Hallo! สวัสดีค่ะชาว Dek-D ถ้าพูดถึงการเปิดประสบการณ์เรียนหรือทำงานในยุโรป "ประเทศเยอรมนี" นับเป็นอีกตัวเลือกยอดนิยมที่มีน้องๆ และวัยทำงานสอบถามเข้ามาตลอดเลยค่ะ และวันก่อนเรามีโอกาสได้ชวน "พี่มีมี่" เจ้าของเพจ Memee รีวิวเยอรมัน มาแชร์ประสบการณ์ตั้งแต่เตรียมสมัครวีซ่าออแพร์และวีซ่าเรียนภาษา คำแนะนำเพิ่มเติม ข้อควรรู้เกี่ยวกับการเรียนภาษาและวัฒนธรรม รีวิวการใช้ชีวิตที่เมือง Esslingen และ Stuttgart ฯลฯ ซึ่งเราเชื่อว่าประสบการณ์ตรงจากพี่มีมี่จะช่วยให้คนที่อยากไปอยู่เยอรมนีอย่างถูกกฎหมาย สามารถเตรียมตัวได้ถูกทางและมั่นใจขึ้น~ ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มข้อแรกกันเลยค่ะ!
. . . . . . . .
1
ที่มาที่ไป
ทำไมลงตัวที่เยอรมนี?
จุดเริ่มต้นจริงๆ คือเริ่มอิ่มตัวกับชีวิตที่ไทย แล้วอยากลองมาอยู่ต่างประเทศบ้างค่ะ ตอนแรกคิดจะไปประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก อย่างออสเตรเลีย อเมริกา หรืออังกฤษ แต่จุดเปลี่ยนคือได้มาคบกับแฟนที่เป็นคนเยอรมัน (คุยภาษาอังกฤษกันตลอด) ทำให้ตัดสินใจว่าจะลองมาอยู่ที่เยอรมนีสัก 1 ปี
และแน่นอนว่าเรื่องแรกๆ ที่ต้องวางแผนคือ "การเรียนภาษาเยอรมัน" เพราะเป็นประเทศที่ใช้ภาษาเยอรมันเป็นภาษาราชการ/ประจำชาติ อีกทั้งวีซ่าระยะยาวที่เยอรมนี ไม่ว่าจะเป็นวีซ่าออแพร์, วีซ่าเรียนต่อสาขาที่เปิดสอนเป็นภาษาเยอรมัน หรือแม้แต่วีซ่าแต่งงาน ก็ต้องมีพื้นความรู้ภาษาเยอรมันก่อนถึงจะมาได้ ยกเว้นวีซ่าเรียนภาษาที่สามารถมาเริ่มจากศูนย์ และเริ่มเรียนระดับพื้นฐาน A1 ได้เลย
ส่วนกรณีของเรามาเริ่มที่วีซ่าออแพร์ แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นวีซ่าเรียนภาษาตอนหลัง ข้อดีของวีซ่าออแพร์คือใช้งบน้อยสุด มาได้เร็วที่สุด และยุ่งยากน้อยที่สุด แต่ข้อจำกัดคือค่าตอบแทนไม่สูง แนะนำให้มีเงินติดตัวมาเองด้วย *อธิบายบริบทของเราคือ มาเองโดยใช้เงินเก็บจากการทำงาน หาวิธีที่ประหยัดสุด ศึกษาข้อมูลวีซ่ามาเยอะมากๆ โดยเฉพาะประเภทที่เน้นมาด้วยตัวเอง และยังไม่มีแผนแต่งงานหรือเรียนต่อเลยค่ะ
อ่านรีวิววีซ่าออแพร์เยอรมัน2
อยากขอวีซ่าเรียนภาษาที่เยอรมัน
ขั้นตอนจะประมาณไหน?
