สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ถ้าพูดถึงเทศกาลแข่งม้าสุดหรูของโลก หลายคนคงนึกถึง Royal Ascot ที่อังกฤษเป็นอันดับแรก (ทำความรู้จักกับ Royal Ascot ได้ที่นี่) แต่จริงๆ แล้วยังมีเทศกาลแข่งม้าสุดหรูอีกหลายที่ในโลกเลยนะคะ วันนี้ พี่พิซซ่า จะพาไปรู้จักกันค่ะ
Dubai Gold Cup
Dubai Gold Cup เป็นการแข่งม้าที่มีเงินรางวัลมูลค่าสูงที่สุดในโลก นั่นก็คือสูงถึง 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยค่ะ (ประมาณ 1,022 ล้านบาท) การแข่งนี้จัดขึ้นที่สนามแข่ง Meydan เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ Dubai Gold Cup จัดขึ้นครั้งแรกในปี 2012 แต่จริงๆ แล้วมีการแข่งม้าในดูไบมาตั้งแต่ปี 1981 แล้วนะคะ สำหรับปัจจุบันนั้นจะมีการแข่งม้าทั่วไปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน แล้วลากยาวไปจนถึงเดือนมีนาคม โดยมี Dubai Gold Cup เป็นการแข่งรอบชิงชนะเลิศสุดยิ่งใหญ่ในวันเสาร์สุดท้ายของเดือนมีนาคมค่ะ ผู้เข้าชมจะซื้อตั๋วเฉพาะนัดชิง Dubai Gold Cup ก็ได้ หรือจะซื้อบัตรเข้าชมการแข่งขันนัดอื่นๆ ในฤดูกาลอย่างเดียวก็ได้ค่ะ
ค่าเข้าชมแบบธรรมดาที่สุดสำหรับรอบชิงเพียงวันเดียวอยู่ที่ 40 เดอรัมหรือประมาณ 400 บาทค่ะ ไม่แพงก็จริงแต่ว่าที่ชมส่วนมากจะไกลมากและสูงมาก ขึ้นดอยกันเลยทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ก็มีบริเวณจำกัดอยู่บ้าง ไม่สามารถเดินชมได้ทั่วทั้งสนามค่ะ และถ้าอยากเข้าชมก็ต้องซื้อตั๋วล่วงหน้าเท่านั้นด้วย เพราะจะไม่มีขายในวันแข่ง Dubai Gold Cup ค่ะ (สำหรับนัดแข่งขันอื่นๆ สามารถซื้อในวันที่แข่งเลยได้)
แต่ถ้าอยากชมตรงโซนติดสนามแข่งเลย ราคา 3,500 - 4,500 บาทค่ะ แต่นี่ก็เป็นเพียงราคาเริ่มต้นของที่นั่งชั้นดีเท่านั้น เพราะยังมีตั๋วชมโซนตรงข้ามเส้นชัยที่ให้วิวดีมาก รวมไปถึงแพ็คเกจต่างๆ อย่างที่นั่งติดขอบสนามพร้อมแพ็คเกจทานอาหารบนร้านลอยฟ้าเหนือขอบสนามที่มองเห็นสนามชัดเจนแบบไม่ต้องมีหัวใครมาบัง หรือแม้แต่แพ็คเกจร่วมทานอาหารเช้ากับนักแข่งชื่อดัง ราคาก็จะบวกขึ้นไปเรื่อยๆ อีกหลายพันบาทค่ะ แต่แพ็คเกจพวกนี้มีจำนวนจำกัด ส่วนมากผู้เข้าชมขาประจำจะซื้อกันข้ามปีจนหมดแล้ว
Dubai Gold Cup ก็เหมือนกับ Royal Ascot ตรงที่ไม่ได้เป็นแค่การแข่งม้าเฉยๆ แต่ยังเป็นการประชันแฟชั่นสวยๆ อีกด้วย ซึ่ง Dubai Gold Cup มีการประกวดแฟชั่นที่เรียกว่า Style Stakes ซึ่งประกวดได้ทั้งชายและหญิง รางวัลก็เป็นพวกแพ็คเกจท่องเที่ยวพร้อมที่พัก และบัตรกำนัลสำหรับช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมมากมายค่ะ ซึ่งคำแนะนำเกี่ยวกับการแต่งตัวของสาวๆ ที่ให้ไว้ก็คือ ควรแต่งแบบมีคลาส หรูหรามีสไตล์ แต่อย่าใส่แบบไปปาร์ตี้เที่ยวกลางคืน ห้ามใส่กระโปรงสั้นเกินไปหรือเสื้อสั้นที่โชว์หน้าท้อง สำหรับการเข้าประกวดก็จะมีหลายตำแหน่งเช่น Best Dressed Lady, Most Elegant Lady, Best Dressed Man, Best Dressed Couple, Best Hat, และ Most Creative Hat ซึ่งผู้ที่แต่งตัวมาประชันส่วนมากก็คือคนดังที่ทำงานวงการแฟชั่น, เศรษฐีพันล้าน หรือท่านชีคและภรรยา
Kentucky Derby
Kentucky Derby เป็นการแข่งม้าที่จัดขึ้นทุกวันเสาร์แรกของเดือนพฤษภาคม เป็นเหมือนรอบชิงชนะเลิศหลังจบเทศกาล Kentucky Derby Festival ที่ใช้เวลาแข่งมา 2 สัปดาห์ งานจัดขึ้นที่เมืองหลุยส์วิลล์ มลรัฐเคนทักกี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา ถือว่าเป็นการแข่งม้าที่หรูและยิ่งใหญ่ที่สุดในอเมริกาค่ะ ผู้ชนะจะได้เงินรางวัล 1.425 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 49 ล้านบาท)
สำหรับตั๋วเข้าชมก็มีทั้งแบบตั๋ววันเดียวเฉพาะ Kentucky Derby รอบชิง ตั๋วรายฤดูกาลในหนึ่งปี ตั๋วเหมาต่อเนื่องหลายปี รวมไปถึงตั๋วพร้อมแพ็คเกจพิเศษอีกมากมาย ตั๋วราคาต่ำสุดคือ 60 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,000 บาท) เป็นตั๋วสำหรับนั่งชมกับพื้นที่ลานรอบนอกสนามแข่งซึ่งจะมีทีวีจอยักษ์ฉายให้ชม ถ้าจะเข้ามาชมด้านในที่นั่งโซนที่ราคาต่ำสุดจะเป็นอัฒจันทร์ที่อยู่ด้านในสนามแล้ว แต่เป็นตำแหน่งที่ไม่ดีมากนัก ราคาจะอยู่ที่ 340 - 500 ดอลลาร์ (11,600 - 17,000 บาท) แต่ถ้าอยากนั่งที่นั่งบนชั้นดีๆ ที่เห็นการแข่งชัดและไม่โดนฝุ่นกระเด็นใส่ก็จะราคา 2,499 - 5,995 ดอลลาร์ต่อ 6 คนค่ะ (85,100 - 204,000 บาท) นอกจากนี้ยังมีตั๋วประจำขั้นต่ำ 3 ปีแต่จะสามารถนั่งที่เดิมได้เลยทุกปีบนชั้นห้องอาหารสุดหรู ราคาเริ่มต้นที่ 28,000 ดอลลาร์ (954,000 บาท) แต่โซนที่นั่งที่ทุกคนอยากนั่งมากที่สุดคือ Millionaire's Row ซึ่งเป็นโซนที่แพงที่สุดและไม่ได้เปิดขายทั่วไป ในโซนนี้จะมีแต่เศรษฐีชื่อดังจากทั่วโลก รวมไปถึงดาราฮอลลีวู้ดชื่อดัง
สำหรับการแต่งตัวก็จะเหมือนกับ Royal Ascot ค่ะ แต่ไม่ได้ถึงกับบังคับ อย่างหมวกก็ไม่ได้บังคับว่าต้องใส่ทุกคนแต่ก็ขอความร่วมมือให้ใส่มาถ้าเป็นไปได้ (ซึ่งคนส่วนมากยินดีใส่มาอยู่แล้ว) เสื้อผ้าก็จะเป็นสไตล์ฤดูใบไม้ผลิเน้นสีอ่อนหวานพาสเทลค่ะ ผู้หญิงควรใส่เดรสที่ดูหวานๆ เรียบร้อย ไม่เปรี้ยวไม่เซ็กซี่เกินไป ส่วนผู้ชายก็ควรใส่สูทค่ะ ถ้าไม่แน่ใจว่าจะแต่งตัวยังไง หรือจะหาชุดกับหมวกที่เข้ากันได้ยังไง สามารถเลือกซื้อได้จากแบรนด์ Vineyard Vines ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ออกแบบสไตล์อย่างเป็นทางการสำหรับ Kentucky Derby แต่ผู้ชมทั่วไปจะไม่ค่อยจริงจังกับเรื่องการแต่งตัวตามธีมของ Kentucky Derby เท่าไหร่ ส่วนมากคนที่จริงจังจะเป็นผู้ชมที่มีที่นั่งชมภายในสนามซะมากกว่า
Melbourne Cup
Melbourne Cup เป็นการแข่งม้าที่ทรงเกียรติและมีเงินรางวัลสูงสุดในออสเตรเลีย การแข่งขันจัดที่สนามแข่ง Flemington เมืองเมลเบิร์น และเป็นนัดสำคัญที่สุดของเทศกาลแข่งม้าฤดูใบไม้ผลิประจำเมลเบิร์นด้วยค่ะ การแข่งขันนี้จัดขึ้นทุกวันอังคารแรกของเดือนพฤศจิกายน และถือเป็นหนึ่งในการแข่งกีฬานัดที่สำคัญที่สุดในประเทศอีกด้วย ผู้ชนะจะได้เงินรางวัล 3.65 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 92.5 ล้านบาท)
นอกจากการแข่งม้าแบบที่เหมือนกับการแข่งม้าที่อื่นๆ แล้ว Melbourne Cup ยังมีการแข่งแบบ handicap อีกด้วย นั่นคือการแข่งที่ม้าแต่ละตัวจะแบกน้ำหนักที่ต่างกันออกไปขึ้นกับสภาพของม้า ถ้าเป็นม้าแข็งแรงหน่อยก็จะแบกน้ำหนักเยอะๆ ในขณะที่ม้าที่วิ่งได้ไม่เร็วจะแบกน้ำหนักน้อยกว่า การแข่งแบบ handicap นี้ทำให้การทายผู้ชนะยากขึ้นและทำให้ผู้ชมได้ลุ้นมากขึ้นด้วยค่ะ
ตั๋วเข้าชมราคาต่ำสุดคือ 71.40 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (1,800 บาท) สามารถเข้าถึงทุกโซนสาธารณะในสนามได้ และสามารถชมการแข่งขันแบบติดขอบสนามได้ด้วยค่ะ (แต่ฝุ่นจะเข้าหน้าได้) สำหรับที่นั่งชั้นบนโซนกลางแจ้งราคา 224.30 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (5,700 บาท) ในขณะที่โซนชั้นบนห้องแอร์ราคา 234.50 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (6,000 บาท) ส่วนโซนสำหรับสายปาร์ตี้ที่เน้นสังสรรค์ราคา 202.90 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (5,200 บาท) ค่ะ นอกจากนี้ก็ยังมีโซนสุดหรูส่วนตัวอีกมากมายที่มาพร้อมแพ็คเกจอาหารและห้องพักค่ะ
สำหรับการแต่งตัวนั้นจะเป็นกฎข้อบังคับออกมาคล้ายกับของ Royal Ascot ค่ะ นั่นคือถ้าเป็นผู้ชายต้องใส่กางเกงสแล็กที่สั่งตัดมาสำหรับหุ่นตัวเอง สวมเสื้อเชิ้ตและมีเสื้อนอกทับ สวมเน็คไทและใส่รองเท้าออกงาน ส่วนผู้หญิงไม่มีกฎละเอียดค่ะ บอกแค่ว่าควรใส่ชุดออกงานที่สุภาพและเหมาะสมกับงาน แต่ถ้าเป็นผู้ชมบัตรราคาต่ำสุดจะไม่มีกฎเกี่ยวกับการแต่งตัวเลย นอกจากนี้หากเป็นชาวต่างชาติ ทางเจ้าหน้าที่จะสนับสนุนให้แต่งชุดประจำชาติของตัวเองมาค่ะ
งานแข่งม้าในบางประเทศไม่ใช่แค่งานแข่งกีฬาเท่านั้น แต่ยังเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสังสรรค์ทางสังคมด้วยค่ะ ซึ่งส่วนมากก็จะมีที่มาจากการแข่งม้าในอังกฤษ เครื่องแต่งกายสำหรับไปชมก็จะเป็น dress code ที่คล้ายๆ กันไปหมด ถ้าใครมีโอกาสไปเที่ยวประเทศเหล่านี้ในวันที่มีแข่งม้านัดสำคัญ ก็ลองซื้อบัตรเข้าไปชมนะคะ จะได้สัมผัสบรรยากาศที่แปลกไปอีกแบบนึงค่ะ
0 ความคิดเห็น