10 เหตุผลที่อเล็กซานเดอร์มหาราช สุดยอด

 

พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช เป็นอีก 1 บุคคลในประวัติศาสตร์ที่โด่งดังมาก

มีภาพยนตร์เกี่ยวกับพระองค์ออกมามากมาย และชื่อเสียงของพระองค์ก็เป็นที่รู้จักทั่วโลก

พี่ตินคิดว่าท่านเป็นบุคคลที่ทรงคุณค่ามาก และมีชีวิตที่น่าสนใจสุดๆ  

พอเข้าไปเห็นหัวข้อ 10 เหตุผลที่อเล็กซานเดอร์มหาราชเป็นอย่างทุกวันนี้

ในเว็บไซต์ Livescience ก็สนใจเข้าไปอ่านทันที

และแปลมาให้น้องๆ ได้อ่านกันอีกต่อด้วย จะได้รู้จักพระองค์มากขึ้นไงละ ^ ^

 

 

10 ปรัชญาแบบอริสโตเติล

จะมีบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนไหนที่โชคดีพอจะได้นักปรัชญาที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของโลก

อย่าง “อริสโตเติล” มาเป็นติวเตอร์ส่วนตัว ใช่แล้ว อเล็กซานเดอร์นั่นเอง เมื่ออายุได้ 13 ปี

พระองค์ก็เริ่มเรียนหลักปรัชญากับนักปราชญ์คนนี้แล้ว

และอริสโตเติลยังเพิ่มหลักสูตรดีๆ อย่างภูมิศาสตร์ การเมือง การทหาร และการแพทย์ให้พระองค์อีกด้วย

อย่างนี้จะไม่เก่งยังไงไหวเนี่ย

 

 

9 ม้าชื่อ Bucephalus

พ่อของอเล็กซานเดอร์ซื้อม้าตัวนี้ให้กับพระองค์ และตั้งชื่อมันว่า บูเซฟาลุส (Bucephalus)

ม้าตัวนี้มีราคาถึง 13 ทาเล้นท์ (1 ทาเล้นท์ในสมัยนั้นเท่ากับทองคำ 27 กิโลกรัม)

และมันก็พยศอย่างน่ากลัวชนิดที่ไม่มีใครจับตัวมันได้

ตามคำบอกเล่าทางประวัติศาสตร์บอกไว้ว่าเมื่อเห็นบูเซฟาลุส

อเล็กซานเดอร์เรียนรู้ทันทีว่าการพยศของมันเกิดขึ้น เพราะมันตระหนกกับเงาของตัวเอง (แปลกดีเนอะ)

พระองค์จึงขี่มันตรงไปที่ดวงตะวัน เพื่อให้เงาของมันตกไปอยู่ทางด้านหลังตัว

(มันจะได้มองไม่เห็นนี่เอง ฉลาดจริงๆ) เมื่อพระเจ้าฟิลิป พระบิดาเห็นเข้า ก็ตรัสออกมาว่า

“อเล็กซานเดอร์ เจ้าคงต้องหาอาณาจักรที่ใหญ่เท่ากับความทะเยอทะยานของเจ้าเสียแล้ว

ข้าเกรงว่าอาณาจักรมาซีโดเนียคงจะเล็กเกินไปสำหรับเจ้า” 

(“My boy, you must find a kingdom big enough for your ambitions. Macedonia is too small for you?”)

ว่ากันว่าเจ้าม้าบูเซฟาลุสได้ออกเดินทางร่วมรบเคียงข้างอเล็กซานเดอร์จวบจนวาระสุดท้ายของมัน

ซึ่งมันตายลงเพราะร่วมรบในสงครามปากีสถาน และสัตว์ที่มันต่อสู้ด้วยในครั้งนั้นก็คือ ช้าง

 

 

8 ความเด็ดขาดที่มาพร้อมความโหดร้าย

พระเจ้าฟิลิป พระบิดาของอเล็กซานเดอร์ ถูกลอบสังหารจากคนสนิทของพระองค์เอง

ในงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่งานหนึ่ง ซึ่งอเล็กซานเดอร์ถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับการปลงพระชนม์ในครั้งนั้นด้วยก็จริง

แต่พระองค์ไม่สนใจคำครหา แต่มุ่งมั่นกับการต่อสู้กับศัตรู และยังแนะนำให้พระมารดา

พระนางโอลิมปิอัส (Olympias) ประหารชีวิตทารกชายคนล่าสุดที่เกิดจากพระเจ้าฟิลิป และนางสนมอีกด้วย

อเล็กซานเดอร์ต้องเผชิญกับการต่อต้านจากเมืองต่างๆ เป็นเวลาถึงสองปีเต็ม

และอย่างไร้ความเมตตาปรานีใดๆ พระองค์จัดการสังหารผู้คนกว่า 30,000 คนที่ต่อต้านพระองค์

พวกที่รอดชีวิตก็ถูกจับตัวเป็นทาส การทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการ “เชือดไก่ให้ลิงดู”

และทำให้พระองค์สามารถกุมอำนาจสูงสุดไว้ได้ (แบบโหดๆ เนอะ)  

 

 

7 “Phalanx “ สไตล์การรบที่เพอร์เฟ็คท์ของกองทัพมาซีโดเนียน   

แผนการรบที่เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงที่สุดของชาวมาซีโดเนียน เรียกกันว่า “Phalanx”

สร้างขึ้นโดยพระเจ้าฟิลิป การรบนี้ใช้ทหารแบบ 16*16 ยืนรวมตัวกัน 

ทุกคนถือโล่ และ Sarisses ซึ่งก็คือ หอกที่มีความยาวถึง 20 ฟุต ทำจากไม้คอร์เนล

แถวหลังของกองทัพจะถือหอกชี้ขึ้นฟ้า ส่วนแถวหน้าชี้หอกไปทางด้านหน้า

และเมื่อเคลื่อนตัว กองทัพจะเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน ไม่มีแตกแถว 

ซึ่งนอกจากสไตล์การรบแบบ “Phalanx“ อเล็กซานเดอร์ได้เพิ่มวิธีการรบ

อย่างการใช้ไฟ นักธนู และการรบบนหลังม้า และด้วยสไตล์การรบที่เด่นเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้

ทำให้กองทหารของพระองค์ยิ่งใหญ่เหนือใคร

ที่สำคัญคือตามปกติแล้ว ชาวมาซีโดเนียนจะหยุดรบในช่วงเก็บเกี่ยว

แต่อเล็กซานเดอร์ทรงจ่ายเงินพวกทหารให้รบอย่างเต็มเวลา

และนั่นทำให้กองทหารของพระองค์ต้องผ่านการฝึกปรืออย่างเข้มงวด

และกลายเป็นมืออาชีพด้านการรบยิ่งกว่าทหารจากดินแดนใด

 

 

6 การเดินทางผ่าน Hellespont

หลังจากครอบครองมาซีโดเนีย และกรีซ อเล็กซานเดอร์เริ่มมองการณ์ไกลถึงการครอบครองเอเชีย

และจักรวรรดิเปอร์เซียน ซึ่งขณะนั้นปกครองโดยพระเจ้าดาเรียสที่สาม (Darius III)

อเล็กซานเดอร์พร้อมด้วยทหารม้าชาวกรีก 5,000 คน และทหารเดินทัพ 32,000 คน บุกเข้าสู่เปอร์เซีย

และข้ามช่องแคบที่คั่นระหว่างยุโรปและเอเชีย ที่มีชื่อว่า Hellespont (ตอนนี้เรียกกันว่า Dardanelles)

และจากเรือพระที่นั่ง อเล็กซานเดอร์ขว้างหอกของพระองค์ลงสู่ชายหาด

ทันทีที่พระบาทของพระองค์แตะผืนดิน พระองค์ดึงหอกนั้นออกจากทราย

และประกาศว่านี่คือดินแดนที่พระองค์จะต้องเอาชนะด้วยหอกด้ามนี้

 

 

