให้ความสำคัญจะเข้าAECแล้วการศึกษาไทยยังดอกด๋อยอยู่เลยเหมือนเก่งIQ แต่โง่EQยังไงไม่รู้นะ
ฝากผู้ใหญ่หลายๆท่านช่วยปรับเปลี่ยนด้วยไม่ใช่มัวแต่มายุ่งกับการสอบเข้ามหาลัยลูกเดียว อย่าโลภเอาเงินมากขอร้อง
จากประสบการณ์เด็กที่เรียนกวดวิชา จะไม่ตั้งใจเรียนในห้อง พูดคุยเสียงดังอยู่หลังห้อง ไม่ฟังอาจารย์ แต่สอบที่ไรได้คะแนนดีทุกที
ซึ่งเราเป็นคนหนึ่งที่ไม่เรียนกวดวิชา เพราะมันเสียเงินเยอะและเสียเวลา และยอมรับว่าตัวเองสู้เด็กกวดวิชาไม่ได้ ในบางวิชาล่ะนะ พวกฟิสิก เคมี เป็นวิชาที่ไม่ได้ใช้ความจำอย่างเดียว
ถามว่าจำเป็นมั้ย จำเป็นเพราะมันทำให้เด็กเก่งกว่าเรียนในห้องเรียนแน่นอน แต่ขอถามคำเดียว
ทำไมไม่สอนให้ห้องเรียนให้เหมือนเรียนโรงเรียนกวดวิชา จะให้เสียเงินหลายต่อไปทำเพื่อ? จะให้เสียเวลาเพิ่มไปอีกทำไม ในเมื่อตอนที่ทกกันเรื่องการบ้านก็แทบไม่มีเวลาหายใจกันแล้ว?
ปัญหานี้ไม่ได้อยู่ที่เด็ก แต่มัอยู่ที่...(?)...
กด จำเป็น เพราะหลักสูตรไทยบีบบังคับ รวมทั้งหมดแสนแปด คือให้เด็กเรียนหมดทุกอย่าง สากกะเบือยันเรือรบ การบ้านก็เยอะ งานก็แยะ กิจกรรมก็บาน เวลาอ่านหนังสือแทบไม่มี เวลาในคาบไม่ได้น้อยนะ 1 ชั่วโมงได้ แล้วอาทิตย์หนึ่งแต่ละวิชาตีเป็นกี่ชั่วโมง แต่เพราะหลักสูตรมันเยอะจนสอนไม่ทันมากกว่าไง สอนก็ไม่ทันแล้วครูบางคนบ่นไปครึ่งคาบแล้วค่อยสอนงี้ก็ไม่ไหว โรงเรียนเราเรียนเก้าคาบ บางครั้งไม่ทันก็นัดเพิ่มคาบสิบ หลังเรียน ไม่ก็เสาร์อาทิตย์ มันไม่ต่างอะไรกับไปเรียนเสริมอยู่ดี
เพราะแบบนี้ คนส่วนมากถึงเห็นว่าการเรียนพิเศษสำคัญ แต่ครูบางคนก็หัวหมอ สอนนักเรียนในคาบไม่ให้เข้าใจ แล้วค่อยไปเรียนพิเศษกับครูด้านนอกเอา เงินเข้าตัวเองอีกด้าน เป็นไงล่ะ
แต่โทษที่หลักสูตรทั้งหมดก็ไม่ได้ มันเป็นปัญหาที่บานปลายแล้วนะเราว่า เพราะเราถูกปลูกฝังให้เป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กจนชิน เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แค่เด็ก ม.ต้น ม.ปลาย แล้วที่เรียนพิเศษ เด็กอนุบาลก็มีเรียนแล้วด้วยซ้ำ แต่ถ้าจะแก้ไขมันแก้ได้ แต่ยากหน่อยละกัน ถ้าหากพวกผู้ใหญ่ยังคิดจะฉาบฉวยเอาผลประโยชน์อยู่
ถ้าพวกผู้ใหญ่ที่กำลังเห็นและเลือกที่จะคว้าประโยชน์ด้านนี้จากเด็กๆ คุณเลิกคิดได้แล้ว คิดว่าพวกหนูไม่เหนื่อยบ้างหรือไง หัดคิดบ้างสิ นี่หรือผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน เห็นแล้วน้ำตาจะไหล
