สัมภาษณ์เจาะลึกกับ 2 นักเรียนไทย ‘ทุนรัฐบาลเกาหลีใต้’ ประจำปี 2017 และ 2018

   
        สวัสดีค่ะชาว Dek-D ช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่ทุนรัฐบาลเกาหลีกำลังเปิดรับสมัครอยู่ ถ้าใครสนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่นี่เลยค่ะ วันนี้พี่หมิวก็มีบทสัมภาษณ์จากรุ่นพี่ที่ได้ทุนรัฐบาลเกาหลีระดับปริญญาตรีจากปี 2017 และ 2018 มาฝากน้องๆ กันค่ะ บอกเลยว่าข้อมูลที่ได้มาจะเป็นประโยชน์สำหรับน้องๆ ที่กำลังสนใจทุนนี้อยู่แน่นอน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาตามดูประสบการณ์ของรุ่นพี่ทุนรัฐบาลเกาหลีกันว่าจะสนุกเเละลุ้นเเค่ไหน มาดูกันเล้ยยยยยย 


แนะนำตัวกันหน่อยค่ะ


กระต่าย: สวัสดีค่ะ ชื่อ ‘กระต่าย - จิตรลดา เหล่าสุริยงค์’ อายุ 19 ปี จบจากโรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี จังหวัดพิษณุโลกค่ะ ได้ทุนรัฐบาลเกาหลีระดับปริญญาตรี (KGSP) ปี 2017 ตอนนี้เรียนอยู่ปี 1 เทอม 2 คณะ 'Political Science & International Studies' ที่ 'Yonsei University' ค่ะ
 

ฝ้าย: สวัสดีค่ะ ชื่อ ‘ฝ้าย - ธนัญญา เจริญภัทราวุฒิ ’ อายุ 18 ปี จบจากโรงเรียนกำเนิดวิทย์ จังหวัดระยอง ได้ทุนรัฐบาลเกาหลีระดับปริญญาตรี (KGSP) ปี 2018 ตอนนี้กำลังเรียนภาษาเกาหลีอยู่ที่ 'Dongseo University' ค่ะ
 


ทำไมถึงมาสมัครทุนรัฐบาลเกาหลีกัน?


กระต่าย: คือกระต่ายเป็นคนชอบดูซีรีส์ ฟังเพลงเกาหลีอยู่แล้วค่ะ ด้วยความที่เราชอบมากๆ เราเลยไปเรียนภาษาเกาหลีเพิ่มเอง แล้วกระต่ายเคยไปเข้าค่ายที่เกาหลีใต้ประมาณ 10 วัน เป็นค่ายของ 'Asia Youth Exchange Association' เขาก็จะพาเราไปทำกิจกรรมต่างๆ พาไปทัวร์มหาวิทยาลัยของเกาหลีด้วย เราเลยเริ่มคิดอยากจะมาเรียนต่อที่นี่ พอเรากลับไทยไป เราเลยไปหาข้อมูลเกี่ยวกับทุน แล้วก็อ่านรีวิวของที่รุ่นพี่เคยสมัครทุนรัฐบาลเกาหลีไป ว่าทำยังไงกันบ้าง ต้องเตรียมตัวยังไง กระต่ายก็เลยสมัครทุนของสถานทูตไปค่ะ

ฝ้าย: สำหรับฝ้าย ต้องบอกก่อนเลยว่าฝ้ายไม่มีความรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเกาหลีใต้มาก่อนเลยค่ะ55555 ซีรีส์ก็ไม่ดู เพลงก็ไม่ได้ฟัง ภาษาเกาหลีคือไม่รู้เรื่องเลย อ่านก็ไม่ออก แต่ที่อยากมาเรียนที่นี่เพราะว่า ฝ้ายอยากเรียนต่อด้านศึกษาเกี่ยวกับสมอง (Neuro Science) แต่ที่ไทยมันไม่มีสาขานี้เปิดให้เรียน อีกอย่างคือ ฝ้ายอยากได้ภาษาที่สามเพิ่มเติมด้วย แล้วก็คิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ไปเรียนต่างประเทศ ได้ไปรู้จักคนจากหลายๆ ชาติ เราก็เลยลองสมัครทุนรัฐบาลเกาหลีของสถานทูตดูค่ะ 
 


เตรียมเอกสารและเตรียมตัวยังไง เรายื่นคะเเนนสอบอะไรไปกันบ้าง?


