เปิดเคล็ดลับการอ่านหนังสือ + แบ่งเวลา ฉบับไอดอลตัวจริง "ฟรัง นรีกุล"


          สวัสดีค่ะ กลับมาพบกันอีกแล้วนะคะ กับคอลัมน์ Admission Idol  ของเรา เรียกได้ว่าเพิ่งผ่านช่วงระยะเวลาของ #dek59 มาไม่นาน แอบได้ยินมาว่าปีนี้มีน้องๆ ในวงการบันเทิงที่เข้ามหาวิทยาลัยกันหลายคนเลย มีทั้งความสามารถและความขยันแบบนี้ น้องๆ มีใครเป็นไอดอลบ้าง ลองมาแชร์ให้พี่อีฟฟังได้นะคะ ซึ่งวันนี้พี่อีฟก็แอบมีหนึ่งคนมาแชร์ด้วยแหละ

          สัปดาห์ที่ผ่านมา พี่อีฟได้มีโอกาสไปเจอ พี่ฟรัง นรีกุล เกตุประภากร ในงาน "ตั้งเป้าเข้าชาร์จ ชูเทคนิค 4G สู่ความสำเร็จ" ที่จัดขึ้นโดยคุณครูพี่แนน จาก Enconcept พี่อีฟเลยถือโอกาสชวนพี่ฟรังมานั่งพูดคุยกันถึงเคล็ดลับการสอบและความพยายามก่อนจะคว้าฝันได้สำเร็จกันค่ะ
 

         หลายคนอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตากับพี่ฟรัง ในบทบาทการแสดงซีรีส์ Hormones วัยว้าวุ่น ในบทของออย ที่ทำให้คนดูอินในการแสดงมาแล้ว แต่อีกบทบาทหนึ่ง ที่เรียกได้ว่าสำคัญไม่แพ้กัน คือ ด้านการเรียน ซึ่งตอนนี้พี่ฟรังกำลังเตรียมตัวเข้าเป็นนิสิตชั้นปีที่ 1 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยผ่านระบบรับตรง กสพท. เมื่อความรับผิดชอบมาพร้อมกับความฝัน พี่ฟรังต้องใช้ความพยายามแค่ไหน ผ่านจุดนั้นมาได้ยังไง ไปติดตามกันเลย!

น้องๆ หลายคนน่าจะอยากรู้ ทำไมถึงตัดสินใจจะเลือกเรียนแพทย์
         จริงๆ ฟรังก็เหมือนกับวัยรุ่นทั่วไปเลยค่ะที่ตอนแรกก็ยังไม่รู้หรอกว่าตัวเองอยากเรียนอะไร แต่พอขึ้น ม.6 ก็เป็นช่วงที่เราต้องเตรียมตัว แล้วก็ต้องตัดสินใจแล้ว เราก็มีทั้งกลุ่มเพื่อนที่อยากเรียนแพทย์เหมือนกัน ก็เริ่มสนใจทางนี้ แล้วพอเรียนไปเรื่อยๆ เราก็เริ่มสังเกตตัวเอง ว่าเราเป็นคนขี้สงสาร เวลาเห็นข่าว หรือเวลาเจอคนที่ไม่สบาย ก็อยากช่วยเหลือ อยากรักษาให้หาย ก็คิดว่าสมมติเราได้เรียนแพทย์ แล้วจบออกมา เราก็สามารถทำในส่วนนี้ได้อย่างที่ตั้งใจ

การค้นหาตัวเองกับคณะที่ใช่
         จริงๆ ก่อนหน้านี้ก็คิดมาหลายคณะมาก เรียกได้ว่า เคยอยากเข้ามาทุกคณะแล้ว ทั้งบัญชี วิศวะฯ การโรงแรม ฯลฯ แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง เราก็ลองถามตัวเองดูว่าคณะไหนที่เหมาะกับเราจริงๆ ซึ่งเรารู้สึกว่าแพทย์คือเหมาะกับเราที่สุดแล้ว
          ตั้งแต่ช่วง ม.3-4 เวลาคนถาม ว่าอยากเป็นอะไร เราก็จะตอบแพทย์ไว้ก่อน แต่ตัวเราเองจริงๆ ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ ซึ่งพอตอบไป ส่วนมากทุกคนก็จะเป็นห่วงว่าการเรียนมันยาก เรียนหนัก ห่วงว่าเราจะเรียนไหวรึเปล่า ซึ่งพอเราตัดสินใจกับตัวเองจริงๆ แล้ว ว่าจะเลือกเรียนแพทย์ เราก็มองว่าถึงจะยากก็ไม่เป็นไร ขอลองดูก่อน อยากสอบให้ติดก่อนดีกว่า