ผมว่าก่อนจะมาพูดโทษโน่นโทษนี้กัน ทำไมไม่ลองดูตัวเองก่อนดีกว่าไหมครับ ว่าในชีวิตที่ผ่านมาเราวางแผนอะไรยังไงไว้บ้าง ผมยอมรับว่าผมก็เคยเรียนพิเศษแต่แค่ครั้งเดียวตอนปอหก เพราะหลังจากที่สอบเข้าม.1 ได้ก็รู้ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย สุดท้ายก็ต้องพึ่งตนเอง แล้วเคยลองกลับมาคิดว่าทำไมทั้งๆที่เรียนพิเศษแล้วแต่ยังไม่เก่งขึ้น ผมลองแยกประเด็นดูนะครับ
- เราไม่ได้วางแผนการเรียนต่ออย่างจริงจังเลยใช่ไหม
- เรารู้ไหมว่าที่ๆเราจะไปสอบเข้ามันเป็นยังไง ข้อสอบจะออกแนวไหน รับกี่คน มีดีมานด์จากเด็กที่ไหนบ้าง
- เราทบทวนความรู้อยู่เสมอรึเปล่า
- เราวางตารางชีวิตอะไรบ้าง
- และประเด็นจากปัจจัยรอบๆ เช่น ความครอบคลุมในเนื้อหาที่ รร. และ สถาบันกวดวิชา สอน มันพอสอบไหม
- สภาพแวดล้อมในการเรียน การทำงาน การทำกิจกรรม
- สุขภาพของเรา และสภาพครอบครัว
- ฯลฯ
อาจจะมีมากกว่านี้ก็ได้นะครับแล้วแต่คน ถ้ามองในมุมที่ว่าสถานการณ์การศึกษาไทยตอนนี้เราจำเป็นต้องพึ่งกวดวิชาไหม ผมไม่ต้องตอบก็รู้ๆกัน หรือสมควรบอกว่านร.ทุกคนในประเทศไทยที่พอมีฐานะบ้างรู้ๆกันอยู่ ถ้ามันไม่จำเป็นมันจะเกิดสถาบันพวกนี้ขึ้นอย่างกับดอกเห็ดหรือ ขนาดที่ว่าแม่บอกว่า" ไม่เป็นไรลูกตังไม่มีเดี๋ยวแม่ยืมเพื่อนมาให้ลูกไปจ่ายค่าเรียนพิเศษ" , อ.ในรร. ว่า"อ่ะนี้นะ ถ้าพวกเธอมาลงเรียนที่กวดวิชาของครูนะ ครูจะสอน....บลาๆๆๆๆๆ แล้วครูจะบวกคะแนนพิเศษเพิ่มให้ (เอาตังซื้อเกรดนี้หว่า)" , เพื่อนว่า "เห้ยเอ็งมาเรียนที่นี้ดิ สอนดีนะเว้ย มันคลุมเนื้อหาที่เรียนทั้งหมดเลย ,เห้ยที่นั้นแม้งมีน้องแมว(นามสมมติ)มาเรียนด้วยไปลงเรียนกัน ,นี้จะสอบเข้าแพทย์(คณะสมมติ)นะต้องเรียนนี้เลยเว้ย อ.จบตรงจากคณะนี้ ได้เกียรตินิยมด้วย ,และอีกสารพันเหตุผล" , เห็นไหมครับว่ามันมีเหตุปัจจัยมากมายที่ทำให้เราหรือผู้ปกครองหลายๆท่านเข้าใจว่ากวดวิชามันสำคัญโฮกๆ
ทีนี้มาอีกมุมมองนึง
บางกลุ่ม(ซึ่งส่วนมากเป็นพวกข้าราชการ....ไม่ขออื่นสังกัด) กลับมองเห็นหรือนั่งเทียนเอาก็ไม่ทราบว่า เห้ย!!! กวดวิชามันจะเยอะไปแล้วนะ ไอพวกอ.ในรร.มันทำอะไรกันว่ะ ทำไมปล่อยเด็กไปเรียนเอาข้างนอกขนาดนี้ ขนาดที่มีบางคนเคยบอกผมว่า "การบ้านที่รร.ไม่เสร็จไม่เป็นไร แต่การบ้านที่.....(ไม่เอ่ยนาม)ต้องเสร็จ"
พวกคนบางกลุ่มมองว่า "ข้าก็ว่าการเรียนในห้องมันก็พอแล้ว เอ็งไม่เข้าใจตรงไหนก็มาถามอ.สิว่ะ เดี๋ยวนี้มันยุคโซเชียลนะเฮ้ย จะเฟสถามยังได้เลย เอ็งจะไปขวนขวายไปอีกทำไม"
หรือผู้ปกครองบางคน(ย้ำว่าบางคนจริงๆ) "ตั้งใจเรียนในห้องก็พอแล้ว จะไปเรียนซ้ำอีกทำไมให้เปลืองตังฮะ ยุคนี้ตังไม่ได้หาง่ายๆนะเว้ย หัดทบทวนความรู้ไปสิหนังสือก็ซื้อมาให้เยอะแยะ วันๆไม่เห็นทำอะไรนั่งเล่นแต่คอม เอาแต่เที่ยว หัดเอาเวลานั้นมานั่งอ่านสิฟร่ะ...."
