สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ชาว Dek-D ช่วงนี้ฝนตกรถติดทุกวันเลย อย่าลืมรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ~ และสำหรับวันนี้ พี่อิงชุน ก็มีข้อมูลดีๆ มาฝากสำหรับใครที่อยากไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ในต่างประเทศค่ะ
ต้องบอกว่า ‘ออสเตรเลีย’ นั้นเป็นอีกจุดหมายปลายทางยอดฮิตสำหรับคนไทยทั้งเรียนต่อและทำงาน อย่างที่ผ่านมาก็มีโครงการ Work And Holiday ซึ่งเปิดให้กดโควตารอบแรกไปเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมก็เรียกว่ามีกระแสตอบรับอย่างล้มหลาม
เชื่อว่าหลายคนอาจสงสัยว่าทำไมแดนจิงโจ้นี้ถึงฮิตสุดๆ วันนี้เราเลยจะพาไปเปิด 11 เหตุผลที่คนไทยหลายคนโยกย้ายไปอยู่ออสเตรเลียมาฝากกันค่ะ // ใครรอกดโควตา WAH รอบตุลาคมอยู่ รีบตามมาเก็บข้อมูลกันเล้ยย!
อ่านรายละเอียด Work and Holiday 20221. เดินทางจากไทยไม่ถึงครึ่งวัน
เรามาเริ่มที่ข้อแรกกันเลยค่ะ ต้องบอกว่าเรื่องระยะเวลาในการเดินทางก็เป็นอีกเหตุผลที่หลายคนประกอบการตัดสินใจในการโยกย้าย เพราะบางคนอาจกังวลว่าถ้าไปต่างประเทศแล้วครอบครัวเกิดปัญหาหรือมีเรื่องฉุกเฉินขึ้นมาจะทำอย่างไร ออสเตรเลียก็ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ตอบโจทย์เรื่องนี้ เพราะใช้เวลาเดินทางไป-กลับไทยครั้งละ 8 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น บินวันเดียวถึง! รู้ข่าวคุณพ่อคุณแม่ไม่สบายตอนเช้า ตอนเย็นก็ได้เจอกันแล้ว หรือหากใครอยากบินมาพบปะสังสรรค์กับเพื่อนก็ทำได้เช่นกัน ทั้งนี้ ระยะเวลาการเดินทางก็ขึ้นอยู่กับสายการบินและเมืองปลายทางด้วยนะคะ
นอกจากนี้ใครที่ต้องการติดต่อสื่อสารกับคนในไทยก็ทำได้ไม่ยากค่ะ เพราะออสเตรเลียเวลาเร็วกว่าไทยเพียง 1-3 ชั่วโมง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเมืองที่เราเลือกอยู่ ตัวอย่างเช่น เพื่อนๆ อาศัยอยู่ ‘เพิร์ท (Perth)’ เมืองแห่งการศึกษา เวลาก็จะต่างจากไทยเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้นค่ะ แทบจะติดต่อกับเพื่อนชาวไทยได้แบบไม่ต้องวางแผนเรื่องเวลาเลย
2. สภาพอากาศเป็นมิตร
ออสเตรเลียเป็นหนึ่งในประเทศที่สภาพอากาศไม่ได้แตกต่างจากไทยมากนัก โดยจะเป็นแบบร้อนชื้นที่เราคุ้นเคยกันดี และไม่หนาวเกินไปจนใช้ชีวิตลำบาก ทำให้หลายคนเลือกมาออสฯ เพราะอยู่ง่าย ไม่ต้องปรับตัวเยอะ แต่สำหรับคนขี้หนาวก็ยังต้องเตรียมเสื้ออุ่นๆ ไปด้วยนะคะ เพราะสภาพอากาศแต่ละเมืองไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะ ‘เมลเบิร์น (Melbourne)' ที่มีชื่อเสียงด้านความแปรปรวนสุดๆ หลายคนถึงกับบอกว่ามี 4 ฤดูใน 1 วันเลยทีเดียว! หรือถ้าชอบอากาศร้อนๆ หน้าหนาวไม่หนาวจนเกินไป เลือก ‘ซิดนีย์ (Sydney)’ ก็ถือว่าตอบโจทย์นะ!
สำหรับอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีของเมืองยอดนิยมเป็นไปดังนี้ค่ะ
- ซิดนีย์: 8 - 26°C เหมาะกับกิจกรรมกลางแจ้งมากที่สุด
- เมลเบิร์น: 6 - 26°C เมืองแห่งการเช็กสภาพอากาศ
- บริสเบน: 11 - 30°C เมืองที่ร้อนแทบทั้งปี
- เพิร์ท: 8 - 30°C ฤดูร้อนแห้ง ฤดูหนาวมีพายุบางครั้ง
หมายเหตุ: อุณหภูมิในแต่ละเมืองแต่ละฤดูอาจสูงหรือต่ำกว่านี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ด้วย
3. กิจกรรมกลางแจ้งเยอะ
นอกจากเรื่องอายุแล้ว ออสเตรเลียยังมีภูมิประเทศที่หลากหลาย ทำให้มีกิจกรรมกลางแจ้งเยอะมาก เหมาะทั้งกับสายธรรมชาติและสายผจญภัย เพราะไม่ว่าอยากไปทะเล ภูเขา ทะเลทราย อยากจะดำน้ำดูฉลาม บันจีจัมป์ กระโดดร่ม ล่องแก่ง ปีนเขา พายเรือ ปั่นจักรยานภูเขา ขี่อูฐ เล่นเซิร์ฟ ฯลฯ บอกเลยว่าสามารถทำได้ครบจบในประเทศเดียว!
ด้วยความที่เป็นเมืองธรรมชาติรายล้อม ชาวออสฯ จึงเน้นทำกิจกรรมกลางแจ้งมากกว่า ดังนั้นถ้าใครเป็นสายเที่ยวในเมือง กิน ชอปปิง เข้าห้างก็อาจจะรู้สึกเหงาๆ นิดหน่อย แต่ก็พอมีบ้างประปราย อย่างไรก็ตาม เพื่อนๆ สามารถ Enjoy กับย่านเอเชีย รวมถึงร้านอาหารไทยที่มีอยู่แทบทุกมุมในประเทศได้นะคะ
4. คุณภาพชีวิตดี
ปี 2558 ออสเตรเลียได้รับการจัดอันดับจาก UN ว่าเป็นประเทศที่มีคุณภาพชีวิตดีเป็นอันดับ 2 ของโลก และหลังจาก 6 ปีผ่านไป ออสเตรเลียยังคงพัฒนาต่อเนื่อง จึงครองอันดับ 4 จาก 10 อันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกปี 2564 โดยมีคะแนนโดดเด่นด้านการดูแลสุขภาพและการศึกษา (แต่ทั้งนี้หลายคนที่อาศัยอยู่ในออสฯ ให้ความคิดเห็นว่าระบบสาธารณสุขของไทยเข้าถึงง่ายกว่าอยู่ดีค่ะ)
หากนำคะแนนของออสฯ มาเทียบกับค่าเฉลี่ยของ OECD หรือ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่เต็มไปด้วยสมาชิกจากประเทศพัฒนาแล้ว และกำลังพัฒนา (ไทยก็เข้าร่วมด้วยนะ) ออสเตรเลียคือประเทศที่รายได้หลังหักภาษี อัตราการจ้างงาน การศึกษา สุขภาพ ความสัมพันธ์ทางสังคม และความพึงพอใจในชีวิตสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD ทั้งหมด
นอกจากค่าสถิติแล้ว ระบบขนส่งสาธารณะของออสเตรเลียก็ดีไม่แพ้กัน หากเทียบกับต่างจังหวัดของไทยที่คนส่วนใหญ่ต้องซื้อรถเพราะไม่มีขนส่งสาธารณะที่ให้บริการชัดเจน แต่ในออสเตรเลียนั้นมีขนส่งสาธารณะสำหรับเมืองทุกขนาด มีตำแหน่งและตารางเดินรถที่ชัดเจน อีกทั้งตามชนบทยังมีทางจักรยานให้ปั่นได้อย่างปลอดภัย แม้จะไม่มีจุดขึ้นรถที่ละเอียดเท่าเมืองหลวงก็ตาม ทำให้บางครั้งเราต้องเดินเท้ากว่า 30 นาทีเพื่อไปยังจุดหมาย แต่ก็ยังสบายใจได้เพราะเป็นทางเท้าที่เรียบและปลอดภัยค่ะ
5. ขับรถพวงมาลัยขวาเหมือนไทย
เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับบางคนแต่สำคัญทีเดียวค่ะ ในบางประเทศ โดยเฉพาะที่ USA ตำแหน่งคนขับจะอยู่ฝั่งซ้าย ซึ่งตรงข้ามกับไทยที่ขับรถพวงมาลัยขวา เพื่อนๆ บางคนอาจจะไม่อยากเสียเวลากับการฝึกขับรถใหม่ เพราะกว่าจะสั่งสมประสบการณ์มาขนาดนี้ก็ใช้เวลาพอสมควรเลย
ความเริดคือนอกจากที่ออสเตรเลียจะขับรถพวงมาลัยขวาเหมือนกันแล้ว ยังชิดซ้ายเหมือนไทยด้วย! เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ไม่อยากเสียเวลาฝึกขับรถใหม่ ทั้งนี้ กฎหมายที่ออสเตรเลียขึ้นชื่อว่าเข้มงวดมากก ควรศึกษาเพื่อให้ขับขี่ปลอดภัยไร้ใบปรับค่ะ
คนไทยหลายคนที่อยู่ออสฯ หรือกำลังจะไปอยู่ออสฯ และอยากหารายได้เสริม ก็สามารถใช้สกิลการขับรถที่เหมือนกันมาต่อยอดอาชีพได้ เช่น การขับ Uber หรือบริการรับส่งต่างๆ ยิ่งเมืองใหญ่คนยิ่งใช้งานเยอะ แถมรายได้ดีด้วยนะ!
