Spoil
- ตอนอายุ 16 ปี พี่โบบอกเห็นพ่อแม่ทำงานออฟฟิศแล้วไม่คิดอยากทำเลย
- พี่เผือกอดีตมนุษย์เงินเดือน 5 ปี ทรมานแต่คุ้ม เพราะได้เจอพี่โต้งจนได้เล่นสี่แพร่ง
- พี่อาร์ตกว่าจะมีทุกวันนี้ เคยเป็นออแกไนซ์ได้ไม่ถึงเดือน ก็ต้องยอมถอย!
_____________
ถ้าถามน้องๆ ชาว Dek-D ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร เชื่อว่ามีอาชีพมากมายที่น้องๆ จะตอบกัน แต่ถ้าถามว่าอยากเป็นมนุษย์เงินเดือน นั่งทำงานออฟฟิศมั้ย? เกินครึ่งจะต้องบอกว่าไม่! งานน่าเบื่อ ไม่มีโอกาสเติบโต จริงมั้ยไม่รู้ แต่ถ้าอยากรู้ วันนี้เรามีโอกาสพูดคุยกับรุ่นพี่คนดังอย่าง พี่เผือก พี่โบ และพี่อาร์ต 3 ดีเจชื่อดังจากรายการใต้โต๊ะทำงาน ทางคลื่น Chill Online แบบ Exclusive สุดๆ ที่จะมาแชร์มุมมองและประสบการณ์ก่อนจะเป็นมนุษย์เงินเดือนให้กับน้องๆ ชาว Dek-D แถมข้อคิดดีๆ ที่อยากส่งต่ออีกเพียบ!
มอง “มนุษย์เงินเดือน” ยังไง ในวัย 16 ปี?
โบ : เอาจริงๆ ตอนนั้นไม่ได้มองว่าอยากทำอาชีพอะไร คือมันมีความสุข สนุกกับการอยู่โรงเรียน ติดเพื่อนมาก คิดแค่ว่าเดี๋ยวลองเรียนไปก่อน แล้วค่อยดูว่าชอบอะไร ภาพของผมยังไม่ชัดเลยครับว่าอยากเป็นอะไร แต่พ่อก็ถามนะว่า จริงๆ อยากทำอะไร เพราะบ้านผมทำงานออฟฟิศหมด แม่เป็นเลขาฯ พ่อทำงานบริษัทแว่นตา ตอนนั้นมองพ่อแม่ แล้วรู้แค่ว่า ไม่เห็นอยากจะทำเลยอะ แม่ทำงานสีลม แต่บ้านอยู่รังสิต โห! ฟังแม่พูดทุกวัน ตื่นเช้าไป 2 ชั่วโมง กลับ 2 ชั่วโมง
"ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าโตแล้วอยากทำอะไร
รู้แต่ว่างานออฟฟิศไม่น่าทำ"
รู้แต่ว่างานออฟฟิศไม่น่าทำ"
เผือก : ของผมตอนนั้นใครเรียนสถาปัตย์จะเท่มาก โดยเฉพาะจุฬาฯ ตอน ม.4 ก็เลยเลือกเรียนสายวิทย์ไว้ก่อน จะได้เท่ๆ คูลๆ เพราะรู้ว่าถ้าจะต้องใช้วิชาพวกฟิสิกส์ แต่เดี๋ยวพอผ่านไปเรื่อยๆ ก็เริ่มรู้ว่าเราไม่เหมาะกับสถาปัตย์แล้ว
อาร์ต : ตอนนั้นผมอยู่ ม.4 คล้ายๆ โบเลย ไม่ได้คิดอะไรเลย เที่ยวเล่นอย่างเดียว แต่นี่เรียนศิลป์ฝรั่งเศสนะ เรียนได้อาทิตย์เดียว ย้ายไปศิลป์ทั่วไป เพราะว่าที่ไปเรียนศิลป์ฝรั่งเศสเพราะครูสวย พอเข้าไปแล้ว ยากเหลือเกิน ย้ายเลย ไม่ทันได้ซื้อหนังสือด้วย 555
ถ้าย้อนอดีตกลับไปได้ ยังจะเป็นมนุษย์เงินเดือนไหม?
เผือก : ช่วงนั้นคือเราเป็นครีเอทีฟ มีแวะไปแคสโฆษณาบ้าง เป็น 5 ปีที่ทรมานนะ แต่เป็นการทรมานที่มันดี ถ้าย้อนไปได้ก็ยังทำแหละ ถ้าไม่ทำชีวิตอาจจะเปลี่ยน ถ้าไม่ได้ไปอยู่เอเจนซี่ อาจจะไม่ได้แคสโฆษณา ผมก็คงไม่ได้จ้างพี่โต้ง บรรจง มาเป็นโฆษกแอดฯโฆษณาให้ผม พอพี่โต้งอัดเสร็จ เค้าก็เรียกไปคุยว่าเคยเห็นผมเล่นโฆษณา มาแคสหนังให้หน่อย ก็เลยได้เล่นสี่แพร่งนี่แหละ
"ถ้าไม่เข้าออฟฟิศ ไม่จ้างพี่โต้ง เราอาจไม่เจอกัน
ชีวิตเรามันอาจจะหักเหไปอีกทางก็ได้"
อาร์ต : ผมเคยทำออแกไนซ์มาก่อน ถ้าย้อนไปได้ก็อยากทำให้มันมากกว่า 1 เดือนที่เคยทำไว้ (เผือก : เดี๋ยวนะ ทำเดือนเดียวเหรอ) โห! ไม่ไหวหรอก ออฟฟิศมันเล็กเกิน ผมคนเดียวทำทุกอย่าง คุยลูกค้า ทำสคริปต์ รันคิว ดีลงาน ทำหมดเลย ออแกไนซ์แค่งานเดียวแต่รู้หมดเลยว่าขั้นตอนมีอะไรบ้าง ผมอยากย้อนกลับไป อยากมีคอนเนกชั่นเพิ่มเติมหน่อย รู้สึกว่ามันเป็นคอนเนกชั่นที่ดี พอมาถึงยุคนึงเราอาจจะทำออแกไนซ์เองไง
โบ : ส่วนผม อาจจะบอกไม่ได้เหมือนสองคนนี้ เอาจริงๆ ผมไม่เคยทำงานประจำ งานประจำผมก็คือดีเจนี่แหละ ซึ่งมันก็ไม่เหมือนกับออฟฟิศอื่นอะ
ประสบการณ์ฮาๆ จากการเป็น มนุษย์เงินเดือนของพี่เผือก (ที่แอบอู้งาน)
เผือก : ช่วงนั้นออฟฟิศผมจะอยู่สยาม เป็นธรรมดาที่ครีเอทีฟไม่อยู่ติดโต๊ะหรอก จะลงไปนั่งกินกาแฟ อ้างไปคิดงาน แต่ผมเนี่ย พอสัก 4-5 โมง ผมจะเปิดคอมทิ้งไว้ แล้วก็เอากระเป๋าวางไว้บนโต๊ะ เหมือนทุกอย่างปกติเลย แล้วนั่งรถไฟฟ้าไปบ้านโบแถวจตุจักร ไปนั่งเล่นเกม สักครึ่งชั่วโมง หัวหน้าก็โทรมาตามว่ามีแก้งานด่วน ผมก็ต้องนั่งมอเตอร์ไซค์ย้อนไปรถไฟฟ้ากลับมาสยาม เหตุการณ์แบบนี้ก็จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ เดือนนึงจะโดนสัก 2-3 ครั้ง แต่ส่วนใหญ่ก็รอดนะ ตอนเช้ามาก็สภาพคอมเปิดอยู่แล้ว 555
พี่อาร์ตกับงานออแกไนซ์ที่ผิดคิว
อาร์ต : ของผมตอนทำออแกไนซ์นี่แหละ จำไม่ได้ว่าจัดงานเซ็นทรัลไหน ที่มันมีบันไดเลื่อนขึ้น บันไดเลื่อนลง แล้วก็มีงานตรงกลางที่ผมจัด แล้วมีเซเลบฯ เซอร์ไพรส์ 4-5 คน ด้วยความที่โง่หรืออะไรไม่รู้ ปล่อยเซเลบฯ ลงบันไดเลื่อนกลางงาน แล้วผมก็นำด้วยการใส่วองี้ เสร็จปุ๊บตั้งแต่บันไดเลื่อนขั้นบนสุดจนถึงขั้นล่าง โดนด่ายาวเลย ปล่อยมาได้ไง!!! แล้วจะยูเทิร์นก็ไม่ได้ด้วยนะ สุดท้ายก็อะ ถ้าขนาดนี้แล้วไม่ต้องเซอร์ไพรส์ ขึ้นเวทีไปเลย 555
งานประจำสำหรับพี่โบคือความอุ่นใจ
โบ : จริงๆ 5 ปีที่แล้ว ผมเคยคิดจะออกจาก Atime นะ ถึงขั้นเดินไปคุยกับพี่ฉอดเลย คือมันเบื่อแล้วจริงๆ ทำมา 10 ปีละ ตอนนั้นพี่ฉอดบอกว่าลองกลับไปคิดดีๆ ก่อนมั้ย เค้ายอมให้เราออก ไม่ดึงรั้งอะไรไว้เลย คืองานเราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แล้วจะออกไปทำไม ออกไปทำไร ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดนะ ก็แค่เบื่อ แต่พอคิดดู จริงๆ ต่อให้เราออกจากงานนี้ เราไปทำงานกองละคร แต่ทุกกองมันก็จะมีสังคมคนละแบบ มีปัญหาเหมือนกัน เรื่องคน เรื่องหัวหน้างาน เพราะต้องทำงานกับคนกลุ่มมากไง เราก็เลยรู้สึกว่า จริงๆ โบอยู่ที่นี่มันยังได้โอกาส และเรารู้สึกว่างานตรงนี้ทำมาขนาดนี้แล้วก็มีประสบการณ์แล้วด้วย ผมรู้สึกว่าถ้าออกไปตอนนั้น เคว้งเลยนะ
"ต่อให้ผมจะมีงานอย่างอื่น
แต่การมีงานประจำ มีเงินเดือน
มันเป็นอะไรที่ทำให้เราอุ่นใจเหมือนกันนะ"
แต่การมีงานประจำ มีเงินเดือน
มันเป็นอะไรที่ทำให้เราอุ่นใจเหมือนกันนะ"
โบ : การที่มีบริษัทรองรับ เวลาไปติดต่อประสานงาน ทำวีซ่ามันก็ง่ายขึ้น แล้วมันเป็นเรื่องของภาระด้วย 555 ถ้าชีวิตเราคนเดียวอะ จริงๆ ไม่มีปัญหาหรอก แต่ตอนนั้นเราเริ่มคิดเรื่องแต่งงานแล้ว เริ่มมองเรื่องอนาคตแล้ว เรารู้สึกว่าการมีบริษัท หรือมีสิ่งที่เรายึดเหนี่ยวอยู่เนี่ย มันสามารถไปทำธุรกรรมง่าย
ฝากถึงน้องๆ มัธยม ก่อนจะไปเป็นมนุษย์เงินเดือน
เผือก : โอ๊ย มนุษย์เงินเดือนทรมาน!!! แต่ว่าคนเราถ้ายังมีแรงอยู่ ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ ก็จงเจอกับความทรมานซะบ้าง ชีวิตมันอย่าเพิ่งสบายเร็ว ทรมานก่อน ให้รู้จักว่าเงินเดือนหมื่นห้ามันไม่มีวันเหลือหรอก สองหมื่นห้าก็ไม่เหลือ ผมเงินเดือนสุดท้ายจากงานเอเจนซี่ได้ 38,000 บาท ก็ไม่เหลือ มันไม่มีอะไรเหลือ แต่ทำไปเถอะ คนเราให้มันเรียนรู้ก่อน แล้วเดี๋ยวถ้าจะมีธุรกิจของตัวเองก็ว่าไป
"ให้โดนปกครองมาก่อน
เดี๋ยวเราจะไปปกครองคนอื่นได้
จะได้รู้ว่าเป็นหัวหน้ายังไงที่เราชอบ"
พี่อาร์ต : เด็กสมัยนี้บอบบางไปนิดนึง คืออย่ามองที่ความสำเร็จของคนอื่นว่าแบบ โห! พี่เงินเดือนเยอะว่ะ รู้มั้ยพวกพี่ลำบากมาตั้งเท่าไหร่ งานอีเวนท์ 3 พันบาทก็รับมาแล้ว ไม่ใช่มาปุ๊บก็มาเป็นอะไรแบบนี้ได้เลย
"อย่ามองโลกโซเชียลว่าเค้าลงรูปนั่นนี่ อยากเป็นอย่างเค้า
เริ่มต้นด้วยตัวเองสิ ทรมานไปก่อน อย่างที่พี่เผือกว่า
แล้วเดี๋ยววันนึงจะรู้เองว่าอะไรที่เหมาะกับเรา"
เริ่มต้นด้วยตัวเองสิ ทรมานไปก่อน อย่างที่พี่เผือกว่า
แล้วเดี๋ยววันนึงจะรู้เองว่าอะไรที่เหมาะกับเรา"
เอาจริงๆ การเป็นมนุษย์เงินเดือนก็ไม่ได้แย่เลยนะคะ อย่างที่พี่เผือก พี่โบ พี่อาร์ตว่าไว้แหละค่ะ ช่วงหนุ่มสาวยังมีแรงก็ลองทำดูสักครั้งจะเป็นไร อย่างน้อยก็ถือว่ามีประสบการณ์เอาไปต่อยอดทำอะไรได้อีกเยอะค่ะ ใครที่อ่านจบแล้วเปลี่ยนความคิดกับการเป็นมนุษย์เงินเดือนบ้าง หรือคิดยังไงกับการเป็นมนุษย์เงินเดือน มาแชร์กันหน่อยจ้า
1 ความคิดเห็น
ขอบคุณ