สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com เสน่ห์อย่างหนึ่งของภาษาไทยคือการพูดอะไรให้ฟังดูคล้องจองกันไปหมด ไม่ว่าจะเป็นกลอนในวรรณคดี การบ่นเรื่องต่างๆ ลงสเตตัสเฟซบุ๊ก หรือแม้แต่มุกเสี่ยวจีบสาว เดี๋ยวนี้พูดอะไรก็ต้องเป็นคำคล้องจองกันไปหมด ในภาษาอังกฤษเองก็มีคำคล้องจองเช่นกันค่ะ แต่ส่วนมากจะเจอคำคล้องจองกันในกลอนหรือพวกคำคมปลุกใจต่างๆ ซะมากกว่า วันนี้ English Issues จะพาน้องๆ ไปรู้จักกับคำคล้องจองแบบง่ายๆ ในภาษาอังกฤษค่ะ ซึ่งเรื่องนี้จะช่วยได้มากเลยเวลาต้องเรียนเกี่ยวกับกลอนภาษาอังกฤษ
ถ้าพูดถึงคำคล้องจอง เชื่อว่าหลายคนต้องนึกถึงคำที่มีเสียงสระและตัวสะกดเหมือนกันแน่นอน อย่าง cat กับ rat หรือ pie กับ die แต่จริงๆ แล้วในภาษาอังกฤษมีการคล้องจองของคำในรูปแบบที่หลากหลายกว่านี้ค่ะ ตัวหลักๆ ที่อยากแนะนำให้รู้จักกันได้แก่
Perfect rhyme หรือ Exact rhyme
คือคำคล้องจองแบบเป๊ะๆ แท้ๆ ที่ต่างกันแค่เสียงพยัญชนะต้นเท่านั้น แต่เสียงสระ ตัวสะกด ตำแหน่งสเตรสเสียงหนัก หรือแม้แต่จำนวนพยางค์ก็เท่ากันเป๊ะๆ ด้วย เช่น pie กับ die, bean กับ green, sky กับ high, skylight กับ highlight จะเห็นว่าแต่ละคู่มีจุดที่ต่างกันคือเสียงพยัญชนะต้นเท่านั้นค่ะ แต่ที่เหลือเหมือนกันเป๊ะๆ
Identical rhyme
คือคำคล้องจองที่ทุกอย่างเหมือนกันหมดทั้งเสียงพยัญชนะต้น เสียงสระ ตัวสะกด และตำแหน่งสเตรสเสียงหนัก ตัวอย่างที่เช่นชัดคือพวกคำพ้องเสียงค่ะ เช่น site กับ sight, raise กับ rays, holy กับ wholly, farrow กับ pharoah, air กับ heir จะเห็นว่าทุกคู่ออกเสียงเหมือนกันทุกจุดเลย ถ้าอยู่ๆ ได้ยินคนพูดคำเดียวลอยๆ ก็จะต้องลังเลแน่ๆ ว่าจะสะกดออกมายังไงดี
Masculine rhyme หรือ Single rhyme
คือคำคล้องจองที่ดูแค่พยางค์สุดท้ายของคำเป็นคำที่ลงเสียงหนัก และมีเสียงสระและตัวสะกดเหมือนกัน เช่น reduced กับ produced (duced คล้องจองกัน และลงเสียงสเตรสหนักเหมือนกัน) หรือ rare กับ despair (rare กับ -spair คล้องจองกัน และลงเสียงสเตรสหนักเหมือนกัน)
Feminine rhyme หรือ Double rhyme
คือคำคล้องของที่มักเป็นคำสุดท้ายของบรรทัดและมักมีสองพยางค์ขึ้นไป โดยที่พยางค์สุดท้ายไม่ลงเสียงหนัก งงล่ะสิ เช่น
But since she prick’d thee out for women’s pleasure,
Mine be thy love and thy love’s use their treasure.
