Culture Shock ในนิยาย เขียนแล้วคนอ่านรับไม่ได้แต่มันจริง?!
ตั้งกระทู้ใหม่
นานๆ เสกกระทู้ทีค่ะ วันนี้มาชวนคุยถึงสิ่งหนึ่งที่เราเห็นมาสักระยะแล้ว
แต่ส่วนมากเราเจอกับพวกนิยายสายประวัติศาสตร์นะคะ
เคยมีไหม...ที่เราใส่ความจริงบ้างอย่างลงไปในนิยายแล้วคนอ่านเกิดรับไม่ได้?
เช่น ขอยกตัวอย่างนิยายจีน ค่านิยมชนชั้นสูงที่มีภรรยามาก
ถ้าเราเขียนให้ตัวเอกมีภรรยาเยอะ คนอ่านเกิดอาการรับไม่ไหว
รู้สึกว่าตัวเอกตัวนั้นเป็นคนไม่ดีไปเลย ทั้งที่ค่านิยมรักเดียวใจเดียวเป็นเรื่องของสมัยใหม่
และการมีภรรยาเยอะในสมัยนั้น บ่งบอกถึงฐานะและความสำคัญของตัวละครได้
กรณีนี้เป็นคัวอย่างที่เราเจอนะคะ พอเปิดปมว่าตัวเอกมีภรรยาอยู่แล้ว
คนอ่านก็จะตกใจ รู้สึกรับไม่ไหว รู้สึกไม่ชอบขึ้นมาค่ะ
สำหรับเพื่อนๆ คนอื่นมีเจอเรื่องทำนองไหนบ้าง
ที่อุตส่าห์ทำการบ้านมาซะดิบดี แต่คนอ่านรับไม่ไหว
จนถึงกับโอ้ Culture Shock! ชั้นรับไม่ได้กับนิยายเรื่องนี้
มาลองแชร์กันดูค่ะ
------------------------------------------------
เผื่อใครสงสัยว่าเราเขียนเรื่องอะไร
vv
ป.ล.เราไม่ได้ไม่พอใจที่นักอ่านเม้นต์บอกนะคะ ดีใจด้วย แค่อยากมาแชร์กัน
คิดว่าน่าจะมีบางคนเจอแบบเราหรือใกล้เคียง555
8 ความคิดเห็น
เชื้อพระวงศ์สมัยก่อนจะแต่งงานกับสายเลือดใกล้ชิด เช่น พี่น้องร่วมบิดากันเป็นปกติ ลูกพี่ลูกน้องบ้างอะไรบ้าง คือถ้าไม่นับเรื่องศีลธรรม ในทางพันธุกรรมมันคือการไม่เกิดความหลากหลาย และทำให้มีโอกาสเป็นโรคที่สืบทอดทางพันธุกรรมได้ง่าย
เราเข้าใจที่นักอ่านบางคนมี gate of culture shock แตกต่างกันค่ะ
ประเด็นนี้คนเขียนแนวอียิปต์ ยุโรปกับบ้านเราน่าจะโดนเยอะ ส่วนจีนคือน่าจะมีความหลากหลายทางชีววิทยา เพราะห้ามแต่งงานแซ่เดียวกัน คงมีแต่ในระยะราชวงศ์แรกๆ ที่ยังมีเรื่องแต่งงานใกล้ชิดพี่น้องกันอยู่ค่ะ ถือว่า...รอดตัวไป 555
ขออนุญาตแก้ไขนิดนึงค่ะ
ราชวงศ์โรมานอฟมีปัญหากับโรคฮีโมฟิลเลียหรือเลือดออกไม่หยุด ซึ่งได้มาจาก empress ซึ่งเป็นเชื้อสายของควีนวิคเตอเรียของอังกฤษ(พาหะ)ค่ะ
ไม่ได้มาจากทางโรมานอฟเอง
ขอบคุณค่ะ เราคงจำผิด จำได้ว่าเป็นโรคที่เลือดไม่แข็งตัว