กระต่าย: กระต่ายเรียนภาษาเกาหลีอยู่ก่อนแล้ว เลยไปสอบ TOPIK มาค่ะ ได้ระดับ 4 ก็ใช้ยื่นไปกับคะแนนสอบภาษาอังกฤษ TOEIC นอกจากนี้เราก็ต้องเตรียม ‘Study Plan’ คือเราต้องเขียนว่าเราอยากเรียนอะไร อยากจะทำอะไรในอนาคต แล้วก็มี ‘Personal Statement’ อันนี้กระต่ายเขียนประสบการณ์ทุกอย่างที่เคยทำมาเลยค่ะ เช่น เราเคยไปเข้าค่ายที่เกาหลีมา ได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ ชาวต่างชาติ มีประสบการณ์เคยไปทำงานอาสาสมัครกับคนเกาหลี คือเราต้องเขียนเหมือนใส่ไฟลงไปด้วย55555 เขียนให้รู้สึกว่าเราเขียนดีที่สุดแล้ว ถ้าเขาไม่รับเราก็ใจร้ายเกินไปหน่อย 5555555 แล้วก็ยังมีใบ Recommendation จากอาจารย์ที่โรงเรียน ใบคาดว่าจะจบ และเอกสารอื่นๆ อีกที่เขาจะมีระบุไว้อยู่แล้วในระเบียบการสมัครค่ะ 

ฝ้าย: ส่วนของฝ้ายก็ยื่นคะแนน IETLS ไปอย่างเดียวเลย ฝ้ายสอบได้ 7.5 ค่ะ แต่ฝ้ายไม่ได้ยื่นคะแนนภาษาเกาหลีไปเลยค่ะ เพราะตอนนั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับภาษาเกาหลีเลยจริงๆ TT แต่ที่ฝ้ายว่ายากที่สุดแล้วก็คือ ‘Study Plan’ เพราะว่าตอนแรกฝ้ายยังไม่มีความรู้หรือความชอบที่เกี่ยวกับเกาหลี ฝ้ายเลยต้องไปหาแรงบันดาลใจ ไปรีเสิร์ช ว่าประเทศเขาเป็นยังไง สังคมและผู้คนเป็นยังไง ฝ้ายเลยเขียนไปใน Study Plan ว่า เราสนใจวิถีชีวิตของคนเกาหลีนะ เพราะก่อนหน้านี้เกาหลีมีสงคราม เป็นประเทศที่ฟื้นตัวจากสงครามมา เราเลยอยากรู้ อยากเข้าใจวิถีชีวิตแล้วความคิดของผู้คนที่นี่ อยากเข้าใจวัฒนธรรมของคนที่นี่มากขึ้นค่ะ 
 

 

ทุนนี้สามารถเลือกมหาวิทยาลัยเเละคณะได้ น้องๆ เลือกมหาวิทยาลัยกับคณะอะไรกันบ้างคะ?


กระต่าย: กระต่ายเลือกคณะเดียวกันหมดทั้งสามอันดับเลยค่ะ คือคณะ Political Science & International Studies ส่วนมหาวิทยาลัยก็เลือกเป็น 1. Korea University 2. Yonsei University 3. Chonbuk National University สุดท้ายกระต่ายก็ได้ของ Yonsei University ค่ะ

ฝ้าย: 1. Kaist University คณะ Biological Engineering
2. Seoul National University คณะ Biological Science
3. Yonsei University คณะ Biological Technology สุดท้ายแล้วฝ้ายก็เลือกของ Kaist University ค่ะ 
 

น้องฝ้ายทานข้าวกับเพื่อนๆ


บรรยากาศการสอบสัมภาษณ์เป็นยังไงบ้างเอ่ย?