ทีนี้พอเข้าใจมุมมองของทั้งสองฝ่ายบ้างรึยังครับ....
เราลองมองย้อนกลับไปอีกว่าทำไมถึงเกิดประเด็นดังข้างต้น
- ระบบการศึกษาไทย มันเป็นฟรัดอะไรฟร่ะ เปลี่ยนแม้งอยู่นั้น ตรูตามไม่ทันเฟ้ย หลักสูตรเปลี่ยนแม้งทุกปีทุกเทอมทำยังกับเปลี่ยนผ้าอ้อม การสอบเข้าแม้งก็แม้แต่พระพุทธเจ้ายังไม่อาจจะตรัสรู้ได้ว่ามันจะมายังไง ปีไหนมันอารมณ์ดีก็ดีไป ปีไหนมันนึกคึกดังโคถึกมันก็ออกมาเต้นเย้งๆบอกว่าระบบมันไม่ดีผม/อิฉันจะเปลี่ยนเคอะ แล้วเอ็งเคยถามพวกครู/นร./ผู้ปกครอง/สถาบันที่รับ(พวกตรู)ไหมว่าอยากได้แบบไหน ทำอะไรตามใจเป็นไทยแท้ จริงๆ แล้วอ้างว่าประเทศนู้นทำยังงี้แล้วดี เปลี่ยน..!! แล้วก็อ้าวแม้งล่มว่ะ งั้นเอาใหม่ไม่เป็นไร เรามันประเทศกำลังพัฒนา เราต้องค่อยๆปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็เข้าที่เอง (พ่อง...แล้วตรูต้องรอเอ็งเปลี่ยนให้เสร็จก่อนไหมค่อยมาเรียน)
ปล.พอแหละเดี๋ยวอารมณ์ขึ้น เชื่อว่ามีหลายคนอยากจะเพิ่มเนื้อหาในส่วนนี้อีกมาก
- รร. (รวมทั้งหมดในระบบรร.) ถามว่ารร. คุณตั้งขึ้นมาเพื่ออะไรให้ผอ.มันดูดตังเล่นเรอะ หรือเป็นแหล่งสังคมของพวกข้า หรือเป็นที่ประกาศล่าเด็กมาเรียนพิเศษ หรือเป็นที่มั่วสุม หรือๆๆๆๆๆอีกหลายหรือ ทำไมเราไม่มีจิตสำนึกเลยว่าเราคืออะไร เราตั้งมาเพื่ออะไร ด้วยความเคารพในตัวอ.หลายๆท่านและความหมั่นหน้าอ.อีกหลายท่าน ผมยังเห็นอ.เพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นเองในสังคมไทยที่ยังคงมีจิตวิญญาณแห่งความเป็นอ.อยู่ บางคนมันมอดไปหมดแล้ว เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับคำว่ารร.หรือ อาจารย์ (อาจารยา ท่านผู้ประศิตวิชา) ผมเชื่อว่าอ.ทุกท่านมีความสามารถมากพอจะเจียระไนเด็กให้เทพได้แต่ด้วยเหตุผลกลใดจึงไม่ทำ อ่านข้อต่อไป(เป็นเพียงเหตุผลเดียวนะ มันมีอีกเยอะ)
- เด็ก(ตัวเราเอง) ลองมองดูตัวท่านเองว่าท่านนะทำอะไรบ้างในวันๆนึง ยอมรับว่าทุกคนไม่เหมือนกัน แต่เราพยายามทำอะไรบ้างในชีวิตนี้ มีอะไรบ้างที่ได้มาด้วยความสามารถของเราจริงๆ เรานั้นไปรร.เพื่ออะไร เราไปกวดวิชาเพื่ออะไร เราเคยตั้งใจทำอะไรอย่างจริงๆจังๆบ้างไหม เคยตั้งใจเรียนในห้องอย่างจริงจังไหม เคยทบทวนเนื้อหาก่อนเรียน ก่อนสอบแบบจริงจังไหม เคยไหมที่สัญญากับตัวเองว่าถ้าอ่านบทนี้ไม่บรรลุจะไม่ออกไปทำอะไรอย่างอื่น เคยลองปิดคอมฯ ปิดโทรฯ ปิดอุปกรณ์สื่อสาร ซักวันมันจะอยู่ได้ไหม เอาเวลาไปทำกิจกรรมอย่างอื่นบ้างไหมให้ชีวิตมันได้พบเจอประสบการณ์ข้างนอกตำรา(ที่ดีนะ) ยอมรับไหมว่าพวกท่านก็ติดโซเชียลจนไม่เป็นอันทำอะไร ติดเกมส์จนยอมไม่กินข้าว ติดเที่ยวจนกลับบ้านดึกดื่น ติดสาว/หนุ่มจนยอมทำทุกอย่างให้ได้อยู่กับเธอ/เขา