--Sonnet number 20 - William Shakespeare--
ส่วนที่เป็นคำคล้องจองคือ pleasure กับ treasure ซึ่งตรงพยางค์หลังที่เป็น -sure นั้นไม่ได้ลงเสียงหนักด้วยกันทั้งคู่
Eye rhyme
คือคำคล้องจองที่คล้องกันเฉพาะแค่ตาเห็น แต่เวลาออกเสียงจริงๆ ไม่คล้องกันเลย เช่น love กับ move จากหน้าตามันดูน่าจะคล้องจองกัน แต่เสียงจริงๆ กลับเป็นคนละเรื่อง หรือแม้แต่ชื่อของนักแสดงดัง Sean Bean ก็ถือเป็น eye rhyme เช่นกันค่ะ
Assonance rhyme
คือคำคล้องจองที่ไม่ค่อยจะคล้องจองกันซะทีเดียวเพราะมันเหมือนกันแค่เสียงสระค่ะ แต่พยัญชนะต้นและเสียงตัวสะกดต่างกัน เช่น shake กับ hate, dip กับ limp
Consonant rhyme
คือคำคล้องจองที่ไม่ค่อยจะคล้องจองกันซะทีเดียวเช่นเดียวกันค่ะ แต่ส่วนที่เหมือนกันคือเสียงพยัญชนะต้นและเสียงตัวสะกด แต่เสียงสระต่างกัน เช่น rabies กับ robbers, limp กับ lump
ทีนี้พอรู้จักคำคล้องจองประเภทต่างๆ ไปคร่าวๆ แล้ว เรามาลองนำมันไปใช้กับกลอนชนิดต่างๆ กันดีกว่าค่ะ ในภาษาอังกฤษก็มีร้อยกรองหลายชนิดเช่นเดียวกับของบ้านเราที่มีทั้งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน กลอนก็มีกลอนสี่กลอนแปดอีก แต่ละอย่างก็มีชนิดย่อยลงไปอีก ในภาษาอังกฤษเองก็เหมือนกันเลยค่ะ มีเยอะแยะไปหมด เผลอๆ มีเกิน 50 ชนิดอีกค่ะ (ถ้าใครเคยอ่านบทความ How to แต่งกลอนภาษาอังกฤษง่ายๆ ใน 5 นาที ของพี่ก็จะรู้จักไปแล้ว 3 ชนิด) วันนี้เรามาดูกลอนแบบง่ายๆ ที่ใช้คำคล้องจองกันค่ะ
ABAB rhyme scheme หรือ Alternate rhyme
เป็นรูปแบบกลอนที่ค่อนข้างมาตรฐานและเจอได้บ่อยมากๆ ค่ะ มีลักษณะก็คือ 1 บทมี 4 บรรทัด และคำสุดท้ายของแต่ละบรรทัดจะคล้องจองกันแบบบรรทัดเว้นบรรทัด ถ้างงก็ดูตัวอย่างข้างล่างเลยจ้า
Roses are red. - A
Violets are blue. - B
The others are dead. - A
I only have you. - B
จะเห็นว่าคำสุดท้ายของแต่ละบรรทัด คล้องจองกันแบบบรรทัดเว้นบรรทัด ซึ่งก็คือ red คล้องจองกับ dead ส่วน blue คล้องจองกับ you เราจึงเรียกว่าแบบ ABAB เพราะมันคล้องแบบสลับบรรทัดกันนั่นเอง ส่วนเรื่องจำนวนคำในแต่ละบรรทัดนั้นไม่มีกำหนดตายตัวค่ะว่าต้องมีกี่คำ แต่ว่าในกลอนบทนั้นๆ ควรมีจำนวนคำพอๆ กันในแต่ละบรรทัด อย่าต่างกันเกินไปค่ะ ส่วนถ้าจะแต่งเป็นเรื่องยาวๆ มีหลายๆ บท ก็สลับคำคล้องจองแบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยดูแค่ของบทใครบทมัน ไม่ต้องไปดูบทก่อนหน้า ก็จะได้เป็น ABAB CDCD EFEF ....... แบบนี้ไปเรื่อยๆ ค่ะ
ABBA rhyme scheme หรือ Enclosed rhyme
ถ้าจับทางจากรูปแบบเมื่อกี้ได้แล้ว ก็น่าจะเดาได้แล้วว่า ABBA หมายความว่าคำสุดท้ายของบรรทัดที่ 1 คล้องจองกับคำสุดท้ายของบรรทัดที่ 4 ในขณะที่คำสุดท้ายของบรรทัดที่ 2 และ 3 คล้องจองกันเอง ก็จะออกมาเป็น
Roses are pink. - A
I'll buy them for you. - B
If you want me too. - B
Give me a wink. - A
ABCB rhyme scheme หรือ Simple 4-line
เป็นอีกรูปแบบร้อยกรองที่ค่อนข้างง่ายค่ะ เพราะไม่ต้องกังวลถึงเรื่องจำนวนคำและการลงเสียงหนักเบาในแต่ละบรรทัด แต่จะเน้นแค่ความคล้องจองของคำสุดท้ายในแต่ละบรรทัดมากกว่า เช่นเดียวกับกลอน 2 รูปแบบที่แนะนำไปแล้ว แถมกลอนรูปแบบนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยมของนักแต่งเพลงและนักแต่งนิทานเด็กด้วยนะคะ
I want to have breakfast. - A
Because I'm so hungry. - B
I didn't eat last night. - C
So my stomach is empty. - B
เป็นยังไงกันบ้าง ไม่ยากเนอะ ที่พี่เลือกมาให้ก็เป็นรูปแบบที่ไม่ซับซ้อนมากอยู่แล้ว เพราะไม่ถึงกับมีกฎเรื่องจำนวนคำหรือเสียงหนักเบาในแต่ละบรรทัดค่ะ น้องๆ ลองแต่งกลอนมาแบ่งให้พี่อ่านบ้างก็ได้นะคะ (ที่พี่แต่งไปก็ถือว่าไม่ค่อยเป็นแก่นสารอะไรมากนัก 55555) หรือถ้าคิดไม่ออกว่าจะหาคำอะไรมาคล้องจองกันดี ก็มีตัวช่วยมาแนะนำค่ะ นั่นคือเว็บไซต์ www.rhymer.com แค่ใส่คำที่เราคิดออกแล้วลงไป มันก็จะแนะนำคำคล้องจองมาให้เลย ลองดูกันนะคะ
3 ความคิดเห็น
Cause I ain't good enough
Baby I love you so deep'Cause you give all I need
I want to make cakes for you all
but I'm very easy now
then I decide to go to waterfall
I'm going to there somehow
เป็นกลอนที่หาแก่นสารไม่ได้ เนื้อหาไม่ปะติดปะต่อกันเลย5555