ตัวอย่างรีวิวขับ Uber Eat
ตัวอย่างรีวิวขับรถส่งอาหารโดยติดต่อกับร้านอาหารโดยตรง
6. ไม่ว่าจะวัยไหนก็เริ่มต้นใหม่ได้ที่ออสฯ
บางคนอาจรู้สึกว่าการจะเปลี่ยนงานหลังอายุ 35 ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ที่ออสเตรเลียจะให้โอกาสกับทุกคนอย่างเท่าเทียมและไม่มีค่านิยมในเรื่องกรอบของอายุ ทุกคนสามารถเรียน ทำงาน หรือทำกิจกรรมที่ชอบได้โดยไม่ถูกมองว่าแปลก หรือบางคนอาจเพิ่งค้นพบตัวเองตอนอายุ 40 ปลายๆ ก็ยังไม่ได้สายเกินไปที่จะพัฒนาตัวตนด้านใหม่ๆ (คนไทยหลายคนก็ผ่านวีซ่าเรียนภาษาที่ออสเตรเลียตอนอายุมากกว่า 35 ปี)
ที่น่าสนใจมากคือการเรียนหรือการรับสมัครงานในออสเตรเลียก็ไม่ได้กีดกันผู้พิการ ไม่ว่าทุกคนจะเป็นใคร มาจากไหน ก็ไม่ถูกตัดออกจากระบบแน่นอน!
7. ระบบการศึกษาเริด แถมเปิดโอกาสทำพาร์ตไทม์!
ต้องบอกว่าที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางของนักเรียนจากทั่วโลกเลยค่ะ แถมมีจำนวนนักศึกต่างชาติเป็นอันดับ 3 รองจากประเทศอังกฤษและอเมริกา เพราะจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกของ Times Higher Education ปี 2565 ออสเตรเลียมีมหาวิทยาลัยที่ติด Top100 มากถึง 6 แห่ง ได้แก่ University of Melbourne, Australian National University, The University of Queensland, Monash University, University of Sydney และ UNSW Sydney
นอกจากนี้แล้วหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าออสเตรเลียมีทุนเรียนต่อให้นักศึกษาต่างชาติค่อนข้างเยอะเลยค่ะ แต่มีเงื่อนไขว่าเพื่อนๆ ต้องเรียนดีหรือมีความสามารถเฉพาะทางที่เก่งกาจ โดยมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะพิจารณาทุนอัตโนมัติหลังจากเพื่อนๆ ส่งใบสมัครหรือเรียนจบภาคการศึกษาแรกค่ะ แต่ใครพลาดทุนเรียนดีไปก็อย่าพึ่งเสียใจนะคะ เพราะยังมีโอกาสอื่นๆ อย่างเช่นทุนแต่ละมหาวิทยาลัยประเภทอื่นๆ ที่กำหนดเงื่อนไขต่างกันออกไป
อีกทั้งออสเตรเลียยังเป็นเพียงไม่กี่ประเทศที่เปิดโอกาสให้นักเรียนต่างชาติสามารถทำงาน Part-time ได้ไม่เกิน 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แน่นอนว่าการเรียนไปพร้อมกับทำงานนั้นไม่ง่ายเลย หลายคนถอดใจระหว่างเรียนกลางคันก็มี แต่คนไทยหลายคนสามารถผ่านมันไปได้ค่ะ ถ้าเพื่อนๆ ไม่มั่นใจว่างบที่เรามีสามารถเรียนได้จนครบกำหนด ออสเตรเลียก็เป็นหนึ่งในประเทศที่น่าสนใจเลยค่ะ!
