สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com เราอาจเคยเข้าใจกันว่ามีแต่เมืองไทยเท่านั้นที่มีเครื่องรางของขลังเช่น พระเครื่อง, ยันต์ต่างๆ ที่ใช้เพื่อการป้องกันภัยหรือเสริมเพิ่มดวงให้เรา แต่วันนี้ พี่นิทาน จะมาบอกว่าในอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลกเค้าก็มีเครื่องรางต่างๆ ที่ใช้เพื่อกันภัย, เสริมดวง หรือเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจคล้ายๆ กับบ้านเราเลยค่ะ หลายคนอาจจะเคยเห็นบางอันผ่านตากันมาแล้วบ้าง มาดูกันว่ามันมีที่มาและความหมายอย่างไรบ้างค่ะ
1. Dreamcatcher
Dreamcatcher หรือตาข่ายดักฝันมีที่มาจากชนเผ่าพื้นเมืองในทวีปอเมริกาบางเผ่า (เชื่อกันว่าน่าจะเป็นพวกชนเผ่าโอจิบวี: Ojibwe หรือชิปเปวา: Chippewa) โดยพวกเขาเชื่อกันว่าความฝันที่เราฝันทุกคืนนั้นจะมีทั้งเรื่องดีและไม่ดี แต่ถ้าหากเราแขวนตาข่ายดักฝันไว้เหนือที่นอนของเรา ตาข่ายจะช่วยคัดกรองดักฝันที่ดีเก็บเอาไว้ และสำหรับฝันร้ายนั้นจะถูกดักกรองไว้เช่นกัน แต่จะถูกทำลายโดยแสงอาทิตย์ยามเช้า สาเหตุที่ต้องทำการดักและคัดกรองฝันนั้นเพื่อการนอนหลับที่ดี สมัยนั้นจะนิยมใช้กันกับเด็กเล็กๆ เพราะหากพวกเด็กๆ ฝันร้ายก็จะตื่นขึ้นมากลางดึกและร้องไห้ อาจทำให้การนอนหลับไม่ค่อยเต็มอิ่มเท่าไหร่ จึงมีการนำตาข่ายดักฝันมาใช้ และนิยมตั้งแต่ตอนนั้นเรื่อยมา
การทำตาข่ายดักฝันนั้นเดิมทีจะใช้ไม้ของต้นวิลโลว์มาทำเป็นห่วงกลมๆ และใช้เชือกหรือตาข่ายสานให้เป็นตาข่ายรูปร่างคล้ายๆ กับใยแมงมุม จากนั้นจะประดับตกแต่งด้วยเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อ เช่นลูกปัดและขนนก ปัจจุบันตาข่ายดักฝันได้รับความนิยมโดยผู้คนมากมายและแพร่หลายไปทั่วโลก แต่รูปร่างหน้าตาอาจไม่เหมือนกับของดั้งเดิมเท่าไหร่
2. Hamsa
เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์และเครื่องรางที่พี่ชอบมากๆ เลยค่ะ ฮัมซา (หรือจริงๆ ออกเสียงแบบดั้งเดิมจะเป็น คัมซา: Khamsa) จะมีรูปร่างเหมือนฝ่ามือ แต่นิ้วโป้งและนิ้วก้อยจะมีความสูงและขนาดเท่ากัน ตรงกลางมักเป็นรูปดวงตา ซึ่งเป็นเครื่องรางที่สำคัญในประเทศแถบตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือและมีความเกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลามและยิวอีกด้วย
ฮัมซามีประวัติยาวนานตั้งแต่สมัยก่อนที่ชาวฟินิเชียอาศัยอยู่ในบริเวณเมดิเตอเรเนียนและนับถือเทพเจ้าหญิงที่ชื่อว่าทานิทที่คอยปกปักรักษาเมืองให้พ้นภัย สัญลักษณ์มือของฮัมซาจึงมีที่มาจากมือของทานิทนั่นเอง และในตอนนั้นฮัมซาถูกใช้เพื่อป้องกันพลังจากดวงตาแห่งชั่วร้าย หรือ Evil eye จึงทำให้เป็นที่มาของสัญลักษณ์ดวงตาที่อยู่บนมือ