- ผู้ปกครอง ด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิที่ต่างยุคต่างสมัยทำให้มุมมองต่างกันมากมาย บ้างครั้งบางอย่างเรามองว่ามันสมควรทำอย่างนั้นนะ แต่ท่านก็ค้านว่าไม่ใช่โดยที่ไม่ได้ดูเลยว่าโลกมันเปลี่ยนไปแค่ไหนแล้ว ยังคงยึดติดอยู่กับกะลาเดิมที่ที่เคยอยู่ ยัดเยียดมุมมองแนวคิดตนเองให้เด็กโดยไม่ได้ดูว่าเค้ากับเรามันคนละคน มองว่าสิ่งต่างๆที่เด็กทำมันไร้สาระ มันติ้งต้อง โดยที่ไม่เคยได้คุยกับเด็กอย่างจริงจังถึงความคิดและการกระทำของเค้าเลย บางคนไม่รู้เลยว่าลูกชอบอะไรบ้าง ลูกเรียนที่ไหน ลูกฝันอยากเป็นอะไร ลูกรู้สึกยังไง (ด้วยความหวังอันลมๆแล้งๆราวกับช่วงเวลาอันยาวนานบนพื้นทะเลทรายซาฮาร่า ว่าผู้ปกครองจะเข้ามาอ่านแล้วคิดได้ว่าตนต้องเปลี่ยนความคิดและหันหน้าเข้าไปคุยกับลูกอย่างเปิดอก ปล.ผมว่ามันควรทำบ่อยๆนะ)
สุดท้ายความเห็นนี้ก็คงเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านพื้นน้ำทำให้เกิดคลื่นเพียงเล็กน้อยที่พัดเข้ากระทบฝั่งที่เรียกว่าประเทศไทย ให้ได้ตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วมันก็จะจางหายไปตามกาลเวลา โดยความหวังลึกๆว่าฝั่งนั้นจะถูกเซาะออกบ้างไม่มากก็น้อยให้พอที่ลูกเต่าตัวน้อยๆที่เรียกว่าเยาวชนอันเป็นอนาคตของชาติ ได้มีโอกาสรอดจากฝูงนกกาที่เป็นตัวทำลายเด็ก และลงไปผจญชีวิตเอาตัวรอดในน้ำที่เปรียบดังชีวิตจริงๆหลังเรียนจบ แม้มันจะเป็นเพียงความหวังอันเลือนลาง
ปล.อาจจะอ่านไม่เคยเข้าใจ ก็เพ้อไปตามประสาเด็กที่เคยผ่านจุดๆนั้นมา
...วิธีการดูว่าปัญหาเกิดจากอะไร
ถ้าส่วนรวมมีปัญหาร่วมกัน ปัญหาจะเกิดจากภายนอก เช่นสภาพสังคม นโยบายรัฐ หรือค่านิยมของคนส่วนใหญ่ของสังคม
ถ้าปัญหานั้นเกิดขึ้นแค่ส่วนบุคคลของคนไม่กี่คน ปัญหานั้นจะเกิดจากภายใน เช่นสภาพครอบครัวของคนผู้นั้น ตัวคนผู้นั้น
โรงเรียนกวดวิชามันเป็นแค่ทางเลือกหนึ่งเท่านั้นค่ะ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องเลือก ขึ้นอยู่กับความต้องการมากกว่า
ก็บางโรงเรียน คุณครูบางคนสอนไม่รู้เรื่องไงคะ
เด็กไทยหลายๆคนต้องยอมเสียงเงินไปเรียนกวดวิชา
ไม่เรียนกับเรียนต่างกันมาก ในห้องเหมือนเสียเวลาไม่ได้อะไร วิชาไหนเรียนกวดวิชาก็จะได้ไม่เรียนก็ไม่ได้ จากชีวิตตอนนี้เองเป็นแบบนี้แหละ แต่ไม่ได้เรียนหมด เรียนเฉพาะวิชาที่อ่านเองไม่ได้เพราะไม่ถนัด เช่น ฟิสิกส์ เลข เคมี ส่วนชีวะ ไทย ไรงี้ก็อ่านเองค่ะ
ความคิดเห็นส่วนบุคคล : จะโต้วาทีกันไปทำไมคะ สถาบันกวดวิชาจะจำเป็น/สำคัญหรือไม่อย่างไร เราคิดว่า มันขึ้นอยู่กับหลายสาเหตุปัจจัย อาทิ เด็กในเมืองที่อยากหาความรู้เพื่อต่อยอดจากในห้องเรียนก็จะให้ความสำคัญกับสถาบันกวดวิชา หรือ เด็กที่คุณครูในโรงเรียนสอนไม่ค่อยเข้าใจ ก็เช่นกันจะสังเกตได้ว่าจะให้กับสถาบันกวดวิชา แต่ในทางกลับกัน เด็กที่ อยู่ชนบทไม่ค่อยมีโอกาสก็จะตั้งใจอ่านหนังสือหรือพยายามหาความรู้เองเนื่องจากคิดว่าสถาบันกวดวิชาเหล่านั้นไม่จำเป็น เพราะจะทำให้เสียเงินโดยใช่เหตุ
สรุป เราคิดว่า สถาบันกวดวิชาจะจำเป็นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่ละเหตุการณ์และเหตุปัจจัยมากเสียกว่านะ
ความจริง ถ้าไม่เรียนโรงเรียนกวดวิชาก็คงไม่เปนไรนะ
จากที่เราคิดคือ
การเรียนกวดวิชาจะทำให้เครียด เพราะเมืองไทยยิ่งเรียนเยอะมากพออยู่แล้ว
ยิ่งอัดเข้าไป โดยถ้าสมมติบางคนไม่อยากที่จะเรียน จิตใจไม่พร้อมที่จะเรียน ถึงจะเรียนพิเศษมากเท่าไรก็ผลการเรียนไม่ค่อยดีอยู่ดีนั้นล่ะ แหงล่ะ (แต่ถ้าคนที่พร้อมจะเรียน มีความสุขที่จะเรียน การเรียนกวดวิชาก็เหมาะสำหรับเค้าแล้วล่ะนะ)
ในตัวเรามีความคิดที่แย้งด้วยเหตุเพียงเท่านี้ล่ะ
ความจริงจะบอกว่าไงดี ถ้ามีให้เป็นกลางเราเลือกนะ ความจริงเเค่เราทบทวนอ่านหนังสือนิดหน่อย ถ้าวิชาไหนไม่ค่อยได้ก็ไปติวเเค่วิชานั้น เรายอมรับว่าเราก็เรียนกวดวิชาเเต่เรียนเฉพาะเเค่วิชาที่ไม่ได้เท่านั้น วิชาที่ได้ก็เรียนที่โรงเรียนไปเพราะงั้นตั้งใจเรียน อ่านหนังสือทบทวนเเค่นี้ก็เก่งได้เเล้วละ
จริงๆก็ขึ้นอยู่กับการเรียนของแต่ละคนด้วย บางคนไม่กวดวิชาแต่ก็ยังสอบติด บางคนถ้าไม่กวดวิชาก็สอบไม่ติด
แต่ถ้าถามว่าทำไมนักเรียนไทยสมัยนี้นิยมกวดวิชากัน? มันจำเป็นขนาดนั้นจริงหรือ? ปัญหาของคำถามเหล่านี้มันคือ เพราะ"ระบบการศึกษาไทย"
ตราบใดที่ระบบการศึกษาไทยยังเน้นระบบ"ท่องจำ"อยู่ กวดวิชาก็ยังคงจำเป็นกับนักเรียนไทย(ส่วนมาก)
บางคนเรียนกวดวิชา แต่สอบไม่ติดสักที่ก็มี
เราว่ากวดวิชาสำหรับเพิ่มเติมความรู้ที่เราสนใจ อยากรู้ อยากต่อยอดความรู้อยากเรียนมากกว่าไปใช้เพื่อสอบแข่งขันนะค่ะ