จะแก้ไขให้นะคะ
ความเห็นส่วนตัวผม เห็นด้วยกับคุณเจ้าของกระทู้นะครับ ค่านิยมของยุคสมัยหนึ่งอาจจะใช้ไม่ได้กับอีกยุคสมัยหนึ่ง สมัยโบราณการมีภรรยาหลวงภรรยาน้อยในสังคมจีนเป็นทั้งศักดินา หน้าตาทางสังคม
แต่จริง ๆ แล้วยุคนั้นไม่มีเครื่องจักรทุ่นแรง อีกทั้งประชากรก็มีน้อย มีเพียงแรงงานคนและสัตว์ ฉะนั้นจึงอาจเป็นกุศโลบายของคนสมัยนั้นเพื่อเพิ่มจำนวนประชากรก็เป็นได้ครับ
ถ้าสังเกตหลายวัฒนธรรมก็จะมีประเพณีที่นิยมให้มีเมียมาก มีลูกมาก เพื่อมาช่วยงานปศุสัตว์ด้วยค่ะ หรือบางชนเผ่ามีกระทั่งธรรมเนียมแบ่งเจ้าสาวกัน คือเจ้าสาวแต่งเข้าบ้านผู้ชายแล้วมีสามีหลายคนคือพี่น้องชายในบ้านเดียวกัน จุดประสงค์คือเพื่อไม่ให้เกิดการแย่งชิงทรัพย์สินของตระกูลด้วย เหมือนพยายามให้เกิดความปรองดองกันระหว่างพี่น้อง แต่มันก็...นะคะ 555
ในเรื่องเจ้าสาวแห่งทางสายไหมนั่นไงคะ มีเจ้าสาวคนหนึ่ง (ทาลัส) แต่งกับลูกคนโตของบ้าน พอสามีคนแรกตาย ด้วยที่บ้านนางพ่อ-หมดจึงต้องแต่งกับน้องชายอดีตสามี จนสุดท้ายนางมีสามีที่เป็นพี่น้องกันทั้งหมด 5 คน (ดันดวงกินผัวด้วย)
อย่างธรรมเนียมเอสกิโมก็มีนะคะ ถ้าแขกผช.มาบ้านจะให้นอนกับภรรยาตัวเองค่ะ
แบบนั้นก็มีค่ะ แต่แบบที่เรายกตัวอย่างตะกี้คือผู้หญิงหนึ่งคน แต่งเข้าบ้านไปเป็นภรรยาของพี่น้องชายทั้งหมดในเวลาเดียวกัน แบ่งวันเข้าหอ แล้วก็แบ่งลูกเรียงตามลำดับอายุของพี่น้องชายในบ้าน ลูกคนโตให้เป็นลูกของพี่ชายคนโตเป็นต้น ส่วนแบบของทาลัสคือแต่งเข้าไปคนแรก สามีตาย ก็เลยได้แต่งกับน้องชายจนหมดบ้านนี่แหละค่ะ ส่วนจุดประสงค์ก็น่าจะเพื่อไม่เปลืองสินสมรสมาก แต่งเข้ามาสินเดิมก็กลายเป็นสมบัติของบ้านไปแล้ว เพราะแต่งงานครั้งนึงใช้สินสอดกันเยอะพอตัวทีเดียว สังคมเผ่าแบบนี้มองเรื่องเศรษฐกิจอุตสาหกรรมครอบครัวเป็นหลัก มองจากภายนอกอย่างไทยเรามองกลับไปที่เผ่าเหล่านั้น เราก็จะมองว่าน่าอายหรือล้าหลัง แต่ถ้ามองในรูปแบบของวัฒนธรรมเขา นั่นคือเรื่องปกติ ที่พูดมาน่าจะเป็นลักษณะที่พบได้ในชนเผ่าเร่ร่อนในเอเชียกลาง
ใช่ค่ะ รู้สึกว่าชีวิตผู้หญิงที่แต่งงานเข้านี่แลดูน่าสงสารจริงๆ บางทีด้วยธรรมเนียมบังคับเลือกไม่ได้ด้วยแหละ