ปัจจุบันฮัมซาเป็นที่นิยมกันมาก ทั้งเป็นสิ่งของประดับบ้านและเพื่อป้องกัน, เครื่องประดับ ทั้งสร้อยคอ แหวน พวงกุญแจ เป็นต้น และสำหรับชาวอาหรับหรือชาวตะวันออกกลางบางคนก็ยังใช้ฮัมซาเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงพื้นเพของพวกเขา นอกจากฮัมซาจะเป็นเครื่องรางเพื่อป้องกันแล้ว ปัจจุบันยังสามารถใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งความอิสระเสรีได้อีกด้วยค่ะ
3. Evil Eye
ก่อนหน้านี้พี่เคยพูดถึงดวงตาปีศาจ (Evil eye) ในบทความเรื่องของฝากจากต่างประเทศว่าเป็นเครื่องรางยอดนิยมจากประเทศตุรกีที่ใช้ป้องกันสิ่งชั่วร้าย ประวัติของดวงตาปีศาจนี้มีความเชื่อดั้งเดิมมาจากชาวกรีกและโรมโบราณที่ว่าเวลาใครได้รับการชื่นชมหรือยอมากๆ มักจะโดนอิจฉาและถูกมองในแง่ร้ายจากคนที่ไม่ประสงค์ดี สิ่งเหล่านั้นจึงถูกเรียกว่าดวงตาแห่งปีศาจหรือ Evil eye นั่นเองค่ะ
หลังจากนั้นจึงมีการสร้างเครื่องรางขึ้นมาที่เป็นรูปคล้ายดวงตา ใช้เพื่อป้องกันและปัดความชั่วร้ายหรือความประสงค์ร้ายให้ออกจากตัวเราไป และใช้ชื่อว่าดวงตาปีศาจเหมือนกับชื่อสิ่งร้ายๆ ที่เราอยากกำจัดออกไป เหตุผลที่ต้องเป็นดวงตานั้นก็เพราะว่าดวงตาเป็นอวัยวะหนึ่งที่ทรงพลังมากเพราะสามารถถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดออกไปได้ เพราะงั้นหากใครมามองแรงๆ ใส่เราหรือคิดไม่ดีกับเรา เราก็ใช้ดวงตาแห่งปีศาจของเราจ้องกลับไปเพื่อการป้องกันค่ะ
4. Dzi Bead
ลูกปัดรูปร่างหน้าตาแบบนี้พี่เชื่อว่าน้องๆ ต้องเคยเห็นผ่านตากันมาบ้าง แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีที่มาที่ไปยังไง เจ้า Dzi bead นี้อ่านว่า ซีบีด หรือหินทิเบตที่คนไทยเรียกกัน โดยคำว่าซี (Dzi) มาจากภาษาทิเบตที่แปลว่า "ผลกรรมที่ดี หรือความเป็นเกียรติและความสมบูรณ์แบบ" ซีบีดจึงเป็นเครื่องรางนำโชคที่จะนำพลังงานดีๆ เข้าสู่ตัวผู้ที่ครอบครองมัน นอกจากนั้นยังเป็นเครื่องรางแห่งการป้องกันอีกด้วยค่ะ สิ่งที่เราสังเกตได้ก็คือบนหินซีบีดนั้นจะมีลวดลายที่ดูเผินๆ เหมือนจะคล้ายกัน แต่จริงๆ แต่ละอันก็ต่างกันพอสมควร
ซีบีดของแท้ดั้งเดิมจะทำมาจากอาเกต (agate) หินอัญมนีชนิดหนึ่ง และตกแต่งด้วยลวดลายต่างๆ เช่น วงกลม, วงรี, สี่เหลี่ยม, ลายคลื่น, ซิกแซก และอื่นๆ และสีที่นิยมก็คือสีน้ำตาลเข้มกับดำ ส่วนลายนั้นจะใช้สีขาวค่ะ
5. Red String (Kabbalah)
ถ้าเป็นในเมืองไทยเราคงคุ้นตากับสายสิญจน์สีแดงที่มักได้เวลาไปงานศพมา (เพื่อความสิริมงคล) ส่วน Red string หรือด้ายแดงนำโชคที่พี่พูดถึงนี้เป็นของวัฒนธรรมชาวยิวที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยการผูกด้ายสีแดงไว้ที่ข้อมือสำหรับชาวยิวนั้นมีความหมายเหมือนกับเครื่องลางดวงตาปีศาจที่เพิ่งพูดถึงนี้เองค่ะ คือการปัดความชั่วร้ายให้ออกไปจากตัวผู้สวมใส่ โดยประเพณีนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของนิกายคับบาลาห์ (Kabbalah) ของศาสนายิวด้วยค่ะ
ด้ายสีแดงนี้จะทำจากด้ายหรือเชือกสีแดง ใช้สวมใส่ที่ข้อมือขางซ้ายเหมือนสร้อยข้อมือทั่วๆ ไป โดยตอนผูกเงื่อนจะผูกทั้งหมด 7 ครั้งด้วยกัน
6. Omamori
อันนี้หลายคนน่าจะมีไว้ในครอบครองสักอันสองอันแน่ๆ เพราะโอมาโมริเป็นเครื่องรางของประเทศญี่ปุ่นที่เรามักจะเห็นในการ์ตูนหรือหนังต่างๆ หรือถ้าไปเที่ยวเองก็จะเจอบ่อยๆ ตามร้านขายของฝากและตามวัดและศาลเจ้าค่ะ ความหมายหลักๆ ของโอมาโมริก็คือการป้องกันภัยและนำโชคดีมาให้เจ้าของ และด้วยรูปทรงที่แบนและเล็กของมันทำให้คนสามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก จะใส่ในกระเป๋าสตางค์, กระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋ากางเกงก็ยังได้
โอมาโมริจะมีลักษณะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆ ภายในจะใส่คำอธิษฐานไว้และห่อด้วยกระดาษเฉพาะของมัน มีหลากหลายสีสันและข้อความที่ต่างกัน นอกจากนั้นชาวญี่ปุ่นยังมีความเชื่อว่าห้ามแกะห่อโอมาโมริออกมาโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้คำอธิษฐานศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เสื่อมคลายไป โอมาโมริที่นิยมกันมากก็จะมีหลายประเภท ยกตัวอย่างเช่น การประสบความสำเร็จ, เรียนเก่ง, เดินทางปลอดภัย, โชคดีในความรัก, มีความสุข เป็นต้น
มีใครมีอันไหนกันบ้างคะ พี่มีฮัมซาเก็บไว้ที่บ้านเยอะมาก ทั้งพวงกุญและและสร้อยต่างๆ แต่ที่ซื้อมาก็เพราะความชอบล้วนๆ เลย ไม่เคยสังเกตเหมือนกันว่ามันป้องกันภัยและนำโชคให้เราจริงๆ หรือเปล่า แต่ยังไงสำหรับบางคนก็เชื่อว่าพอมีเครื่องรางติดตัวไว้ก็ทำให้อุ่นใจได้ค่ะ
อ้างอิง
5 ความคิดเห็น
เคยมีตาข่ายดักฝันเก็บไว้ตอนนี้ก็ยังอยู่ด้วยกันอยู่รู้สึกฝันร้ายมลายหายไปเลยค่ะ
ชอบ dreamcatcher มากเลยค่ะ แทบจะสะสมเป็นงานอดิเรกเลย ชอบมากกกก
เห็น dreamcatcher แล้วขำเลยอ่ะ หน้าคุณกินผมตรงสลวยสวยเก๋กับไฝเม็ดเป้งแวบเข้ามาเลย DREAMmmmmCATCHER!!!!!!! 55555555555555555555555555 #ติ่งกินทามะ