กลับมาเจอกันอีกแล้วนะคะ สำหรับ "เคล็ดลับเทคนิคแอดมิชชั่น" ไหนๆ พี่อีฟขอดูมือหน่อยว่า ใครอยู่ "ทีมแอดมิชชั่น" ใครอยู่ "ทีมรับตรง" กันบ้าง แต่ไม่ว่าน้องๆ จะอยู่ทีมไหน พี่อีฟก็ขอเป็นกำลังใจและเอาใจช่วยทุกทีมนะคะ เชื่อว่าน้องๆ ทุกคนต้องติดคณะในฝันกันแน่นอน ขอแค่อย่าพลาดอะไรเพราะความประมาทของตัวเองเลยค่ะ
ความประมาทที่พี่อีฟคิดว่าน่าเสียดายที่สุด คือความประมาทที่มาจากความเข้าใจผิดของเราเองนะคะ ดังนั้น พี่อีฟก็เลยขอรวบรวม 5 สิ่งที่คิดว่าเด็กแอดมิชชั่นหลายคนยังเข้าใจผิดกันอยู่ มาแก้ไขความเข้าใจผิดของน้องๆ กัน จะได้ไม่พลาดกันเนอะ ไปดูกันดีกว่าค่ะ ว่ามีอะไรบ้าง
• ไม่มี Portfolio = ไม่มีสิทธิ์สัมภาษณ์ ?
ทุกครั้งเวลาสอบสัมภาษณ์ หลายคนก็มักจะต้องนึกถึง Portfolio เป็นสิ่งคู่กันค่ะ และทำให้น้องๆ หลายคนคิดไปว่า ถ้าเราไม่มี Portfolio แบบอาจจะลืมทำ หรือทำไม่ทัน หรือไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำ เราก็จะไม่มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์เลย! ซึ่งความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลยค่ะ ถ้าน้องๆ สอบข้อเขียนหรือสอบรอบแรกผ่านมาแล้ว น้องๆ ก็จะมีสิทธิ์ในการสอบสัมภาษณ์ทุกประการ ไม่เกี่ยวกับการที่เรามีหรือไม่มี Portfolio เลย
แต่ต้องอย่าลืมนะคะว่าไม่มีก็ได้ ไม่ได้แปลว่าไม่สำคัญ เพราะจริงๆ แล้ว Portfolio มีความสำคัญเหมือนกับเป็นด่านแรกที่ทำให้อาจารย์รู้จักเรา หรือบางทีก็แสดงถึงความเตรียมพร้อมของเราได้เลย ซึ่งในรอบแอดมิชชั่น น้องๆ ไม่ต้องกังวลเลยค่ะ เพราะรอบนี้ ขอแค่ตอบคำถามดี เป็นตัวของตัวเอง Portfolio ไม่มีก็ได้ค่ะ แต่ถ้าในรอบรับตรงที่พร้อมจะคัดออก ขอบอกว่า Portfolio ก็เป็นตัวตัดสินได้เลย ยังไม่นับรวมโครงการที่ระบุว่าต้องมีด้วยนะ ดังนั้น ถ้ามีก็ทำให้อุ่นใจกว่ากันค่ะ :D
• เคลียริงเฮาส์คือระบบที่ตัดสิทธิ์มหาวิทยาลัยให้เราเอง ?
โครงการรับตรงต่างๆ ถ้าใช้ระบบเคลียริงเฮาส์เป็นเกณฑ์ ก็มักจะถูกแยกออกเป็น 2 ประเภทค่ะ คือโครงการรับตรงแบบที่เข้าร่วม และตัดสิทธิ์ในเคลียริงเฮาส์กับโครงการรับตรงที่ไม่ได้เข้าร่วม และไม่ได้ตัดสิทธิ์ในเคลียริงเฮาส์หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าเข้าร่วมจะตัดสิทธิ์ ถ้าไม่เข้าร่วมก็จะไม่ตัดสิทธิ์ค่ะ น้องๆ หลายคนก็เลยยังสงสัย ว่าเคลียริงเฮาส์เนี่ย ที่บอกว่าจะตัดสิทธิ์ ตัดกันแบบไหน
ทำให้มีน้องๆ หลายคนเหมือนกันค่ะ เข้าใจว่า ถ้าเราติดในรับตรงที่เข้าร่วมเคลียริงเฮาส์แล้ว ทางมหาวิทยาลัยจะตัดสิทธิ์ให้เราเอง ยิ่งถ้าติดที่เดียว ก็ถือว่าติดแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่บอกเลยว่าไม่ใช่เลยค่ะ ! รีบเปลี่ยนความคิดใหม่เลย เพราะความจริงแล้ว ถ้าน้องๆ สมัครโครงการรับตรงที่เข้าร่วมเคลียริงเฮาส์ ไม่ว่าจะติดกี่โครงการ น้องๆ จะต้องเข้าไปกดยืนยันสิทธิ์ในระบบเคลียริงเฮาส์ด้วย ถึงแม้จะติดที่เดียว แต่ถ้าไม่ยืนยันสิทธิ์ ก็หมดสิทธิ์ค่ะ
• โครงการรับตรงตัดสิทธิ์กันเอง ?
ใครที่มีสมัครรับตรงไปหลายโครงการ มหาวิทยาลัยนั้นก็ดี มหาวิทยาลัยนี้ก็น่าสนใจ ตอนแรกก็อาจจะเครียดที่ยังไม่มีที่เรียนค่ะ แต่ถ้าติดทุกที่ หลายคนก็คงเริ่มกังวลใจเหมือนกัน ว่าจะเลือกที่ไหนดี ติดมหาวิทยาลัย A แล้ว แต่ก็อยากสมัครมหาวิทยาลัย B ด้วย หรือติดมหาวิทยาลัย A แล้ว จะถูกตัดสิทธิ์มหาวิทยาลัย B ไหม เป็นคำถามที่ถูกถามกันมาตลอดเลยค่ะ
ขอทำความเข้าใจกับน้องๆ กันตรงนี้เลยนะคะ ว่ารับตรงแต่ละมหาวิทยาลัยจะไม่ตัดสิทธิ์กันเองค่ะ เช่น ถ้าประกาศออกมาว่าน้องๆ ผ่านการสอบสัมภาษณ์ในมหาวิทยาลัย A และวันต่อมาก็พบว่าน้องๆ เป็นผู้มีสิทธิ์เข้าสอบสัมภาาณ์ในมหาวิทยาลัย B ด้วย (สอบติดทั้ง 2 โครงการ) ถ้ามหาวิทยาลัยทั้ง 2 แห่งนี้ ไม่เข้าร่วมเคลียริงเฮาส์ ตราบใดที่น้องๆ ยังไม่ยืนยันสิทธิ์ หรือยืนยันการเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยใดมหาวิทยาลัยหนึ่ง ก็จะไม่มีการตัดสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยไหนแน่นอนค่ะ แต่ก็ต้องระวังให้ดีว่า ถ้ายืนยันสิทธิ์การเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยไหนแล้ว บางโครงการจะระบุไว้ชัดเจนเลยค่ะ ว่าห้ามเป็นผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษาในโครงการรับตรงอื่น
• เรียนสายศิลป์ สอบหมอไม่ได้ ?
เห็นน้องๆ สายศิลป์ที่เพิ่งรู้ตัวเอง มาปรึกษากันหลายคนเลยค่ะ ว่าเข้าสายศิลป์มาแล้ว แต่เพิ่งค้นพบว่าตัวเองจริงๆ แล้วอยากเรียนหมอ จะต้องลาออกไปสมัคร ม.4 ใหม่รึเปล่า เพราะจะย้ายสายการเรียนก็ยากเหลือเกิน หรือถ้าย้ายไม่ได้จริงๆ ก็ขอตัดใจตัดความฝันกันเลย คงไม่ได้มีโอกาสเป็นหมอกันอีกแล้ว ซึ่งมีน้องๆ มาปรึกษาเรื่องนี้กันทุกปีค่ะ
อยากจะบอกน้องๆ ว่า เรียนสายศิลป์ ก็สมัครหมอได้นะคะ ! หลายคนอาจจะตกใจว่าได้จริงหรอคะ? พี่อีฟก็ขอตอบว่าได้จริงค่ะ แต่เท่าที่เห็นตอนนี้ โครงการที่ระบุว่า ไม่ว่าสายการเรียนไหน ก็สอบหมอได้ มีเฉพาะโครงการับตรง กสพท เท่านั้นค่ะ ถ้าเป็นรับตรงของมหาวิทยาลัยโดยเฉพาะ ก็จะมีระบุสายการเรียนไว้ด้วยค่ะ แต่ถึงแม้จะมีแค่โครงการเดียว แต่ กสพท ก็ถือเป็นโครงการรับตรงคณะแพทยฯ ที่ใหญ่ที่สุด เพราะรวมที่นั่งจากเกือบทุกมหาวิทยาลัยค่ะ ดังนั้น ถ้าน้องๆ สายศิลป์คนไหน ขยันมากพอ และสามารถสอบได้ผ่านเกณฑ์ ก็สามารถเข้าเรียนคณะแพทยฯ ได้แน่นอนค่ะ
• ไม่เข้าสอบ GAT PAT จะเสียสิทธิ์การแอดมิชชั่น ?
ยังเป็นคำถามที่ถูกถามเข้ามาบ่อยมากๆ ค่ะ สำหรับคำถามเกี่ยวกับการสอบ GAT PAT ที่หลายคนสมัครไว้ แล้วไม่ยอมไปสอบกัน อาจจะเนื่องมาจากความขี้เกียจ หรือคะแนนครั้งก่อนดีอยู่แล้ว ก็มีหลากหลายเหตุผลกันไปค่ะ แต่พอตัดสินใจไม่ไปสอบ ก็จะเกิดความกังวลใจตามมาว่า ไม่ได้สอบจะเป็นอะไรรึเปล่า หรือจะถูกตัดสิทธิ์อะไรไหม หรือมากไปกว่านั้น น้องๆ หลายคนก็กังวลว่า จะเสียสิทธิ์แอดมิชชั่นกันไปเลยรึเปล่า
ต้องบอกแบบนี้ค่ะว่า การสอบ GAT PAT เป็นการสอบเพื่อที่จะใช้คะแนนไปยื่นเท่านั้น ถ้าน้องๆ ไม่สอบ ก็ไม่เสียสิทธิ์ใดๆ ค่ะ แค่อาจจะมีคุณสมบัติไม่ครบตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งจริงๆ แล้วก็สำคัญพอๆ กับการเสียสิทธิ์เลย เช่น แอดมิชชั่นที่ใช้คะแนน GAT PAT เป็นเกณฑ์ ถ้าน้องๆ ไปสอบ GAT PAT รอบแรก ไม่ไปสอบรอบ 2 แบบนี้ก็ยังมีคะแนนใช้ยื่นได้ค่ะ แต่ถ้าน้องๆ ไม่ได้ไปสอบเลยสักรอบ แบบนี้ก็ถือว่าไม่มีคะแนนไปยื่นในรอบแอดฯ ค่ะ ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่การเสียสิทธิ์เพราะไม่ไปสอบ แต่คือการเสียสิทธิ์เพราะไม่มีคะแนนค่ะ คนละเรื่องกันเลยนะ หรือถ้ารับตรงไหนกำหนดว่าใช้คะแนน GAT PAT รอบไหน แล้วน้องๆ ไม่มีคะแนนในรอบนั้น ก็จะถือว่าคุณสมบัติไม่ครบ และหมดสิทธิ์ในรับตรงนั้นเลยค่ะ ยิ่งน้องๆ #dek61 ที่มีการสอบ GAT PAT รอบเดียว บอกเลยว่าการสอบครั้งนี้ พลาดไม่ได้เด็ดขาดค่ะ
เป็นยังไงกันบ้างคะ กับ 5 เรื่องที่พี่อีฟเอามาฝากกัน ใครที่อ่านแล้วรู้ตัวว่ายังเข้าใจผิดอยู่ ขอให้รีบแก้ไขความเข้าใจผิดโดยด่วนเลยค่ะ เพราะใกล้จะแอดมิชชั่นกันแล้วนะ หรือถ้าน้อง #dek61 คนไหน ยังสงสัยอะไร ก็ต้องรีบทำความเข้าใจโดยด่วนเลยค่ะ เพราะรอบนี้รวมการสอบทุกอย่างมาไว้ในเดือนเดียวกัน ถ้าพลาดไปหรือเข้าใจอะไรผิด บอกเลยว่าน่าเสียดายมากๆ เลยค่ะ
0 ความคิดเห็น