เห็นด้วยครับ เห็นกระทู้แนวนี้บ่อยมาก จักอะไร
ทั้งที่เป็นนิยายย้อนยุค และในอดีตการมีเมียเยอะ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญมาก นั่นเพราะหญิงชายไม่เท่ากัน
มันก็เริ่มมาจากระดับผู้ปกครองก่อนเลย ถ้าจีนก็ตั้งแต่ฮ้องเต้ อ๋อง ให้พวกขุนนางส่งลูกหลานสาวตนเองเข้ามาเป็นเมียน้อย(สนม) นางบำเรอ(นางใน) แถมคัดเลือกใหม่แทบทุกปีอีก ใครแก่ก็ไล่ออกจากวัง พวกขุนนางก็ทำตามๆกันไป ตั้งแต่เสนาบดี ยันนายอำเภอ นั่นก็เพราะการแสดงถึงอำนาจบารมี ต้องเข้าใจว่า คนสมัยก่อน กดขี่คนอ่อนแอ รวมทั้งกดขี่เรื่องทางเพศด้วย
ซึ่งนิยายบางเรื่องก็เขียนเรื่องทำนองนี้เพื่อให้ตัวละครหนีออกจากวงจรนี้ ก็จะกลายเป็นเรื่องนั้นฮิตหรือดังไปเลย ยกตัวอย่างนิยายหรือละครในโทรทัศน์แหละ แต่อันที่จริงๆสมัยก่อนมันไม่ได้เป็นแบบนี้
แต่คนอ่านก็บ่นอยู่นั่นล่ะ ว่ามันไม่ใช่ ผมนี่ต้องเขียนอธิบายไว้หน้าแรกเลย เรื่องนี้ฮาเร็มนะจ๊ะ ใครไม่ชอบก็ผ่านได้เลย
แค่มาร่วมบ่นอีกคน
เข้าใจเลยค่ะ 555 ก่อนหน้านี้เราก็เคยตั้งกระทู้ฮาเร็มไปเพราะมีคนชอบถาม ส่วนตัวไม่ได้ใส่ฮาเร็มเลยนะ เพราะไม่ได้เขียนให้ตัวเอก (นางเอก) มีคนรุมชอบ แต่กับบางตัวละครก็อาจเรียกว่ามีฮาเร็มของตัวเอง อย่างรัชทายาท อันนี้ถ้าไม่มีเมียติดเลยตอนหนุ่มแล้ว มันจะเป็นของแปลก เป็นที่ติฉินนินทาเลย ทั้งที่อย่างที่คุณพันปักษาฯ ว่า มันเป็นธรรมเนียมเลยด้วยซ้ำ คงมีแต่ชาวบ้านที่ผัวเดียวเมียเดียว
เคยค่ะ แต่เป็นคนละแบบกับที่คุณจขกท เจอ
นักอ่านบางท่านสายโรแมนติก ก็จะยังชอบอะไรที่ทำให้ความโรแมนติกนั้นยังอยู่ครบถ้วนกระบวนความ สุดท้าย ก็ทำได้แค่รับเป็นความคิดเห็นหนึ่งเท่านั้น ถามว่าทำอะไรได้ไหม คงทำได้มั้ง แต่ไม่คิดจะทำค่ะ (ฮา)
ถ้าเพียงพลิกให้กลายเป็นเรื่องโรแมนติกอย่างที่นักอ่านสายนี้ต้องการ สิ่งที่ต้องการสื่อในงานเขียนนั้นก็จบเห่ ทันที
ให้คนอ่านกรีดร้องขัดใจไปค่ะ เพราะเราไม่ได้ต้องการให้เขาเห็นดีเห็นงามจบแบบพาฝันร้อยเปอร์เซนต์ ทิ้งหนึ่งเปอร์เซนต์ให้เป็นหนามตำใจไว้นี่แหละค่ะ
#นักเขียนสายซาดิสถ์
บางทีถ้าเปลี่ยนเส้นเรื่องเอาใจนักอ่าน บางทีก็เสี่ยงต่อความสมเหตุสมพลในเรื่องสินะคะ
อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของเราที่เป็นนักอ่านค่ะ
สำหรับเรื่องการที่นิยายแนวย้อนเวลาไปในโลกที่คล้ายกับจีนโบราณ หรือย้อนอดีตอิงประวัติศาสตร์แล้วพระเอกนั้นมีภรรยาหลายคนโดยที่นางเอกไม่ใช่ภรรยาแค่คนเดียวสำหรับเรามันคือเรื่องที่แบบธรรมดามากเลยค่ะ ไหนจะเรื่องของการแต่งงานกันเองในตระกูลในเชิงเพื่อการรักษาไว้ซึ่งสายเลือดสำหรับเรามันก็ธรรมดาเหมือนกัน อาจจะเเพราะเป็นคนชอบเรียนประวัติศาสตร์กับวรรณกรรมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พออ่านนิยายที่พระเอกมีภรรยาหลายคนหรือแต่งกันในวงศ์เครือญาติเลยดูปกติธรรมดาไปเลยสำหรับเรา
และในส่วนของการที่ตัวเอกเคยมีคนรักเก่ามาก่อนอะไรแบบนั้นต้องขอยอมรับค่ะว่าเป็นคนที่ชอบแต่งให้ตัวเอกมีคนรักเก่าพอสมควรทีเดียว
คือสำหรับเราแล้วไม่ใช่ทุกคนที่จะสมหวังในความรัก ความรักทุกความรักอาจจะไม่ได้เดินทางไปถึงจุดจบที่สวยงาม เพราะแบบนั้นการที่ใครซักคนเคยมีรักเก่ามาก่อนมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดอะไรนัก การที่คน ๆ หนึ่งต้องเสียรักเก่าไปแต่ก็ทำใจและสามารถเปิดใจให้คนอื่นได้แบบนี้มันสุดยอดไปเลยไม่ใช่เหรอคะ? แถมในปัจจุบันอัตราการหย่าของคนในสังคมก็มากขึ้น การที่มีตัวละครที่เคยมีภรรยาหรือสามีแต่เลิกราแล้วมาเจอรักใหม่ที่ผลิบานในภายหลังเราว่ามันคือความสวยงามหนึ่งและเป็นการสะท้อนให้เราเห็นอะไร ๆ หลายอย่างค่ะ
แต่ถ้าแบบพระเอกมีภรรยาแต่ไม่ได้เลิกราแถมยังแต่งงานถูกกฏหมาย แล้วดันมีเด็กตัวน้อย ๆ เพิ่มเข้ามาพ่วงต่ออีก แล้วเขาดันมาบอกรักนางเอกอยู่ได้ทั้งวันโดยที่ไม่สนครอบครัวเลยเราต้องขอยอมรับเลยค่ะว่าเราเกลียดอะไรแบบนี้ที่สุด การที่คุณแต่งงาน มีเพศสัมพันธ์ เกิดชีวิต1ชีวิตขึ้นมาแล้วแต่ก็ยังปล่อยปะละเลยเขามาสนใจผู้หญิงที่สดและซิงกว่าภรรยาที่รอคุณอยู่ที่บ้านแบบนี้มันแย่มากเลยไม่ใช่เหรอคะ? แถมพอคุณภรรยาที่ถูกกฏหมายมาโวยวายพระเอกกับนางเอกที่แอบเป็นชู้กันนางยังโดนคนอ่านเกลียดไปอีก? เราว่าเธอเป็นคนที่น่าสงสารค่ะ ถามว่าพระเอกเจอแบบนั้นส่วนใหญ่ที่เราอ่านเจอคือ?