กระต่าย: ตอนแรกกระต่ายเครียดมากค่ะ 5555 ตื่นเต้นมากๆ กระต่ายไปถามพวกรุ่นพี่ที่เคยไปมาก่อนแล้วว่าต้องเตรียมตอบคำถามยังไงบ้าง ตอนไปสัมภาษณ์คือเราเป็นเด็กต่างจังหวัดด้วย ก็แอบกลัวสู้เด็กกรุงเทพฯ ไม่ได้เหมือนกัน ทีนี้พอเราเข้าไปถึง จะมีคนนั่งสัมภาษณ์เราประมาณ 3 คน เป็นคนไทยกับคนเกาหลี เขาจะสัมภาษณ์เราเป็นภาษาอังกฤษกับภาษาเกาหลี เพราะเขาเห็นว่ากระต่ายได้ภาษาเกาหลี เลยถามเป็นภาษาเกาหลีมาด้วยค่ะ รวมๆ แล้วใช้เวลาประมาณ 10 นาทีได้ คำถามก็จะประมาณว่า ทำไมเราถึงอยากได้ทุน ทำไมถึงสนใจประเทศเขา ถ้าเราไม่ได้ทุนเราจะทำยังไง ประมาณนี้ค่ะ 

ฝ้าย: ของฝ้ายคนสัมภาษณ์มี 3 คนค่ะ คนไทย 1 คน คนเกาหลี 2 คน บรรยากาศดูเป็นทางการมากกกกก ทีนี้เขาก็ถามเป็นภาษาอังกฤษหมดเลยค่ะ แต่ฝ้ายก็แนะนำตัวเป็นภาษาเกาหลีไปด้วยนะ แค่นิดเดียวจริงๆ บอกว่าฉันชื่ออะไร ยินดีที่ได้รู้จัก แค่นี้เลย จบ555555  ส่วนคำถามเขาก็จะถามประมาณว่า ทำไมถึงอยากไปเรียนที่เกาหลีใต้ สนใจอะไรในเกาหลี ถามเกี่ยวกับคณะที่ฝ้ายจะไปเรียนด้วยค่ะ ถามว่าเรารู้จัก Neuro Science ดีแค่ไหน ทำไมอยากไปเรียนสาขานี้ แล้วเขาก็ถามเหมือนทดสอบทักษะการเอาชีวิตรอดด้วย เขาถามฝ้ายว่า ถ้าเกิดเราหลงทางในเกาหลี เราจะทำยังไง รวมๆ แล้วสัมภาษณ์ประมาณ 15-20 นาทีค่ะ แล้วฝ้ายก็เตรียม Portfolio ไปด้วยค่ะ 
 


เล่าบรรยากาศชีวิตการเรียนในเกาหลีใต้ให้ฟังหน่อยค่ะ


กระต่าย: คือเขาจะให้ทุนเรามาเดือนละ 800,000 วอน หรือเท่ากับ 23,500 บาทไทย แต่ถ้าเราสอบ TOPIK ได้ระดับ 5 ขึ้นไป เขาจะเพิ่มเงินเดือนให้อีก 100,000 วอนค่ะ แต่กระต่ายอยู่มหาวิทยาลัยเอกชน เราเลยจะต้องเสียค่าหอด้วย ก็คือหักค่าหอจากทุนไปเลยค่ะ เราต้องเรียนภาษาเกาหลีกันก่อน 1 ปี ถ้าใครได้คะแนน TOPIK ระดับ 5 ขึ้นไป ก็ไม่ต้องเรียนภาษา เข้ามหาวิทยาลัยได้เลยค่ะ การเรียนก็เรียนวันจันทร์ – ศุกร์ เรียนการเขียน การอ่าน การฟัง และการพูดค่ะ กระต่ายเรียนภาษามาแล้วปีนึงค่ะ สอบได้ TOPIK ระดับ 6 เเล้ว ตอนนี้กำลังเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 เทอม 2 อยู่

เอาจริงๆ ก็คิดว่าภาษาเกาหลียากนะ เพราะด้วยคณะที่เราเรียนต้องใช้ศัพท์เฉพาะเยอะมากๆ แล้วสังคมการเรียนของเกาหลีเขาจะกดดันมากๆ ทำให้เรากดดันตัวเองไปด้วยว่าต้องทำให้ได้ เราเลยต้องใช้เวลากับมันเยอะๆ พยายามมากขึ้นไปอีก เพราะภาษาเกาหลีสำคัญในการเรียนมากจริงๆ ค่ะ เเต่มันก็มีบางคลาสที่เรียนเป็นภาษาอังกฤษเหมือนกัน สลับๆ กันไปค่ะ 
 

น้องกระต่าย

ฝ้าย: ฝ้ายอยู่เกาหลีมา 6 เดือนแล้วค่ะ ตอนนี้ก็กำลังเรียนภาษาเกาหลีอยู่ที่ 'Dongseo university' จังหวัดปูซาน บอกก่อนเลยว่าฝ้ายเริ่มจาก 0 เลยจริงๆ 55555 คือไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับภาษาเกาหลีมาก่อนเลย การเรียนก็เรียนวันจันทร์ – ศุกร์ เลยค่ะ คลาสนึงเรียนประมาณ 13-14 คน ซึ่งฝ้ายว่ามันดีนะ เพราะอาจารย์จะดูแลนักเรียนได้ทั่วถึงมาก แต่ฝ้ายก็คิดว่าภาษาเกาหลียากนะ เพราะว่ามันมีไวยากรณ์ที่หลากหลาย ใช้ในบริบทที่ต่างกัน แต่คุณครูเขาก็ดีนะ กระตือรือร้น พยายามสอนเราอย่างเต็มที่ แต่บางทีมันก็กลายเป็นกดดันเรามากไปเหมือนกัน

บางทีฝ้ายอ่านหนังสือเพื่อเตรียมพร้อมไปเรียนแบบสุดๆ แต่มันก็เหมือนยังไม่พอที่เขาต้องการ บรรยากาศค่อนข้างกดดันเลยทีเดียว แต่ถ้าเราเก็บมันมาคิด เราก็จะเครียดเกินไป เอาแบบพอดีๆ ที่เรารู้ลิมิตของตัวเราเองจะดีกว่า ตอนนี้ฝ้ายก็สื่อสารภาษาเกาหลีได้ในระดับนึง แต่ยังไม่คล่องมาก แล้วอีกอย่างคือถ้าเรามาสาย ขาดเรียนหรือไม่เข้าเรียน เขาจะหักเงินเดือนตามวันที่เราขาดไปค่ะ อย่างเช่น ถ้าเรามาสายครบ 12 ครั้ง เขาจะคิดเป็นเราไม่มาเรียน 1 วัน แล้วเขาก็จะหักเงินเดือนตามวันที่เราไม่มาเรียนเลยค่ะ ก็แอบโหดอยู่เหมือนกัน 
 


เราต้องปรับตัวในเรื่องอะไรบ้างมั้ย มี Culture Shock กันบ้างหรือเปล่า? 


กระต่าย: กระต่ายคิดว่าเรามีปัญหาในการสื่อสาร คือบางทีคนเกาหลีเขาจะพูดเร็วมากๆ เราฟังไม่ทันก็มี แล้วบางทีเราบอกเขาว่าเราพูดเกาหลีได้นะ แต่พอเขาพูดกลับมาเราไม่เข้าใจ เขาก็จะอารมณ์แบบ ไหนว่าพูดได้ไง ทำไมฟังไม่ออกล่ะ อะไรประมาณนี้ นี่คือสิ่งที่กระต่ายยังต้องปรับค่ะ และอีกอย่างคือ คนเกาหลีเป็นคนที่กินเหล้าสูบบุหรี่เก่งมาก คือเขาจะไปกินเหล้ากันแทบทุกวัน แล้วร้านเหล้าจะอยู่ข้างๆ มหาวิทยาลัยเลย ที่พีคๆ เลยคือ มีครั้งนึงกระต่ายกำลังขึ้นลิฟต์ในหอ เราเปิดลิฟต์ไปเจอคนนอนจมกองอ้วกอยู่หน้าลิฟต์อะ คือตกใจมาก555555 เขาเป็นกันขนาดนี้เลยนะ

แต่ถ้าเป็นเรื่องสภาพแวดล้อม เราโอเคกับที่นี่มากๆ กระต่ายคิดว่าที่นี่สภาพแวดล้อมเหมาะกับการเรียนมาก ตึกเรียน ห้องสมุด สนามกีฬา สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มันดูไฮเทค มันดีมากจริงๆ แต่ก็มีอีกเรื่องที่เราต้องปรับตัวเยอะเหมือนกัน คือเราต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่คนเดียว เราเลยต้องทำอะไรด้วยตัวเองทุกอย่าง มันก็เป็นข้อดีนะ มันทำให้เราโตขึ้นเยอะเลยค่ะ 