- หาข้อมูล สำหรับคนที่ตอนนี้อยู่ไทยอันดับแรกดูข้อกำหนดเงื่อนไขและลิสต์เอกสารใน “เว็บสถานทูตเยอรมนี” ก่อนเลย ส่วนคนที่อยู่เยอรมันอยู่แล้วด้วยวีซ่าอื่นๆ เช่น วีซ่าออแพร์และอยากเปลี่ยนมาเป็นวีซ่าเรียนภาษาอย่างกรณีเรา อันดับแรกให้ติดต่อ “สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง” หรือ “Ausländerbehörde/Ausländeramt” ของเมืองที่จะไปอยู่ เพื่อขอลิสต์เอกสาร เพราะแต่ละเมืองอาจจะขอเอกสารเพิ่มเติมต่างกันนิดหน่อยค่ะ
- พิจารณาคุณสมบัติตัวเอง เมื่อดูลิสต์เอกสารและเงื่อนไขแล้วก็พิจารณาดูว่าเราเหมาะกับวีซ่านี้มั้ย บอกตรงๆ ว่าต้องใช้เงินเยอะพอสมควรทั้งค่าคอร์สเรียนและค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลาที่อยู่เยอรมัน ต้องมีหลักฐานว่ามีเงินเพียงพอเป็นค่าใช้จ่ายได้ โดยการเปิดบัญชีประเภท Blocked Account เพื่อการเรียนภาษาโดยเฉพาะ อย่างน้อยเดือนละ 1028,- ยูโร ตลอดระยะเวลาการศึกษา หรือ หนังสือรับรองค่าใช้จ่ายจากสปอนเซอร์ในกรณีที่มีญาติ แฟน หรือเพื่อนที่เยอรมันเป็นคนซัปพอร์ต ถ้าใครพร้อมก็ลุยเลย
- หาโรงเรียน ต้องเป็นหลักสูตรเร่งรัด หรือ Intevsive เท่านั้น ใบลงทะเบียนเรียนของโรงเรียนภาษา โดยทั้งหมดต้องมี 24 คาบเรียน คาบละ 45 นาทีขึ้นไป และเรียนไม่ต่ำกว่า 18 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เมื่อหาได้แล้วก็ลงทะเบียน จ่ายค่ามัดจำหรือจ่ายเงินเต็มจำนวนให้เรียบร้อยเพื่อขอจดหมายเชิญและใบลงทะเบียนเรียนมาประกอบการยื่นวีซ่าค่ะ
- รวบรวมเอกสาร เตรียมเอกสารอื่นๆ ให้ครบตามที่กำหนด แนะนำว่าเอกสารบางอย่างถ้ามีเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษให้แปลเป็นภาษาเยอรมันด้วย
- ยื่นวีซ่า คนที่อยู่ไทยก็จองนัดที่ “สถานทูตเยอรมนี” เพื่อเอาเอกสารทั้งหมดไปยื่นขอวีซ่า ส่วนคนที่อยู่เยอรมันแล้วก็จองนัดที่ “สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง” หรือ “Ausländerbehörde/Ausländeramt” บางเมืองอาจจะให้ยื่นออนไลน์ อีเมล หรือส่งทางไปรษณีย์ได้
- รอผลวีซ่า พอยื่นเอกสารเรียบร้อยและก็รอพิจารณาผลวีซ่า คำถามยอดฮิต “ใช้เวลานานแค่ไหน?” ตอบแน่นอนไม่ได้ แต่ละเคสแต่ละเมืองระยะเวลาพิจารณาวีซ่าไม่เท่ากัน ของเรารอประมาณ 1 เดือนถึงทราบผลว่าผ่านค่ะ~~~
2.1 คำแนะนำเพิ่มเติม & ข้อควรระวัง
- อยากให้เริ่มจากศึกษาข้อมูลและทำวีซ่าด้วยตัวเองก่อนจะดีที่สุด เพราะทำได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านเอเจนซีเลย ยกเว้นบางอย่างที่ทำไม่ได้แล้วจำเป็นต้องจ้าง เช่น แปลเอกสารราชการภาษาไทยหรืออังกฤษเป็น “ภาษาเยอรมัน” ใบเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลอะไรแบบนี้(ถ้ามี) ต้องใช้ล่ามที่ได้การรับรอง ในเว็บสถานทูตจะมีลิสต์ล่ามที่ได้รับการรับรองให้ด้วย
(จริงๆ สถานทูตบอกว่าเอกสารภาษาอังกฤษไม่จำเป็นต้องแปลนะ แต่เราแปลเป็นภาษาเยอรมันหมดอุ่นใจกว่า เพราะยังไงก็เป็นภาษาราชการของประเทศเยอรมนี อาจช่วยให้อ่านและพิจารณาได้ง่ายขึ้น)
- ถ้ามีข้อสงสัยที่ลองค้นหรือถามเพื่อนตามกลุ่มแล้วแต่ยังไม่ชัวร์ แนะนำให้ถามสถานทูตเยอรมนี เพราะจากประสบการณ์ตรง เจ้าหน้าที่ตอบข้อความหรืออีเมลตลอด และตอบชัดเจนทุกคำถาม หรือถ้าเรามีคำถามที่ส่วนตัวมากๆ อาจมีเรื่อง Data Protection สามารถโทรเข้าเบอร์สถานทูตได้ค่ะ
ช่องทางการติดต่อสถานทูตเยอรมนี
|
2.2 หลายเสียงรีวิวสถานทูตจะพิจารณาอย่างเข้มงวดและรัดกุม ถ้าตั้งใจจะไปจริงๆ เตรียมพร้อมยังไงดีถึงจะไม่พลาด?