เพราะถ้าเราสนใจเรียน อ่านหนังสือเรียนหลายๆเล่มไม่ใช่แค่ในหนังสือเรียนของโรงเรียนเราก็สามารถเก่งได้นะ เพราะการศึกษาไทยเค้า ครูเอาเงินจากเด็กมากกว่า^-^
แต่บางคนบอกว่ากวดวิชามีโจทย์เยอะ สอนล่วงหน้า เนื้อหาลึก ไม่ก็เรียนอยู่ ม.1 แต่เรียนเนื้อหาของ ม.2 ไปแล้ว แต่ถ้าเราไปอ่านเองในห้องสมุด หาโจทย์ในเน็ตไม่ก็ห้องสมุดมาฝึกทำเยอะๆ
เพราะบางคนเรียนกวดวิชาไม่สนใจเพราะโดนพ่อแม่บังคับแล้วเรียนไม่เก่ง ไม่ติด มีถมไป
ถ้ารักการเรียนจริงไม่ต้องพึ่งกวดวิชาหรอกค่ะ ถ้าเราอ่านเอง ฝึกเอง ค้นคว้าเอง คงไม่ยากหรอกค่ะ ที่จะประสบความสำเร็จ
คคหสต นะค่ะ :)
ทำความเข้าใจใหม่สักนิดนะครับ
นักเรียนที่ไม่จำเป็นต้องเรียนกวดวิชา แน่นอนว่าต้องมีแน่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเพราะการเรียนในห้องเพียงพอ หรือสามารถทำความเข้าใจบทเรียนได้เอง ถ้าเป็นลักษณะนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเรียนกวดวิชาใช่ไหม
แล้วเด็กส่วนที่เหลือล่ะ?
ก็ต้องเข้าใจเสียก่อนว่าคนเรามันไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น การเรียนการสอนในโรงเรียน การทำความเข้าใจของแต่ละคน
การจะให้เค้าคนนั้นนั่งเรียนในห้อง อ่านทบทวนตำราด้วยตัวเองก็เข้าใจแล้วเหมือนใครอีกคนมันเป็นไปไม่ได้ ตรงจุดนี้สถาบันกวดวิชาจึงจำเป็น ยิ่งการศึกษาไทยในตอนนี้แล้วด้วยยิ่งแล้วใหญ่เลยครับ
คำพูดที่ว่า "พยายามด้วยตัวเองแล้วหรือยัง" เจอมาหลายกระทู้แล้วครับ แต่ก็อย่างที่ว่าไป คนเรามันไม่เหมือนกัน การทำความเข้าใจในห้อง ให้เพื่อนติว อ่านหนังสือเอง นั่งค้นคว้าทำความเข้าใจเองมันก็มีขีดจำกัด ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ผลกับทุกคนเสมอไป
ไม่นับเรื่องวิชาเฉพาะด้านที่ไม่มีในหลักสูตรครอบจักรวาล แต่ดันมีในข้อสอบมหาวิทยาลัย
การมีอยู่ของสถาบันกวดวิชา นักเรียนในสังคมยุคนั้นๆ จะเป็นคนตัดสินเองครับ ถ้าหากหลักสูตรยังไม่ได้มาตราฐาน ความรู้ที่เรียนไม่ตรงกับข้อสอบ นักเรียนส่วนมากก็จำเป็นต้องพึ่งสถาบันกวดวิชาอยู่ดี
แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากการเรียนการสอนในห้องดี ได้คุณภาพ นักเรียนก็สามารถทำความเข้าใจบทเรียนเองได้มากขึ้น บทบาทของสถาบันกวดวิชาก็จะน้อยลงไปเองนั่นแหละ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?