สวัสดีค่ะชาว Dek-D ว่ากันว่าจิตใจของมนุษย์เป็นเรื่องยากแท้หยั่งถึง บางครั้งคนเราอาจไม่เข้าใจตัวเองด้วยซ้ำว่าทำไมถึงตัดสินใจซื้อของชิ้นนั้นติดมือกลับบ้านมาด้วย? ทำไมเราเผลอใจให้โปรร้านนี้ตลอดเลย? และอีกหลายคำถามที่ธุรกิจเล็กใหญ่เองก็พยายามหาคำตอบและอยากรู้เท่าทันผู้บริโภคให้มากที่สุด หนึ่งในเบื้องหลังคนสำคัญที่ธุรกิจต้องการตัว จึงเป็น Business Analyst หรือผู้ที่สามารถเลือกข้อมูลมาใช้อย่างชาญฉลาด และนำไปสู่แผนกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพไม่เลื่อนลอย
และวันนี้เรามี #รีวิวออสเตรเลีย แบบกระชับๆ ฉบับ “พี่กอล์ฟ – พลอยอนงค” ศิษย์เก่าคณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาไทย ม.มหิดล ที่ไปเรียนต่อ ป.โท สาขา Business Analytics ที่ University of Wollongong ที่เปิดสอนและดังด้านนี้อันดับต้นๆ โดยมีช่องทางเซฟงบคือทุนมหาวิทยาลัยและการทำงานสุดท้าทายระหว่างเรียน // จะน่าสนใจขนาดไหน? สายนี้ตอบโจทย์เราไหม? ไปเริ่มข้อแรกกันเลยค่าา
. . . . . . . . .
1. เรียนจบเอกไทย ทำงานสาย Customer Support ก่อนเรียนต่อออสฯ
สวัสดีค่ะ ชื่อพี่กอล์ฟค่า เรียนจบ ป.ตรี จากคณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาไทย ม.มหิดล และเลือกเรียนวิชาโทภาษาอังกฤษ พอจบก็ทำงานระยะนึง ก่อนไปเรียนต่อ ป.โท สาขา Business Analytics ที่ University of Wollongong ซึ่งเด็กสาขานี้จะได้เรียนที่แคมปัสในซิดนีย์ (UOW Sydney CBD) มหา'ลัยอยู่ติดทะเลเลยค่ะ ><
Master of Business Analytics
|
ก่อนหน้านี้พี่ทำงานเป็น Customer Support Supervisor (ฝ่ายดูแลลูกค้า) ให้กับบริษัท Tech. Startup ในไทยที่ทำแพลตฟอร์มร้านอาหารครบวงจรค่ะ งานพี่จะได้ใช้พวก MS Excel ระดับนึง มีการเก็บข้อมูล ดึงข้อมูลจากหลังบ้านมาทำรีพอร์ตไปนำเสนอหัวหน้าและวิเคราะห์เทรนด์ผู้บริโภคเพื่อใช้วางแผนทำการตลาดต่อไป
พี่เลยรู้สึกว่าถ้าเป็นเรื่อง Business Analytics เราเรียนรู้มาแล้วระดับนึงจากการทำงาน แล้วถ้าไปต่อ ป.โท ก็จะได้เปรียบ เพราะมีประสบการณ์ไป discuss หรือเขียนเสริมตอนทำข้อสอบกับ Assignments ส่งอาจารย์ คำตอบเราจะเป๊ะขึ้น แล้วยิ่งจบเอกภาษาไทยก็ยิ่งเข้ามือไปอีก
2. กว่าจะลงตัวที่ UOW ออสเตรเลีย
ทำไมถึงเลือกออสเตรเลีย?
หลักๆ พี่ดูก่อนว่าประเทศไหนที่เราสามารถไปได้โดยไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย แล้วออสเตรเลียตอบโจทย์ตรงที่วีซ่านักศึกษาสามารถทำงานพาร์ตไทม์ได้* ก็เลยตั้งใจว่าไปถึงจะเริ่มทำงานพร้อมเรียน และสมัครทุนมหาวิทยาลัยอีกค่ะ (พี่ได้ทุน 30% ช่วยประหยัดไปพอสมควร)
แล้วด้วยความที่พี่วางแผนทำงานต่อที่นั่นหลังจบ เลยดูเรื่องระยะทางด้วย ข้อดีคือไทยกับออสฯ ใช้เวลาเดินทาง 9-10 ชั่วโมง ไม่ต้องข้ามทวีปนานเป็นวันๆ ถือว่าตอบโจทย์ค่ะ
*ข้อมูลจากเว็บไซต์สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์ ระบุว่าตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 66 เป็นต้นไป ผู้ที่ถือวีซ่านักเรียนจะทำงานได้ 48 ชั่วโมง ต่อ 2 สัปดาห์
ทำไมถึงเลือกซิดนีย์?
เรื่องไลฟ์สไตล์ก็สำคัญ พี่เองอยากอยู่เมือง แล้วหนึ่งในมหาลัยที่มีแคมปัสในซิดนีย์ (Sydney) และเปิดสอน Business Analytics ก็คือ Univerity of Wollongong ซึ่งคุณภาพติดอันดับ 3 ของประเทศอ้างอิงจาก QS Business Master’s Rankings 2025: Business Analytics // พอเข้าไปถึงได้เจอเพื่อนหลากหลายพื้นเพ มีคนเอเชียไม่เยอะมาก แต่ส่วนมากจะเป็นคนอินเดียค่ะ
3. เริ่มสมัครแล้วติดทุนเพราะบุญเก่า!?
- ตอนสมัครเรียน UOW พี่ยื่น GPA ป.ตรี ประมาณ 3.8x ได้ทุน University Postgraduate Award (UPA) ช่วยลดค่าเรียน 30% (มูลค่าสูงสุดของทุนประเภทนี้) เลยเป็นเหตุผลที่อยากแนะนำให้น้องๆ รักษาเกรด เพราะถ้าในอนาคตตัดสินใจจะเรียนต่อ เกรดอาจช่วยเพิ่มโอกาสให้เราได้ทุน
- ยื่นคะแนน IELTS Academic Overall 6
- ถ้าเกิดขอทุนจะต้องเขียน Cover Letter ยื่นส่งด้วย ในนั้นจะเล่าประสบการณ์ว่าเคยทำงานอะไรมาก่อน ทำไมเลือกสาขานี้ ฯลฯ ถ้ามีจุดเชื่อมโยงกับสิ่งที่เคยเรียนก็ยกมาเขียนได้ ซึ่งตอนนั้นพี่เขียนไปประมาณว่า อยากศึกษาเรื่องการนำข้อมูลจาก data มาใช้ประโยชน์เพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนงานที่ทำอยู่ บวกกับการเรียนใน environment ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เพื่อเพิ่มโอกาสระดับ global มากขึ้น
4. เรียนต่อ Business Analytics ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดเป็น
เริ่มมาถึงเขามีไกด์ไลน์มาให้ว่าต้องเรียนอะไรบ้าง บางคนกังวลว่าต้องเขียนโค้ดเป็นไหม แต่จริงๆ Business Analytics คือคัดเลือกจากข้อมูลที่มีหรือถูกรวบรวมไว้อยู่แล้ว นำมา generated เพื่อหาข้อมูลเชิงลึก (ไม่ใช่การทำข้อมูลขึ้นมาใหม่) เช่น บริษทเรามีอะไรเป็นจุดขาย? เมนูไหนขายดีในฤดูนี้? ช่วงนี้บริษัทน่าจะลงทุนกับอะไร? เป็นต้น ข้อมูลนี้จะถูกนำไปใช้ประกอบการวางแผลกลยุทธ์ให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคต่อไป
รายวิชาในหลักสูตร |
5. วิชาจบได้เขียน Business Proposal ใช้ยื่นสมัครงานจริงได้!
Advanced Business Analytic เรียนเทอมหลังๆ เป็นวิชาจบ รู้สึกสนุกเพราะวิชานี้เราต้องทำ Business Proposal กันจริงจังมากแบบยื่นสมัครงานจริงได้เลย เลือกได้ว่าจะเอาความรู้ฟิลด์ไหนมาทำรีพอร์ต เช่น e-Commerce, Human Resource และอื่นๆ เพราะสามารถเอา Business Analytics ไปจับได้หมด เช่น อยากวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อสินค้านี้ เราอาจจะเอาแถบที่อยู่มาแมตช์ว่าขายดีโซนไหน ลูกค้าอยู่ช่วงอายุไหนบ้าง คะแนนน่าจะขึ้นอยู่กับการอธิบายออกมา และดูว่าเราเลือกข้อมูลที่เมกเซนส์ไหม ข้อมูลใหม่หรือเปล่าค่ะ
ส่วนพี่เองทำโปรเจ็กต์จบเกี่ยวกับ Fundraising หรือการลงทุนเพื่อการกุศล พี่เองไม่รู้มาก่อนว่าแม้แต่วงการนี้ที่ไม่แสวงหาผลกำไร ก็ทำ Data Analytics ได้เหมือนกัน เช่น เขาจะโปรโมตช่องทางไหนเพื่อให้คนรับรู้มากที่สุด ส่วนใหญ่ใครเป็นคนบริจาค ทำงานส่วนไหนบ้าง ฯลฯ เพราะมันสัมพันธ์กับรายได้และอาชีพ
6. ทำงานพาร์ตไทม์ เป็นหัวหน้าทีม F&B ของศูนย์จัดอีเวนต์ชื่อดังในซิดนีย์
พี่ทำงาน Food and Beverage Operation Team Leader ที่ Sydney Masonic Centre เป็นสถานที่ที่เค้าใช้จัดประชุม สัมมนา หรืออีเวนต์ต่างๆ ฟีลคล้ายๆ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ของบ้านเรา
ค่าครองชีพซิดนีย์ค่อนข้างสูงค่ะ พี่เลยเริ่มทำงานนี้ตอนมาเรียนใหม่ๆ งานหลักฝ่ายพี่คือดูแลเรื่องอาหาร เครื่องดื่ม และภาพรวมการจัดงาน พี่ว่าพี่ enjoy กับงานจนถึงตอนนี้เลย ได้รู้จักคนใหม่ๆ ตลอด ลูกค้าเปลี่ยนเกือบทุกวัน ส่วนใหญ่จะได้ดีลกับเอเจนซีที่จองสถานที่และเข้ามารันงานนั้นๆ ซึ่งบางครั้งก็เป็นคนจากหน่วยงานรัฐด้วย
7. ว่าด้วยเรื่องการหางานในออสฯ
ในออสเตรเลีย การแข่งขันเพื่อหางานถือว่าสูงจริงๆ ยิ่งการจะรับต่างชาติเข้าทำงานต้องดูหลายปัจจัย เช่น ระยะเวลาวีซ่า สกิลภาษาอังกฤษ (เพราะในออฟฟิศใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก) แล้วก็พยายาม join พวกโปรแกรมที่มหาลัยมี เช่น Networking Event ทำให้ได้เจอนักเรียน ทำกิจกรรม ฝึกการเข้าสังคมเจอคนต่างชาติเยอะๆ อย่างตอนเรียน พี่ไปเข้าร่วมโครงการ Australian Workplace Career Program for International Students ได้ทำโปรเจ็กต์กับบริษัท ร่วมกับเพื่อนต่างมหาลัย ช่วยเตรียมความพร้อมได้ระดับนึงค่ะ
ส่วนงานพาร์ตไทม์ที่ทำ พี่เองบินมาเรียนที่ออสฯ หลังพ้นช่วงโควิด-19 พีค และเพิ่งเปิดประเทศ ทำให้มีคนประกาศรับสมัครงานเยอะมากค่ะ (ส่วนใหญ่คนไทยนิยมทำงานร้านอาหาร) ถ้างาน F&B ที่พี่เล่าคือเจอจาก FB Group คนไทยในออสเตรเลีย พอสนใจก็ลองยื่นสมัคร แล้วมีขั้นตอนสัมภาษณ์ตามปกติ
นอกจากนี้คนที่ออสฯ นิยมใช้แพลตฟอร์มดังๆ ชื่อ SEEK และ Linkedin *แนะนำให้สร้างและอัปเดตโพรไฟล์ไว้เพื่อเพิ่มโอกาสได้รับการติดต่องานค่ะ
8. ถ้าจะทำงานกับคนออสซี่ เตรียมหูดีๆ!
จริงๆ สำเนียงออสซี่ไม่ได้ฟังยากขนาดนั้น แต่อาจต้องอยู่สักพักถึงจะชิน เพราะเขาจะนิยมพูด “คำสแลงออสซี่” ที่ทั้งสั้น เร็ว ตัดคำมาก! เช่น Thank you = ta (ใช้กันเป็นปกติ เจอได้บ่อย) / barbeque = barbies / breakfast = breaky / Avocado = avo บางทีไม่ทันตั้งหลักก็จะเอ๊ะๆ เขาพูดอะไรกับฉันหรือเปล่านะ?
แต่ถ้าเรื่องความรับผิดชอบและศักยภาพการทำงาน โดยทั่วไปวัฒนธรรมของคนเอเชีย (โดยเฉพาะคนไทย) จะสู้งานกันมากๆ และทำงานละเอียดอยู่แล้ว เค้าจะไม่ค่อยกังวลกันค่ะ
9. เรียน-ทำงาน-เที่ยว บริหารเวลายังไงให้ไม่พัง
พี่ตารางแน่นเพราะเริ่มมาถึงก็ทำงานพร้อมเรียน คิดว่าน่าจะเหมือนกับหลายๆ คน แถมพี่เซ็ตเป้าหมายไว้ด้วยว่าจะต้องได้เกียรตินิยม ป.โท ด้วย ยิ่งต้องรักษาวินัยไม่ให้หลุด
โปรแกรมพี่เรียนภาคค่ำ แต่ละวันพี่จะตื่นเช้าไปทำงานก่อน แล้วเข้าแคมปัสเรียนตอนเย็น เรียนเสร็จกลับมาทำการบ้านต่อ + บังคับตัวเองให้ตื่นมาอ่านสไลด์ที่ปกติอาจารย์จะมีให้ทุกคาบอยู่แล้ว จริงๆ ไม่ได้รู้สึกหนักจนไม่มีเวลาส่วนตัว เพราะหลังทำการบ้านเสร็จมีเวลาเล่น RoV ได้ และเที่ยวเยอะมากกค่ะ 5555 สุดท้ายพี่ทำตามโกลที่ตั้งไว้ได้ จบออกมาด้วยเกรดระดับ High Distinction (HD) ≈ Excellent
ถ้าน้องๆ กำลังหาวิธีรักษาบาลานซ์ อยากลองแชร์วิธีของพี่ดูค่ะ
- เปิดดูว่ามหาลัยและคณะให้คะแนนรายวิชานั้นๆ จากอะไร เน้นพาร์ตนั้นเป็นพิเศษก็จะช่วยทุ่นแรงและเวลาได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็น Assignments แต่ละชิ้นคะแนนมากน้อยต่างกัน (มีทุกคาบ)
- พิจารณากำหนดส่งงานแล้วแบ่งเวลาตามความเหมาะสม เช่น วันนี้ลุยชิ้นนี้สัก 30% แล้วกระจายไปอีกวัน ไม่จำเป็นต้องรวดเดียว 100% เสร็จทั้งงานก็ได้ เพราะอย่าลืมว่าเราต้องนอนให้พอ // การนอนสำคัญมากกก โหมแค่ไหนอย่างน้อยต้องมีช่วงได้นอนค่ะ ถ้าไม่สบายขึ้นมาจะลำบาก ตารางจะรวนไปอีกโดยเฉพาะตอนอยู่ต่างประเทศที่เราไม่คุ้นชิน
- ช่วงที่เหนื่อยให้กำลังใจตัวเองเยอะๆ คิดตลอดเลยว่าถ้าเรียนจบส่งงานแล้วจะดีเอง ตัดภาพมาตอนนี้พี่เรียนจบแล้ว ทำให้มี task เดียวคือลุกไปทำงาน ผ่านช่วง hard mode มาแล้วก็เลยโอเคมากค่ะ 555
10. ปิดท้ายด้วยรีวิวออสเตรเลีย
(*จากประสบการณ์ส่วนตัว)
- รถไฟดีและตรงเวลาทั้งประเทศ ถ้าเกิดมีเปลี่ยนแปลงเวลาหรือหยุดวิ่งก็จะมีบอกในตารางเลย (เพียงแต่ที่ออสเตรเลียจะมี Train Strike หรือประท้วงหยุดเดินรถไฟบ่อย) ส่วนคนที่จะมาเรียน UOW ที่ซิดนีย์ ล่าสุดเขาเพิ่งย้ายจากที่ตั้งเดิมคือ Gateway Building ใน Circular Quay ไปยังอาคาร Tower 1 ที่ Darling Park เดินทางง่ายกว่าเดิมอีกค่ะ (เช็กวิธีเดินทางที่นี่)
- อากาศแปรปรวนและเดายาก ส่วนใหญ่คนมาที่นี่แล้วจะเป็นภูมิแพ้อากาศค่ะ ในหนึ่งวันมีโอกาสเจอได้ 3-4 ฤดู เช่น มีแดดตอนเช้า สักพักฟ้าครึ้ม ฝนใกล้จะตก แล้วก็ฝนตกแบบหนาวด้วยเพราะลมแรง (เป็นประเทศติดทะเล) // ที่นี่ต่างจากไทยคือปลายปีจะเป็นช่วงซัมเมอร์ อย่างตอนนั้นพี่ไปถึงลงเครื่องมาเจอฝนต้อนรับเลยค่าา TT
- เรื่องอาหารอาจไม่ค่อยถูกปากสำหรับคนไทยบางคน แต่ในซิดนีย์มีร้านอาหารเอเชียเยอะ มี Thai Town กับ China Town ให้พอหายคิดถึงได้น้าา
- คนที่นี่สามารถดื่มน้ำจากก๊อกได้ แต่ต้องผ่านเครื่องกรอง ตามร้านอาหารก็กดน้ำได้ฟรี หรือจะซื้อน้ำขวดก็ได้ ((กระซิบ: แต่เบียร์ถูกกว่า))
- เที่ยวแนวธรรมชาติได้ง่ายๆ อาจนั่งรถหรือเช่ารถขับได้ค่ะ // ส่วนตัวพี่ติดใจทะเลค่ะ! น้ำใสสสสสะอาด ถ้าหากที่ปอปปูลาร์ๆ อย่าง Bondi Beach กับ Manly Beach คนจะเยอะหน่อยนะคะ
- สำหรับใครที่เป็นสายคาเฟ่ โดยเฉพาะสายถ่ายรูป ขอชี้เป้าให้ลอง The Grounds of Alexandria ลยค่า เปลี่ยนธีมทุกซีซันเลย!
. . . . . . . . .
สุดท้ายนี้ ใครอยากติดตามคอนเทนต์ชีวิตในซิดนีย์ มากระซิบว่าคุณความรักของพี่กอล์ฟมีทำเพจ FB Fanpage และ YouTube Diairy in Sydney ลงรีวิวไว้สนุกๆ ชี้เป้าพิกัดร้านค้า ร้านอาหาร มหาวิทยาลัย ฯลฯ ไปกดติดตามกันค่ะ เลิศมาก!
เพจเฟซบุ๊ก: Diairy in Sydneyช่องยูทูบ: Diairy in Sydney
0 ความคิดเห็น