Spoil
- พี่บัวชื่นชอบการ์ตูนแอนิเมชั่นแต่เด็ก และยิ่งได้เห็น Toy Story ยิ่งตอกย้ำว่าใช่!
- ก่อนจะมาเป็นแอนิเมเตอร์ ที่บ้านเคยอยากให้พี่บัวเป็นหมอ ส่งไปฝึกงานโรงพยาบาลมาแล้ว
- โอกาสมาถึง เมื่อลองทำหนังสั้น 20 วินาทีลงโซเชียล และกลายเป็น 20 วินาทีเปลี่ยนชีวิต
- ไอรอนแมน และสไปเดอร์แมน นี่แหละ! คือความฝันของพี่บัว และเขาก็ได้ทำจริงๆ
_________________________
ณ ตอนนี้เชื่อว่าไม่มีหนังเรื่องไหนที่ทำปรากฏการณ์ปังสุดๆ ได้เท่ากับ Avengers: Infinity War ที่ทำรายได้ถล่มทลายอยู่ในทุกโรงภาพยนตร์ แต่รู้มั้ยคะว่าเบื้องหลังหนังที่ทุกคนรอคอยนี้ มีทีมงานที่เป็นคนไทยอยู่ด้วย! มาทำความรู้จักกับพี่บัว ทิฑัมพร ทีปะปาล หนุ่มไทยอายุ 31 ปี แอนิเมเตอร์ฝีมือดีที่ฮอลลีวูดต้องการ ขอบอกว่ากว่าจะมาตรงนี้ได้ ไม่ใช่ฟลุค แต่เพราะโอกาสสร้างมากับมือ!
เพราะอยากทำงานในห้องแอร์ จึงเลือกทำงานคอมพิวเตอร์
ย้อนกลับไปตอนเด็กๆ บ้านพี่อยู่ต่างจังหวัด พ่อแม่ก็ชอบพาไปเล่นในสวนบ่อยๆ ไปให้ช่วยทำนั่นทำนี่ แต่พี่ไม่ชอบ ก็เลยคิดว่าโตขึ้นจะทำงานอะไรดีที่อยู่ในห้องแอร์ ตอนนั้นมันก็มีคอมพิวเตอร์เข้ามาพอดี ซึ่งแบบ เฮ้ย! ตอบโจทย์ นั่งชิลๆ ไม่ต้องออกไปร้อนข้างนอก
จนมาตอนมัธยม พี่จริงจังกับคอมฯมาก ซื้อมือสองมาเครื่องนึง เอามาฝึกหลายๆ อย่าง เช่น ใช้ Script วาดรูปดอกไม้ ก็เลยรู้สึกว่าต้องทำงานกับคอมฯแล้วล่ะ พอจบ ม.6 ต้องเอนทรานซ์ ก็ติดวิศวกรรมซอฟต์แวร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต ก็คิดว่าเป็นทางที่ชอบ แต่พอเรียนได้เทอมนึง มันรู้สึกเลยว่าไม่ได้อยากเขียนโปรแกรมให้ใครใช้ อยากใช้โปรแกรมเองมากว่า ก็เลยตัดสินใจซิ่วไปวิศวกรรมมัลติมีเดียที่ ม.กรุงเทพ ที่ย้ายมานี่เพราะพ่อแม่อยากให้พี่เป็นวิศวะ ดูเท่ๆ หน่อย แต่พี่ไม่อยากออกไซต์งาน เลยคิดว่ามัลติมีเดียนี่แหละตอบโจทย์สุด ได้เรียนถ่ายภาพ ได้เรียนทำเสียง เรียนใช้กล้อง
