สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com เมื่อสัปดาห์ก่อน พี่นิทาน อ่านเจอข่าวเกี่ยวกับหญิงคนหนึ่งที่แต่งงานกับสถานีรถไฟ ฟังดูแปลกใช่มั้ยคะ แต่เป็นเรื่องจริงค่ะ และตัวพี่เองก็เคยอ่านเรื่องราวของหลายๆ คนที่มีความรักกับสิ่งของหลายๆ แบบมาก่อนหน้านี้แล้ว เลยอยากจะลองค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจให้มากขึ้นเพราะเป็นเรื่องที่น่าสนใจและหลายๆ คนยังคงเข้าใจผิดอยู่ เลยถือโอกาสมาแบ่งปันให้น้องๆ ได้อ่านกันดูค่ะ
เชื่อว่าหลายคนอาจยังไม่เคยได้ยินคำว่า "Objectum sexual" มาก่อน แต่อย่าเพิ่งคิดว่าคำนี้จะติดเรทอะไรนะคะ ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน เพราะมันมีความหมายถึงความรักและความสัมพันธ์ระหว่าง "คน" กับ "สิ่งของ" อาจมีหลายบทความที่พี่เคยเขียนถึงบางคนที่มีความรักกับตุ๊กตา, แต่งงานกับหมอนข้าง, และอื่นๆ แต่วันนี้่พี่จะมาพูดถึงความรักในรูปแบบนี้ในมุมที่หลายคนอาจยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
คนรักกับสิ่งของ ผิดปกติหรือเปล่า?
หลายปีที่ผ่านมาเคยมีรายการสารคดีที่นำเสนอเรื่องราวความรักของคนหลายๆ คน ที่มีความรักกับสิ่งของ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงที่แต่งงานกับหอไอเฟล, หญิงที่รักกับเครื่องเล่นในสวนสนุก, ชายที่รักกับรถยนต์ของตัวเอง ฯลฯ เรื่องราวความรักของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป และภายหลังที่รายการนำเสนอเรื่องราวของพวกเขาออกมา แน่นอนว่าคนดูหลายๆ คนก็มีทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจ แต่อาจจะหนักไปทางไม่ค่อยเข้าใจความรักแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่ถ้าจะให้อธิบายกันง่ายๆ ก็คือความรักแบบมนุษย์กับสิ่งของนี้ไม่ใช่อาการผิดปกติค่ะ ที่ต้องพูดถึงประเด็นนี้เพราะมีหลายคนวิจารณ์อย่างหนักและตัดสินกันว่าพวกคนที่รักกับสิ่งของมีปมบ้าง มีปัญหาทางจิตใจบ้าง ไม่มีใครรักบ้าง ซึ่งความจริงแล้วแต่ละคนก็มีสาเหตุและเบื้องหลังที่แตกต่างกันสำหรับการเลือกที่จะรักใคร
และอีกเรื่องที่หลายคนเข้าใจผิดก็คือเรื่องเพศสำหรับคนที่รักกับสิ่งของ คือพวกเขาไม่ได้รักสิ่งของเพราะจะมีเพศสัมพันธ์ทางกายกับสิ่งของนั้นๆ โดยตรงนะคะ (เช่น บางคนจะมีรสนิยมทางเพศกับสิ่งของ และใช้สิ่งของบางอย่างเพื่อความสุขในเรื่องเพศ) แต่ในกรณีนี้ พวกเขารักสิ่งของเหล่านี้ด้วยความรักจริงๆ และมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งและสัมผัสทางกายที่สื่อถึงความรักในหลายๆ แบบ เช่น การสัมผัส หรือยืนพิง เป็นต้น
เราทุกคนมีความผูกพันกับสิ่งของ
หลายคนคงคิดว่าเป็นเรื่องตลกและอดหัวเราะไม่ได้ถ้าเห็นใครคนหนึ่งตื่นเต้น ดีใจจนออกนอกหน้าเมื่อเห็นระเบียงบ้านสวยๆ หรือกำแพงขนาดใหญ่ หรือเห็นใครเดินเข้าไปกอดจูบเครื่องเล่นในสวนสนุก หรือที่แย่ไปกว่านั้นคือผู้คนตัดสินว่าคนแบบนั้นมีอาการป่วยทางจิต ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่คนทั่วไปจะคิดแบบนั้น แต่หากเราลองคิดในอีกแบบหนึ่งดูบ้าง ว่าเราเคยเห็นสิ่งของบางอย่างแล้วรู้สึกผูกพันทางใจกับมันรึเปล่า จำได้มั้ยเวลามองไปที่เก้าอี้ที่คุณปู่เคยนั่งแล้วน้ำตาจะไหลออกมา หรือตุ๊กตาหมีเท็ดดี้ที่แม่ซื้อให้ตอนเราเกิดมาวันแรก ที่จริงคนเราทุกคนมีความรักให้กับสิ่งของโดยธรรมชาติอยู่แล้วค่ะ เพียงแต่อาจมีรูปแบบความรักที่แตกต่างกันไป
เอริก้า หรือ Erika Eiffel หญิงที่เคยแต่งงานกับหอไอเฟลเคยให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Vice ไว้ว่าคนเราทุกคนมีความผูกพันกับสิ่งของมาตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กเรามักมีปฏิกิริยาและความรู้สึกต่อการสัมผัสสิ่งรอบๆ ข้าง ของบางอย่างมีความผูกพันทางจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นผ้าห่มที่เราเคยติดมาก, ตุ๊กตา, และอื่นๆ ที่เราเคยพามันไปด้วยทุกหนทุกแห่ง ตอนเราเด็กคนก็มองว่ามันน่ารักน่าเอ็นดู ดูเด็กคนนี้สิ ถือตุ๊กตาไปไหนมาไหนตลอดเลย แต่พอเราโตมาเท่านั้นแหละ ทุกอย่างกลายเป็นอีกมุมมองหนึ่ง ซึ่งความรักแบบ Objectum sexual นี้ก็ไม่ใช่ความรักที่มาจากการ "ผิดหวัง" จากความรักโดยมนุษย์ หรือป่วยจิตอะไรทั้งนั้น แต่พอเราโตขึ้นมา โลกรอบๆ ตัวเราเปลี่ยนไปเลยทำให้คนมองว่าเราแปลกประหลาดและทำอะไรไม่เหมือนคนอื่นทั่วไป
แม้ไม่ได้รักกับคนแต่ก็เสียใจได้
หลายคนที่รักกับสิ่งของเคยพูดไว้ว่า "การรักกับสิ่งไม่มีชีวิตนั้นดีกว่ามีความรักกับมนุษย์ซะอีก เพราะสิ่งของเหล่านี้จะไม่มีวันทิ้งพวกเขาไป ความรักของพวกเขาจะยังคงอยู่ ไม่ต้องเจ็บปวดใจเหมือนที่เคยโดนหักอกมาจากมนุษย์" ซึ่งคำพูดนี้ก็จริงในแง่ของความมั่นคงทางจิตใจจากสิ่งของ (ซึ่งสิ่งของไม่ได้มีจิตใจแบบมนุษย์) แต่ในกรณีของเอริก้านั้นแตกต่าง เพราะเธอต้องพบกับความเจ็บปวดมากมายจากผู้คนรอบข้าง ตั้งแต่แม่ที่ตัดขาดจากเธอเมื่อรู้ว่าเธอเป็นพวก Objectum sexuality, สปอนเซอร์ตอนสมัยเป็นนักยิงธนูก็ขอถอนตัวจากเธอไปเกือบหมดเนื่องจากเธอเคยมีความรักและคบหากับคันธนูตัวเอง แถมหลังจากนั้นสื่อก็นำเรื่องนี้ของเธอไปป่าวประกาศแบบเสียๆ หายๆ จนทำให้เธอรู้สึกใจสลาย ต่อมาเมื่อเธอไปรักกับหอไอเฟลและแต่งงานกันก็มีคนมาติดต่อขอถ่ายทำรายการสารคดีชีวิตความรักเธอกับหอไอเฟล ตอนแรกผู้ผลิตรายการติดต่อเธอมาในแนวๆ ปลอบใจจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าพอรายการฉายออกมากลับนำเสนอมุมที่ทางผู้ผลิตจงใจอยากให้คนดูเห็น คือเน้นนำเสนอในเรื่องเพศ ซึ่งจริงๆ แล้วประเด็นสำคัญไม่ใช่เรื่องนั้นเลย
ในรายการเน้นฉากหนึ่งที่เลือกตัดมาเฉพาะตอนที่เอริก้ากำลังขึ้นคร่อมตรงส่วนหนึ่งของหอไอเฟล บวกกับการนำเสนอที่เน้นเรื่องเพศจึงทำให้คนดูทั่วโลกเข้าใจผิดว่าเธอกำลังมีอะไรกับหอไอเฟล ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นแค่จังหวะ และท่าทางในชั่วขณะนั้นเท่านั้นเองค่ะ หลังจากนั้นพอรายการได้ออกอากาศในฝรั่งเศสและเจ้าหน้าที่บนหอไอเฟลเห็น พวกเขาก็แบนเธอไม่ให้มาที่หอไอเฟลอีก ลองคิดดูสิคะถ้าวันหนึ่งเราโดนให้พรากออกจากสิ่งของที่เรารักเราจะรู้สึกยังไง เอริก้าก็รู้สึกใจสลายเช่นนั้นเหมือนกัน
ความแตกต่างทางความเชื่อและวัฒนธรรม
การโดนแบนต่างๆ และการโดนรังเกียจจากการเป็นคนที่รักกับสิ่งของทำให้พวกเขารู้สึกแปลกแยก แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ทุกคนและทุกสังคมที่จะ "ไม่เข้าใจ" เสมอไป เอริก้าเคยใช้ชีวิตอยู่ในประเทศญี่ปุ่นกว่า 10 ปี และมองว่าประเทศญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่ค่อนข้างผูกพันกับวัตถุหรือสิ่งของบางอย่าง เช่นในศาสนาชินโตผู้คนจะมีความเชื่อว่าหากมีเรื่องเครียดๆ หรือรู้สึกปวดหัว พวกเขาจะไปกราบไหว้พระพุทธรูปและใช้มือถูกับศีรษะของพระพุทธรูป เป็นเคล็ดว่าจะทำให้หายปวดหัวได้ บางคนอาจคิดว่างมงายแต่ความเชื่อเหล่านี้มีผลต่อจิตใจและเพิ่มพลังให้คนที่เชื่อได้ แต่ในทางกลับกัน ในประเทศตะวันตกบางประเทศที่เธอเจอมาก็ไม่ค่อยยึดถืออะไรกับวัตถุมาก เลยเป็นอีกเหตุผลที่พวกเขาไม่ยอมรับและพยายามทำความเข้าใจความรักของเธอ
ในอินเทอร์เน็ตมีบทความที่นำเสนอถึงเรื่องราวของผู้ที่มีความรักแบบ Objectum sexuality เยอะแล้ว ทั้งเรื่องของเอริก้า ไอเฟล และเรื่องราวของคนอื่นๆ ที่รักกับรั้วบ้านบ้าง, รถยนต์, เครื่องเล่นในสวนสนุก และอีกมากมาย วันนี้พี่เลยยกเรื่องราวล่าสุดที่เพิ่งมีข่าวไปไม่นานมาให้น้องๆ ได้อ่านกัน จะได้เห็นถึงมุมมองของเรื่องราวความรักของคนกับสิ่งของในอีกแบบหนึ่ง คือเรื่องราวของแครอลกับสถานีรถไฟซานตาเฟค่ะ
หญิงที่แต่งงานกับสถานีรถไฟ
ข่าวนี้เพิ่งออกมาเมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเองค่ะ เป็นเรื่องราวของแครอล (Carol Santa Fe) หญิงชาวอเมริกันวัย 45 ปี ที่อาศัยอยู่ในเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย และเธอก็เป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียวของโลกที่ "แต่งงานกับสถานีรถไฟ" ค่ะ แครอลเล่าว่าเรื่องราวความรักนี้เริ่มต้นเมื่อเธออายุ 9 ขวบ จนกระทั่งเธอเติบโตขึ้นและแต่งงานกับไดดราตอนปี 2011 อย่าเพิ่งงงกันนะคะว่าใครคือไดดรา (Diadra) ชื่อนี้ก็คือชื่อของคู่รักของแครอล หรือสถานีรถไฟซานตาเฟ (Santa Fe train station) นั่นเองค่ะ แถมไดดราก็ยังเป็นเพศหญิงอีกซะด้วย ไม่รู้ว่ารู้ได้ยังไงนะคะเนี่ย ถึงแม้ว่ามนุษย์จะไม่สามารถแต่งงานกับสิ่งของใดๆ ได้อย่างเป็นทางการ แต่แครอลก็ถือว่าเธอกับไดดราแต่งงานกันแล้วจริงจัง แถมเพิ่งฉลองวันครบรอบไปเมื่อคริสต์มาสเมื่อปลายปีที่แล้วเองค่ะ
ถึงแม้จะฟังดูแปลกๆ แต่ความรักของแครอลและไดดราก็เป็นไปอย่างราบรื่นและหวานพอกับคู่รักทั่วไปเลยล่ะค่ะ เพราะทุกๆ วันแครอลจะนั่งรถเมล์นานถึง 45 นาทีเพื่อไปหาไดดราหรือสถานีซานตาเฟอย่างสม่ำเสมอ และเมื่อไปถึงเธอก็ใช้เวลาหวานๆ นั้นกับไดดราอย่างมีความสุขโดยการพูดคุยกันบ้าง จุ๊บกันบ้าง หรือบางทีก็ถึงขั้นมากกว่านั้นก็มีนะคะ (แครอลบอกว่าเธอมีเพศสัมพันธ์กับสถานีรถไฟโดยการใช้ความคิดค่ะ ไม่ได้มีการแสดงออกท่าทางหรือแสดงความไม่เหมาะสมแต่อย่างใด)
ทุกครั้งที่แครอลไปหาไดดรา หรือไปที่สถานีรถไฟนี้ เธอจะทักทายไดดราและเดินไปรอบๆ สถานีโดยการเดินวนทุกๆ มุมให้ทั่วถึงพื้นที่ทั้งหมดและพยายามทำตัวเป็นปกติที่สุดเพราะไม่อยากให้ใครมองว่าแปลกหรือมีปัญหากับเจ้าหน้าที่สถานี ส่วนเวลาที่เธออยากใกล้ชิดกับไดดราขึ้นมาหน่อย ก็จะใช้วิธีการยืนพิงกำแพงของสถานี และทุกๆ ครั้งที่เธอสัมผัสกำแพงสถานี เธอก็รู้สึกถึงความรัก รู้สึกว่าทั้งคู่กำลังกุมมือกันและจูบกันอยู่ ถึงจะดูว่าหวานกันขนาดไหน แต่แครอลก็ระมัดระวังอย่างมากที่จะไม่แสดงออกมามากเกินไป เพราะถ้าเจ้าหน้าที่เห็นและแบนเธอไม่ให้มาที่นี่อีกเธอคงเสียใจมาก
ก่อนหน้านี้แครอลเคยคบกับ "มนุษย์" มาก่อนเหมือนกันค่ะ แต่เมื่อมาเจอกับไดดรา เธอก็เชื่อว่านี่คือความรักที่หามาทั้งชีวิต เพราะไดดราไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งแปลว่าไดดราจะไม่มีวันทิ้งเธอไปเหมือนความรักแบบมนุษย์ทั่วไปแน่นอน
ถึงแม้ปัจจุบันทั่วโลกยังคงถกเถียงกันอยู่ว่าความรักแบบ Objectum sexual นี้เป็นความรักในอีกรูปแบบ เป็นรสนิยม หรือเป็นความผิดปกติทางจิตใจกันแน่ แต่แครอลทิ้งท้ายไว้ว่า "ความรักแบบมนุษย์กับสิ่งของไม่ใช่อาการป่วยทางจิตเหมือนที่ใครๆ พูดกัน ไม่ว่าสื่อหรือข่าวจากที่ไหนมักพูดถึงความรักแบบนี้อย่างเสียๆ หายๆ แต่ความจริงแล้วมันก็แค่รสนิยมทางเพศอีกแบบที่ไม่แตกต่างจากเพศทางเลือกอื่นๆ เลย พวกเราไม่ได้บ้า แต่คนแค่ไม่เข้าใจเราเท่านั้นเอง" ส่วนทางด้านเอริก้าก็พูดในอีกมุมมองหนึ่งว่า "คนชอบคิดว่าฉันสามารถรักสิ่งของอะไรก็ได้ และคิดว่าที่ฉันมีความรักกับสิ่งของเพียงเพราะอยากควบคุมความรักในแบบที่ฉันอยากมี แต่ความจริงแล้วฉันไม่มีอำนาจที่จะควบคุมความสัมพันธ์ได้เลยแม้แต่กับหอไอเฟลก็ตาม ถ้าฉันจะเลือกรักอะไรเพราะอยากควบคุม ฉันก็คงเลือกรักกับเครื่องปิ้งขนมปังที่บ้านแล้วล่ะ"
ความรักมีหลายรูปแบบนะคะ ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนต้องการแบบไหน เลือกแบบไหน และมีความสุขกับแบบไหน บางแบบอาจดูแปลกและเข้าใจยากสำหรับคนหมู่มากไปซักหน่อย แต่ไม่ว่ายังไงความรักก็คือสิ่งที่สวยงามเสมอค่ะ ^^
อ้างอิง
2 ความคิดเห็น
มันก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนะ ถ้ามันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ดูแลตัวเอง ใช้ชีวิตในสังคมได้ และรู้จักการระมัดระวังในการแสดงความรัก น่ารักอีกด้วย
มันก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนะ ถ้ามันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ดูแลตัวเอง ใช้ชีวิตในสังคมได้ และรู้จักการระมัดระวังในการแสดงความรัก น่ารักอีกด้วย