8. มีวีซ่าหลายประเภท
ถ้าเพื่อนๆ ถือพาสปอร์ตไทย สิ่งแรกที่ต้องทำก่อนเข้าประเทศออสเตรเลียคือการขอวีซ่าค่ะ ซึ่งวีซ่าออสเตรเลียมีหลายประเภทยิบย่อยมาก ยิ่งมีให้เลือกเยอะ โอกาสในการเดินทางก็จะเยอะขึ้นด้วยค่ะ (เราควรเลือกวีซ่าให้ตรงกับจุดประสงค์ของการเดินทางนะคะ) โดยวีซ่าส่วนใหญ่ที่คนไทยนิยมขอคือวีซ่าท่องเที่ยว วีซ่าครอบครัว วีซ่านักเรียน และวีซ่าทำงานค่ะ (ส่วนมากมักไปแบบวีซ่าชั่วคราวก่อนที่จะหลงรักออสเตรเลียและหาช่องทางขอ PR ค่ะ)
อีกทั้งออสเตรเลียยังชอบประกาศวีซ่าใหม่ๆ หรือปรับปรุงเงื่อนไขการต่อวีซ่าออกมาเรื่อยๆ ทำให้บางครั้งเราก็อยู่ต่อได้โดยทำอะไรที่ง่ายกว่าเดิมค่ะ อย่างล่าสุดปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา รัฐบาลออสฯประกาศให้คนที่ถือ Temporary Graduate visa (subclass 485) สามารถอยู่ต่อได้อีก 2 ปีโดยไม่จำเป็นต้องทำงานในสายงานที่เรียนจบและไม่ต้องเข้ารับการประเมินทักษะความสามารถ เนื่องจากออสเตรเลียต้องการแรงงานอย่างเร่งด่วน โดยเปิดให้ยื่นตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2565 ถึง 30 มิถุนายน 2566 เท่านั้นค่ะ
9. ความหลากหลายทางวัฒนธรรม
เพื่อนๆ อาจจะทราบกันอยู่แล้วว่า ออสเตรเลียมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูงมาก แต่จินตนาการไม่ออกใช่ไหมคะว่ามากแค่ไหน ก็ขนาดที่ออสเตรเลียไม่มีชุดประจำชาติเพราะหลากหลายเกินไป!
โดย 25% ของชาวออสเตรเลียเกิดที่ต่างประเทศ และอีก 25% มีพ่อหรือแม่ที่เกิดต่างประเทศ เรียกได้ว่าเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งถือเป็นข้อดีค่ะ เพราะบางครั้งการไปต่างบ้านต่างเมืองนานๆ ก็ทำให้เรากังวลใจ พอเจอปัญหาก็ไม่รู้จะหันไปหาใคร เมื่ออยู่ท่ามกลางคนที่ใช้ภาษาหรือมีวัฒนธรรมคล้ายกันจึงสบายใจมากกว่า อีกทั้งอัตราการเหยียดเชื้อชาติก็มีน้อยด้วยค่ะ แต่ทั้งนี้ทุกอย่างก็ไม่ได้ดีไปซะหมดทีเดียว เพราะอย่างที่เรารู้กันว่าคนใจร้ายมีอยู่ทุกที่บนโลก ยังไงก็ต้องเผื่อใจกับด้านอื่นๆ ที่อาจเจอไว้ด้วยนะคะ
10. สมรสเท่าเทียม
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ปี 2560 ชาวออสเตรเลียส่วนใหญ่ลงเสียงสนับสนุนให้สมรสเท่าเทียมผ่านร่างกฎหมาย ทำให้เกิดการแก้ไขพระราชบัญญัติให้คู่รักเพศเดียวกันมีสิทธิเท่ากับคู่รักต่างเพศ โดยเปลี่ยนจากคำว่าเพศชายและหญิงเป็นบุคคล 2 คนแทน ส่วนกฎหมายที่เกี่ยวกับการสมรสด้านอื่นยังเหมือนเดิมทุกประการ ด้วยวัฒนธรรมที่หลากหลายและกฎหมายที่ชัดเจน ออสเตรเลียจึงกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นมิตรกับคู่รักทุกเพศ
(นอกจากนี้สมรสเท่าเทียมของไทยก็ผ่านวาระแรกแล้วเช่นกันนะคะ แต่เรายังต้องลุ้นกันต่อว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไร เพราะมีอีกหลายขั้นตอนที่ต้องพิจารณาก่อนบังคับใช้กฎหมาย)
11. ค่าแรงขั้นต่ำสูงและสัมพันธ์กับค่าครองชีพ
ออสเตรเลียเป็นหนึ่งในประเทศที่ค่าแรงขั้นต่ำที่สูงติด 3 อันดับแรกของโลกมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2528 โดยล่าสุดรัฐบาลออสเตรเลียได้ประกาศเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจาก 20.33 AUD ต่อชั่วโมง เป็น 21.38 AUD ต่อชั่วโมง หรือประมาณ 534.5 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน 25 AUD ต่อ 1 บาท) โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ซึ่งถ้าหากทำงานเต็มเวลาที่ออสเตรเลียเป็นเวลา 1 เดือนก็จะได้ค่าแรงขั้นต่ำราว 80,000 กว่าบาท
ขณะที่ค่าครองชีพเฉลี่ยต่อเดือนของออสเตรเลียอยู่ที่ประมาณ 1,753 AUD หรือ 43,825 บาท (ข้อมูลปี 2562) ซึ่งมีค่าราว 50% ของค่าแรงขั้นต่ำ นั่นแปลว่าแค่เพื่อนๆ ทำงานเต็มเวลาก็จะสามารถเก็บเงินได้ขั้นต่ำ 40,000 บาทต่อเดือนเลยทีเดียว ทั้งนี้ เพื่อนๆ แต่ละคนก็อาจมีค่าใช้จ่ายและหลักการออมที่แตกต่างกัน บางคนอาจจะใช้จ่ายมากหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ค่ะ
คำแนะนำ: หากเพื่อนๆ ไม่มั่นใจว่างานที่เราทำอยู่ได้น้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำไหม สามารถเช็กจากเว็บรัฐบาลออสเตรเลียได้เลยนะคะ
................
ความคิดเห็นจากทางบ้าน
คำถาม: ทำไมถึงอยากย้ายไปออสเตรเลีย?
“ค่าแรงเหมาะสมกับค่าครองชีพ” - มิ้นท์, หญิงสาวผู้หลงใหลในออสเตรเลีย กำลังเข้าร่วมโครงการ Work and Holiday
“เพราะอยู่ไม่ไกลจากไทย เดินทางสะดวก อุณหภูมิก็ใกล้กัน และโรงเรียนค่อนข้างมีชื่อเสียง คิดว่าถ้าอยากได้ประสบการณ์ ประเทศนี้ตอบโจทย์เรามากที่สุดค่ะ” - เกด, นักเรียนผู้ที่กำลังจะไปเรียนภาษาที่ออสเตรเลียเป็นระยะเวลา 1 ปี
“หลักๆ เลยรู้สึกว่าเป็นประเทศที่คุณภาพชีวิตดี ธรรมชาติสวย เปิดโอกาสให้หาประสบการณ์ที่หลากหลาย” - เพรียว, มนุษย์ที่กำลังเก็บของเตรียมตัวไป Work and Holiday ปีนี้ที่ออสเตรเลีย
“ดูมีอนาคตและค่าแรงเยอะดีค่ะ” - แพรว, สาวออฟฟิศที่กำลังหาลู่ทางไปออสเตรเลีย
“เราไม่อยากอยู่ไทย พอกดโควตา Work and Holiday ได้แล้วมาอยู่ที่นี่ก็รู้สึกชอบมากกว่าเดิม เพราะไม่มีใครสนใจเรื่องส่วนตัวของเรา” - แนน, อดีตเด็กที่เข้าร่วมโครงการ Work and Travel ทั้งหมด 3 ครั้ง ปัจจุบันกำลังเข้าร่วมโครงการ Work and Holiday
“เคยมาออสแล้วชอบ เลยสมัคร Work and Holiday เพราะมาง่ายและใช้เงินน้อย มีญาติอยู่ที่นี่ด้วยเลยรู้สึกปลอดภัย” - ปิ๋ม, หญิงสาวผู้ค้นหาประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ตนเองอยู่เสมอ ปัจจุบันกำลังเข้าร่วมโครงการ Work and Holiday
เป็นยังไงกันบ้างคะ เริ่มตัดสินใจได้รึยัง? ใครอ่านแล้วอยากไปเที่ยวก็แนะนำให้เริ่มยื่นขอวีซ่าได้เลย~ เพราะตอนนี้คิววีซ่าค้างอยู่ในระบบกว่าล้านคิวเลยทีเดียว
และหากใครสนใจโครงการ Work and Holiday ก็สามารถอ่านรายละเอียดการเตรียมเอกสารได้ ที่นี่เลยค่ะ โดยเดือนตุลาคมนี้จะเปิดรับสมัครรอบ 2 แล้ว ส่วนใครที่สนใจไปเรียนต่อก็ลองติดต่อเอเจนซีไปได้ค่ะ (แอบกระซิบว่าส่วนใหญ่ให้คำปรึกษาฟรีนะคะ)
0 ความคิดเห็น