แล้วตอนนั้นมี Toy Story เข้ามาพอดีด้วยนะ มันก็ดึงความรู้สึกเก่าๆ ของเราออกมาว่า สมัยเด็กเราชอบวาดรูปในสมุดโน้ต ชอบเอาหนังสือเรียนสปช. มาเขียนเล่นเป็น Flip Book คือหนังสือมันจะหนาๆ แล้วก็วาดที่ละหน้า แล้วกรีดดู ตัวการ์ตูนมันจะขยับได้ หนังสือพี่กรีดทางไหนก็มีตัวการ์ตูนเต็มไปหมด 55 เนี่ย พอเข้ามหาวิทยาลัยมันก็นึกขึ้นได้ว่า อ่อ ตอนนั้นเราอยากเป็นแบบนี้นี่หว่า
การ์ตูน 4 Angies คือแรงบันดาลใจในการฝึกงานจนได้ดี
จริงๆ ตอนนั้นแอนิเมชั่นในไทยยังไม่ค่อยบูม แต่ในยุคนั้นที่มีชื่อเสียงที่สุด และเป็นเรื่องแรกที่พี่เห็นแล้วกรี๊ดมากคือ 4 Angies สี่สาวแสนซน ตอนนั้นบอกกับตัวเองเลยว่าจะต้องไปฝึกงานที่นี่ให้ได้ ก็เดินถือแฟ้มผลงานที่เราทำเข้าไปเลย แล้วบอกว่าผมขอฝึกงานครับ โชคดีที่เค้ารับ พอไปถึงพี่ก็ไล่ถามไปทุกแผนกเลยนะ ตรงนี้ทำไง ตรงนั้นทำไง สุดท้ายฝึก 3 เดือนก็ได้แอนิเมชั่นของตัวเองมาเรื่องนึงเป็น Short Film ปลื้มมากที่เราทำออกมาได้ แล้วก็ทำมาเรื่อยๆ จนทุกวันนี้
ก่อนจะมาเป็นแอนิเมเตอร์ เคยฝึกงานในโรงพยาบาลมาแล้ว!
ครอบครัวพี่มีลูกชาย 3 คน พี่เป็นคนกลาง ซึ่งพี่ชายคนโตเคยโดนบังคับเรียนมาก่อน แล้วเค้าไม่โอเคเลย พ่อแม่ก็เห็นแล้วล่ะว่าเฮ้ย! ไม่เวิร์ค มาถึงพี่เค้าก็เลยค่อนข้างปล่อย แต่ก่อนจะปล่อย ก็เคยพี่ไปฝึกงานที่โรงพยาบาลมาก่อนเหมือนกันนะ เค้าอยากให้เป็นหมอ แต่ตอนนั้นคือพี่เห็นการผ่าตัดแล้วไม่ไหวจริงๆ ก็บอกเค้าไปตรงๆ เลยว่าอยากเรียนอะไร ทำอะไรได้บ้าง เราก็ขายของไปว่าเป็นวิศวะด้วยนะ เท่นะ คือคุยเลยว่าเราคิดอะไร อยากทำอะไร สุดท้ายก็เลยยอมให้ทำ
"คือบางทีเราก็ต้องให้มุมมองกับผู้ใหญ่บ้าง ผู้ใหญ่รุ่นใหม่ๆ เค้าอาจจะเห็นแล้วล่ะ
ว่าอาชีพมันมีมากกว่าแค่หมอ พยาบาล ตำรวจ แล้วความชอบของเด็กอะ
ถ้าเราสนับสนุนให้มันไปในทางที่เค้าชอบจริงๆ ทุกอย่างมันมีทางไปของมัน
ถ้าเราไปให้สุดทาง มันจะดีเอง"
ว่าอาชีพมันมีมากกว่าแค่หมอ พยาบาล ตำรวจ แล้วความชอบของเด็กอะ
ถ้าเราสนับสนุนให้มันไปในทางที่เค้าชอบจริงๆ ทุกอย่างมันมีทางไปของมัน
ถ้าเราไปให้สุดทาง มันจะดีเอง"
ทำแอนิเมชั่นในไทย จนกระทั่งวันนึงขอหยุดทุกอย่าง เพื่อไปตามหาฝันด้านอื่น!
สมัยแรกๆ ที่ทำแอนิเมชั่น Bird Land ตอนนั้นก็คิดว่ามันคงเป็นปลายทางแล้วล่ะ เราบรรลุเป้าหมายที่อยากทำแอนิเมชั่นแล้ว ตอนนั้นพี่ก็เลยหยุดทำ แล้วออกไปเล่นดนตรี ไปลองทำอย่างอื่นดูบ้าง แต่พอลองทำแล้วมันก็ไม่ใช่อะ มันหลอกตัวเองไม่ได้ว่าเราชอบตรงนี้ พอดีกับที่มีคนมาชวนทำเรื่อง 9 ศาสตรา ก็เลยลองทำให้มันเต็มที่ดู แล้วเดี๋ยวมาดูกันว่ามันจะไปได้ไกลแค่ไหน สุดท้ายก็ เฮ้ย! มันดีว่ะ มีความสุข ค่าตอบแทนเราก็ดีขึ้น ความสุขเราก็มากขึ้น สิ่งที่เราทำมันก็ค่อยๆ ก้าวไปทีละสเต็ป
จากหนังสั้น 20 วินาทีนี่แหละ คือประตูสู่หนังฮอลลีวูด!
หลังจากที่เข้ามาทำแอนิเมชั่นเรื่อง 9 ศาสตรา ได้รับผิดชอบในส่วนฉากแอ็คชั่น พอกลับมาบ้าน อารมณ์มันก็ค้าง ก็เลยมาทำโปรเจ็กต์ Short Film ของตัวเอง 20 วินาที แล้วพี่ก็โพสต์ลงโซเชียล ปรากฎมีคนชอบเยอะมาก แล้วไปเข้าตาแอนิเมชั่นซูเปอร์ไวเซอร์ Framestore เค้าก็เลยส่งอีเมลมาว่าสนใจ โห! มือไม้สั่นไปหมด ตอนนั้นภาษาอังกฤษก็ไม่ได้เรื่องเลยด้วยนะ เลยให้เพื่อนๆ พี่ๆ ช่วยอีเมลกลับไป เค้าก็นัดวันสัมภาษณ์หลังจากนั้นสองอาทิตย์ พี่ก็ต้องไปฝึก เข้าคอร์สเรียนภาษาตัวต่อตัว โชคดีที่เค้าถามอะไรไม่เยอะ เค้าก็เล่าให้ฟังว่าตอนนี้ทำโปรเจ็กต์อะไรอยู่ อยากให้เราไปช่วยส่วนไหน จนเค้าถามคำถามสุดท้าย “คุณจะมาได้เมื่อไหร่?” ซึ่งคำถามนี้เตรียมคำตอบไว้อยู่แล้วล่ะว่า ”as soon as possible” (เร็วที่สุดที่เป็นไปได้) เค้าก็โอเค! อีก 4 เดือนหลังจากนั้น เราก็พยายามไปเรียนภาษา สอบ IELTS แล้วบินมาที่นี่ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก
"จริงๆ มันดูเหมือนว่าโอกาสวิ่งมาหาเรา แต่ถ้ามองอีกมุม
เราสร้างโอกาสนี่ขึ้นมาเองต่างหาก โดยการสร้าง Short Film ขึ้นมา
เราทำเพราะเราชอบมัน แล้วบังเอิญว่าสิ่งนี้ไปโดนใจหลายๆ คน
มันเลยกลายเป็นโอกาสที่เราสร้างเองไม่รู้ตัว"
มาทำงานอังกฤษ 3 เดือนแรก ปรับตัวเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องภาษาและของกิน!
มาถึงที่นี่ งานแรกที่ได้ทำคือ King Arthur: Legend of the Sword ตอนนั้นยอมรับเลยฟังคอมเมนต์ไม่ออก คือภาษาอังกฤษที่เราเรียนกับภาษาอังกฤษที่เค้าพูด มันไม่เหมือนกันอะ แบบจะใช้ชีวิตยังไงเนี่ย พี่ก็เลยขอเค้าอัดเสียงเวลาพูด แล้วมาแกะทีหลัง แต่ก็ไม่ช่วย โชคดีที่งานของพี่เป็นแอนิเมชั่น ทุกครั้งจะใช้การถ่ายวิดีโอตัวเอง แล้วแสดงทั้งเตะต่อย เอามีดฟัน กระโดด ถีบ เอาให้เค้าดูว่าโอเคมั้ย ถ้าโอเคก็เยส ถ้าไม่ก็ถ่ายใหม่ ช่วง 3 เดือนแรกนี่ยากมาก แต่พอผ่านไปได้แล้ว มันจะโอเค คือมันไม่ใช่แค่เรื่องภาษานะ มันรวมถึงวิถีชีวิต เพื่อน และอาหารการกินเนี่ยเป็นปัญหาหลักเลย พี่ไม่กล้าสั่งอาหาร คุยกับเค้าไม่ได้ สั่งได้แต่ไก่ทอดกับเฟรนฟรายส์ กินอยู่เกือบเดือนอะ จนมีวันนึงเดินไปเจอข้าวกับซอสแม็กกี้ที่ซูเปอร์มาร์เก็ต โห! เหมือนมีดอกไม้บาน ฟินเลย
ความฝันเริ่มใกล้เข้ามา เมื่อได้มาทำ Guardian of the Galaxy vol.2
ตอนแรกที่พี่เริ่มทำหนัง ก็มีเป้าหมายเป็น Avengers นี่แหละ เพราะพี่เป็นแฟนไอรอนแมนกับสไปเดอร์แมน แต่ก็ไม่กล้าหวัง กลัวผิดหวัง จนมาได้จับ Guardian of the Galaxy vol.2 นี่แหละ โห! มันทำให้เรารู้ว่าเราจะไปให้ถึงได้ ก็เลยพิสูจน์ตัวเองเต็มที่ ทำทุกอย่างให้ถึงที่สุด แล้วก็เขยิบมาทำ Thor: Ragnarok ได้มาจับฮัลค์ ถือเป็นคาแรกเตอร์ที่แอนิเมเตอร์ทุกคนอยากทำงานด้วย คือตอนทำแล้วกลับบ้านมาหมดพลัง ไม่อยากทำอะไรแล้ว แต่พอเอนตัวลงนอนเท่านั้นแหละ เมื่อไหร่จะเช้า ทำต่อตอนนี้เลยได้มั้ย เหนื่อยแต่มีความสุข
ยิ่งวันที่รู้ว่าได้มาทำ Avengers ด้วยแล้ว เหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย มีพลุแตกอยู่ฉากหลัง วิ๊งๆ เลยนะ แบบเวลานี้มันมาถึงจนได้! ซึ่งส่วนที่พี่รับผิดชอบในเรื่องนี้ ก็จะเป็นการเคลื่อนไหวของไอรอนแมนกับสไปเดอร์แมนนี่แหละ ตอนนั้นนั่งยิ้มคนเดียวเลย ทำได้อยู่ 4 เดือน ก็มีโอกาสย้ายมาร่วมทีม Star Wars ก่อนจะจบ Avengers ถือเป็น 4 เดือนที่ทำงานด้วยแล้วปลื้มปริ่มมาก หลังจากนั้นก็ได้เข้าไปแจม Jurassic World ภาค 2 ได้อาทิตย์นึง เพราะว่าเป็นอาทิตย์สุดท้ายที่เค้าจะไฟนอล งานเค้ายุ่งมาก เลยเรียกพี่ไปช่วย แต่ทำนิดๆ หน่อยๆ ช่วยเค้าปิดจ็อบ ก็รอดูได้
บทบาทการเป็นแอนิเมเตอร์ คือต้องทำให้ละเอียด แม้คนจะมองไม่เห็นก็ตาม
จริงๆ การเป็นแอนิเมเตอร์อีกทางนึงมันก็เหมือนนักแสดงนะ เพราะเราต้องถ่ายเรฟเฟอร์เรนท์ว่าเราแสดงอะไร สิ่งที่เราแสดงจะไปอยู่ในคาแรกเตอร์ที่เราทำ ซึ่งมันเหมือนนักแสดงที่โดนสวมชุดตัวละครที่เราทำอยู่ มันก็ปลื้มอะ การเคลื่อนไหวของเราที่เราถ่ายวิดีโอก๊อกๆ แก๊กๆ บนดาดฟ้า หรือหน้าออฟฟิศ มันเข้าไปอยู่ในหนังเรื่องนี้ ซึ่งจริงๆ ก่อนหน้านี้เค้าจะมีนักแสดงอยู่แล้วล่ะ แต่บางครั้งเค้าเปลี่ยนช้อยส์ แต่ไม่ได้ถ่ายใหม่ใช่มั้ยครับ ก็ต้องมาใช้ CG ซึ่งก็เป็นหน้าที่เราที่จะถ่ายให้เค้าดูว่าเอาแบบไหน 1 2 3 4 เค้าเลือกแบบนี้ เราก็เอาแบบนี้มาทำ มาตัดต่อให้ดีขึ้น
หลักๆ แล้วการเป็นแอนิเมเตอร์ต้องรับผิดชอบการเคลื่อนไหวแอนิเมชั่นทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรายเอียดข้อนิ้ว คิ้ว ตา กับโมชั่นแคปเจอร์ เค้าก็จะเก็บข้อมูลการเคลื่อนไหวจากนักแสดงที่ใส่ชุดโมชั่นแคปเจอร์ มาลงในตัวละคร CG ทีนี้เราก็ต้องเอามาปรับเปลี่ยน ส่วนไหนใช้ได้ ใช้ไม่ได้ ส่วนที่ใช้ได้เราก็เอามาคลีนอัพ ทำให้ดูสมูทขึ้น เป็นธรรมชาติขึ้น พูดง่ายๆ ว่าการเคลื่อนไหวทุกอย่างที่นักแสดงทำไม่ได้ ที่มันไม่มีอยู่จริง เช่น พวกสัตว์ประหลาด แอนิเมเตอร์ก็ต้องทำ
ตัวที่ยากที่สุดตั้งแต่ทำมา คือฮัลค์!
จริงๆ ที่ทำมาทุกตัวยากหมดแหละ ไม่มีตัวไหนง่าย แต่ฮัลค์ยากสุด เพราะมันมีคาแรกเตอร์ของมันอยู่แล้ว แต่เค้าจะพัฒนาบุคลิกฮัลค์ให้เปลี่ยนไปทุกภาค เราก็ต้องมาค้นข้อมูลว่าฮัลค์จะเป็นยังไงต่อไป พูดไปเดี๋ยวจะหาว่าสปอยล์ 555 คือแค่ยืนหายใจเฉยๆ ก็ต้องดูเป็นฮัลค์ เค้าไม่สามารถยืนเหมือนคนแล้วหายใจได้ ทุกคนจะต้องรู้สึกว่าเค้าคือฮัลค์ ต้องไม่หลุดคาแรกเตอร์ ตัวละครทุกตัวก็ต้องเป็นแบบนั้นนะ เหมือนพี่กิ๊ก สุวัจนี เราดูละครเค้าเมื่อไหร่ ก็ต้องเห็นว่านี่คือพี่กิ๊ก สุวัจนี
ยกตัวอย่าง เวลาคนทั่วไปเห็นนิ้วมือ จะมองแค่มือกำมือ แบมือ ชี้ไปทางนั้นทางนี้ แต่แอนิเมเตอร์จะมองว่า ตอนนี้ทำอะไร จับแก้วแล้วข้อนิ้วไหนต้องไปก่อน ไม่งั้นเราลองเอานิ้วมาวางบนโต๊ะแล้วลองทำอะไรกับโต๊ะดู เราจะเห็นว่าการเคลื่อนไหวมันไม่เหมือนกัน เวลาเราดูหนังลองจ้องดูก็ได้ ทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นมันจะมีความเบลอของภาพ ยิ่งเคลื่อนไหวเร็วก็ยิ่งเบลอเท่านั้น แล้วสิ่งที่เราใส่เข้าไปก็จะเป็นภาพเบลอๆ แต่ขั้นตอนการทำ เราตั้งใจทำทีละเฟรม ไม่มีการเบลอเลย แม้จะรู้อยู่แล้วล่ะว่าเดี๋ยวมันก็จะไม่เห็น แต่เพื่อให้คนดูได้ฟิลลิ่ง
อยากเป็นแอนิเมเตอร์ที่ดี ก่อนอื่นต้องค้นหาตัวเองให้เจอ!
สำหรับน้องๆ ที่อยากทำงานด้านนี้นะครับ เดี๋ยวนี้มันจะมียูทูบเยอะมาก พื้นฐานสำคัญ ลองดูเยอะๆ ก่อน ศึกษาว่าเป็นยังไง เคลื่อนไหวยังไง ชอบสไตล์ไหน แล้วก็ลองวาดดู มันมีโปรแกรมเยอะมากนะ ในมือถือก็มีแอพที่ให้เราวาดเป็น Flip Book ได้ ไม่ก็เริ่มหัดโปรแกรม Maya ลองดูสิว่าพอมันเข้า 3D แล้วเป็นยังไงบ้าง ลองปั้นโมเดล ลองเคลื่อนไหวดู ลองทีละอย่าง ถ้าเรายังชอบมันอยู่ ก็ใส่ไปเลยเต็มที่
แอนิเมเตอร์ไทยเก่งๆ เยอะ แต่ที่ไม่เยอะคือทุนและเวลา
จริงๆ คนไทยเก่งงานซีจีมากนะ เก่งกว่าพี่ก็มีเยอะแยะ ส่วนใหญ่ก็ทำงานให้กับต่างประเทศ เพราะมันเป็นเรื่องของการลงทุนที่คนไทยไม่กล้า บางทีให้เวลาน้อยบ้าง ทุนน้อยบ้าง งานมันไม่มีทางออกมาดีได้ถ้าคุณให้เวลาแค่นั้น เหมือนละครทีวี ที่มีคนแซวว่า เฮ้ย! ทำไมออกมาอย่างนี้ คือต้องบอกว่า หนังที่เราทำที่นี่อะ เค้าใช้เวลาเป็นปีนะ แล้วก็คนเป็นร้อยเป็นพัน แต่ที่ไทยคนทำแค่ไม่กี่คน ให้เวลาแค่ 2-3 วัน 2-3 อาทิตย์อย่างงี้ มันจะออกมาดีได้ไง
สมมติแม่พี่ชอบถักเสื้อสวยๆ ใช้เวลา 1 อาทิตย์ แล้วพี่ไปบอกว่า แม่ทำให้หน่อย จะใส่พรุ่งนี้ ก็ได้เสื้อมาใส่เหมือนกัน แต่มันคงไม่สวยเท่าใช้เวลา 1 อาทิตย์ คือคนไทยมีความสามารถนะ แต่ต้องซัพพอร์เค้าหน่อย ต้องสนับสนุนเค้าไปในทางที่ถูก ไม่อย่างนั้น ฝีมือคนไทยเก่งๆ ก็จะทำงานให้ต่างประเทศหมด เราจะไม่มีคอนเทนต์เป็นของตัวเอง
สุดท้ายแล้ว พี่บัวบอกว่า “เรื่องหนังก็คงไม่ต้องฝากอะไรหรอก ของเค้าดีอยู่แล้ว ถ้าไม่ดูก็คือพลาด แค่นั้นแหละ!” อ่านจนจบอยากจะยืนปรบมือให้กับความภาคภูมิใจของไทยแลนด์คนนี้ค่ะ ใครที่อยากชื่นชมผลงาน อย่าลืมไปดูหนังได้ที่โรงภาพยนตร์ ใครดูแล้วชอบส่วนไหนในเรื่อง มาเมาท์กันได้ ส่วนใครที่อยากเป็นแอนิเมเตอร์แบบพี่บัวบ้าง ก็มาบอกกันได้จ้า
1 ความคิดเห็น
คือ อยากเห็นผลงานที่พี่ทำอะคะ