เพิ่งเตรียมตัวเต็มที่ตอน ม.6
          ใช่ค่ะ เพิ่งมาเตรียมตัวกับเป้าหมายแพทย์ตอน ม.6 แต่ตอน ม.4-5 เราก็ตั้งใจเรียนมาตลอดนะ แบบเรียนทั่วไปเลย คือเราเรียนสายวิทย์มา ก็เจอฟิสิกส์ เคมี ชีวะฯ มาเรื่อยๆ อยู่แล้ว แต่พอ ม.6 ที่ตัดสินใจจะเลือกแพทย์ ก็ต้องมาดูว่าแพทย์สอบอะไรบ้าง พอรู้ว่ามีความถนัดแพทย์ กับวิชาสามัญ เราก็เริ่มเจาะลึกไปวิชาสามัญมากขึ้น และพอตั้งใจมาทางนี้แล้ว เราก็เลยไม่ได้โฟกัสที่แอดมิชชั่นเลย

เป็นยังไงบ้างกับสนามสอบ ม.ขอนแก่น
         สนามสอบแพทย์ มข. ถือว่าเป็นสนามสอบแพทย์ สนามแรกที่เปิดเลย ตอนนั้นเราก็เตรียมตัวก่อนสอบแบบเตรียมตัวสอบแพทย์ทั่วไป ไม่ได้เฉพาะว่าต้องดูข้อสอบเก่าของที่นี่ หรือเตรียมตัวเฉพาะของ ม.ขอนแก่น ก็ไปสอบกับเพื่อนหลายคนค่ะ ส่วนมากเพื่อนก็ติดกัน แต่รอบแรกเขาประกาศประมาณเกือบ 400 คน เราก็เลยตัดสินใจรอสนาม กสพท. ต่อไปค่ะ
 

4 อันดับ กสพท. เลือกอะไรบ้าง
         อันดับ 1 แพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
         อันดับ 2 แพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ม.มหิดล
         อันดับ 3 แพทยศาสตร์วชิรพยาบาล ม.นวมินทราธิราช
         อันดับ 4 ทันตแพทยศาสตร์ ม.มหิดล
         จริงๆ อันดับ 4 ฟรังก็ลังเลระหว่าง มศว กับทันตะฯ ม.มหิดล แต่ก็มองในเรื่องของการเดินทาง ซึ่ง มศว ไกลกว่า คิดว่าถ้าทำงานด้วยอาจจะเดินทางลำบาก ก็เลยเลือกทันตะฯ มหิดล


สนามแรกที่ต้องเจอใน กสพท. กับความถนัดแพทย์ 
          จริงๆ ฟรังได้คะแนนความถนัดแพทย์ไม่เยอะมาก ประมาณ 19.XX ซึ่งเราก็เตรียมตัวนะ ก็มีเรียนเพิ่มเติม แล้วก็ทำโจทย์เก่า แต่เราก็จะรู้ว่าข้อสอบความถนัดแพทย์เป็นอะไรที่คาดเดาไม่ได้ ถ้าถามว่าพาร์ทไหนที่โหดสุด ก็คงเป็นพาร์ทเชาวน์เลย เพราะมันมีเวลาน้อย ต้องอาศัยความเร็ว จริงๆ มันลนด้วยแหละ เหมือนอีกนิดเดียวจะคิดได้แล้ว แต่ก็ต้องข้ามไปข้อต่อไป แล้วโจทย์บางข้อมันเหมือนต่อกัน เช่น ให้โจทย์มา แล้วถามคำถาม 5 ข้อ ซึ่งจะให้เราทิ้งเราก็ไม่กล้า แต่จะให้เราคิดเราก็คิดไม่ออก ก็ไม่รู้จะทำยังไง
         ส่วนพาร์ทจริยธรรม ฟรังมองว่าขึ้นอยู่กับแต่ละคนจะตอบเหมือนกัน เพราะฟรังก็ไม่รู้ว่าข้อไหนทำถูก ข้อไหนทำผิดบ้าง เราก็เลือกไปตามที่เราคิด ไม่ได้มีหลักการเท่าไหร่ เลือกตามความรู้สึกมากกว่า ส่วนเชื่อมโยงทุกคนจะมองว่าเป็นพาร์ทเก็บคะแนน ต้องทำให้ได้เต็ม เราก็พยายามทำให้ได้เต็มค่ะ