ฝ้าย: สำหรับฝ้ายนะ ก็คงจะเป็นเรื่องภาษาเกาหลีก่อนเลยอย่างแรก ตอนแรกที่เรามาถึงคือ เราไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับภาษาเขาเลย รู้สึกเหมือนตัวเองหลงทาง แค่เข้าร้านสะดวกซื้อยังรู้สึกว่ายากเลย55555 ฝ้ายเลยต้องพยายามเรียนรู้ภาษาเกาหลีให้เร็วที่สุดค่ะ อีกอย่างคือ คนเกาหลีจะสูบบุหรี่จัดมากกกกก แล้วสูบกันเยอะมากๆ ด้วยความที่เราไม่ชอบกลิ่นบุหรี่อยู่แล้ว ยิ่งเจอเยอะๆ ก็เลยไม่ค่อยชอบค่ะ แต่มีอีกอันที่ทำให้ฝ้ายช็อกไปเหมือนกัน คือตอนนั้นฝ้ายไปยิม ไปออกกำลังกาย แล้วในห้องล็อกเกอร์ที่เขาจะเอาไว้ให้เราเก็บชุดก็มีคนถอดเสื้อผ้าออกมาหมดเลยอะ แบบไม่ใส่อะไรเลยแล้วยืนเป่าผมอยู่ เราก็คิด หรือว่ามันจะเป็นเรื่องปกติของที่นี่นะ แล้วก็อีกเรื่องคือการมาอยู่ที่นี่คนเดียวค่ะ เพราะเราจะต้องทำอะไรเองทุกอย่าง ดูแลเรื่องเรียน จัดการเรื่องเงิน จัดการเวลา จัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง แรกๆ ก็ยากอยู่เหมือนกันค่ะ 
 

น้องกระต่ายกับเพื่อนๆ


คิดว่าเราได้อะไรบ้างจากการได้ทุนมาเรียนที่นี่?


กระต่าย: อย่างแรกเลยคือการได้มาที่นี่มันสอนให้เราสามารถจัดการกับชีวิตตัวเองได้ ทำให้เรามีความรับผิดชอบมากขึ้น เพราะเราต้องทำอะไรเองหมดทุกอย่างเลย อย่างตอนนั้นกระต่ายก็ต้องไปทำบัตรต่างด้าวเอง เราต้องหาข้อมูลไปเอง ไม่มีใครไปกับเรา อีกอย่างคือเราได้เพื่อนเยอะมาก เพื่อนจากหลายๆ ประเทศ มันทำให้เราได้เรียนรู้ถึงวัฒนธรรมที่แตกต่างของเพื่อนในแต่ละประเทศ เหมือนได้เปิดสังคมใหม่ๆ และที่แน่ๆ คือเราได้พัฒนาสกิลภาษาเกาหลีของเราค่ะ ถึงแม้เวลาเรียนมันจะกดดันก็จริง แต่มันก็ทำให้เราเก่งขึ้นค่ะ 

ฝ้าย: ฝ้ายได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำค่ะ คือการเรียนภาษาที่สาม ตอนนี้ก็เรียนมา 6 เดือนแล้ว ก็รอสอบครั้งต่อไป ถ้าผ่านก็จะได้เข้ามหาวิทยาลัยเลยค่ะ และอีกอย่างคือ ฝ้ายได้เจอเพื่อนดีๆ เยอะมากๆ เพื่อนจากทุนรัฐบาลเกาหลีที่มาจากหลายๆ ประเทศทั่วโลก เรียกได้ว่ามีทุกเชื้อชาติเลยค่ะ สำหรับฝ้ายนะ เพื่อนเป็นเหมือนกำลังใจในการใช้ชีวิตอยู่ต่อไปของฝ้ายที่นี่ เพราะเราร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ช่วยกันในทุกเรื่องเลยค่ะ 
 

ฝากอะไรถึงน้องๆ ที่อยากสมัครทุนนี้หน่อยจ้า 


กระต่าย: อยากให้ทุกคนที่สมัครทุนนี้ทำเต็มที่ อย่าไปท้อ คือตอนกระต่ายสมัครทุนนี้ แล้วเขาเอาแค่คนเดียว ก็มีคนมาบอกว่า ‘จะได้หรอ เขาเอาคนเดียวเองนะ’ ‘ยากนะ’ คือเราต้องอย่าให้คำพูดพวกนี้มาบั่นทอนจิตใจเรา เราต้องพยายามคิดบวกเข้าไว้ มั่นใจในตัวเอง แต่อย่าไปจำกัดตัวเองด้วยความคิดที่แบบ ถ้าเราไม่ได้ทุนนี้คือชีวิตจบแน่ๆ เราควรมีทางเลือกอื่นๆ เหลือไว้ให้กับตัวเราเองบ้าง อีกอย่างคือเตรียมตัวให้พร้อม อย่างเช่นเอกสาร Personal Statement เราก็ต้องเขียนให้ดีที่สุด เขียนไป แก้ไป ถ้าเรายังมีเวลาเหลืออยู่ เราก็ต้องทำมันให้ดีที่สุดเพื่อที่เราจะได้ไม่มาเสียใจทีหลัง พี่ก็ขอให้น้องๆ สู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ทุกคนค่ะ ^^ 
 

ฝ้าย: ตอนแรกเลยฝ้ายก็แอบกลัวนะ เพราะฝ้ายไม่ได้มีความสนใจในเกาหลีมาก่อน กลัวเขาจะเห็นว่าเราไม่ได้สนใจเกาหลีจริงๆ แล้วไปทำไม แต่ฝ้ายก็เชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อในสิ่งที่เราทำ ไม่ต้องไปกลัวว่าคนอื่นจะคิดกับเรายังไง พยายามแสดงด้านที่ดีของเราออกมาให้เขาเห็น ทำให้ดีที่สุดก็พอ สำหรับใครที่กำลังกังวลหรือลังเล อย่าไปคิดแบบนั้นเลยค่ะ เพราะสมองจะสั่งให้เราปกป้องตัวเองด้วยความคิดพวกนี้ เราจะต้องกล้าก้าวออกมาจาก Comfort Zone ของเรา ถ้าเราไม่ลอง ไม่เริ่ม เราก็ไม่รู้หรอกว่าเราสามารถทำได้หรือเปล่า

หลายๆ คนอาจจะคิดว่า เรียนที่เกาหลีแล้วกดดัน คือจะต้องบอกก่อนว่า มันกดดันก็จริง แต่มันก็มีทางแก้ปัญหา ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่มันก็ไม่เกินความสามารถของเราหรอก เรายังมีเพื่อนอีกหลายคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับเรา ถ้าเราโดนอาจารย์พูดกดดันจนเครียด เราก็ไประบายกับเพื่อนก็ได้ หรือไม่ต้องเก็บไปใส่ใจ ปล่อยๆ ไปบ้าง เรารู้ตัวเองดีที่สุดแล้วว่าเราทำอะไรอยู่ ทำให้ดีที่สุดก็พอค่ะ เป็นกำลังใจให้ทุกคนค่ะ :-) 
 

น้องฝ้าย
   
       ประสบการณ์ของน้องๆ ทั้ง 2 คน ที่เอามาแชร์มีประโยชน์มากๆ เลยค่ะ ถ้าใครกำลังสนใจทุนนี้อยู่ก็สามารถคลิกเข้าไปดูได้ที่นี่ค่ะ กำลังเปิดรับสมัครอยู่เลย พี่หมิวก็ขอเป็นกำลังใจให้น้องๆ ทุกคนที่อยากสมัครทุนนี้กัน ให้ได้ทำตามความฝันของตัวเอง เเละอย่าลืมว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้นค่ะ สู้ๆ ^^ 
Dek-D Team ทีมคอลัมนิสต์ Dek-D

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

3 ความคิดเห็น

Am84 Member 25 พ.ค. 62 18:15 น. 1

เวลากรอกเอกสารเราเขียนในฟอร์มเลยใช่ไหมคะ เช่น เขียนแนะนำตัวเองงี้ เราต้องใช้กระดาษเขียนแยกหรือเขียนในใบกระดาษแบบฟอร์มที่มีมาให้ (ใครรู้บอกหน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ)

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด