ช่วงสัปดาห์ที่เมืองไทยเราเรียกได้ว่า อากาศหนาว อย่างเต็มปากเต็มคำ พี่โอ๊ตบอกเลยค่ะว่ารู้สึกขี้เกียจมาก 555 อย่างปกติในวันหยุดที่เคยตื่นเช้า ลุกมาปิดแอร์ทำนู่นทำนี่ก็กลายเป็นอยากมุดตัวใต้ผ้าห่มอีกหน่อย ทำไปทำมาก็เกือบได้กินข้าวเที่ยงซะแล้ว
     จริงๆ แล้วความขี้เกียจ พี่โอ๊ตว่ามีอยู่ในทุกคนนะ ขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่ในสถานการณ์ไหน อย่างเช่น ลืมของไว้ที่บ้าน แต่เดินออกมาไกลแล้ว ก็ขี้เกียจกลับไปเอา อะไรแบบนี้ก็ถือเป็นความขี้เกียจอย่างหนึ่งค่ะ แต่ก็จะมีบางคนที่รู้สึกเหมือนตัวเองขี้เกียจอยู่ตลอดเวลา ไม่อยากทำนั่นทำนี่ ไม่อยากคิดอะไร ไม่อยากลุกไปไหน รู้สึกเบื่อหน่ายสิ่งรอบตัวไปหมด เพราะงั้นอย่างแรกเลยที่อยากให้น้องๆ ทำความเข้าใจคือ “ทำไมเราถึงขี้เกียจ” พร้อมแปะวิธีเอาชนะแบบง่ายๆ ซึ่งเอาจริงพี่โอ๊ตก็ไม่เคยอยากรู้มาก่อน จนมาเริ่มเขียนบทความนี้แหละค่ะ 555
 
5 สาเหตุ ที่ทำให้เรา “ขี้เกียจ”
 
1. ขี้เกียจเพราะ...ไม่มีแรงบันดาลใจในสิ่งที่ทำ ทำแล้วได้อะไรอะ?
          แรงบันดาลใจ หรือที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ว่า อินสไปเรชั่น (Inspiration) มันคือตัวกระตุ้นให้เราอยากทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมานั่นเองค่ะ อย่างสมมติว่า ขี้เกียจตื่นไปโรงเรียน เพราะเราเบื่อ ไม่อยากเรียน เรียนไม่รู้เรื่อง นี่คือการขาดแรงบันดาลใจ แต่ๆๆ ถ้าวันนั้นเกิดมีอีเว้นท์สนุกๆ เช่น กีฬาสี งานโรงเรียน หรืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่เรื่องเรียน เราจะสามารถดีดตัวออกจากที่นอนก่อนเวลาจริงไปมาก เพราะว่าเรามีแรงบันดาลใจจากการเข้าร่วมกิจกรรมมากกว่าการเรียนนั่นเองค่ะ (อันนี้ไม่ดีเท่าไหร่ ลองหาแรงบันดาลใจจากการเรียนดีกว่าเนอะ)

          ดังนั้นแรงบันดาลใจที่ว่ามานี้ พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ทำแล้วได้อะไร? ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินหรือสิ่งของ การมีความสุขจากสิ่งนั้นๆ ก็ทำให้เกิดแรงบันดาลใจได้เช่นกัน ดังนั้นพอเราทำแล้วรู้สึกว่ามันไม่ได้อะไร เราก็จะเริ่มขี้เกียจไปในที่สุดค่ะ
 

เอาชนะยังไง : วิธีที่ง่ายที่สุดคือ เริ่มจากหาสิ่งที่ชอบ ที่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ทำอยู่ ถ้าเราขี้เกียจไปเรียน ต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า ถ้าไม่เรียนเราจะทำอะไร การมองภาพตัวเองในอนาคตก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สร้างแรงบันดาลใจได้นะ หรือถ้ายังนึกไม่ออก ลองเปลี่ยนกิจวัตรตามปกติที่ทำดูก็ได้ค่ะ สมมติว่าเคยตื่น 7 โมงเช้า ก็อาจจะตื่นให้เร็วขึ้น หรือลองทำอะไรที่ไม่เคยทำดูค่ะ
 
2. ขี้เกียจเพราะ...ใช้เวลากับเรื่องที่ทำอยู่มากเกินไป ไม่เสร็จซักที!!
          เวลาที่เราหมกมุ่นอยู่กับอะไรซักอย่างมากเกินไป และทำเท่าไหร่ก็เหมือนจะไม่เสร็จซักที อย่างเช่นการอ่านหนังสือเตรียมสอบหลายๆ วิชา หรือการบ้านช่วงปิดเทอม สมองของเราก็จะเริ่มสับสน และทำงานได้ช้าลงค่ะ จากนั้นเราก็จะเริ่มเกลี้ยกล่อมตัวเองว่า หยุดเถอะ อย่าทำต่อเลย ไปนอนดีกว่า แล้วพอเราเริ่มคิดแบบนี้ปุ๊บ เราก็จะหาเหตุผลดีๆ ในการเริ่มทำสิ่งนั้นๆ ไม่ได้ และใช่ค่ะ เราก็จะเริ่มขี้เกียจละ ยิ่งถ้าต้องทำอะไรซักอย่างที่ไม่รู้ว่ามันจะเสร็จเมื่อไหร่ ความตั้งใจของเรามันก็จะเริ่มลดลงๆ และนำไปสู่ประโยคเดิมๆ ว่า "พรุ่งนี้ค่อยทำละกัน"

เอาชนะยังไง : ลองจัดตารางงานตัวเองใหม่ แบ่งย่อยเป็นหลายๆ งาน แล้วลำดับความสำคัญหรือความยากง่ายก่อน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรู้สึกว่าทำงานชิ้นใหญ่ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเสร็จซักที หรือลองขอความช่วยเหลือจากเพื่อนหรือคนรอบข้าง อาจจะให้ช่วยในส่วนที่เราไม่เข้าใจ เพื่อย่นเวลาในการหาข้อมูล หรือให้ช่วยทำตรงส่วนเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้ค่ะ
 
3. ขี้เกียจเพราะ...เหนื่อยจากการเรียน/การทำงานเยอะเกินไป
          แน่นอนว่าเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกเหนื่อยมากๆ สมองก็จะเริ่มทำงานได้ช้ากว่าปกติ ลองสังเกตดูสิว่าถ้าวันไหนเรียนหรือทำงานหนักมากๆ เช้าของอีกวันเราก็แทบจะไม่อยากตื่นเลย ยิ่งน้องๆ ที่ต้องเรียนทุกวันวัน เรียนพิเศษตอนเย็น เรียนพิเศษเสาร์อาทิตย์ เรียนพิเศษช่วงซัมเมอร์ คือถามหาวันหยุดจริงๆ แทบไม่มี ก็ไม่แปลกเลยค่ะที่จะรู้สึกขี้เกียจขึ้นมา
 

เอาชนะยังไง : ง่ายๆ เลยค่ะ “พักผ่อน” พักหายใจบ้าง ให้สมองได้รีแลกซ์  ปล่อยวางบ้าง พักใจ พักสมอง และเติมพลังให้ตัวเอง ลองจัดตารางเวลาดูใหม่ แล้วเริ่มจากสิ่งที่สำคัญมากๆ ก่อนจะดีกว่าค่ะ
 
4. ขี้เกียจเพราะ...รู้สึกทุกข์ใจ หรือกำลังเศร้าอยู่
          ฟีลแบบนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นแล้วล่ะค่ะ ซึ่งหลายคนอาจจะไม่รู้ว่า จริงๆ แล้วอาการขี้เกียจ หรือขาดแรงบันดาลใจในสิ่งต่างๆ ก็เป็นเรื่องที่เรามักจะเจอในผู้ป่วยโรคซึมเศร้าด้วยนะ

          อย่างบางคนจะรู้สึกเหมือนอยู่ดีๆ ตัวเองก็ขี้เกียจขึ้นมา ซึ่งเราอาจแยกไม่ออกว่าเป็นสัญญาณของภาวะซึมเศร้า หรือเป็นแค่การจัดการกับความรู้สึกของตัวเองเมื่อต้องสูญเสียอะไรบางอย่างกันแน่ ถ้าเรารู้สึกขี้เกียจแค่พักหนึ่ง แล้วสามารถดึงตัวเองกลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมได้ ก็คงไม่เป็นไรค่ะ แต่หลายคนมักจะชอบยึดติดตัวเองกับสถานการณ์นั้น และยังชอบโทษตัวเองอีกด้วย ซึ่งนี่แหละ ที่อาจจะทำให้เกิดเป็นภาวะซึมเศร้าได้ค่ะ
 

เอาชนะยังไง : ข้อนี้พี่โอ๊ตพูดได้เลยว่าไม่ง่าย แต่วิธีที่ดีที่สุดก็คือการยอมรับให้ได้ค่ะ ปล่อยให้ตัวเองเสียใจได้ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ก็อย่ายอมให้มากเกินไปจนชีวิตไม่ได้เดินต่อนะคะ
 
5. ขี้เกียจเพราะ...กลัวความล้มเหลว/กลัวความสำเร็จ
          ขี้เกียจเพราะกลัวความล้มเหลวนี่เข้าใจได้ง่ายอยู่ค่ะ เพราะหลายคนคิดว่าการที่เราขี้เกียจแล้วไม่ทำอะไรเลย มันง่ายกว่าการพยายามทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จมากๆ ถ้าจะพูดให้เห็นภาพชัดๆ ก็เหมือนเราไปแอบชอบคนๆ นึง แล้วก็คิดว่าอย่าไปทักไปคุยกับเค้าเลย เดี๋ยวโดนปฏิเสธมาก็อายเปล่าๆ เลยอยู่เฉยๆ ไม่ต้องพยายามทำอะไรเลยดีกว่า เสียใจแต่ไม่เจ็บมาก หรือบางคนก็เลื่อนเป้าหมายออกไปเรื่อยๆ เช่น รอจบม.3 ก่อน ค่อยไปสารภาพรัก พอจบม.3แล้วก็เลื่อนต่อไปว่า เดี๋ยวจบจบม.6 ก่อน เลื่อนไปเรื่อยๆ จนไม่ได้ทำอะไรซักอย่าง แค่เพราะว่าไม่อยากผิดหวังนั่นแหละ
 

          ส่วนคนที่ขี้เกียจเพราะกลัวความสำเร็จอาจจะฟังดูแปลกๆ แต่ก็มีไม่น้อยเลยค่ะ บางคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ คนแบบนี้มักจะมีความกังวลว่า ถ้าตัวเองทำอะไรซักอย่างสำเร็จหรือทำได้ดีมากๆ อาจจะทำให้มีผลกระทบกับตัวเองหรือคนรอบข้าง เช่น ทำงานกลุ่มได้ดี เลยได้เป็นหัวหน้ากลุ่มบ่อยๆ สอบได้คะแนนดี เพื่อนเลยชอบให้มาช่วยติวให้ ซึ่งบางครั้งเราก็อาจจะไม่อยากทำ แต่จะปฏิเสธก็กลัวโดนว่า เลยกลายเป็นบอกตัวเองว่าอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรหรอก เพราะไม่อยากให้มีปัญหาตามมานั่นเอง
 
เอาชนะยังไง : ลองลิสต์ออกมาเป็นข้อๆ เลยค่ะ ว่าเรากำลังกลัวอะไร ทำไมเราถึงกลัว กลัวแล้วได้อะไร พี่โอ๊ตเคยลองทำแบบนี้มาแล้ว และก็พบว่า เออ เรากลัวทำไมนะ ไม่มีเหตุผลเลย 555 การได้ลองทำอะไรซักอย่างมันมีผลตามมาอยู่แค่ไม่กี่ข้อค่ะ ไม่ดีก็แย่ แต่สิ่งที่เราจะได้เพิ่มเติมแน่นอนคือประสบการณ์ที่จะทำให้เราเก่งขึ้น อันไหนแย่ก็แก้ อันไหนดีก็ทำต่อ ดีกว่าการอยู่เฉยๆ นะ
 
    อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว น่าจะมีอีกหลายคนที่ยังคิดไม่ออกว่าตัวเองจัดอยู่ในข้อไหน พี่โอ๊ตก็ขอเอาวิธีง่ายๆ มาฝากเพิ่มเติมค่ะ
  • ความขี้เกียจเป็นสิ่งหนึ่งที่บอกเรากลายๆ กับตัวเองว่าเราไม่มีคุณค่าพอสำหรับการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งพี่โอ๊ตว่าไม่จริงเลยค่ะ เพราะฉะนั้นให้บอกกับตัวเองเสมอๆ ว่าเรามีคุณค่า และทำอะไรได้มากกว่าที่คนอื่นคิด ความคิดแบบนี้แหละที่เป็นเชื้อเพลิงที่ดีที่สุด ที่จะจุดไฟในตัวเราให้ลุกขึ้นแจ่มจ้า!! และจะทำให้เราอยากทำสิ่งต่างๆ อีกเยอะเลยล่ะค่ะ
  • มีสติเข้าไว้ เพราะการมีสติจะไม่ทำให้เรามีข้ออ้างเพื่อขี้เกียจค่ะ สังเกตสิว่าเวลาขี้เกียจเราจะเพ้อเจ้อมาก มโนเก่งสุดว่าอันนั้นไม่ดี อันนี้ไม่ได้เลยไม่อยากทำ จริงๆ ก็คือขี้เกียจนั่นเอง เพราะฉะนั้น มีสติเข้าไว้จ้ะ
  • อย่าใจร้อน อย่าด่วนเท ยุบหนอพองหนอนะคะ บางคนไม่ได้ดั่งใจก็ขี้เกียจขึ้นมาซะดื้อๆ ใจเย็นไว้ก่อนเด้อ มีสติ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำ งานจะได้เสร็จ และไม่ต้องรู้สึกขี้เกียจด้วย
  • ออกกำลังกายบ้าง เพราะการที่เราได้ขยับตัว มันก็คือการกระตุ้นให้ร่างกายและสมองตื่นตัวนั่นเองค่ะ แถมยังช่วยให้เลือดสูบฉีด ผิวมีเลือดฝาดไปอีก ลองออกกำลังกายในตอนเช้า แค่ 15 นาที บอกเลยค่ะว่าบ่ายไม่มีง่วงแน่นอน ช่วยลดความขี้เกียจไปได้เยอะเลย
  • ให้รางวัลตัวเองบ้าง ข้อนี้พี่โอ๊ตชอบมากเลยค่ะ 555 การให้รางวัลตัวเองก็เป็นการสร้างแรงจูงใจให้อยากทำอะไรมากขึ้นนะ เช่น เราตั้งใจว่าจะงดกินน้ำหวาน 1 อาทิตย์ พอครบอาทิตย์แล้วก็อาจจะจัดชาหวานน้อยเป็นรางวัลให้ตัวเองซักแก้ว แบบนี้ก็จะมีกำลังใจทำต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ
 
          พี่โอ๊ตบอกเลยค่ะว่าในช่วงแรก เราไม่ได้จำเป็นต้องทำทั้งหมด ไม่ต้องฝืนตัวเองมากขนาดนั้นค่ะ ลองเลือกมา 1-2 ข้อที่คิดว่าตัวเองทำได้แน่ๆ แล้วลองทำดูก่อน เพราะบางทีการเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ก็จะช่วยให้ลำดับความคิดของเรามันเปลี่ยนไปเองอย่างไม่รู้ตัวเลยล่ะค่ะ และอย่าลืมอนุญาตให้ตัวเองขี้เกียจได้บ้างในวันว่างๆ ได้นอนกลิ้งดูซีรีส์กินเป๊บซี่อยู่ในห้อง ก็ถือเป็นการให้รางวัลตัวเองได้เหมือนกัน ชีวิตจะได้ไม่เครียดเน้อ

 
พี่โอ๊ต
พี่โอ๊ต - Columnist คอลัมนิสต์สายบิวตี้ ชอบอัปเดตเมคอัพ และศึกษาเรื่องสกินแคร์ เพื่อผิวสวยอย่างปลอดภัย

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น