ย้ำว่าเตรียมเอกสารให้ครบตามที่กำหนด ถ้าเอกสารครบยังไงโอกาสผ่านมีเยอะมากแน่นอน ฟังดูไม่ยาก แต่หลายๆ คนแอบพลาดตรงนี้ ลืมอันนั้น ไม่มีอันนี้ สรุปไม่ผ่านตั้งแต่ด่านแรก มีบางคนเชื่อเอเยนซีมากเกินไป เอเยนซีบอกว่าอันนั้นไม่ต้องใช้ อันนี้ไม่ต้องใช้ ไม่จำเป็น ดึงเอกสารเราออก สรุปเอกสารไม่ครบ ไม่ผ่าน ถึงบอกว่าอยากให้ลองศึกษาเองและทำเองก่อนดีที่สุดค่ะ
อีกอย่างคือ “การเขียนจดหมายแนะนำตัวและแรงบันดาลใจในการเรียนภาษาเยอรมัน” ก็สำคัญมาก ควรเขียนแบบตรงไปตรงมา กระชับ ได้ใจความ และทุกอย่างควรเมกเซนส์ สมเหตุสมผล ไม่งง เช่น เริ่มด้วยแนะนำตัวเล่าประวัติสั้นๆ เรียนจบอะไรมาหรือกำลังเรียนอะไรอยู่ ปัจจุบันทำอาชีพอะไรหรือทำอะไรอยู่ ในอนาคตคิดว่าจะทำอะไร ทำไมถึงอยากเรียนภาษาเยอรมัน ทำไมต้องไปเรียนที่เยอรมนี การเรียนภาษาเยอรมันเกี่ยวกับชีวิตเราตอนนี้และในอนาคตยังไง เหตุและผลทุกอย่างควรสอดคล้องกัน เราเขียนเป็นภาษาอังกฤษและแปลเป็นเยอรมันด้วย Google Translate อีกที
จริงๆ วีซ่านี้ไม่ได้มีกำหนดอายุหรือวุฒิการศึกษาว่าต้องจบอะไรมา มีหลายๆ คนลือกันว่า เรียนจบไม่สูงหรืออายุมากแล้ว วีซ่าอาจจะผ่านยากหรือเปล่า จริงๆ ไม่เกี่ยว ประเทศเยอรมันค่อนข้างเปิดกว้างเรื่องอายุ คนอายุเกิน 30-35 ปีคือยังไม่แก่นะ เพียงแค่เหตุผลที่จะมาเรียนมันสมเหตุสมผลไหมมากกว่า สถานทูตและสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะพิจารณาเองจากเอกสารและจดหมายที่เราเขียน ถ้าไปยื่นด้วยตัวเองอาจจะมีการสัมภาษณ์นิดหน่อยก็ตอบข้อมูลให้มันชัดเจน ตรงกับเอกสารและจดหมายที่เขียนไป
3
ค้นหาคอร์สและสถาบันยังไง?
อะไรที่ควรเช็กอย่างละเอียด?
- สามารถ Google แล้วพิมพ์ชื่อเมืองที่เราจะไปอยู่ เช่น Stuttgart, Berlin, Frankfurt, Munich ตามด้วยคีย์เวิร์ด เช่น German courses, German intensive courses, German intensive courses for language visa
- เปรียบเทียบราคาประกอบกับรีวิวจาก Google หรือเว็บไซต์ อาจลองโพสต์ถามคนในกลุ่ม Facebook นอกจากนี้เราส่งอีเมลไปถามเพื่อความชัวร์อีกทีว่า คอร์สของที่นี่ตรงเงื่อนไขวีซ่าเรียนภาษาไหม สามารถออกจดหมายเชิญหรือใบเสร็จให้เราไปยื่นวีซ่าได้หรือเปล่า
- อย่าลืมเช็กเงื่อนไขการจ่ายเงิน เช่น จ่ายแค่มัดจำก่อนกี่ % หรือต้องจ่ายเต็มจำนวนทั้งหมด 100% คืนเงินได้ไหมถ้าวีซ่าไม่ผ่านหรือคืนเงินไม่ได้ อันนี้ก็สำคัญ แต่ละโรงเรียนเงื่อนไขไม่เหมือนกัน
ส่วนตัวเราเคยเรียน 2 ที่ คือ สถาบัน VHS (Volkshochschule) เมือง Esslingen และ สถาบัน German Institute เมือง Stuttgart |
เหตุผลที่เลือก Esslingen เพราะตอนแรกเป็นออแพร์ที่เมืองนี้ เลยเน้นเลือกเรียนใกล้ที่พักอาศัย และ VHS เป็นโรงเรียนที่ซัปพอร์ตโดยรัฐบาล ราคาก็เลยประหยัด (จริงๆ สถาบันนี้มีเกือบทุกเมืองค่ะ) แต่ตอนที่เราจะเปลี่ยนมาเป็นวีซ่าเรียนภาษา พบว่าคอร์ส intensive ของ VHS จำนวนชั่วโมงไม่ถึงตามที่กำหนด (อ่านในข้อ 2.) เราก็เลยต้องเปลี่ยนไปเรียนโรงเรียนภาษาเอกชนต่อที่ German Institute เมือง Stuttgart เป็นเมืองใหญ่กว่า ดูมีสีสัน มีอะไรให้ทำมากกว่า Esslingen แต่ที่จริง 2 เมืองนี้อยู่ใกล้ๆ กัน
4
ไปเรียนภาษาที่ระดับไหน?
ขอเริ่มจากอธิบายระดับภาษาคร่าวๆ ก่อนค่ะ
ระดับ | ขอบเขตเนื้อหาคร่าวๆ |
A1 (A1.1 + A1.2) | ระดับเบื้องต้น จะเริ่มจากศูนย์เลยก็คือเรียนเรื่องที่สำคัญพื้นฐานก่อน เช่น การแนะนำตัว ชื่ออะไร มาจากไหน อายุเท่าไหร่ ตัวเลข อาหาร เวลา ถามและบอกทาง |
A2 (A2.1 + A2.2) | ระดับเบื้องต้น มีเรียนเรื่องพื้นฐานพวกนี้อยู่ แต่จะมีไวยากรณ์ที่ยากขึ้น อธิบายอะไรได้ลงลึกและละเอียดมากขึ้น มีทางเลือกคำศัพท์ใหม่ๆ ที่แอดวานซ์กว่า A1 |
B1 (B1.1 + B1.2) | ระดับกลาง อันนี้เริ่มยากมากสำหรับเรา จริงๆ ไวยากรณ์ A2 ต้องแม่นก่อนเพราะมันต่อยอดใช้ตลอดชีวิต B1 จะได้เขียนจดหมายที่ยาวขึ้น ไวยากรณ์ยากขึ้น เรียนภาษาเขียนและภาษาทางการมากขึ้น ภาษาที่ใช้ในบทความ จดหมาย หนังสืออะไรพวกนี้ |
B2 B2 (ฺB2.1 + B2.2) | ระดับกลาง อันนี้ยากมากกกกสำหรับเรา เรียนไปร้องไห้ไปคือไม่เกินจริง 55555 เป็นภาษาเขียนที่แบบแอดวานซ์มากขึ้น ไวยากรณ์บางอย่างเราไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินคนเยอรมันพูดในชีวิตจริง แต่ก็ต้องรู้ไว้เพื่อใช้กับเอกสารทางการ ภาษาทางการ ภาษาเฉพาะทางอะไรแบบนี้ B2 บางโรงเรียนจะมีให้เลือกด้วยว่าเรียน B2 ธรรมดาหรือ B2-Beruf (เรียนเพื่ออาชีพ) ก็จะเป็นภาษาที่เกี่ยวกับอาชีพการงานเฉพาะทางไปอีก อันนี้จะเป็นระดับภาษาที่ใช้สมัครงานหรือสมัครเรียนต่อในสาขาที่ต้องใช้ภาษาเยอรมันหรือเรียนวิชาชีพ Ausbildung ได้แล้ว |
C1 (C1.1 + C1.2) และ C2 (C1.1 + C1.2) | ระดับสูงแล้วค่ะ ถ้าเรียนจบแล้วจำได้นำไปใช้ได้จริงๆ คือแทบจะเทียบเท่า Native เยอรมันแล้ว อันนี้เราไม่ได้เรียนต่อ |
ส่วนตัวไปเริ่มเรียนตั้งแต่ระดับ A1.2 จนถึง B2 รวมเวลาทั้งหมดน่าจะ 6-7 เดือน ที่จริงเราเรียนจบ A1 และสอบผ่าน A1 มาจากไทยแล้วเพราะต้องใช้ยื่นวีซ่าออแพร์ แต่มาเรียนต่อ A1.2 เพื่อทบทวนพาร์ต 2 อีกทีและก็เรียนต่อมาเรื่อยๆ
สำหรับคอร์ส intensive ส่วนใหญ่ 1 ระดับใหญ่ จะแบ่งระดับย่อยอีกเป็น 2 คอร์ส เช่น A1 ก็จะมีระดับย่อยเป็น A1.1 + A1.2 คอร์ส intensive ใช้เวลาเรียน 1 ระดับย่อยประมาณ 1 เดือน - 1 เดือนครึ่ง คือ เรียนจันทร์ - ศุกร์ 5 วันต่ออาทิตย์ เรียนแบบจริงจังมาก การบ้านเยอะมากค่ะ!
5
ในคลาสเรียนประเทศเจ้าของภาษา
เขาสอนภาษายังไงกันนะ?
การเรียนภาษาที่เยอรมันคือเรียนแบบ Immersion เรียนโดยใช้ภาษาเยอรมันล้วนๆ ไม่มีการอธิบายเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นเลย แรกๆ ก็ตกใจว่าจะเรียนรู้เรื่องไหม แต่สำหรับเราโอเค เรียนไปเรียนมามันรู้เรื่องไปเองแบบช้าๆ การเรียนในห้องคือจะฝึกจากการฟังครูพูดบ่อยๆ พร้อมดูท่าทางและบริบทประกอบไปด้วย หนังสือที่ใช้ก็อธิบายเป็นเยอรมันหมด แต่เดาและเข้าใจได้จากบริบท อ่านบ่อยๆ ฟังบ่อยๆ พอเจอคำเดิมๆ แพตเทิร์นเดิมๆ ก็จำได้เอง
ทั้งนี้ วิธี Immersion อาจจะไม่เหมาะสำหรับทุกคน ต้องใจเย็นๆ มีเพื่อนหลายคนมาเรียนแค่ 2-3 ครั้งแรกและทิ้งคอร์สเลยก็มี ไม่มาเรียนแล้ว เพราะเรียนไม่รู้เรื่องหรืออาจจะใจร้อน ถ้าอยากได้คำอธิบายเพิ่มอาจจะต้อง Google, YouTube หรือหาครูคนไทยติวเพิ่มเอาก็ได้ และก็ต้องทำการบ้านเยอะมาก บางครั้งการบ้านมีผลต่อการเรียนบทต่อไป ถ้าเราไม่ทำการบ้าน ไม่ทบทวนเอง พอมาถึงในห้องเรียนก็จะเรียนไม่รู้เรื่อง ตามครูตามเพื่อนไม่ทันค่ะ
6
ภาษาเยอรมันยากตรงไหน?
เอาจริงๆ นะ ยากทุกตรงค่ะ 5555 มีคนบอกว่า “ภาษาเยอรมันง่ายนิดเดียว เพราะที่เหลือยากหมด!” ถ้าให้ลิสต์หลักๆ สิ่งที่เราว่าน่าจะยากสำหรับคนไทย คือ
- คำนามที่มี 3 เพศ (ชาย-หญิง-กลาง)
- โครงสร้างประโยคและไวยากรณ์ เราต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด เพราะอย่างเรื่องการผันกริยาตามประธาน กาลเวลา เพศ ภาษาไทยไม่มีแบบนี้ และยังต่างกับในภาษาอังกฤษด้วย
- การออกเสียง ต้องเรียนรู้การออกเสียงใหม่ๆ ที่ไม่มีทั้งในภาษาไทยและอังกฤษ
7
เรียนมาสักพักใหญ่ๆ
คิดว่าอะไรคือเสน่ห์ของภาษานี้?
ส่วนตัวชอบวลีหรือพวกสำนวนสุภาษิตของภาษาเยอรมัน มีประโยคสนุกๆ บางทีก็สำนวนตลกๆ และยังมีคำศัพท์เฉพาะเยอะมากกก ถ้าเกิดใครเป็นคนชอบพูดสำบัดสำนวน ชอบฟังเพลง อ่านกลอน อ่านนิยาย อ่านหนังสือ ถือเป็นภาษาที่สวยและมีอะไรให้เล่นเยอะเลยค่ะ เช่น คำ 1 คำของภาษาเยอรมันอาจจะต้องอธิบายเป็นไทยหรืออังกฤษ 2-3 ประโยค แต่เยอรมันมีคำเฉพาะแค่ 1 คำจบ อธิบายอารมณ์ความรู้สึกได้ลึกซึ้งมากกว่าการใช้ภาษาอังกฤษหรือไทย
8
แนะนำแหล่งเรียน & วิธีฝึกฝน
สำหรับน้องๆ ที่อยากเตรียมตัวตั้งแต่อยู่ไทย
ถ้าเรียนแบบเป็นคอร์สจริงจังมีใบประกาศนียบัตร แนะนำสถาบัน Goethe-Institut อยู่ที่สาทร กรุงเทพฯ ส่วนตัวเคยเรียนที่นี่แค่ 1 คอร์สย่อย เรียนแบบเยอรมันเลย immersion ครูพูดเยอรมันล้วนตั้งแต่ชั่วโมงแรก แต่ถ้าใครไม่ชอบแบบ immersion ก็ไม่เป็นไร ลองเริ่มเรียนกับครูที่อธิบายเป็นภาษาไทยเพื่อความเข้าใจลึกซึ้งก็ได้ ส่วนตัวเคยเรียนแบบหลังมาแล้วสอบผ่าน A1 ด้วยค่ะ
นอกเหนือจากนี้ก็ฝึกด้วยตัวเอง ต้องฝึกบ่อยๆ นะ นอกห้องเรียนหา YouTube ฟังบ้าง ฝึกเขียนจดหมายบ้าง พูดกับตัวเองและอัดเสียง ใครมีแฟนมีเพื่อนพูดกับเพื่อนหรือแฟนได้ยิ่งดี การเรียนภาษาถ้ามีครูดีแต่ถ้าไม่ฝึกไม่ใช้จริงเดี๋ยวก็ลืม ความขยันและความสม่ำเสมอสำคัญที่สุด
9
มาเรียนภาษาที่เยอรมนี
แล้วทำงานไปด้วยได้ไหม?
เมื่อก่อนชาวต่างชาติที่วีซ่าเรียนภาษาทำงานไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ดีมากเลย เพราะตั้งแต่ช่วงต้นปี 2024 คือกฎใหม่ให้ทำงานได้แล้ว แต่เป็นงาน Part-time ไม่เกิน 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และต้องแสดงหลักฐานอย่างถูกต้องชัดเจน เช่น ถ้าทำงานร้านอาหาร ต้องเป็นร้านที่ลงทะเบียน มีเอกสารแสดงว่าเราเป็นพนักงานจริงๆ มีสลิปยืนยันว่าเราทำงานแล้วได้เงินจากงานนี้จริง
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.make-it-in-germany.com/en/visa-residence/types/other/language-acquisition
[แถมๆ] รีวิวสังคมและวัฒนธรรมการทำงานที่เจอ
- ส่วนใหญ่คนเยอรมันจริงจังกับเรื่องงานมาก มาตรงเวลา แต่ก็เลิกงานตรงเวลาเป๊ะด้วย เช่น 2 ทุ่มห้างปิดคือประตูรูดปิดมาครึ่งนึงตั้งแต่ 1 ทุ่มครึ่งแล้ว พอ 2 ทุ่มเป๊ะพนักงานไล่ ปิดร้านเลิกงานเลย
- เสาร์-อาทิตย์ วันหยุด วันลาจะ “ให้เกียรติกันเรื่องเวลางานและเวลาส่วนตัว” ไม่มีการ LINE ตาม ส่งอีเมลจิกอะไรแบบนี้นอกเวลางาน ไม่ค่อยเจอเพราะถือว่าไม่สุภาพ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่คนเยอรมันจะดีและขยันทุกคนอย่างเขาร่ำลือกันเสมอไปค่ะ
- คนเยอรมันส่วนใหญ่พูดตรงมาก อย่าเป็นคนขี้น้อยใจ ขี้เกรงใจ มีอะไรเรื่องงานคือบอกตรงๆ วิจารณ์กันตรงๆ ต่อหน้า ไม่อ้อมค้อม ถ้าเราเป็นคนขี้น้อยใจ ใครติก็โกรธเคือง ร้องไห้ น้ำตาไหล เงียบ ไม่พูด ไม่เถียง แต่เก็บไปนอนคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้จะอยู่ยาก ต้องสตรอง คุยให้จบตรงนั้นเลยและไม่ค้างคา เลิกงานมาก็ไม่โกรธกันแล้ว จบๆ
- ที่เยอรมนีมีผู้คนหลากหลายและผู้อพยพที่มาจากหลายประเทศทั่วโลก การอยู่ที่นี่ “ไม่ใช่ว่าเราจะทำงานแค่กับคนเยอรมันเท่านั้น” อย่าลืมว่าเราจะเจอคนหลายเชื้อชาติ หลายรูปแบบ มีนิสัยและคาแรกเตอร์ต่างกัน ควรเตรียมรับมือและปรับตัว อย่าไปเอาเปรียบคนอื่น แต่ก็อย่ายอมให้คนอื่นมาเอาเปรียบเราด้วยเช่นกัน คนมีหลายประเภทมากกก ขอให้ทุกคนเจอแต่คนดีๆ นะ!
10
แชร์สัก 3 แง่มุมที่ประทับใจสุด
ตั้งแต่เริ่มมาอยู่ที่เยอรมนี
- ข้อที่เราเองและสายเที่ยวน่าจะชอบสุด คือเราสามารถเดินทางไปเที่ยวประเทศอื่นในยุโรปง่ายมาก วีซ่าเรียนภาษาจ เข้า-ออกประเทศและไปเที่ยวประเทศในยุโรปที่อยู่ในเชงเก้นตอนนี้ได้ถึง 29 ประเทศ
จริงๆ แค่ประเทศเยอรมันก็ใหญ่มากและมีที่เที่ยวเยอะ ถึงจะอยู่ในตัวเมือง แต่ทุกที่ค่อนข้างใกล้ธรรมชาติ ถ้าชอบเดินป่า เดินเขา ไปทะเลสาบต่างๆ ได้ง่าย น่าจะถูกใจคนที่ชอบธรรมชาติ การเดินทางก็ค่อนข้างสะดวก ถ้าอยู่ในเมืองรถขนส่งสาธารณะทั่วถึง แต่รถไฟก็ดีเลย์บ่อย ถ้าอยู่นอกเมืองอาจจะต้องขับรถส่วนตัว ขี่จักรยาน หรือเดินเอา คนที่นี่ชอบเดินมาก 1-3 กิโลคือปกติ ไม่ไกล อยู่กรุงเทพฯ ระยะทางเท่านี้คือนั่งวินมอไซค์แล้วค่ะ
- บ้านเมืองสวย เพราะเราอยู่เมืองเล็กชื่อว่า Esslingen บ้านเรือนเป็นบ้านไม้สีๆ แบบในนิยาย และคล้ายกับในการ์ตูนญี่ปุ่น ตึกก็เป็นตึกเก่าจริงๆ เพราะในสมัยสงครามโลกเมืองนี้ถือว่าไม่ได้ถูกทำลายเยอะ ตัวเราเองชอบนะแต่ถ้าใมครเป็นสายปาร์ตี้อาจรู้สึกว่าเป็นเมืองเงียบๆ หน่อยก็ได้ ต่างจาก Stuttgart ที่เป็นเมืองใหญ่ มีอะไรให้ทำมากกว่า เช่น กิจกรรม มิวเซียม บาร์ ร้านอาหาร ห้าง ตึกสูงๆ ใหญ่ๆ ฟีลนี้ค่ะ
- อากาศดี มีหลายฤดู อันนี้เหมือนเป็น love-hate relationships คือทั้งชอบและไม่ชอบ 5555 ถ้าพูดถึงคุณภาพอากาศคือไม่มีฝุ่น PM2.5 มลพิษน้อยมาก หายใจได้เต็มปอด สดชื่น ส่วนเรื่องฤดูที่เปลี่ยนแปลงทำให้เราได้แต่งตัวหลากหลายสไตล์มากขึ้น เสื้อโค้ช เสื้อผ้าสวยๆ เลเยอร์หลายๆ ชั้น บูทยาวอยู่ที่ไทยไม่เคยได้ใส่
แต่ใจเราจริงๆ ก็อยากให้อากาศอุ่นนานกว่านี้หน่อย เพราะที่นี่หน้าหนาวยาวนาน บางทีฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูใบไม้ร่วงก็ยังหนาว ฟ้ามืดตลอด ไม่มีฤดูฝน แต่ฝนตกบ่อย ฝนตกได้ทุกฤดู บางคนอาจจะเป็นซึมเศร้าเพราะอากาศหนาว แต่ถ้าเข้าหน้าร้อนคือชอบมาก ฟ้าสว่างยัน 3 ทุ่ม เหมือนมีเวลาให้ทำอะไรเยอะขึ้น คนก็แฮปปี้มีความสุขค่ะ
11
ตัดภาพมาที่ Culture Shock
เรื่องไหนที่อยากให้เตรียมรับมือ?
จริงๆ มีเยอะมาก 55555 เคยเขียนสรุปไว้บนเพจ Memee รีวิวเยอรมัน แต่เดี๋ยวหยิบ Top 10 มาเล่าให้ฟังก่อนนะคะ
- ข้ามทางม้าลายแล้วรถหยุด!!!!! เฮ้ยย บางทียังเดินไม่ถึงเลย แค่ตั้งท่าก็หยุดรอแล้วเหรอ
- รถไฟดีเลย์บ่อยมากกก ดีเลย์เก่ง แคนเซิลเป็นเรื่องปกติ เผื่อเวลาดีๆ จ้า
- ติดต่อราชการเอกสารต้องปริ้นท์เป็นกระดาษ ยังไม่ค่อยเป็นระบบดิจิทัล
- ระบบราชการช้า เช้าชามเย็นชามและล้าหลัง ถ้าคิดว่าที่ไทยช้าแล้ว หนีเสือปะจระเข้ไปเลยค่าา
- ห้องน้ำฟรีหายากมาก ห้องน้ำสาธารณะส่วนใหญ่เสียเงินและไม่ค่อยสะอาด
- อินเตอร์เน็ตช้ามากกกก เต่ามากกก ขนาดเทียบกับประเทศโลกที่ 3 ก็ยังช้ากว่า
- คนชอบสั่งน้ำมูกเสียงดัง กลางโต๊ะอาหาร กลางออฟฟิศ เป็นเรื่องปกติ ไม่นับว่าเสียมารยาท
- วันอาทิตย์ห้าง ร้านค้า ซุปเปอร์มาเก็ตปิดหมด!!!
- คนเยอรมันยังนิยมใช้เงินสด ร้านค้าเล็กๆ ไม่ค่อยรับบัตร โอนเงินปกติต้องรอ 2-3 วัน ไม่ปุ๊บปั๊บเหมือนพร้อมเพย์ที่ไทย
- ทุกอย่างต้องนัด ต้องจองล่วงหน้านานนนนๆ ไม่ค่อย walk-in
เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ค่อยๆ ปรับตัวไป บางอย่างก็ดีนะชอบ เช่น เรื่องข้ามถนนแล้วรถหยุดนี่แต่บางอย่างไม่ชอบก็ทำใจปล่อยวางบ้างถ้าเกิดมันไม่ร้ายแรงมาก // สามารถอ่านต่อได้ที่โพสต์ด้านล่างนี้ค่า
12
ชวนแชร์เรื่องค่าครองชีพเมืองที่อยู่
และทริกช่วยประหยัดเงิน
วิธีประหยัดของเราคือตนเป็นที่พึ่งแห่งตนค่ะ ทำอะไรด้วยตัวเองให้มากที่สุด! ตั้งแต่มาอยู่เยอรมันทำเองแทบทุกอย่าง 5555 ซื้อของมาทำอาหารกินเอง อ่างล้างหน้าตัน ไฟที่ห้องเสีย อะไรเสียก็พยายามซ่อมเอง ถ้าเทียบราคาทุกอย่างกับไทยค่าครองชีพที่นี่แพงกว่าอยู่แล้วยิ่งช่วงนี้ของแพงขึ้นมากกก
- ค่าคอร์สเรียนภาษาแบบ intensive 450-600 ยูโรต่อเดือน ราคาแต่ละโรงเรียนไม่เท่ากัน
- ค่าเช่าห้องที่ Stuttgart ตกอยู่ที่ 1,000-1,200 ยูโรต่อเดือน เป็นห้องแบบมีเฟอร์นิเจอร์ 1 bedroom สำหรับ 1 คน ถ้าอยู่อพาร์ตเมนต์แบบแชร์กันหรือที่นี่เรียกว่า WG (Wohngemeinschaft) ห้องเล็กๆ และไม่ได้อยู่ใจกลางตัวเมืองมาก ออกนอกเมืองไปหน่อยอาจจะหาได้ราคาถูกกว่านี้พอมีอยู่บ้าง
- ค่ากินต่อเดือนประมาณ 500-700 ยูโรต่อเดือน ถ้าซื้อของจากซุปเปอร์มาทำเองเป็นหลัก มีซื้ออาหารกินนอกบ้านบ้างนิดหน่อยแบบไม่หรูหรา แต่ไม่อดอยาก
- ค่าเดินทางตอนนี้จะมีตั๋วรายเดือน Deutschland Ticket 49 ยูโรต่อเดือนใช้กับระบบขนส่งสาธารณะได้ทั่วประเทศเยอรมันรวมทั้งรถไฟ รถแทรม รถบัส (ยกเว้นพวก ICE รถไฟความเร็วสูงข้ามเมือง ข้ามประเทศ)
หลักๆ ที่จำเป็นน่าจะมีประมาณนี้ ยังไม่รวมการเข้าร้านอาหารดีๆ ไปผับบาร์ แฮงก์เอาต์ ชอปปิง เครื่องสำอาง หรือของฟุ่มเฟือยเพื่อความสุขใดๆ บวกเพิ่มไปอีกตามไลฟ์สไตล์แต่ละคนได้เลย
. . . . . . . .
จุดเริ่มต้นเพจ Memee รีวิวเยอรมัน
คืออยากแชร์เรื่องวีซ่าออแพร์
และการมาอยู่แบบถูกกฎหมายไม่เป็นผีน้อย
ตอนแรกคืออยากลงเกี่ยวกับเรื่องวีซ่าออแพร์ เพราะมีคนถามและสนใจเยอะ และเป็นช่วงที่มีเทรนด์ “ย้ายประเทศกันเถอะ” ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นในการทำเพจเพื่อให้ข้อมูลสำหรับคนที่อยากย้ายประเทศมาอยู่เยอรมันแบบถูกต้อง ถูกกฎหมาย ไม่เป็นผีน้อยค่ะ
แต่คอนเทนต์ตอนนี้จะรวมๆ ทุกอย่าง ใช้ชื่อว่า “รีวิวเยอรมัน” คือ รีวิวจริงๆ ไม่ชม ไม่อวย 5555 อะไรดีก็ว่าดี อะไรไม่ดีทุกคนจะได้รู้ไว้และเตรียมปรับตัวถ้าจะมาอยู่ที่นี่ แชร์ประสบการณ์ต่างๆ ที่เจอมาและพูดคุยทุกเรื่องเกี่ยวกับประเทศเยอรมนี เช่น Culture Shock เรื่องแปลกๆ ค่าครองชีพ ค่าทำผม ค่าเสริมสวย อัปเดตกฎอะไรใหม่ๆ เรื่องวีซ่าต่างๆ รวมไปถึงไลฟ์สไตล์กิน ดื่ม เที่ยวอะไรแบบนี้ด้วย เหมาะกับน้องๆ ทุกกลุ่ม (พยายามไม่ให้มีคำหยาบนะ 555) และคนทั่วไปที่สนใจการใช้ชีวิตที่เยอรมันด้วย
ปล. ในที่สุดเราก็ได้เขียนเรื่องวีซ่าเรียนภาษาสักที แอบดองมานาน มีคนถามเยอะ 555 เดี๋ยวอีกหน่อยจะเขียนเรื่องวีซ่าแต่งงาน และเรื่องการทำงานที่นี่ทั้งแบบเป็นลูกจ้างและเริ่มเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว ใครสนใจรอติดตามกันได้ที่เพจได้เลยค่ะ
0 ความคิดเห็น