"ก็ฉันไม่ได้รักเธอ"
"เธอนี่มันไร้เหตุผล"
"เราเลิกกันเถอะฉันแต่งงานกับเธอเพราะธุระกิจเท่านั้นแหละ"
บอกตามตรงค่ะว่าไม่พอใจอย่างแรง ถ้าเราคิดดูแล้วพระเอกที่เป็นแบบนี้ส่วนใหญ่ต้องรวย การศึกษาดี(ส่วนใหญ่น่าจะจบนอกด้วย) แต่การกระทำของเขาทำให้เราคิดนะคะว่าเขาคิดได้แค่นี้จริง ๆ เหรอ? ถ้าคุณแต่งงานกับเขาเพื่อธุระกิจเขาให้คุณได้ ทำไมเขาจะเอาคืนไม่ได้ล่ะคะจริงไหม? เราว่าในโลกของความจริงคนแบบนี้ที่คิดแค่เรื่องว่าจะรักกับคนที่รักโดยไม่สนปัจจัยใด ๆ เลยแบบนี้เราว่าเขาน่าจะรอดยากค่ะ
แบบอ่านเจอพระเอกแบบนั้นทีแล้วพอไปอ่านคอมเม้นต์ก็มีแต่คนแบบด่าภรรยาตามกฏหมายด้วยคำพูดที่ค่อนข้างจะรุนแรงแล้วมันก็ทำให้เราอดคิดไม่ได้จริง ๆ ว่าเขามาก่อนแล้วนางเอกมาทีหลังในฐานะภรรยาน้อยแล้วมีความสัมพันธ์กัน และหลอกลวงเขาแต่กลับทำให้เขาที่ไม่ได้รับรู้เรื่องราวอะไรเป็นแค่คนที่โดนหลอกใช้ และอยากที่จะเรียกร้องสิทธิ์ให้ตัวเองต้องเสียน้ำตา ทั้ง ๆ สิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้นคือสิ่งที่เขาควรทำด้วยซ้ำ
อ่านถึงตรงนี้ยอมรับค่ะว่ามาระบายความอัดอั้นตันใจส่วนตัว(หัวเราะ)
จากที่เราเคยคุยกับเพื่อนๆ ร่วมกับการมาตั้งกระทู้ตรงนี้ ดูเหมือนว่าคนที่สนใจด้านประวัติศาสตร์มา จะไม่ค่อยมีปัญหาหากเรื่องเป็นพีเรียดแล้วตัวพระเอกหรือตัวเอกมีภรรยาหลายคน เพราะตัวเราเองก็เรียนโบราณคดี-ประวัติศาสตร์มา ก็มองว่ามันเป็นเรื่องของความแตกต่างทางวัฒนธรรมในช่วงเวลานั้น เราเอาปัจจุบันไปตัดสินอดีตไม่ได้ ทำนองนี้ค่ะ
ลองคุยกับเพื่อนดูก็ไม่ค่อยมีประเด็นกัน เลยลองมาถามเผื่อมีนักอ่านในนี้มาเห็น ส่วนประเด็นพอเป็นยุคปัจจุบัน เราก็ไม่ชอบอย่างที่เจ้าของเม้นว่านะคะ มันดูแมรี่ ซูมากที่จะให้นางเอกดูเป็นที่ต้องการอย่างเดียว โดยไม่สนใจอะไรเลย สุดท้ายพระเอกก็จะกลายเป็นตัวละครที่ดูแย่ขึ้นมา
เข้าใจ กับพอใจ คงไม่เหมือนกันค่ะ
คือการแต่งนิยาย (ถ้าจะขายให้ได้เงินนะ) อย่างไรก็ต้องแคร์ตลาดประมาณหนึ่ง ตามความเห็นเรานะคะ นิยายไม่ใช่หนังสือประวัติศาสตร์อยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนจริงทุกอย่าง
อีกอย่างหนึ่ง นวนิยายจะเขียนเรื่องความรัก-โรมานซ์ ขึ้นมาเพื่ออะไร?
ไม่ใช่แค่เล่าปาวๆแต่ส่วนใหญ่คือ มันต้องสื่ออะไรบางอย่าง ในฐานะคนเขียนนิยายรักนะคะ เราคิดว่าส่วนใหญ่โรมานซ์มันเล่นอยู่บนการคานอำนาจของชายหญิง ความดึงดูดทางเพศที่ต่างกัน มุมมองแนวคิดและความต้องการของชีวิตที่ต่างกัน คือต้องขัดแย้งอะไรกันด้านตัวตนสักอย่าง แล้วค่อยไปลงเอยกันได้ภายหลัง (ถ้ามันเข้ากันหมดตั้งแต่แรก ก็ต้องไปเล่นความขัดแย้งอย่างอื่นเช่น สงคราม แก้แค้น ซึ่งมันก็ไม่ค่อยนับเป็นโรมานซ์แล้ว เพราะไม่เกี่ยวกับขั้นตอนความยากลำบากของการมีความรัก)
ถ้าจะเล่นเรื่องความรักล้วนๆ ปัญหาคลาสสิคมันก็วนอยู่ในอ่างนี้แหละค่ะ สังคมชายเป็นใหญ่ที่ผู้ชายมีภรรยาได้หลายคน หรือมีเซ็กส์กับคนได้หลายคนโดยไม่มีโทษ มีการศึกษาสูงกว่า กุมเงินกุมบริวารเยอะกว่า มีความรู้สึกว่าสามารถสั่งเพศตรงข้ามได้ ฯลฯ การคลายปมของโรมานซ์ส่วนใหญ่ก็เลย เน้นที่การทำให้ผู้ชายรู้ตัวขึ้นมา และยอมที่จะสละสิ่งเหล่านี้เพื่อผู้หญิง เพื่อปกป้อง เพื่อสร้างครอบครัวกับผู้หญิง (หรืออย่างน้อยก็เห็นว่า มันไม่ได้มีคุณค่ามากเท่าความรักที่เขามีต่อผู้หญิง) นักอ่านส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิงนะคะ หมวดรัก หมวดย้อนเวลาเนี่ย
คือก็ได้ค่ะสมมติพระเอกรับนางเอกมาเป็นเมียน้อยก็ได้ บอกว่ารักเหมือนกันนั่นแหละ สมัยก่อนก็อยู่กันแบบนี้ (จริงๆสมัยนี้คนรวยมียศศักดิ์ คนในเครื่องแบบ เขาก็ยังนิยมเลี้ยงหลายเมียอยู่นะ 5555) โอเค... แต่มันจะสื่ออะไรต่อสำนักพิมพ์และนักอ่านของเรา และสื่ออะไรเกี่ยวกับมุมมองของเราต่อความรัก ถ้าหากมุมมองความรักของเรา(ซึ่งก็เป็นผู้หญิง)ไม่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ อารมณ์ ความรู้สึก ใดๆของผู้หญิงคนที่กำลังอ่านอยู่เลย มันก็ยากมากค่ะที่ผู้หญิงคนนั้นจะ "อิน"
อีกประเด็นหนึ่งคือ หลายๆคนมีความรู้สึกว่านิยายควรจะชี้นำสังคม (ไม่ใช่สะท้อนสังคม) หมายถึงว่ามันต้องเป็นตัวอย่างให้คนเชื่อมั่นในศีลธรรมหรือค่านิยมที่ดี ทีนี้โลกโบราณหรือโลกแฟนตาซีมันมีค่านิยมแบบอื่นๆแต่งมา ส่วนใหญ่ก็เพื่อเปรียบเทียบว่า 1. เนี่ยไงของไม่ดี เนี่ยของที่ทำให้เกิดปัญหา เช่นเมียหลวงเมียน้อยวางยาพิษกันเห็นไหม สมัยนี้เราถึงไม่ทำแล้ว บลาๆ หรือ 2. เนี่ยไงของดี ของที่น่าจะลองทำดู/น่ารื้อฟื้นมาทำใหม่ เช่นคนรุ่นเก่าที่กตัญญูดูแลปู่ย่าตาทวด อยู่แบบครอบครัวขยายไม่เข็นไปทิ้งบ้านพักคนชรา
การเขียนแบบ "ไม่ตัดสินคุณค่า" หรือเปรียบเทียบอะไรเลย มันก็เหมือนที่ถามอ่าค่ะ เขียนขึ้นมาเพื่ออะไร? เพราะคนอ่านคือคนที่อยู่ในสมัยนี้ และกำลังตัดสินเนื้อหาอยู่ด้วยมาตรฐานของคนสมัยนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เราไม่คิดว่าควรจะเปลี่ยนเรื่องตามคนอ่านหรอก 55555 เพียงแต่เข้าใจความรู้สึกกันและกันน่ะ สำหรับเราไม่ใช่คัลเจอร์ช็อค เพราะเขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าวัฒนธรรมจีนโบราณมันเป็นยังไง แต่เขาคาดหวัง "สาร" อย่างใดอย่างหนึ่งข้างต้นเฉยๆ
//ที่จริงเราแอบคิดว่าคนยุคไหนก็ตัดสินค่านิยมของยุคอื่น หรือสถานที่อื่นได้นะคะ ไม่งั้นจะเป็นปัญหาว่า เราด่านาซีไม่ได้ วิจารณ์คนจีนมัดเท้าผู้หญิงไม่ได้ ขุนแผนฆ่าผ่าท้องเมียควักตัวอ่อนฟีตัสทำกุมารทอง ฯลฯ เพราะเราไม่ได้อยู่ตรงนั้น พวกเขาเป็นคนดี ไม่ควรเอามาตรฐานของเราไปตัดสิน ซึ่งแบบ...กฎนี้เราว่าไม่ใช่อ่ะค่ะ 5555 แต่ก็นะเราไม่ได้เรียนประวัติศาสตร์มา ความคิดคงไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
ขอบคุณสำหรับความเห็นนะคะ
อาจเพราะส่วนตัวเราได้รับการปลูกฝังแนวคิดเรื่องไม่เอาปัจจุบันไปตัดสินอดีต เพราะการศึกษาและอาชีพเดิมด้วย ทำให้เรามักจะมองบริบทเป็นช่วงๆ ของแต่ละสมัยไป เช่น สมัยโรมัน เด็กชายต้องผ่านพิธีความเป็นผู้ใหญ่โดยผ่านเซ็กส์กับชายที่แก่กว่า หากมองในแบบปัจจุบันคือเราจะรู้สึกว่าเพศสภาพเขาออกไปทางชายรักชาย ทั้งที่แท้จริงแล้วเหมือนเป็นแค่พิธีกรรมบางช่วง เด็กชายเหล่านั้นก็เติบโตไปแต่งภรรยาสาวตามปกติ โดยบางคนไม่มีความสัมพันธ์ในรูปแบบชายรักชายอีกเลย เราสามารถวิพากษ์อดีตได้ค่ะ แต่เราไม่สามารถไปตัดสินความถูกต้องหรือศีลธรรมคนในอดีตได้ เพราะเราไม่ได้อยู่ใรบริบทของอดีต เราคือคนยุคปัจจุบันที่เติบโตมาจากการหล่อหลอมวัฒนธรรมหลายๆ อย่างจนเกิดรูปแบบวัฒนธรรมและความเชื่อแบบที่เป็นอยู่ค่ะ ส่วนเรื่องว่าเป็นค่านิยมหรือรสนิยมส่วนตัวนักอ่านที่จะเอาปัจจุบันไปตัดสิน เราก็มองว่าเป็นวิจารณญาณและความชอบของแต่ละคนค่ะ ที่มาตั้งกระทู้ไม่ได้ต้องการต่อต้านอะไร แค่อยากเห็นมุมมองอื่นๆ บ้าง จากนักอ่านบ้างก็ดี เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีแค่เรื่องประวัติศาสตร์อย่างเดียวที่มี Culture Shock แนวเรื่องปัจจุบันก็อาจจะมีได้ อยากเผือกของคนอื่นบ้างค่ะ 555 ขอบคุณอีกครั้งนะคะ
ของเราเป็นค่ะ ถึงกับเทพระเอกไปอยู่ทีมพระรองกันหมด 55555 ก็มันเป้นสมรสพระราชทานอ่ะเนอะ ไม่แปลกอะไรถ้าคนจีนเขาจะมีภรรยาเยอะๆ ในสมัยก่อน เรื่องอนุนี่เป็นเรื่องปกติของสมัยนั้น แต่พอมาเขียนแล้วคนอ่านรับไม่ได้กันเยอะอยู่ ให้นางเอกมาทีหลังไปเป็นอนุเขา นี่เป้นอะไรที่เซนซิทีฟมาก
ของเรานี่ขนาดแต่งไปเป็นภรรยาหลวง เป็นชายาเอก ก็ยังมีรู้สึกไม่ดีอ่ะค่ะ 555 ก็พยายามเอาใจคนอ่านด้วยบริบทอื่นๆ แทน ได้แต่หวังว่าเขาจะยังไม่ทิ้งเราไปไหนกันนะคะ
เราเขียนเรื่อง เจ็ดชาติสามภพประสบรักค่ะ ก็เลยโชคดีที่พอตายจากกันไปก็ไปเริ่มชาติใหม่ คนอ่านก็รอลุ้นชาติต่อไปแทน
ผมตรงข้ามเลยนะ ชอบพระเอกแนวแอนตี้โซเซี่ยล ดาร์กฮีโร่
เจ้าชู้หน่อยๆก็ได้ แต่ความเป็นลูกผู้ชายต้องมี
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?