5 ผู้แก้ปมกอร์ดิอุส

จากการบอกเล่าของพวก Phrygians ซึ่งตอนนี้อาศัยอยู่ในตอนกลางของประเทศตุรกี

พวกเขามีตำนานซึ่งพยากรณ์โดยนักพยากรณ์ชื่อดัง

ที่ว่าผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ก็คือชายคนแรกที่นั่งเกวียนเข้ามาในเมือง

และบุคคลผู้นี้ก็คือ กอร์ดิอุส (Gordius) ชาวนาผู้ยากจน หลังการสถาปนา

กอร์ดิอุสได้อุทิศเกวียนที่เขานั่งมาแก่เทพเจ้าซีอุส และผูกมันไว้กับเสาด้านนอกวัดศักดิ์สิทธิ์  

เชือกที่เขาผูกนั้นเป็นเชือกที่ว่ากันว่าเหนียวแน่นทนนาน

และเชื่อกันว่าใครที่แก้ปมเชือกได้จะได้ครอบครองเอเชียทั้งทวีป

อเล็กซานเดอร์ไม่พลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน แต่เมื่อพบว่าเชือกนั้นเหนียวแน่นกว่าที่พระองค์คิด

ด้วยความโกรธจัด พระองค์ใช้ดาบตัดมันขาดออกจากกัน พร้อมประกาศว่า

“ข้าคลายปมมันได้แล้ว” ("I have loosed it!" ) (ก็แหงละ พระองค์ตัดขาดเลยนี่นา - - “)

หลังจากนั้น ปมกอร์ดิอุสได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของปัญหาที่ต้องแก้ไขด้วยวิธีที่รวดเร็ว

 และไม่เน้นกรอบประเพณีนัก

 

 

4 เชื่อกันว่าเป็นบุตรแห่งเซอุส

หลังจากเอาชนะพวกเปอร์เซียนได้ในสงคราม Issus อเล็กซานเดอร์ตั้งใจจะเดินทางเข้าไปในอียิปต์

ซึ่งเป็นดินแดนที่ปกครองโดยพวกเปอร์เซียนมากว่า 200 ปี

ชาวอียิปต์ต้องจ่ายภาษีอย่างหนัก พวกเขาจึงดีใจมากเมื่ออเล็กซานเดอร์จัดการพวกเปอร์เซียนได้

และยกย่องพระองค์เป็นฟาโรห์เลยทีเดียว

ในช่วงนั้นเอง วัฒนธรรมของอียิปต์ได้ผสมผสานกับกรีซ และมาซีโดเนียน และดำรงอยู่ต่อมากว่า 300 ปี

และระหว่างที่อยู่ในอียิปต์ อเล็กซานเดอร์เดินทางข้ามทะเลทราย เพื่อไปยังแท่นบูชาที่ชื่อ “Zeus Ammon”

ว่ากันว่าระหว่างการเดินทาง พระองค์ได้ผู้นำทางอย่างเหยี่ยว และยังได้รับพรจากสายฝน

และที่ Zeus Ammon วิหารศักดิ์สิทธิ์ของชาวอียิปต์ บรรดานักบวชเชื่อว่าพระองค์เป็นบุตรของเทพเจ้าเซอุส

และไม่ว่าอเล็กซานเดอร์จะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ หรือพระองค์จะเป็นบุตรของเทพเจ้าจริงๆ หรือเปล่า

ความเชื่อนี้ก็ทำให้เขาได้รับความเคารพนับถือจากชาวอียิปต์อย่างล้นหลามเลยทีเดียว  

 

 

3 เมืองอเล็กซานเดรีย

นอกจากจะทำให้เมืองมาร์ซีโดเนียเจริญรุ่งเรืองแล้ว อเล็กซานเดอร์ยังได้สร้างเมืองใหม่อีกกว่า 20 เมือง

และตั้งชื่อเมืองเหล่านี้ตามชื่อของพระองค์ และ 1 ในเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ “อเล็กซานเดรีย”

เมืองที่อยู่บนชายฝั่งแม่น้ำไนล์ อเล็กซานเดอร์ได้พัฒนาเมืองจนกลายเป็นเมืองแห่งอารยธรรม

และกลายเป็นเมืองใหญ่ที่ใครๆ ก็รู้จัก นอกจากนี้พระองค์ยังสร้างท่าเรือ โรงเรียน โรงละคร

และห้องสมุดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และที่พระองค์ทำได้ดีที่สุดคือ

แม้ว่าอเล็กซานเดรีย ซึ่งเป็นเมืองของอียิปต์ จะได้ชื่อว่าปกครองโดยกรีก

แต่อเล็กซานเดอร์อนุญาตให้พวกเขารักษาวัฒนธรรมของตัวเองไว้ได้ เรียกว่าเป็นการถนอมน้ำใจสินะ 

 

 

2 เอาชนะพวกเปอร์เซียน

หลังจากยึดครองอียิปต์ได้แล้ว อเล็กซานเดอร์เริ่มไล่ล่าจักรพรรดิเปอร์เซียน Darius III

ในการรบครั้งใหญ่ Darius III พร้อมด้วยทหารสองแสนนาย พร้อมอาวุธครบมือเผชิญหน้ากับ

กองทัพของอเล็กซานเดอร์ ซึ่งมีนายทหารเพียง 47,000 คน

แต่อย่างไม่น่าเชื่อ อเล็กซานเดอร์บุกฝ่าเข้าสู่ใจกลางกลุ่ม และรบตัวต่อตัวกับ Darius III

ซึ่งในที่สุดได้หลบหนีจากหลังม้า หนีไปพร้อมคนสนิท (ซึ่งภายหลังหักหลังและลอบสังหารพระองค์)

หลังจากได้ชัยชนะเหนือเปอร์เซียน อเล็กซานเดอร์กลายเป็นกษัตริย์ผู้มีอำนาจเหนือทวีปเอเชีย

พระองค์ทรงยึดเมืองหลวงของเปอร์เซีย “บาบิโลน” และปกครองด้วยหลักการของพระองค์เอง

หลังจากนั้น พระองค์ได้ซึมซับวัฒนธรรมเปอร์เซียน และอภิเษกสมรสกับนางรำชาวเปอร์เซียนชื่อโรซานน์

การกระทำของพระองค์เป็นสิ่งที่แปลกมากสำหรับผู้ชนะสงคราม 

และทำให้ทั่วโลกได้เรียนรู้การปรานีต่อผู้แพ้ 

 

 

1 เข้าสู่อินเดีย

เป้าหมายที่อเล็กซานเดอร์ต้องการไปต่อคือเข้าสู่อินเดีย และเอาชนะยึดครองดินแดนแห่งนี้

กษัตริย์พอร์รัส แห่งอินเดีย ใกล้จะพ่ายแพ้ต่ออเล็กซานเดอร์แล้ว

แต่อากาศ และภูมิประเทศแบบภูเขาทำให้พระองค์ชะงักการรบ

และเริ่มตระหนักว่าการยึดครองเอเชียท่าทางจะไม่ง่ายอย่างที่พระองค์คิดเสียแล้ว

ทหารของพระองค์เหน็ดเหนื่อย และต้องการจะเดินทางกลับประเทศ เพื่อพบกับความสุขที่ไม่เคยมีมายาวนาน

ในที่สุด อเล็กซานเดอร์ก็ยอมแพ้ต่อทหารของพระองค์เอง และเดินทางกลับประเทศ

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจที่จะเดินทางกลับเปอร์เซียด้วยทิศทางใหม่เป็นการตัดสินใจผิดที่สุดของพระองค์

ทหารกว่า 15,000 นายต้องเสียชีวิตที่ทะเลทราย Gedrosan ทะเลทรายที่ร้อนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

การเดินทางครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของอเล็กซานเดอร์เช่นกัน

ในที่สุด พระองค์ทรงป่วยหนัก และเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันต่อมา เมื่ออายุเพียง 33 ปีเท่านั้น   

 

แต่แม้ว่าพระองค์จะไม่สามารถพิชิตทวีปเอเชียได้สำเร็จ

ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ก็ตราตรึงอยู่ในใจของคนทั่วโลกมากอยู่แล้ว

น้องๆ ว่าจริงมะ

 

Dek-d : อตินเอง

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.livescience.com/history/top10_alexander_great-1.html

 

พี่อติน
พี่อติน - Writer Editor ผู้ดูแลหมวดนักเขียนที่หลงใหลการอ่านแบบสุดๆ และไม่เคยพลาดทุกข่าวสารในวงการวรรณกรรม!

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

8 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
^______^ 17 ต.ค. 50 20:13 น. 5
ข้อที่8 เราว่าไม่ใช่นะ ตามที่เราได้อ่านมาเล่ม1กับเล่ม2 อเล็กซานเดอร์ไมได้ถูกสงสัยเลยเกี่ยวกับการลอบปลงพระชนม์ของกษัตริย์ฟิลิป แล้วก็ไมได้แนะนำให้พระนางโอลิมเปียสฆ่าเด็กที่เป็นลูกของนางสนมนั่นด้วย เท่าที่เราอ่านมาอเล็กซานเดอร์เป็นกษัตริย์ที่ใจดี ไม่โหดม
0
กำลังโหลด
ผ่านมาผ่านไป 17 ต.ค. 50 21:44 น. 6
อเล็กซานเดอร์ ทรงเป็นผู้ค้นพบกล้วยหอม ม้าของพระองค์ บูเซฟาลัส(หรือ ฟาลุส) แปลว่า หน้าวัว เพราะขีดขาวที่น้าของมัน ซึ่งเหมือนวัว พระองค์คลั่งไคล้ในตำนานของโฮเมอร์มาก เรื่อง ทรอย ในการไปยึดเอเชีย ทรงเสด็จเข้าไปที่ทรอยโดยลำพัง ถอดเกราะของพระองค์ออก แล้ว หยิบโล่อันเก่าๆของ วิกเตอร์ไป จากวิหารเทพีอาร์เทน่า.... เป็นส่วนหนึ่งในข้อ 4(ผมว่างั้นนะ) ดาริอุสที่ 3 บางเล่มบอกว่าสวามิภักดิ์ต่ออเลกซานเดอร์ แล้วยกลูกสาวให้ แต่ อเล็กซานเดอร์ไม่เอา ครั้งที่เสด็จกลับจากเอเชีย มีทหารนำน้ำใส่หมวกเหล็กมาให้พระองค์ แต่พรองค์เททิ้งลงพื้นทรายหมด พระองค์ตรัสว่า "เราต้องอดด้วยกัน" พระองค์เคยบุกยึดเมือง พร้อมองค์รักษ์ 3 คน กับทหารนับหมื่น ปรากฏว่า กองทัพที่ตามมาที่หลังพบพระองค์นอนหอบอยู่ใต้ซากทหารข้าศึกนับสิบ และร่างทั้ง 3 ขององค์รักษ์ทับพระองค์อยู่ พระองค์ใจร้อนจริงๆ พระองค์ตายกลางฝูงอีกา..........และเชื่อพระศพถูกนำไปฝังที่อียิปต์ ปล. อะไรที่เป็นประวัติศาสตร์ ไม่มีอะไร 100 เปอร์เซนต์นะคับ...... อะไรที่ไม่ตรงกับที่ใครหลายคนอ่านมา ก็ละๆไว้นะคับ
0
กำลังโหลด
อตินเอง Writer Editor 19 ต.ค. 50 10:37 น. 8
ขอบคุณความเห็นที่ 6 ค่า ขอคารวะเลย ชอบมากๆ ที่ว่า "อะไรที่เป็นประวัติศาสตร์ ไม่มีอะไร 100 เปอร์เซนต์นะคับ...... อะไรที่ไม่ตรงกับที่ใครหลายคนอ่านมา ก็ละๆ ไว้นะคับ" เพราะว่าข้อมูลทั้งหมดก็แปลมาล้วนๆ เลย บางทีอาจจะเป็นข้อมูลที่นักประวัติศาสตร์คนละสาขาตั้งสมมติฐานไว้แตกต่างจากคนอื่นๆ ก็ได้ น้องๆ ก็ฟังหูไว้หูแล้วกันนะจ๊ะ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด