Spoil
- อยากเดินทางรอบโลกตอน ม.2 เพราะพ่อพาไปประเทศลาวแล้วรู้สึกว้าวมาก
- ตอนแรกครอบครัวไม่สนับสนุนแต่สุดท้ายก็ดื้อจนได้ไป
- เตรียมตัวเยอะมาก ทั้งข้อมูล การเดินทาง วีซ่า และอื่นๆ ที่จำเป็น
- ระหว่างเดินทางทั้งทำงานแลกที่พักและอาหาร ทั้งหาเงินเพื่อเดินทางต่อไปด้วย
- ตอนออกเดินทางมีเงินแค่ 1 แสนบาท ตอนกลับเหลือเงินเกือบ 2 หมื่นบาท
ตอนเด็กๆ เคยฝันอยากทำอะไรกันบ้างไหม?
สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกับ ‘พี่นอร์ธ’ ชลันธร ภู่เจริญ เจ้าของเพจ ‘หาตังค์เที่ยวรอบโลก’ และเจ้าของช่องยูทูบ ‘North Vlog’ กันค่ะ โดยพี่นอร์ธเป็นคนที่ฝันอยากจะเดินทางรอบโลกมาตั้งแต่ ม.2 และวันหนึ่งก็ทำได้จริงๆ โดยใช้เวลาเดินทาง 20 ประเทศใน 7 เดือน ใช้เงินเพียง 1 แสนบาท ผ่านความสนุก ผิดแผน หลงทาง เงินหมด โบกรถไม่รับ นอนกลางป่า สถานการณ์โควิด-19 ปิดประเทศ และเจอเรื่องราวอีกสารพัด จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง วันนี้มาฟังจากปากพี่นอร์ธกันเลย
ใครที่มีความฝันอยากจะเดินทางรอบโลก ห้ามพลาด!
จุดเริ่มต้นที่ทำให้อยากเดินทางรอบโลก
พี่นอร์ธเล่าถึงแรงบันดาลใจที่อยากเดินทางไปรอบโลกว่า ตอนเป็นเด็กชอบชอบดูสารคดีและรายการท่องเที่ยว โดยพี่นอร์ธเป็นเด็กต่างจังหวัด (จ.ตรัง) พอเห็นโลกกว้างผ่านรายการสารคดีก็อยากลองไปเจอด้วยตนเองสักครั้ง
"ครั้งแรกที่อยากเดินทางรอบโลกคือตอน ม.2 ตอนนั้นมีโอกาสได้ไปประเทศลาวกับคุณพ่อ นั่งรถไฟชั้นสามจากจังหวัดตรังไปกรุงเทพฯ รถไฟที่มันนอนไม่ได้ เอนหลังไม่ได้ ต้องนั่งตลอดทั้งคืน หลังจากนั้นก็นั่งรถไฟจากหัวลำโพงไปจังหวัดหนองคาย เพื่อที่จะข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เป็นการไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต รู้สึกว่ามันว้าวมาก เป็นการเปิดโลก เป็นประสบการณ์ผจญภัย"
"ตอนนั้นเรารู้สึกว่าแค่ประเทศลาวมันก็แตกต่างกับประเทศไทยแล้ว แล้วถ้าเราได้ไปหลาย ๆ ประเทศมันคงดีมากเลย การเดินทางครั้งนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราอยากเดินทางรอบโลกครับ"
เดินทางรอบโลกด้วยเงิน 1 แสนบาท
จาก ม.2 ความฝันนี้ยังติดตัวอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัยพี่นอร์ธก็ตั้งเป้าเก็บเงินทันที โดยวางแผนไว้ว่าหนึ่งปีจะเก็บเงินให้ได้ 250,000 บาท แต่ความที่เป็นบัณฑิตจบใหม่ แม้ทำงานหนักก็ได้เงินไม่ถึงเป้าที่วางไว้จึงทำงานเก็บเงินได้เพียง 140,000 บาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายในการเตรียมตัว ซื้ออุปกรณ์การเดินทาง ขอวีซ่า จัดการเอกสารต่าง ๆ แล้วหมดเงินไปอีก 40,000 บาท
"สุดท้ายมีเงินออกเดินทางแค่แสนเดียวครับ เป็นเงินที่น้อยมากสำหรับการเดินทางรอบโลก"
พี่นอร์ธเล่าให้ฟังว่า "ตอนนั้นทำงานอยู่ 3 งาน หลัก ๆ มีงานอีเว้นต์ สตาฟ ยกของ ทำงานออแกไนซ์ จนถึง รปภ. ฟรีแลนซ์ งานที่สองเป็นงานเพื่อสังคม ทำงานกับเด็ก-เยาวชน และสิ่งแวดล้อม งานที่สาม เป็นงานขายโปสการ์ด ไปนั่งขายตามสะพานลอย คือทำทุกวิถีทางที่จะได้เดินทาง แม้จะได้้เงินไม่ถึงเป้าแต่ก็ตัดสินใจออกเดินทาง เพราะว่าเราวางแผนไว้แล้วว่าจะออกเดินทางวันไหน ภายในหนึ่งปีไปไหนบ้าง แล้วก็หาข้อมูลไปเรื่อยๆ ด้วยครับ"
ถ้าจะเดินทาง ก็ไม่ต้องมาคุยกันเลย!
พี่นอร์ธเล่าให้ฟังว่า ตอนที่พ่อแม่รู้ว่าพี่นอร์ธจะเดินทางรอบโลก เขาก็บอกว่า "บ้าไปแล้วเหรอ มันเวอร์ ไม่น่าจะเป็นไปได้" ซึ่งพี่นอร์ธก็เข้าใจเจตนาว่าพ่อแม่เป็นห่วง กลัวว่าจะเกิดอันตราย จะเจออะไรที่ไม่คาดคิด จึงไม่สนับสนุนเรื่องการเดินทาง แต่สุดท้ายทุกอย่างวางแผนและเตรียมการไปหมดแล้ว พวกเขาก็โอเค ห้ามไม่ได้แล้ว จึงสนับสนุน...
"ตอนแรกที่พ่อรู้ พ่อบอกเลยนะว่า 'ถ้าไป ก็ไม่ต้องมาคุยกันเลย' แต่ตอนหลังเขาก็สนับสนุน มีการถามว่า 'ไปอีกสิลูก รอบหน้าไปอีกเมื่อไร'"
การเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง
ด้วยความมุ่งมั่นว่าจะต้องไปให้ได้ และด้วยงบจำกัด แน่นอนว่ายิ่งต้องรัดกุมมากยิ่งขึ้น พี่นอร์ธต้องเตรียมตัวเยอะมาก นอกจากข้อมูลการเดินทางแล้ว สิ่งสำคัญที่พี่นอร์ธย้ำว่าจำเป็นมากสำหรับคนที่อยากเดินทางรอบโลก นั่นคือ สุขภาพ
"เราต้องฟิตร่างกายหน่อย เพราะว่าเป้มันหนักมาก นอกจากเรื่องสุขภาพก็เป็นเรื่องเงิน ที่เป็นอุปสรรคมากเพราะเรามีเงินจำกัด เราต้องเซฟที่สุด ต้องหาเทคนิคในการเอาตัวรอดในการใช้ชีวิตที่มีเงินอยู่แค่นี้ เราต้องใช้มันให้ได้"
นอกจากนี้ เรื่องเอกสารก็สำคัญไม่แพ้กัน การเดินทางไปต่างประเทศจะต้องมีเอกสารการอนุญาตเข้า-ออก และพักในแต่ละประเทศอย่างถูกกฎหมาย โดยการเดินทางไปหลายๆ ประเทศแบบนี้ต้องหาข้อมูลแต่ละประเทศเยอะมาก ซึ่งถ้าไม่มุ่งมั่นขนาดนี้ อาจจะถอดใจกลางทางก็ได้
พี่นอร์ธเล่าเรื่องการขอวีซ่าให้เราฟังว่า "เราต้องหาข้อมูลของแต่ละประเทศว่า ประเทศนี้ใช้วีซ่าประเภทไหน จะได้เตรียมตัวถูก แบบแรกเป็นฟรีวีซ่า ถ้าฟรีวีซ่า เราก็ใช้แค่พาสปอร์ตเดินทางเข้าได้สบาย แบบที่สองอันนี้โหดสุดคือ บางประเทศต้องขอวีซ่าล่วงหน้า เราต้องวางแผนทำวีซ่าล่วงหน้าจากประเทศไทย แผนเราจึงสำคัญมาก แบบที่สามเป็นวีซ่าที่เราสามารถไปขอข้างหน้าได้เลย อันนี้ก็ไม่ได้ยากมาก และแบบสุดท้ายคือทำออนไลน์ เราสามารถที่จะไปยื่นวีซ่าได้ในเว็บไซต์ของเขา เป็นวีซ่าสี่ประเภทที่ต้องเตรียม อย่างอื่นที่ต้องเตรียมก็เป็นอุปกรณ์การเดินทาง พวกเป้ เสื้อกันหนาว รองเท้า กล้อง ประมาณนี้ครับ"
ยื่นขอวีซ่าเชงเก้นไป 4 รอบ!
ถ้าใครคิดว่าวางแผนเดินทางไกล 1 ปีจะง่าย คิดใหม่ได้เลย โดยเฉพาะการขอวีซ่าที่ต้องวางแผนเยอะมาก อย่างพี่นอร์ธเองก็ถูกปฏิเสธวีซ่าหลายรอบเช่นกัน
"กว่าจะได้เชงเก้นวีซ่าโหดมาก เราต้องไปสถานฑูตประมาณ 3 - 4 รอบ เพราะเราไปนาน รอบแรกเราขอไปสามเดือน แล้วเขา reject (ปฏิเสธ) มาว่าขอนานไป เลยขอไป 70 วัน แต่ก็โดน reject มาอีก เพราะว่าเราต้องมีเอกสารไปเลยว่า วันนี้เราพักที่ไหน มันต้องเป๊ะมาก กว่าจะเรียบร้อยก็นานอยู่ครับ"
ไม่ได้ตั้งใจจะเดินทางรอบโลกคนเดียว
อ่านมาครึ่งทาง หลายคนอาจจะคิดว่าเจ๋งนะที่เดินทางคนเดียว แต่เบื้องหลังคือพี่นอร์ธไม่ได้คิดว่าจะไปคนเดียวแต่แรก โดยได้มีการชวนเพื่อนๆ ไปด้วย แต่การเดินทางรอบโลกนั้นต้องใช้เวลานานเป็นปี และมีค่าใช้จ่ายเยอะ ทำให้หลายคนไม่สะดวกเท่าไร
"มันใช้เวลานาน รวมถึงความไม่พร้อมเรื่องการเงิน บางคนก็มีภาระหน้าที่การงาน ไม่มีใครอิสระและมีแพชชันมากแบบเรา ซึ่งเราก็เข้าใจ จึงเลือกที่จะไปคนเดียวดีกว่า"
คำถามที่ถูกถามบ่อยมาก "ผู้หญิงเดินทางแบบนี้ได้ไหม?"
"มีหลาย ๆ คนบอกว่า 'ใช่สิ ผมเดินทางได้เพราะเป็นผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงทำไม่ได้'
พี่นอร์ธเล่าว่า "ระหว่างทางเจอผู้หญิงที่เดินทางแบกเป้เที่ยวคนเดินเยอะมาก มันเยอะจนเราคาดไม่ถึงเลยว่ามันจะเยอะขนาดนี้ ตอนที่อยู่บนทางรถไฟทางไซบีเรีย จากประเทศมองโกเลียไปกรุงมอสโกประเทศรัสเซีย ได้เจอผู้หญิงคนไทยเดินทางจากประเทศไทยไปถึงประเทศอิตาลี โดยที่ไม่ใช้เครื่องบินเลย เขาแบกเป้เดินทางคนเดียว ซึ่งมันก็เป็นคำตอบว่าผู้หญิงก็สามารถเดินทางได้ เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่ใจมากกว่า ความปลอดภัยก็เป็นส่วนหนึ่ง เพราะว่าผู้หญิงต้องระวังตัวมากกว่าผู้ชาย"
การสื่อสารสำคัญสำหรับการเดินทาง
การไปต่างบ้านต่างเมืองที่ไม่มีใครพูดภาษาเดียวกับเราไม่ใช่เรื่องง่าย ภาษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจำเป็นต้องใช้ได้เหมือนหรือเทียบเท่าเจ้าของภาษา เพราะสิ่งสำคัญมากกว่านั้นคือ "การรู้จักวิธีสื่อสาร"
"ภาษาสำคัญนะ แต่ไม่สำคัญขนาดที่เราต้องสื่อสารกับต่างชาติได้ 100% เราสามารถสื่อสารแบบเบสิกได้แค่นี้ก็เอาตัวรอดได้แล้วในต่างประเทศ สมัยนี้ใช้โทรศัพท์แปลภาษาได้แล้ว ก็อาจจะเป็นตัวช่วยหนึ่งด้วย"
"อีกอย่างนึงที่สำคัญที่สุดเลย คือ ภาษากาย เพราะว่าตอนที่เราเดินทาง หลายๆ ประเทศเขาไม่ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันเลย เช่น ประเทศจีน มองโกเลีย รัสเซีย จอร์เจีย สเปน อิตาลี แทนซาเนีย คือพวกเขาจะไม่ใช้ภาษาอังกฤษเลย ถึงเราจะพูดภาษาอังกฤษคล่องมาก เราก็ไม่สามารถที่จะไปคุยกับเขาได้ แล้วยิ่งเป็นคนพื้นเมืองด้วย ต้องใช้ภาษากาย ภาษามือ ใช้ทุกอย่าง ซึ่งมันก็เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่สนุกดี แต่ก็เหนื่อย กว่าจะเข้าใจกัน (หัวเราะ)" พี่นอร์ธกล่าวเพิ่มเติม
นักเดินทางทุกคนต้องเคย "หลงทาง"
เมื่อเราถามถึงคำถามที่นักเดินทางหลายคนน่าจะกังวลที่สุดคือ เคยหลงทางไหม? พี่นอร์ธรีบบอกทันทีว่า "หลาย ๆ คนกลัวว่าเดินทางแล้วจะหลงทาง คืออยากจะบอกว่าใครเดินทางแล้วไม่หลงทางบ้าง ไม่มีหรอก นักเดินทางเคยหลงทางทุกคน"
ซึ่งพี่นอร์ธอธิบายเพิ่มเติมว่า การหลงทางมันก็มีข้อดี เพราะทำให้เราได้ใช้ทักษะเอาตัวรอด การไปขอความช่วยเหลือ ถามทางคนในพื้นที่ ซึ่งมันให้อะไรมากกว่าความน่ากลัวหรือความกังวล
"เราอาจจะได้เพื่อนใหม่ด้วย อาจจะได้ไปนอนบ้านเขา บางทีการหลงทางมันทำให้เราได้โมเมนต์ดี ๆ กลับมาด้วยนะ"
แต่ถ้าถามถึงเรื่องผิดแผนทั้งที่วางแผนมาดีขนาดนี้แล้วล่ะก็ พี่นอร์ธบอกว่า "เจอตั้งแต่แรกเลย ตั้งแต่เดินทางออกจากหมอชิตไปที่ อ.เชียงของ จังหวัดเชียงราย จะข้ามไปประเทศลาว แต่ไปไม่ทัน เพราะว่ารถดีเลย์ สมมติว่ารถออก 9 โมง แต่รถมาถึงด่านชายแดนไทยลาวเกือบ 9 โมงแล้ว เราก็เลยไปไม่ทันรอบ ซึ่งบางอย่างเราไม่สามารถที่จะควบคุมได้ เรื่องแบบนี้มันเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว สิ่งสำคัญคือเราจะทำยังไงที่เราจะอยู่กับมันได้มากกว่า"
เดินทาง 20 ประเทศ ในเวลา 7 เดือน
จากเดิมที่วางแผนว่าจะเดินทางเป็นปี แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ผิดแผนไปบ้าง โดยการเดินทางครั้งนี้ พี่นอร์ธได้เดินทางไปทั้งหมด 20 ประเทศ ใช้เวลาเดินทาง 7 เดือน และจำเป็นต้องกลับมาก่อนเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดทำให้การเดินทางเข้า-ออกบางประเทศไม่สะดวก
"ผมใช้เวลาเดินทางทริปรอบโลกทั้งหมด 7 เดือน ไปมาทั้งหมด 20 ประเทศ เริ่มตั้งแต่ประเทศไทย - ลาว - จีน - มองโกเลีย - รัสเซีย - จอร์เจีย - ตุรกี - กรีซ - บัลแกเรีย - โรมาเนีย - ฮังการี - ออสเตรีย - เยอรมนี - สวิตเซอร์แลนด์ - อิตาลี - ฝรั่งเศส - สเปน - แอฟริกาใต้ - ซิมบับเว - แซมเบีย แล้วประเทศสุดท้ายของทริปรอบโลกก็คือ แทนซาเนีย"
ตลอดการเดินทาง 7 เดือนนี้ จากประเทศไทยไปถึงประเทศสเปน พี่นอร์ธใช้การเดินทางทางบกและทางน้ำ ไม่่ว่าจะเป็น รถบัส รถไฟ โบกรถ นั่งเรือ มีเพียงครั้งเดียวที่ได้นั่งเครื่องบินคือ บินจากประเทศสเปนไปประเทศแอฟริกาใต้ และเป้าหมายใหม่หลังหมดโควิด-19 คือ จะเดินทางต่ออีก!
"อยากทำให้สำเร็จตามที่เราตั้งใจไว้ครับ เพราะว่าตอนนี้เหลืออีกประมาณ 30% ที่ต้องไปก็คือ ไปทวีปอเมริกา และออสเตรเลีย ถ้าไปได้ครบ 2 ทวีปนี้ ก็เท่ากับว่าเราสามารถไปรอบโลกได้แล้ว ความฝันที่จะเดินทางรอบโลกก็สำเร็จครับ"
เคยโบกรถเป็นเวลา 10 ชั่วโมง!
แค่ยืนโบกแท็กซี่หรือรอรถเมล์ในกรุงเทพฯ ก็ท้อแล้ว แต่ตอนเดินทางจากกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย โดยมีเป้าหมายคือประเทศจอร์เจีย พี่นอร์ธโบกรถทั้งหมด 4 วัน 3 คืน
"วันแรกยืนโบกรถอยู่ประเทศรัสเซีย ซึ่งมันหนาวมาก แล้วเราต้องไปยืนอยู่แบบนั้นประมาณ 10 ชั่วโมง ค่ำที่ไหนก็ต้องนอนที่นั่น ต้องหาที่กางเต็นท์นอน ไม่ว่าจะเป็นในป่าข้างถนน ในทุ่งนา ก็สนุกดี แต่โคตรเหนื่อยเลย"
ประสบการณ์ขนลุกที่เมืองโจฮันเนสเบิร์ก!
หลายคนคงเคยได้ยินมาว่าประเทศแอฟริกาใต้ขึ้นชื่อเรื่องอาชญากรรมอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งพี่นอร์ธเองก็ได้ยินมาแบบนั้น แต่เมื่อไปถึงจริงๆ แล้ว...
"พอไปจริง ๆ คือมันยิ่งกว่าที่รู้มาอีก ในประเทศเขาเราจะไปเดินสุ่มสี่สุ่มห้าตอนกลางคืนไม่ได้เลย แล้วมีอยู่วันหนึ่งไปผับกับเพื่อนอีก 2 คน บรรยากาศมืดมาก ตอนกลางคืนมีไฟแค่สถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น เราเดินไปได้เห็นวิถีชีวิตของเขา เจอทั้งคนไร้บ้าน คนเมา คนเสพยา ขอทาน คนขายบริการ..."
ซึ่งพี่นอร์ธและเพื่อนต่างชาติอีก 2 คนซึ่งเป็นคนแอฟริกันเดินไปเจอแก๊งเสพยา เป้าหมายจึงอยู่ที่พี่นอร์ธ ซึ่งเป็นคนเอเชีย
"พอเขามองมาที่เรา เขาก็คิดว่าเรามีเงิน แล้วพวกเขาก็วิ่งมาหา ซึ่งเราคิดในใจว่า ‘ซวยแล้ว’ ตอนนั้นเราไม่รู้นะว่าเขาวิ่งมาหาเราด้วยเหตุผลอะไร แต่รู้สึกว่าไม่ปลอดภัย ต้องวิ่งหนี เราสามคนก็วิ่งหนีกันแบบสุดชีวิต รอดมาได้เพราะวิ่งไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวทัน ซึ่งตรงนั้นมีคนเยอะ มีตำรวจ รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาก ส่วนขากลับเรียกแท็กซี่เลย ไม่เอาแล้ว ประสบการณ์แบบนี้ขอครั้งเดียวพอ ใครอยากไปประเทศเสี่ยงต้องแนะนำเมืองนี้ โจฮันเนสเบิร์กเป็นที่สุดของที่สุดจริงๆ"
ทำงานแลกอาหาร - พักบ้านคนไทยในต่างประเทศ
หากใครมีโอกาสได้เดินทางไปต่างประเทศจะรู้ว่าโดยมากแล้ว คนพื้นเมืองในท้องที่ต่างๆ มักจะเป็นมิตรกับชาวต่างชาติมาก ซึ่งการเดินทางของพี่นอร์ธครั้งนี้ไม่ได้แค่ไปเที่ยวถ่ายรูปแล้วก็เดินทางต่อ ความที่ไปแบบงบจำกัด และไปแบบนักเดินทาง จึงได้เปิดประสบการณ์ทำงานแลกอาหารและที่พักด้วย
"ไปทำงานแลกที่พักอาหารฟรีในบางประเทศ อย่างเช่น ประเทศจีน เราได้ไปทำฟาร์มเห็ด ที่เมืองซีอาน ไปทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ที่ประเทศมองโกเลีย ไปทำงานไร่งานสวนที่กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ไปทำโฮสเทล ที่ประเทศฮังการี แล้วก็ไปสอนหนังสือที่แซมเบีย เป็นการเข้าไปคลุกคลีกับคนพื้นเมือง ได้ประสบการณ์เยอะแยะมากมายเลย"
เช่นเดียวกับการได้เจอคนไทยที่พำนักในประเทศต่างๆ พวกเขามักให้การต้อนรับนักเดินทางชาวไทยอย่างดี พี่นอร์ธเล่าว่า "เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งความประทับใจมากที่เจอระหว่างการเดินทาง การที่มีพี่ ๆ คนไทยให้การต้อนรับ ดีใจมาก ตอนนั้นนั่งอ่านคอมเมนต์ในเพจ เยอะมากแต่อ่านหมดเลย มีคนทักข้อความมาเยอะมาก ๆ เพื่อที่จะชวนเราไปนอนที่บ้าน ตอนนั้นมีเกือบทุกประเทศในยุโรปเลยล่ะ"
"ได้ไปพักมา 5 บ้าน 4 ประเทศ เยอรมัน 1 บ้าน สวิสเซอร์แลนด์ 2 บ้าน อิตาลี 1 บ้าน สเปน 1 บ้าน ก็ได้ใช้ชีวิตอยู่กับเขา ได้เห็นวิถีชีวิตของคนไทยในต่างประเทศ เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่รู้สึกประทับใจมากครับ"
พกเงินไป 1 แสน เหลือกลับมาเกือบ 2 หมื่นบาท
ฟังแล้วอย่าเพิ่งร้องว้าว! ทำไมเงินเหลือเยอะ พี่นอร์ธเล่าว่าเหลือเงินจากการเดินทางประมาณเกือบสองหมื่นบาท เป็นเงินที่ตั้งใจว่าจะบินจากประเทศแทนซาเนียไปบราซิลต่อ แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 เจ้าหน้าที่ไม่แนะนำให้เดินทางต่อ โดยเฉพาะคนเอเชีย และที่สำคัญเงินจำนวนนี้ไม่ใช่เงินที่เหลือจาก 1 แสนแรก แต่เป็นเงินที่หามาเพิ่มทีหลัง
"สองหมื่นนี้มันไม่ใช่เงินหนึ่งแสนบาทที่เราทำงานหามา แต่เป็นเงินที่ได้จากการขายเสื้อ คือระหว่างเดินทางเราก็ทำเสื้อเพจด้วย โดยให้ที่บ้านจัดส่ง ส่วนเราก็โปรโมตทางเพจว่าเราทำเสื้อหาเงินเดินทางเที่ยวรอบโลกนะ แล้วเราก็ได้เงินก้อนนี้มาครับ"
สิ่งที่ได้เรียนรู้ตลอด 7 เดือนที่เดินทางจนถึงตอนนี้
ถ้าพูดถึงความประทับใจเป็นสิ่งที่ได้เจอตลอดการเดินทางแน่นอน แต่ความสุขที่สุดที่เราได้เห็นจากพี่นอร์ธคือการทำตามความฝัน
"เราได้ทำตามความฝันที่มีมาตั้งแต่ ม.2 ความประทับใจมันมีตั้งแต่เก็บเงิน หาข้อมูล วางแผน ทุกเช้าที่เราตื่นมา เรารู้สึกว่ามันเป็นอีกวันที่เรารู้สึกสนุกมาก เพราะเราได้ทุ่มเทให้กับความฝันของเรา ทุกวันที่เราตื่นมา เรากำลังทำความฝันอยู่ ทุกย่างก้าวที่เราเริ่มออกเดินทาง มันคือความประทับใจ ไม่อยากบอกเลยว่าร้องไห้ก่อนออกเดินทาง ดีใจมาก เพราะนี่คือความฝันที่รอมานาน"
ส่วนของการเดินทาง พี่นอร์ธบอกว่าได้อะไรเยอะมาก เป็นประสบการณ์ที่หาที่ไหนไม่ได้ ต้องไปเจอ ไปสัมผัส ไปเรียนรู้ด้วยตนเอง เทียบกันไม่ได้เลยกับการดูจากทีวีที่มีแต่ภาพกับเสียง ทั้งนี้การได้เห็นความแตกต่างของวิถีชีวิต วัฒนธรรม ทำให้รู้ว่าแตกต่างจากประเทศไทยมาก
"การได้เห็นอะไรที่แตกต่างทำให้เราไม่ยึดติดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูก แล้วไปบูลลี่สิ่งอื่นที่ต่างจากเราว่ามันผิด คือเราจะไม่ยึดติดอะไร จะเข้าใจมากขึ้น เวลาเราไปเห็นอะไรที่มันไม่ค่อยถูกใจเรา เราก็จะนึกได้ว่าจริง ๆ แล้วเขาก็มีเหตุผลในสิ่งที่เขาทำ การเดินทางสอนให้เราอยู่ในโลกง่ายขึ้น พร้อมรับมือ และสนุกกับการแก้ไขปัญหา"
"นอกจากนี้ เรายังได้แหกกฎต่าง ๆ ที่คนอื่นเขาดูถูกว่าเราทำไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ มันไกลเกินเอื้อมสำหรับเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง เรารู้สึกว่าสะใจ เราได้ทำความฝันของตัวเอง ถึงแม้มันจะไม่ได้รอบโลก แต่เรารู้สึกว่าเราทำสำเร็จแล้ว เรารู้สึกว่ามันพอใจแล้ว แต่มันยังไม่จบ เรายังต้องไปต่อ"
ฝากถึงน้อง ๆ ที่อยากเดินทางเที่ยวรอบโลก
"ความฝันที่จะเดินทางรอบโลกมันดูไกลเกินไปสำหรับหลายๆ คนนะ ต้องถามก่อนว่าชอบรึเปล่า อยากเดินทางรอบโลกจริงรึเปล่า มันไม่ใช่แค่การชอบอย่างเดียว มันต้องเป็นแพชชัน ต้องหลงใหล ต้องรักมันจริงๆ มันถึงจะทำได้นะ"
"ถ้าเกิดมีโอกาสลองเดินทางไปต่างประเทศดูก่อน ถ้าชอบก็ลองหาโอกาสเดินทางต่อจากประเทศนี้ไปอีกประเทศหนึ่ง ดูว่าชอบไหม เอาตัวรอดได้ไหม แต่ถ้ายังไม่มีโอกาสก็ลองหาข้อมูลดูก่อนว่าเราทำอะไรได้บ้างในตอนนี้ คือเราสามารถเริ่มความฝันของเราตั้งแต่วันนี้ได้ ไม่ต้องไปเริ่มในวันที่พร้อมนะ เพราะว่าคนเรามันไม่มีคำว่าพร้อมหรอก อย่างที่พี่ทำ พี่ก็หาประสบการณ์ให้กับตัวเองก่อน อย่างเช่นไปทำงานพาร์ทไทม์ ไปทำงานเพื่อสังคม ไปใช้ชีวิตกับคนท้องถิ่นของประเทศไทยดูก่อน"
"การเดินทางรอบโลกต้องใช้ทักษะเยอะ เพื่อที่เราจะได้เอาตัวรอดได้ ต้องปรับตัว ต้องตัดสินใจเร็วเพื่อแก้ไขสถานการณ์ สิ่งสำคัญที่พี่อยากจะฝากก็คือหาประสบการณ์ให้ได้เยอะที่สุด มากกว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ ณ ตอนปัจจุบันนี้ พยายามมองหาอะไรที่มันหลากหลายให้กับตัวเองมากขึ้น พยายามหาโอกาส พยายามมองหาสิ่งที่จะทำให้เราก้าวไปตรงจุดนั้นได้ พยายามหาไปเรื่อยๆ"
"อย่างพี่เอง ตอนแรกก็คิดว่ามันไกลมาก แต่เราจะไปให้ได้อะ เราก็เริ่มไปใช้ชีวิตกับการทำงานเพื่อสังคม ได้คอนเนคชั่น ไปเจอคนที่เดินทางเยอะ ๆ เจอคนต่างชาติ เราก็ไปถามว่าทำยังไง เดินทางยังไง เลยได้รูู้้ว่ามันมีการทำงานแลกที่พักและอาหารฟรี พอเรารู้ก็ เฮ้ย! ความฝันเราอะ จากที่พี่ตั้งใจว่าพี่จะเดินทางรอบโลกตอนอายุ 30-40 ปี มันกลายเป็นว่าแค่อายุ 20 ต้น ๆ เราก็เดินทางรอบโลกได้ ซึ่งการไปแสวงหาโอกาส ไปแสวงหาความรู้ มันจะทำให้เราได้ไปแบบที่เราตั้งใจจริง ๆ เราต้องแอคทีฟกับความฝัน ที่สำคัญคือต้องชัดเจนกับความฝันที่เราตั้งใจไว้"
ขอขอบคุณ ‘พี่นอร์ธ’ ชลันธร ภู่เจริญ ที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์ดีๆ แบบนี้ น้องๆ ชาว Dek-D.com ที่มีความฝันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นฝันเกี่ยวกับอะไร พี่หมิวหมิวแนะนำให้รีบลงมือทำเลย อย่างที่พี่นอร์ธบอกว่า คนเรามันไม่มีคำว่าพร้อมหรอก ให้ดูว่าตอนนี้เราเริ่มทำอะไรได้บ้างจะดีกว่า หวังว่าน้องๆ จะได้เดินตามความฝันแบบที่พี่นอร์ธทำได้สำเร็จมาแล้วนะคะ
สำหรับใครที่สนใจอยากติดตามการเดินทางของพี่นอร์ธ สามารถไปตามกันได้ที่เฟซบุ๊กเพจ ‘หาตังค์เที่ยวรอบโลก’ และช่องยูทูบ ‘North Vlog’ ฝากกดติดตาม กดไลก์ กดแชร์ กด subscribe กดติดตาม กันด้วยนะคะ ส่วนใครที่อยากเจอพี่นอร์ธตัวเป็น ๆ แวะไปเจอกันได้ที่ร้านกาแฟแถวท่าอิฐ จังหวัดนนทบุรี อยากรู้ว่าพิกัดอยู่ตรงไหน ลองทักไปถามเส้นทางกันได้ค่ะ
0 ความคิดเห็น