วิชาไหนที่ถนัดที่สุดในวิชาสามัญ
          จริงๆ ฟรังไม่ได้มีวิชาไหนที่โดดเด่นเป็นพิเศษนะคะ แต่ถ้าถนัดที่สุดก็น่าจะเป็นวิชาภาษาอังกฤษค่ะ คือไม่ได้เก่งมากนะ แต่คิดว่าถนัด เพราะเป็นวิชาที่ได้คะแนนเยอะสุด ตอนแรกคือกังวลเลข (คณิตศาสตร์) มาก เพราะมันถ่วงเยอะ เยอะเท่ากับอังกฤษเลย (20 %) ตอนนั้นเลยฟิตและทุ่มเทกับเลขมาก ทำโจทย์ทุกวัน แรกๆ ที่ทำโจทย์นี่คือได้ไม่ถึง 30 เลย ก็ทำทุกวันๆ จนมันก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ทีละนิดทีละหน่อย แล้วพอสอบจริงๆ คะแนนออกมา เราก็โอเคนะ รู้สึกดีที่ทุ่มเท เพราะเวลาเราทำเลข แล้วได้คะแนนน้อย เราจะกังวลตลอด ว่าทำไมมันยากจัง รู้สึกว่าวิชานี้เป็นวิชาที่เนื้อหาเยอะ แล้วต้องมีทักษะในการทำมาก

สนามสอบ O-NET เป็นยังไงบ้าง
          ถึงจะเตรียมตัวมาเยอะแล้ว แต่ก็เชื่อว่าหลายๆ คนก็น่าจะกลัว O-NET ไม่ถึง 60% เหมือนกัน ซึ่งฟรังก็กลัวนะ ช่วงหลังจากวิชาสามัญ เราก็เริ่มปล่อยๆ แล้วล่ะ แต่พอมาช่วงก่อนสอบ O-NET เราก็กลับมาทบทวนนิดหน่อย เรื่องไหนที่รู้สึกว่าตัวเองยังไม่มีความรู้หรือยังรู้ไม่แน่น อย่างดาราศาสตร์ เราก็ไปเรียนเพิ่มเติม ถือว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่เริ่มว่าง เราก็พยายามเก็บๆ เนื้อหาทุกอย่างให้ครบก่อนสอบค่ะ
 

แบ่งเวลาอ่านหนังสือยังไงตอนอยู่กองถ่าย
          จริงๆ ตอนไปกองถ่ายคือเราต้องอยู่ตั้งแต่เช้าจนถึงเย็นเลย แต่มันก็จะมีช่วงที่ว่างอยู่แล้ว เพราะเราไม่ได้ถ่ายทุกซีนติดต่อกัน แล้วก็จะมีเวลาหลังจากที่เราจำบทได้แล้ว รู้แล้วว่าซีนต่อไปต้องถ่ายอะไร ช่วงเวลานี้เราก็จะเอาโจทย์ขึ้นมาทำ แต่กองถ่ายก็จะมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น บางทีเราจะไม่ค่อยมีสมาธิ เพราะคนเยอะ ก็ต้องเลือกการอ่านที่สอดคล้องกัน เช่น การทำโจทย์เรื่อยๆ อาจจะเป็นโจทย์ที่ไม่ยากมาก โจทย์ที่ไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิแก้ให้ออก หรืออาจจะเลือกท่องศัพท์ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ไม่ต้องทำความเข้าใจเยอะ

เตรียมตัวยังไงบ้างกับการสอบ
        ฟรังเริ่มต้นจากวิธีพื้นฐานทั่วไปเลยค่ะ เช่น อยู่ในห้องก็ตั้งใจเรียน เวลาคุณครูสอนอะไรเราก็จะคิดตาม ไม่นั่งเหม่อลอย ค่อยๆ คิดตามและทำความเข้าใจไปพร้อมกับที่ครูสอนทุกครั้ง พอกลับมาจากโรงเรียนก็กลับมาทบทวนบทเรียน แต่ด้วยความที่เราอยู่ตรงนี้ (ในวงการบันเทิง) ฟรังก็จะคิดอยู่ตลอดว่าเราไม่ค่อยมีเวลา เวลาไม่พอ มันเลยกลายมาเป็นแรงผลักดันให้เรารู้สึกว่า เราปล่อยเวลาไม่ได้ มีเวลาว่างตอนไหน ก็จะต้องอ่านหนังสือ เดี๋ยวจะอ่านไม่ทัน

เทคนิคการอ่านหนังสือฉบับฟรัง
          ฟรังก็ไม่ได้มีเทคนิคอะไรเฉพาะขนาดนั้นนะคะ แต่มีที่ใช้บ่อยๆ ก็จะเป็นเทคนิคการอ่านออกเสียง ถ้าอยู่ในกองถ่ายหรืออยู่กับเพื่อน ก็จะเน้นอ่านออกเสียงให้ตัวเองได้ยิน ไม่ได้อ่านเสียงดังจนรบกวนคนอื่น แต่ถ้าอยู่ที่บ้าน อ่านคนเดียวในห้อง เราก็จะอ่านแบบคุยกับตัวเองเลย เล่นบทบาทสมมติ ถามตัวเองว่า "ข้อนี้ตอบอะไร" ให้ดูสนุกๆ ถ้าตอบถูกก็จะชมตัวเองว่า "เก่งมาก!" เวลาอ่านจะได้รู้สึกไม่น่าเบื่อหรือง่วงนอน :D
          นอกจากนั้นก็จะเน้นทำโจทย์ ทำข้อสอบเก่า อย่างข้อสอบวิชาสามัญ เราก็ทำย้อนหลังไป ประมาณ 3-4 พ.ศ. แล้วก็ทำหนังสือที่รวมข้อสอบเก่าทั่วไป ทำไปเรื่อยๆ ยิ่งเลขนี่ควรจะต้องทำโจทย์เยอะๆ เลย แล้วก็พยายามอย่าทิ้ง อ่านให้ได้ทุกวิชา เพราะถ้าวิชาไหนมีเกณฑ์ขั้นต่ำกำหนด แล้วเราทำไม่ถึงก็คงน่าเสียดายมาก

           อีกอย่างคือฟรังเป็นคนไม่ได้มีสมาธิจดจ่อกับอะไรได้นานๆ ให้อ่านหนังสือเองทั้งวัน ทำไม่ได้แน่ ในหนึ่งวันก็เลยจะทั้งเรียนด้วยแล้วก็อ่านหนังสือด้วย สมมติถ้าว่างเต็มวัน ก็จะเรียนครึ่งวัน อ่านเองครึ่งวัน แล้วก็จะเรียนแต่ละวิชาเป็นช่วงๆ ไป ไม่ใช่เรียนทีเดียวพร้อมกันทุกวิชา เช่น จะมีช่วงที่เรียนฟิสิกส์ ก็เรียนฟิกส์ยาวๆ แต่เวลาอ่านเองอีกครึ่งวัน เราก็อาจจะอ่านทบทวนเคมี แล้วถัดไปก็ค่อยเป็นช่วงที่เรียนเคมี อีกครึ่งวันอ่านทบทวนชีวะฯ แล้วก็วนไปเรื่อยๆ ไม่ให้เราลืม ซึ่งมันลืมได้แน่นอน
          มันจะมีจุดหนึ่งที่เราเคยรู้สึกว่าไม่รู้จะอ่านไปทำไมเพราะเดี๋ยวก็ลืม ซึ่งพอมาถามคนอื่น เพื่อนทุกคนก็เป็นเหมือนกัน แต่จริงๆ ฟรังว่าก็ไม่แย่ขนาดนั้นหรอก ถ้าเราอ่านจริงๆ ถึงบางทีจะมีส่วนที่เราลืม แต่มันก็จะมีส่วนที่เราจำได้เหมือนกัน ถ้าทบทวนบ่อยๆ เราก็จะจำได้เอง 
ทุกครั้งที่รู้สึกท้อ เราก็จะคิดว่าไม่เป็นไรหรอก คนอื่นก็เคยเป็น อ่านไปให้เต็มที่จนกว่าจะสอบดีกว่า
 

เคยท้อบ้างไหม
         มีๆ บ่อยเหมือนกันค่ะ ยิ่งเราทำงานด้วย ก็เหนื่อยเหมือนกัน บางทีเหนื่อยมาก ก็มีท้อนะ กลับบ้านมาร้องไห้ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เราไม่กล้าหยุด เพราะเรารู้สึกว่าเราเดินมาไกลแล้ว ถ้าหยุดก็คือจบ อย่างน้อยถ้าเราทำต่อไป เราก็จะได้รู้ว่าผลสุดท้ายมันจะเป็นยังไง ตอนนั้นที่เลือกทำต่อ เราก็กังวลมาก ถามตัวเองว่าทำไมต้องทำขนาดนี้ ไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร ทำแล้วจะติดไหม ทำไปแล้วจะคุ้มค่าไหม กลัวตั้งใจมากแล้วผิดหวังมาก แต่ก็คิดว่าอย่างน้อยถึงจะผิดหวัง ก็จะได้รู้ ถือเป็นประสบการณ์ในชีวิต เราไม่รู้หรอกว่าเราจะติดหรือไม่ติด แต่เรารู้แน่ๆ ว่าถ้าเราหยุดตอนนี้ เราไม่ติดแน่ แล้วมันก็เหมือนเป็นอีกครั้งหนึ่งในชีวิตที่เราจะทุ่มเทอะไรสักอย่าง ก็ทำให้สุดๆ ไปเลยดีกว่า ไม่อยากเจอเหตุการณ์ที่เราไม่ติด แล้วต้องมาเสียใจทีหลังที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ตั้งใจ

ลองเล่าชีวิตมัธยมให้ฟังหน่อย
        ชีวิตมัธยมก็ดีค่ะ สนุกสนาน จริงๆ ฟรังว่าชีวิตมัธยมเราดีมากเลย ชอบช่วงมัธยมมาก ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมือนเป็นจุดเปลี่ยนของเราหลายๆ อย่างนะ เช่น เป็นช่วงที่ฟรังได้เริ่มเข้ามาทำงานในวงการ เป็นช่วงที่เปลี่ยนโรงเรียนด้วย จากหญิงล้วนเป็นสหฯ แล้วก็เป็นช่วงเวลาที่อาจจะสับสนวุ่นวายบ้าง แต่พอผ่านมาได้ ก็สนุกดีค่ะ

เตรียมตัวกับการเป็นเฟรชชี่ยังไงบ้าง
          ช่วงรอเปิดเรียนถือเป็นช่วงที่เราพักผ่อนแบบเต็มที่เลยค่ะ หลังจากที่หนักมาตลอดก่อนสอบ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้เตรียมตัวเท่าไหร่ แต่เราก็มีไปรับน้องมาแล้ว ก็ได้เจอพี่ๆ ในคณะ มาทำความรู้จัก แล้วก็มาแนะนำการเรียนในปีต่อๆ ไป ซึ่งก็หนักเหมือนกัน ฟรังก็ไม่ได้เครียดอะไรนะคะ เพราะเคยเจอทั้งรุ่นพี่ที่มาเล่าแบบหนักๆ แล้วก็รุ่นพี่ที่ไม่ได้ดูเครียดมาก น่าจะอยู่ที่ตัวเรามากกว่าว่าจะเครียดไหม บางคนอาจจะหวังได้ A หรือเกียรตินิยม แต่ฟรังตอนนี้คือหวังว่าไม่ F ก็พอ55555 พี่ๆ ก็บอกว่าปี 1 ยังไม่มีอะไรมาก เป็นปีที่สบายที่สุด ก็เลยโอเค ขอใช้ชีวิตของปี 1 ให้เต็มที่ก่อน
 

อยากฝากอะไรด้านการเรียนถึงน้องๆ ที่ติดตามเราบ้าง
          ฟรังมองว่าสิ่งสำคัญคือเราต้องเอาจริง เราอยู่ ม.6 แล้วนะ เล่นๆ ไม่ได้แล้ว ถ้ามีเป้าหมาย ก็คิดว่าต้องทำยังไงก็ได้ให้ติด ซึ่งมันก็ต้องพยายาม ฟรังก็ตั้งใจอ่านทุกวัน มีเวลามากก็อ่านมาก มีเวลาน้อยก็อ่านน้อย สะสมไปเรื่อยๆ มันเหนื่อยแหละ ท้อด้วย บางคนอาจจะคิดด้วยซ้ำว่าไม่เห็นต้องเหนื่อยขนาดนี้เลย แต่ฟรังไม่อยากให้ท้อ ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสำเร็จ ทำให้ตัวเองรู้สึกว่า ถ้ามองกลับมาแล้วจะไม่เสียใจ
          อยากฝากให้น้องๆ สู้ๆ มันอาจจะเป็น 1-2 ปีที่อาจจะหนักหน่อย แต่ถ้าเราเต็มที่ ผลออกมามันก็จะคุ้มค่า ขอให้สู้ไปเรื่อยๆ อย่าท้อถอย มันเหนื่อยแน่นอน อุปสรรคมันเยอะ แต่สุดท้ายเราก็จะภูมิใจ อย่างตอนที่ฟรังอ่านหนังสือ แล้วท้อ ฟรังก็จะนึกภาพเวลาที่เห็นรายชื่อตัวเอง มันก็จะมีกำลังใจขึ้นมา อยากให้น้องๆ สู้ๆ ค่ะ :D
 

          เป็นยังไงกันบ้างคะ กับชีวิตการเรียนของพี่ฟรัง น้องๆ ม.6 คนไหนที่ยังเล่นๆ อยู่ ก็กลับมามุ่งมั่นตั้งใจได้แล้วเนอะ ทุกคนเคยผ่านช่วงเวลาที่ท้อค่ะ พี่ฟรังก็เคยท้อ เพื่อนๆ พี่ๆ หลายคน ก็เคยท้อ แต่ทุกคนที่ประสบความสำเร็จ ท้อแต่ไม่เคยถอดใจค่ะ เพราะทุกคนรู้ว่าถ้าทำได้ ผลของมันจะน่าภูมิใจแค่ไหน กลับมาพบกันใหม่ครั้งหน้า และอย่าลืมติดตามผลงานของพี่ฟรังด้วยนะคะ สวัสดีค่ะ :D
 

ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก : Enconcept
Dek-D Team ทีมคอลัมนิสต์ Dek-D

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

10 ความคิดเห็น

haruuta Member 21 มิ.ย. 59 17:21 น. 1

รอฟรังมาแอดมิชชั่นไอดอลนานมากกกก พอมาแล้วก็ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ คนอะไรทั้งน่ารักทั้งเรียนดี ขอบคุณสำหรับเคล็ดลับดีๆค่ะเยี่ยมเยี่ยม

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
[F.S]Fang_041 Member 2 ส.ค. 59 21:31 น. 9
รู้สึกมีกําลังใจขึ้นมากเลย คือเราเป็นพวกเเบบไม่อยากอ่านหนังสือไงเพราะกลัวอ่านเเล้วเเบบไม่รู้เรื่องได้คะเเนนไม่ดีอ่ะ คือเหมือนกลัวเสียความรู้สึกตัวเองอ่ะ(ผิดหวังแหละ) เเบบเห้ย!ที่เราอ่านมาทั้งหมดที่ทํามาเนี่ยไม่มีความหมายเลยใช่ป่ะ?เราเลยตัดสินใจที่จะไม่อ่านเลย จะได้ไม่ผิดหวัง มันกลัวอ่ะ เเบบกลัวไปหมด กลัวที่ตั้งใจจะไม่มีความหมาย บลาๆๆ เเต่พอมาอ่านบทความนี้ปุ้บ คือเเบบจะร้องไห้(ซึ้งในพระธรรม ไม่ใช่ชอกชํ้าา) คือเเบบ เห้ย!ถ้าเราพยายามอ่ะมันก็ไม่มีอะไรยากเกินไปหรอก ขอเเค่พยายามจริงป่ะ? เเบบพี่ฟรังอ่ะ บอกเลยปกติไม่เคยเห็นพี่เป็นไอดอล (เพราะไม่ค่อยดูหนังไง) แต่พอมาวันนี้ พี่คือไอดอลลลลลล เราจะพยายามให้ดีที่สุดล่ะ!
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด