การเล่าเรื่องแบบสุดท้ายนี้ถือว่าเป็นวิธีการเล่าที่ “ง่ายที่สุด” และ “ฮิตที่สุด” นั่นคือการเล่าโดยยกให้ผู้เขียนและผู้อ่านเป็นพระเจ้า ผู้เขียน (ซึ่งจริงๆ ก็คือคนเล่าเรื่องนั่นแหละ) จะไม่มีการแสดงตัวใดๆ ในเนื้อเรื่องเด็ดขาด เปิดมาก็พูดถึงตัวละครของตัวเองเลย โดยจะใช้สรรพนามเรียกตัวละครว่า “เขา” “เธอ” หรือจะเรียกชื่อก็ได้
งานที่ใช้การเล่าแบบนี้ก็ยกตัวอย่างได้เต็มไปหมด โดยเฉพาะบรรดางานเขียนแฟนตาซีทั้งหลาย เช่น แฮร์รี่ พอตเตอร์ ไวท์โรด หัวขโมยแห่งบารามอส
แต่การเล่าโดยใช้มุมมองบุคคลที่ 3 นั้นยังแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือเล่าแบบ “พระเจ้า” กับเล่าแบบ “ตัวละคร”
การเล่าแบบ “พระเจ้า” หมายความว่าเราเข้าไปนั่งในใจตัวละครตัวไหนก็ได้ อยากจะตัดฉากฉับไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นห่างออกไปอีกแปดร้อยเมตรก็ไม่มีปัญหา ให้นึกภาพว่าเราเป็นกล้องที่ลอยไปถ่ายอะไรก็ได้ทุกที่
ข้อดี: การเล่าโดยใช้มุมมองบุคคลที่ 3 แถมยังเป็นแบบ “พระเจ้า” อีก มีข้อดีคือเราจะไม่โดนจำกัด ปริศนาบางอย่างที่เราอยากปิดไว้ ไม่เฉลย เราก็แค่ไม่เล่า อะไรที่เราอยากเฉลย เราก็เล่าออกมาได้เลย แม้ว่าตัวเอกจะไม่รู้อะไรก็ตาม แต่เรารู้เพราะเราคือพระเจ้าของนิยายเรื่องนี้
มันจะไม่เหมือนกับมุมมองบุคคลที่ 1 ที่เราต้องคำนึงถึงตัวละครผู้เล่าเรื่องเป็นหลัก ว่าเขาควรจะรู้อะไรและไม่ควรรู้อะไร คนอ่านก็ต้องรู้เท่ากับที่ตัวละครรู้ มุมมองบุคคลที่ 3 แบบพระเจ้านี้เราอยากทำอะไรก็ได้ตามใจชอบเลย
ข้อเสีย: การเล่าแบบนี้เราอาจจะเห็นแต่เนื้อเรื่อง เห็นว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ไม่รู้ว่าตัวละครรู้สึกยังไง หรือถ้าผู้เขียนอยากจะเจาะความคิดของตัวละครออกมาแผ่ให้เราดูมันก็จะไม่ลึกซึ้งต่อเนื่องเท่าการเล่าในมุมมองบุคคลที่ 1 ที่เรามีโอกาสได้อยู่ในหัวตัวละครตลอด
ตัวอย่างงานเขียนที่ใช้วิธีแบบนี้ก็เช่น The Lord of the Rings หลังจากพันธมิตรแห่งแหวนล่มสลาย ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป ทำให้กล้องต้องแยกเป็นหลายตัว เพื่อคอยจับกลุ่มโฟรโด กลุ่มของอารากอน และกลุ่มของเมอร์รี่ แต่ละตัวละครก็จะได้เด่นกันคนละทีสองที ไม่ได้จับที่โฟรโดเป็นหลักอยู่แค่คนเดียว
ส่วนการเล่าแบบ “ตัวละคร” หมายถึงเราเป็นกล้องที่ยึดติดอยู่กับตัวละครใดตัวละครหนึ่งไปเลย จะไม่โดดไปหาตัวละครตัวอื่นหรือตัดฉับไปยังฉากที่ตัวละครหลักของเราไปไม่ถึง การเล่าแบบยึดตัวละครหนึ่งเพียวๆ นี้จะคล้ายกับการเล่าโดยใช้มุมมองบุคคลที่ 1 คือมีข้อจำกัดเหมือนกัน
นิยายส่วนใหญ่เลยจะใช้สองแบบนี้ผสมกัน คือเล่าแบบ “พระเจ้า” นั่นแหละ เป็นกล้องอยู่ไม่สุข กระโดดไปหาตัวละครนั้นตัวละครนี้ แต่ส่วนใหญ่แล้วกล้องจะจับที่ตัวเอกเป็นหลัก เช่น แฮร์รี่ พอตเตอร์ เราก็จะได้เห็นความคิดและการกระทำของแฮร์รี่มากกว่าใครเพื่อน เพราะนี่มันเรื่องของเขาเอง
ชาว Dek-D Writer ต้องอย่าสับสนระหว่างมุมมองบุคคลที่ 1 กับมุมมองบุคคลที่ 3 แบบ "ตัวละคร" นะคะ
มุมมองบุคคลที่ 1 นั้นกล้องจะอยู่ในหัวตัวละครเลย เป็นไปไม่ได้ที่เราจะละความคิดของตัวละครไปได้ ทุกอย่างที่เราต้องผ่านสมองของตัวละครตลอด
ในขณะที่มุมมองบุคคลที่ 3 แบบเล่าผ่านตัวละครนั้น กล้องจะอยู่บนหัวตัวละคร (คิดแบบนี้แล้วกัน) บางครั้งกล้องอาจจับภาพที่อยู่รอบๆ ตัวละครได้ โดยไม่จำเป็นว่าตัวละครนั้นจะกำลังสนใจอยู่หรือไม่
สมมติสถานการณ์ว่าตัวละครนั่งกินข้าวกับเพื่อนอยู่ แล้วโดนเพื่อนหลอกให้หันไปอีกทางเพื่อที่เพื่อนจะได้ฉกหมูไปชิ้นนึง ถ้าเป็นมุมมองบุคคลที่ 1 จะต้องบรรยายว่า "ผมหันไปตามที่เพื่อนบอก แต่ไม่เห็นมีอะไร" ในขณะที่มุมมองบุคคลที่ 3 จะบรรยายในสิ่งที่ตัวละครไม่รู้ก็ได้อย่างเช่น "เขาหันไปตามที่เพื่อนบอก โดยไม่รู้เลยว่าเพื่อนตัวแสบแอบฉกหมูไปจากจานข้าวของเขาเสียแล้ว"
วิธีการเลือกมุมมองเพื่อใช้ในนิยายของเรา
เป็นยังไงบ้างคะ ชาว Dek-D Writer ทุกคน พอจะเข้าใจลักษณะ ข้อดีข้อเสีย ของแต่ละมุมมองแล้วใช่ไหมคะ ทีนี้เราลองมาดูวิธีการ "เลือกใช้" กลวิธีเหล่านี้ให้เหมาะกับนิยายที่เราจะแต่งกันดีกว่า
1. รู้เนื้อหาคร่าวๆ
ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่านิยายของเรามีพล็อตเรื่องคร่าวๆ เป็นยังไง เช่น เรื่องเกี่ยวกับชีวิตผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่กำลังจะแต่งงานกับผู้หญิง แต่ดันมาค้นพบว่าตัวเองมีรสนิยมชอบเพศตรงข้าม อีก 7 วันจะแต่งงานกันอยู่แล้ว เพื่อไม่ให้เธอต้องมาเจ็บปวดทีหลัง เขาจึงต้องสรรหาสารพัดวิธีเพื่อยกเลิกการแต่งงานครั้งนี้ โดยที่ไม่ทำให้ใครรู้ว่าเขาเป็นเกย์
2. หาแก่นของเรื่อง
พอรู้แล้วว่านิยายของเราเกี่ยวกับอะไร ทีนี้ก็มาคิดว่า แล้วนิยายเรื่องนี้เราต้องการสื่ออะไรให้คนอ่านรู้ แก่นของเรื่องนี่ไม่ใช่พล็อตเรื่องนะคะ แต่เป็นสารที่เกิดจากการตีความเรื่องที่เราเขียนออกมา เช่น ธรรมะย่อมชนะอธรรม ความรักของแม่ไม่มีที่สิ้นสุด หรือ เพศใดก็รักกันได้
3. หากลวิธีที่จะ "สื่อ" แก่นของเรื่องได้ดีที่สุด
เมื่อรู้แล้วว่าจะสื่ออะไร ทีนี้ก็ต้องมาเลือกกลวิธีที่จะเสนอทั้ง "เนื้อหา" และ "แก่นของเรื่อง" ได้ดีที่สุด เช่น ในกรณีนิยายสะท้อนปัญหารักร่วมเพศที่พี่ยกตัวอย่างไปนั้น พี่อยากจะเน้นสิ่งที่ตัวเอกของเรื่องคิด มากกว่าจะเน้นว่าเขาทำอะไรไปบ้างเพื่อจะได้ไม่ต้องแต่งงานกับผู้หญิง เพื่อให้คนในสังคมได้รู้ว่าพระเอกรู้สึกอึดอัดแค่ไหนกับความคาดหวังของครอบครัว และบรรทัดฐานของสังคมที่กำหนดว่าชายกับหญิงเท่านั้นถึงจะคบกันได้ พี่ก็เลยเลือกมุมมองบุคคลที่ 1 แทน
แต่ถ้าเรากำลังจะเขียนนิยายรักตลกๆ เกี่ยวกับผู้หญิงที่มีแต่ผู้ชายเข้ามาจีบเธอเพราะหน้าตา แต่ไม่มีใครรักเธอจริง เธอเลยประชดชีวิตด้วยการหาเงินจากการเป็นแฟนหน้าม่านให้หนุ่มๆ ที่จีบหญิงไม่ติดเสียเลย แต่บังเอิญพระเอกดันเข้าใจผิดคิดว่าเธอน่ะหลายใจ เปลี่ยนแฟนไปทั่ว เลยพยายามตามติดเธอเพื่อจะจับให้ได้คาหนังคาเขา
พล็อตแบบนี้พี่อยากจะนำเสนอว่า "ความรักที่แท้จริงมันซื้อไม่ได้ แต่ต้องอาศัยเวลาในการทำความรู้จักกัน" พี่เลยอยากเน้น เหตุการณ์รอบๆ ตัวพระเอกนางเอกที่ช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งคู่จากคนที่คอยจ้องจับผิดกัน กลายเป็นคนรักกันในที่สุด
สำหรับกรณีนี้ เหตุการณ์ข้างนอกมันสำคัญกว่าความคิดข้างใน พี่น้องก็จะใช้มุมมองบุคคลที่ 3 แทนค่ะ
แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้มันไม่มีทางฟันธงได้ บางคนอาจจะคิดตรงข้ามกับพี่ ก็เลือกเอากลวิธีที่เราถนัดที่สุด และคิดว่ามันจะไม่ไปจำกัดการนำเสนอพล็อตเรื่องของเราก็พอ
มาถึงช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอย คราวก่อนนู้นเราฝึกแต่งโดยใช้มุมมองบุคคลที่ 1 เพื่อชิงหนังสือกันไปแล้ว แต่พี่ว่าแบบนั้นมันอิสระไป มันง่ายไป มาเล่นท่ายากกันดีกว่า (เอ้ย เซนเซอร์ = w=)
งวดนี้พี่จะให้ชาว Dek-D Writer "เปลี่ยน" จากมุมมองบุคคลที่ 1 มาเป็นมุมมองบุคคลที่ 3 แทน โดยยึดเอาจากเรื่องที่พี่จะให้ต่อไปนี้ (คลิกที่รูปแล้วดาวน์โหลดเนื้อหาได้เลยจ้า)
ที่ให้มา 3 แนวเพราะแต่ละคนถนัดไม่เหมือนกัน ใครถนัดแนวไหน หรือคิดว่าแนวนี้น่าจะแต่งได้ดีกว่าก็เลือกมาแค่ 1 แนว โดยแต่ละแนว พี่จะให้มาแค่ฉากเดียว ขอให้บรรยายจบในฉากนั้น ไม่ตัดไปฉากอื่น
แต่จะบรรยายขยายความเพิ่มเติมยังไงก็ได้ จะหักมุม เฉลยว่าจริงๆ แล้วเป็นอีกแบบก็ได้ จะยืดเรื่องต่อไปอีกหน่อยก็ได้ถ้ารู้สึกว่าอยากแต่งต่อ แต่ที่สำคัญคือต้องเขียนให้อยู่ในมุมมองบุคคลที่ 3 แบบจำกัดตัวละครเท่านั้น (คือกล้องต้องประจำอยู่ที่ตัวเอก ไม่ลอยไปที่อื่นที่ไกลจากตัวเอก)
เกณฑ์การตัดสิน
1. ใช้มุมมองได้ถูกต้อง: พี่น้องจะดูข้อนี้เป็นหลัก หากใช้มุมมองนี้ผิดวิธี เช่นเผลอหลุดสรรพนามบุรุษที่หนึ่งมา หรือเผลอตัดฉากไปอีกทวีปหนึ่ง จะถือว่าไม่ผ่านทันที
2. ไอเดียแจ่ม: หลังจากดูข้อแรกแล้ว ทีนี้พี่ก็จะดูความสร้างสรรค์ ว่าใครจะแต่งได้ไอเดียบรรเจิดกว่ากัน อยากจะหักมุมไปทางนั้นทางนี้ หรือบรรยายได้เตลิดเปิดเปิงกว่าพี่ก็ตามใจเลย
รางวัล
งวดนี้พี่จะแจกให้สองรางวัลต่อ 1 แนว ของรางวัลมีดังนี้
ผู้ชนะที่ 1 ของแต่ละแนวจะได้เลือกก่อนว่าจะเอาเล่มไหนดี (ต้องเป็นแนวที่ตัวเองแต่งส่งเท่านั้นนะ)
ให้โพสท์ผลงานลงกล่องคอมเม้นท์ด้านล่างได้ถึงวันที่ 25 สิงหาคม 2556 (พี่จะมาปิดท้ายเหมือนเดิม ดังนั้นเวลาอาจเลทได้ แต่คนที่โพสท์ก่อนคอมเม้นท์ปิดของพี่ถือว่ายังมีสิทธิ์อยู่นะ) แล้วจะประกาศผลผู้โชคดีวันที่ 30 สิงหาคม 2556 ในบทความกลเม็ดเคล็ดลับประจำวันศุกร์จ้า
ส่งผลงานกันเข้ามาเยอะๆ นะ พี่ไม่หวั่นแม้มันยาวมาก TvT
ใครยังไม่ได้อ่านสองบทความแรก กลับไปดูที่ลิ้งค์นี้เลยจ้า
http://www.satapornbooks.com/Book/BookDetail.aspx?id=452
http://endlesslightandlove.com/2013/07/25/a-question-for-you/
109 ความคิดเห็น
------------------------------------------
เขาไม่รู้หรอกว่าคนอื่นให้นิยามคำว่า 'วีรบุรุษ' เป็นยังไง แต่สำหรับเขา วีรบุรุษก็คือคนบ้าคนหนึ่งที่งี่เง่าพอที่จะไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา เพื่อทำอะไรก็ตามที่ให้ใครที่ไหนมันทำก็ได้ และลาโลกไปทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ทำอยู่มันจะออกมาหัวหรือก้อย
หูเขาแว่วเหมือนได้ยินเสียงคนเรียก ...แต่จากที่ไหนกัน? ใครมันจะบ้าพอมาเดินทำเท่อยู่กลางพายุหิมะอย่างเขาได้ หรือว่า...ศัตรู?
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 16 สิงหาคม 2556 / 16:05
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 16 สิงหาคม 2556 / 16:06
แก้ไขครั้งที่ 3 เมื่อ 16 สิงหาคม 2556 / 16:07
แก้ไขครั้งที่ 4 เมื่อ 17 สิงหาคม 2556 / 15:55
แก้ไขครั้งที่ 5 เมื่อ 17 สิงหาคม 2556 / 15:55
เลือกแนวนิยายรักนะคะ
หญิงสาวย่นคอกลืนน้ำลายพลางคิดไปว่าวันนี้แหละ จะเป็นวันตายของเธอ...
เธอส่ายหน้าช้าๆไล่ความคิดติดลบนั้นออกจากสมอง พยายามคิดในแง่ดีว่า วันนี้น่าจะเป็นวันดีมากกว่า เพราะวันนี้เธอจะไปสารภาพรักกับปฐวี รุ่นพี่ที่เธอแอบชอบมานานกว่าสองปีครึ่ง นับตั้งแต่เข้ามาเรียนในระดับอุดมศึกษา
ปฐวี เป็นชายในดวงใจที่เธอตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น รอยยิ้มแสนสดใส ความมีน้ำใจ และความสุภาพอ่อนโยนทำเอาเธอตกหลุมรักเข้าอย่างจัง ถึงขนาดตามสืบเสาะหาข้อมูลส่วนตัวของเขาจนแทบจะกลายเป็นแฟนพันธุ์แท้ตัวยงเลยทีเดียว นอกจากนี้เขายังรูปหล่อ พ่อรวย เรียนเก่ง กิจกรรมเยี่ยม สมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง
และแน่นอนว่าคุณสมบัติข้อนี้ทำให้มีหญิงสาวหลายคนในรั้วมหาวิทยาลัยและอีกมากมายต่างปรารถนาจะครอบครองหัวใจเขา ขนาดสาวสวยหุ่นสะบึมหลายคนมาทอดสะพานให้ปฐวียังไม่คิดจะสานต่อ และนับประสาอะไรกับลูกเป็ดขี้เหร่อย่างเธอ
ระหว่างที่เธอกำลังติดอยู่กับความลังเลใจ เสียงหนึ่งที่อยู่ข้างตัวก็ดังขึ้น
เอาจดหมายแบบนั้นไปยื่นให้เขาจะดีหรือ แมนยืนหลบอยู่หลังเสาเป็นเพื่อนเธอเอ่ยถาม พลางมองไปยังสิ่งที่อยู่ในมือเรียวของเพื่อนสาว จดหมายสารภาพรักกับเจ้าชายไอทีเนี่ยนะ
หญิงสาวก้มลงมองซองจดหมายลายกระต่ายน้อยในมือ แล้วเบ้ปาก ก่อนจะยืนยันความตั้งใจเดิม ทำไม จดหมายมันโรแมนติกจะตาย ให้ส่งไลน์ไปหาเขาเนี่ยนะ ผู้หญิงเป็นพันคนคงทำแบบนั้นไปแล้ว
แมนกอดอกถอนหายใจกับความคิดนั้น ฉันถึงบอกให้เธอเลิกอ่านการ์ตูนตาหวานไร้สาระนั่นยังไงล่ะ ผู้ชายที่ไหนจะตกหลุมรักผู้หญิง แค่เธอยื่นจดหมายสารภาพรักให้ นี่มันไม่ใช่การ์ตูนญี่ปุ่นที่เธอเคยอ่านนะ
ฉันก็ไม่ได้หวังให้เขาตกหลุมรักเสียหน่อย คนตอบหน้ามุ่ยพลางชะโงกหน้าจากเสาเพื่อแอบดูรุ่นพี่ปฐวีที่รักอีกครั้งหนึ่ง ฉันแค่...อยากให้เขารู้ว่าฉันมีตัวตนอยู่ก็เท่านั้นแหละ
พอมองปฐวีครั้งใด หัวใจก็เต้นรัวจับจังหวะไม่ถูกไปเสียทุกครั้ง แทบจะหลุดลอยออกจากร่างอยู่บ่อยๆ
หญิงสาวมองจดหมายในมือ พร้อมกันนั้นก็ครุ่นคิดว่าจะหาวิธีไหนที่จะยื่นจดหมายสารภาพรักให้ปฐวี หรือว่าเธอจะยื่นจดหมายนี่ให้เขา เสร็จแล้วก็วิ่งปรู๊ดออกมาราวกับติดจรวดนาสซ่า มีหวังทั้งเพื่อนของเขาและคนแถวนั้นต้องหัวเราะเยาะเธอแน่
ขณะที่จมอยู่ในความคิดนั้นดวงตากลมก็เหลือบไปมองเพื่อนหนุ่มข้างกายที่พอจะเป็นตัวช่วยที่ดีในสถานการณ์แบบนี้
หญิงสาวยิ้มมุมปาก ความหวังเริ่มเรืองรอง หลังจากที่ใกล้ริบหรี่มาได้สักพัก
เอ้า เธอยัดจดหมายใส่อกเพื่อนหนุ่มจนเขาสะดุ้ง นายทำให้หน่อยสิ ถ้าเป็นนายล่ะก็ คนอื่นๆต้องไม่กล้าหัวเราะแน่
แมนทำหน้างง มองเพื่อนสาวสลับกับจดหมายในมือเรียวที่แปะอยู่บนแผ่นอก และตอนนี้มันก็อยู่ในมือของเขาเป็นที่เรียบร้อย เธอจะให้ฉันเอาจดหมายนี่ไปให้กับรุ่นพี่ที่เธอแอบชอบ?
เธอพยักหน้ายืนยัน แต่คนฟังกลับขมวดคิ้วแน่น ยื่นจดหมายมาตรงหน้าส่งคืนให้เจ้าของตามเดิม
ทำไมล่ะ เรื่องแค่นี้ทำเพื่อเพื่อนไม่ได้หรือ
เธอส่งเสียงกระเง้ากระงอดและยิ่งหงุดหงิดหนักเข้าไปอีกเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของเขา
เพื่อน? แมนยิ้มขื่นราวกับหัวใจถูกกรีดเป็นแผลไร้ทางเยียวยา ก่อนจะถูกลงมีดกรีดลึกอีกครั้งด้วยคำพูดที่จำกัดความว่าแค่ เพื่อน
ใช่ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งนานนี่นะ เรื่องแค่นี้... ไม่ทันที่เธอจะหว่านล้อมอะไรมากนักเหมือนทุกครั้งที่ไม่ได้ดั่งใจ เขากลับยกมือขึ้นห้าม ส่งผลให้คนที่กำลังพูดชะงักระคนแปลกใจกับท่าทางแบบนั้นเมื่อเขาหันหลังเดินไปทางโต๊ะของปฐวีที่รายล้อมด้วยเพื่อนฝูง
หญิงสาวมองตามแผ่นหลังอันเครียดขึงของแมนไป รับรู้ถึงความไม่พอใจที่ถ่ายทอดออกมาจากแววตาเมื่อครู่ ก่อนจะคิดว่าเขาคงจะกลัวว่าคนอื่นจะคิดว่าไม่ แมน สมชื่อเป็นแน่ ถึงได้ยินยอมเอาจดหมายไปให้ปฐวีแต่โดยดี
สุดท้ายแมนก็ต้องทำตามที่เธอร้องขออยู่ดี...
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 17 สิงหาคม 2556 / 18:29
...เธอกำลังวิ่งหนี...
วิ่งหนีอะไรเธอก็ไม่รู้นัก เมื่อเธอพยายามหันไปมองข้างหลัง แต่ก็ถูกแฟนหนุ่มที่กำลังจูงมือวิ่งอยู่นี้ บอกด้วยเสียงที่ดังมากๆว่า
“อย่าหันไป!” หรือ “ห้ามหันไปมองนะ!”
แม้เธอจะรักและเชื่อใจแฟนมาก แต่เมื่อถูกกระตุ้นอย่างนี้ ใครเล่าจะไม่อยากหันไป แล้วอีกอย่างเธอวิ่งมาไกลมากแล้วด้วย ไกลกว่าเขตโรงเรียนมาหลายร้อยเมตรแล้ว เธอจะแอบชำเลืองมองด้วยหางตา แต่ภาพที่เธอเห็นกระตุ้นให้เธออยากรู้อยากเห็นยิ่งกว่าเดิม แต่มือที่ถูกดึงและจับอยู่กลับรู้สึกหนักขึ้นเรื่อยๆ หนักเกินกว่าจะเป็นมือของแฟนเธอได้
เมื่อเธอหันกลับมามองมือของตัวเอง กลับพบมือเหมือนคนปกติทั่วไป แต่แขนนี่สิ ! เธอไล่สายตาตามแขนจนเธอเดาว่าแขนนี่มันหลายเมตรแล้วนะ !
แค่แขนนี่ก็ทำให้เธอตกใจมากพออยู่แล้ว แต่เมื่อเธอพบใบหน้าของคนที่กำลังจับมือเธออยู่...
ใบหน้าสีเหลืองเน่าเฟะ มีน้ำเหลืองไหลตามดวงตาและจมูกที่ออกมาปนกับเลือดที่ใบหน้าด้านข้าง ที่เรียกได้ว่าเนื้อหายไปครึ่งหน้า เลือดที่ไหลอยู่แล้วเริ่มไหลลงมาตามลำคอ ไหปลาร้า ไหลลงมาตามแขน มือและเมื่อเลือดของแฟนเธอสัมผัสมือ เลือดอุ่นๆทำให้สติกลับคืนมา เธอรีบระบัดมือออกแล้ววิ่งหนีเขาให้เร็วยิ่งกว่าเดิม พร้อมได้ยืนเสียงไล่หลังมาว่า
“ถ้าเธอเชื่อฉัน เธอคงไม่เป็นแบบนี้หรอก” เป็นเวลาเดียวกับที่เธอรีบวิ่งข้ามถนนแล้วมีรถวิ่งพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็วพร้อมๆกับที่เธอพยายามวิ่งหลบรถไปคว้าอะไรซักอย่างที่น่าจะช่วยชีวิตของเธอไว้ได้ แต่สิ่งที่เธอจับอยู่นี่สิ มันเป็น...
อาจจะทำได้ไม่มีนักนะคะ 5555555555555
วีรบุรุษ... หลายคนคงรู้จักคำนี้ดี มันเป็นคำสรรเสริญสำหรับเหล่าคนที่ยอมสละชีพของตนเองเพื่อส่วนรวม เอาเถอะ...แต่มันไม่มีความหมายแบบนั้นกับเขาคนนี้แน่ สำหรับเขา วีรบุรุษก็คือบ้าที่ชอบสรรหาเรื่องใส่ตัว ทำสิ่งที่ตัวเองไม่จำเป็นต้องทำ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือตายโดยไม่รับรู้ว่าสิ่งที่ทำไปจะสำเร็จไหม
แล้วเขาก็ไม่ใช่หนึ่งในนั้นแน่นอน เขามักจะอยู่ในที่ๆ ควรอยู่เพื่อทำสิ่งที่จำเป็น อย่างตอนนี้เขาก็ปฏิเสธไม่ค่อยออกว่ามันจำเป็นจริงๆ ถึงจะไม่อยากทำก็เถอะ
ชายหนุ่มก้าวเท้าย่ำลงบนกองหิมะ ฝ่าลมหนาวที่แทบกรีดลึกถึงกระดูก พายุหิมะรอบตัวส่งเสียงหวิวๆ อยู่ข้างหูราวกับเสียงขู่อันเยือกเย็น หลอนจนรู้สึกเหมือนมีปีศาจแสยะยิ้มรอปลิดชีวิตเขาอีกครั้ง ช่างแตกต่างจากลมพายุของบนโลกมนุษย์ยิ่งนัก อย่างน้อยก็ไม่น่ากลัว
เขาหรี่ตามองฝ่าพายุ ยอดปราสาทสีดำทะมึนลอยไหวๆ อยู่เบื้องหน้า อีกไม่กี่สิบไมล์หรือร้อยไมล์เห็นจะได้
'เพราะเจ้านกนั่นแท้ๆ !' เขาสบถกับตัวเองในใจอย่างหัวเสีย แล้วพาลโทษตัวเองที่เคยสาบานว่าจะอยู่ในที่ๆ ควรอยู่ กับทำสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ไม่งั้นคงไม่ต้องตาย... อย่างน่าสมเพชแบบนั้น
ชายหนุ่มกำจดหมายในมือแน่นพลางเพ่งมองยอดปราสาทสีดำทะมึน เจ้าพิราบส่งสารของลอร์ดชลอฟนั่นก็ดันติดโรคตายจนต้องถูกส่งออกนอกเขต เขาเลยดันซวยเหตุเพราะเป็นเด็กใหม่ ผลสรุปตามมาคือต้องมาอยู่ที่ๆ ควรอยู่อย่างตอนนี้จริงๆ
"เฮ้"
มีใครบางคนเรียกเขา ชายหนุ่มชะงักเหลียวซ้ายมองขวาผ่านม่านหมอก คำถามพลันผุดขึ้นในใจ...ศัตรู?
"ทางนี้"
เขาเหลือกตาโตหันไปทางซ้ายตามเสียง รู้สึกของแข็งกระแทกเข้าปลายจมูกดังปั้ก ก่อนจะถูกเตะที่ขา เล่นเอาตีลังกาหน้าคว่ำฝังลงบนก้อนหิมะ เขารีบยันตัวลุกขึ้นก่อนที่หน้าจะชาวาบแล้วขาดอากาศหายใจไปกว่านี้
"อย่าขยับ"
เสียงนั้นฟังดูหวานจับใจขัดกับบรรยากาศที่เย็นยะเยือกอย่างนี้ ยิ่งทำให้เขาคิดถึงคนรักเก่าครั้นเมื่ออยู่บนโลกมนุษย์ ป่านนี้เธอคนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ... ไม่ทันได้เห็นหน้าเจ้าของเสียง ของมีคมที่ยาวเรียวน่าสยองขวัญก็โผล่มาเบื้องหน้า ให้มันได้อย่างนี้สิ...เขาจะขอเจอเรื่องดีๆ ในสักภพหน่อยไม่ได้เลยเหรอ?
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 16 สิงหาคม 2556 / 20:40
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 17 สิงหาคม 2556 / 14:44
++++++++++++++++++++++++++++++++
วีรบุรุษคือ? โง่คนหนึ่งที่ชอบอวดอ้างคำว่าคุณธรรม แล้วเข้าไปช่วยคนอื่นๆทั้งที่ที่เข้าไม่ได้ขอ พูดง่ายๆก็คือ เสื_ก!
แน่นอนว่าผมไม่ใช่คนแบบนั้น ผมออกจะเป็นพวกเฉยชาด้วยซ้ำ ผมไม่ได้อยากมีเรื่องยุ่งๆในชีวิตหรอกนะ แค่นี้ก็ยุ่งพอแล้ว
ผมย่ำเท้าไปตามพื้นหิมะหนาที่เหยียบแต่ละที่รองเท้าจมลึกลงไปเกือบครึ่ง ที่จริงแล้วผมเกลียดอากาศหนาวสุดๆ แต่ดันต้องมาส่งสารแทนนกพิราบส่งสารที่ดันอ่อนแอติดโรคตายของลอร์ดชลอฟนั่น ให้ตายเหอะ ทำไมต้องเป็นเขาด้วย แล้วปราสาทดำๆนั่นเขาก็เห็นยอดมานานแล้ว แต่ไม่ยักจะเดินไปถึงสักที ฮะ ฮัดเช้ย ให้ตายสิ ผมใกล้จะเป็นหวัดแล้ว
"เฮ้"
ผมคิดว่าตัวเองได้ยินเสียงคนเรียก แต่คงหูแว่ว ท่ามกลางภูเขาที่มีแต่ป่าอย่างนี้จะไปมีคนได้ยังไง
"ทางนี้"
ผมขมวดคิ้ว ได้ยินอีกแล้ว หรือว่าจะเป็นคนของลอร์ดชลอฟส่งมารับนะ ทันที่ที่ความคิดนี้เกิดขึ้น ผมก็รีบหันไปแทบจะทันที แต่ก็ต้องโดนไม้หน้าสามที่เหวี่ยงมาสวนกับใบหน้าผมเข้าเต็มๆ ให้ตายสิ คนของลอร์ดชลอฟเข้ต้อนรับคนกันด้วยวิธีนี้งั้นเหรอเนี่ย
ผมหงายตัวไปด้านหลัง แต่ก็มีขามาเตะข้อพับผมให้ล้มลง แต่ก่อนที่ผมจะล้มลงก็มีมือมาคว้าคอเสื้อผมก่อน
"อย่าขยับ"
เสียงเรียบพูดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกเย็นๆที่กดเข้ามาที่ข้างลำคอผมเลือกที่จะอยู่นิ่งๆตามที่ใครสักคนที่กำลังจ่อมีดเข้าที่คอด้านหลังผม ดีกว่าจะขยับรนหาที่ตาย
"พูด นายกำลังจะไปที่ปราสาทลอร์ดชลอฟใช่มั้ย" ผมขมวดคิ้ว คงจะไม่ใช่คนของลอร์ดชลอฟแน่ เป็นใครกันถึงมาหาเรื่องคนส่งสารอย่างผม หรือคนคนนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับสารนี่....
"โอ๊ย"
ผมร้อง เมื่อปลายมีดคมกดลึกเข้ามาในลำคอ จนเลือดสีแดงข้นไหลออกมาจากบาดแผล เลือดไหลหยดลงบนพื้นหิมะสีขาวสนิท ยิ่งเห็นสีแดงกับสีขาวที่ตัดกัน ผมยิ่งรู้สึกเจ็บแปร๊บขึ้นสมอง
"พูด ฉันจะถามเป็นครั้งสุดท้าย" ผมพยายามข่มความกลัวภายใน แล้วตอบออกไป
"ใช่"
"ไปทำอะไร" ผมเริ่มรู้สึกแสบที่แผล ลมหนาวพัดกรีดมาที่แผลมากเท่าไร ผมยิ่งรู้สึกแสบมากนั้น
"ไปส่งสารแทนนกพิราบที่ติดโรคตาย" ด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายจะถามต่ออีก ผมจึงอธิบายเหตุผลเพิ่มลงไปด้วย คอยดูเถอะ ถ้าผมรอดไปได้ละก็ ผมจะเผาพริกเผาเกลือส่งไปให้เจ้านกพิราบนั่นแน่!
"สารอะไร"
"....ไม่รู้" ผมตอบตามความจริง ผมก็แค่ถูกใช้ให้มาส่งสารเท่านั้นเอง
".งั้น ...ลาก่อน" คำเรียบๆพูดจบผมก็ถูกปล่อย ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ ร่างกายที่ไร้แรงยึดเหนี่ยวค่อยๆตกลงไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก ขณะที่ผมกำลังเตรียมตัวที่จะล้มหน้ากระแทกอีกครั้ง ความรู้สึกหนึ่งก็แทรกขึ้นมาซะก่อน
ควับ!
ผมเบิกตาค้าง ภาพที่เห็นไม่ใช่พื้นหิมะ แต่เป็นใบหน้าของชายที่เพิ่งจะ.....ตัดคอผมไป
นายคือ........
.........
...............
......................คนที่ฉันจะจำหน้าไปแล้วเผาพริกเผาเกลือส่งไปให้ด้วยอีกคน!! (ถ้าผีทำได้อ่ะนะ แน่สิ ใครโดนตัดคอแล้วไม่ตาย?)
END.
ขอให้เข้าตาด้วยเถอะคะ >< อยากได้นิยายฟรี อิๆ ^++^
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 16 สิงหาคม 2556 / 21:00
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 16 สิงหาคม 2556 / 21:00
เธอไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอคิดจะลองใจเขา หากมันไม่สำเร็จก็อาจจะต้องตัดใจสักที ไม่แน่ วันนี้อาจเป็นวันตายของเธอก็เป็นได้
หญิงสาวตัดสินใจจะสารภาพรักกับปฐวี ชายที่เธอหลงใหลกว่าสองปีครึ่งนับตั้งแต่เธอเข้ามหาลัยมา
ใช่ซะที่ไหนกัน!
นั่นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ส่วนคนที่เธอรักจริงๆน่ะเหรอ
หญิงสาวหันไปมองเพื่อนชายที่ยืนหลบอยู่หลังเสา พลางย้อนคิดเรื่องในอดีตของเขาและเธอ ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงเข้ามหาลัย พูดได้ว่าพวกเขาไม่เคยแยกจากกันเลยก็ว่าได้ รักของเธอมันลึกซึ้งมากกว่าใครจะคาดคิด นับตั้งแต่เธอพบเขาก็ราวกับฟ้าลิขิตให้เธอต้องหลงรัก ไม่ใช่รักที่ฉาบฉวยแต่เป็นรักที่ค่อยๆสะสมอยู่ในจิตใจจนมากขึ้นทุกวัน
รักจนแทบเป็นบ้า
"แมน เราตัดสินใจแล้ว" หญิงสาวเอ่ยขึ้นเบาๆ ชายหนุ่มมองจดหมายลายกระต่ายน้อยในมือเธอครู่หนึ่ง ก่อนเริ่มเข้าใจสิ่งที่เธอต้องการบอก
"เอาจดหมายไปยื่นให้เขาอย่างนี้มันดีแล้วเหรอ" เขาแย้งขึ้น "จดหมายสารภาพรักกับเจ้าชายไอทีเนี่ยนะ"
ที่เขาไม่เห็นด้วย เธอสามารถเข้าข้างตัวเองได้ใช่มั้ย?
หญิงสาวไม่สามารถบอกสิ่งที่อยู่ในใจออกไปให้คนข้างตัวรับรู้ได้ ไม่กล้าเพราะกลัวความสัมพันธ์ที่ถูกถักทอมายาวนานต้องขาดสะบั้นลง เพียงแค่เขาไม่ได้คิดกับเธอในแบบเดียวกัน
เธอก้มมองจดหมายในมือ แกล้งแสดงสีหน้าไม่พอใจ "ทำไม จดหมายมันโรแมนติคจะตาย ให้ส่งไลน์ไปหาเขาเนี่ยนะ ผู้หญิงเป็นพันคนคงทำแบบนั้นไปแล้วล่ะ ไม่แน่ถ้าเขาเห็นแค่ซองจดหมายเขาอาจจะตกหลุมรักฉันเลยก็ได้"
"หึ อย่างเธอเนี่ยนะ" เขาพูดพลางใช้สายตาไล่มองตัวเธอแบบพินิจ ก่อนแค่นยิ้มออกมา "เลิกอ่านการ์ตูนตาหวานไร้สาระนั่นได้แล้ว ผู้ชายที่ไหนจะตกหลุมรักผู้หญิง แค่เพราะเธอยื่นจดหมายสารภาพรักให้ นี่มันไม่ใช่การ์ตูนญี่ปุ่นที่เธอเคยอ่านนะ เด็กกะโปโลจริงๆ" เขาไม่มีทางรู้หรอกว่าคำพูดนั้นได้เผลอทำร้ายใครบางคนไปเสียแล้ว
"ฉันไม่ได้หวังให้เขาตกหลุมรักเสียหน่อย" แมนต่างหากที่เธออยากให้ 'รัก' ไม่ใช่รุ่นพี่ปฐวี "ฉันแค่...อยากให้เขารู้ว่าฉันมีตัวตนอยู่ก็เท่านั้นแหละ" ว่าแล้วก็พลางชะโงกออกไปมองรุ่นพี่ปฐวี ก่อนจะปรายตามามองคงข้างตัวที่ยังคงทำสีหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งนั้น
ยิ่งมองก็ยิ่งหัวใจเต้นแรง ไม่ใช่ใครคนอื่น ไม่ใช่รุ่นพี่ปฐวี หรือใครทั้งนั้น เพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น เขาที่ยืนอยู่ข้างเธอมาโดยตลอด หญิงสาวหลบตาหันหน้าหนีเมื่อรับรู้ว่าตอนนี้หน้าของเธอคงแดงราวกับมะเขือเทศเป็นแน่
'เธอจะทำยังไงดี'
ในที่สุดหญิงสาวก็ตัดสินใจได้ เธอหันกลับมา ก้มหน้ายื่นจดหมายไปหาชายหนุ่ม เมื่อเขาไม่รับมันไปสักทีทำให้เธอต้องเงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัย ก็พบสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของเขา
"นายทำให้หน่อยสิ ถ้าเป็นนายล่ะก็ คนอื่นๆ ต้องไม่กล้าหัวเราะแน่" แมนขมวดคิ้วหลังจากที่ได้ฟัง พร้อมย้อนถาม "เธอจะให้ฉันเอาจดหมายนี่ไปให้รุ่นพี่ที่เธอแอบชอบ?" หญิงสาวพยักหน้า
ชายหนุ่มยื่นจดหมายคืนให้ "เรื่องอะไรล่ะ ทำไมฉันต้องทำ"
"เราพะ เพื่อนกันไม่ใช่หรอ" พูดออกมาอย่างยากลำบากเพราะเธอไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อน
เขาหัวเราะ "เพื่อน?"
"ใช่ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งนานนะ เรื่องแค่นี้..." หญิงสาวยังพูดไม่ทันจบเขาก็ยกมือขึ้นห้าม แล้วหันหลังเดินไปทางโต๊ะรุ่นพี่ปฐวีทันที เขายอมทำตามที่เธอบอก แต่ท่าทางเหมือนกับไม่พอใจอะไรสักอย่าง
" นั่นสิ แค่เพื่อนสินะ" คล้ายกับได้ยินเสียงแผ่วเบาของเขาล่องลอยมาตามสายลม
ที่เขาโมโหเป็นเพราะว่ากลัวคนเข้าใจผิดว่าตัวเขาไม่ 'แมน' สมชื่อ หรือเป็นเพราะคำว่า 'เพื่อน' ที่เธอได้เอ่ยมันออกไป
เอาเถอะ เรื่องจะเป็นยังไงก็ต้องรอให้เขาเปิดจนหมายนั่นออกล่ะ
จดหมายที่เขียนถึงเขา ไม่ใช่รุ่นพี่ปฐวี
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 16 สิงหาคม 2556 / 21:35
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 16 สิงหาคม 2556 / 21:41
แก้ไขครั้งที่ 3 เมื่อ 16 สิงหาคม 2556 / 23:33
- rewrite -
วันนี้จะเป็นวันตายของฉันหรือเปล่าน่ะ ไม่ว่าฉันจะนิ่งเฉยอยู่ต่อไปฉันก็คงจะตายหรือถ้าทำอะไรที่อยากจะทำลงไปแล้ว มันเกิดผลไม่เป็นดังที่หวังฉันก็คงไม่ต่างกับตายอยู่ดี ออมคิดถึงสิ่งที่เธอกำลังชั่งใจว่าเธอคงต้องทำมันจริงๆ แล้ววันนี้
วันนีจะเป็นวันที่ออมจะได้สารภาพรักรุ่นพี่ปฐวีชายที่เธอเป็นปลื้มหลงใหลในความเป็นรุ่นพี่ที่ฮ็อตที่สุดของคณะมานานกว่าสองปีครึ่งนับตั้งแต่เธอเข้ามหาวิทยาลัยนี้มา
ออม แน่ใจนะว่าจะเอาจดหมายแบบนั้นให้พี่วีเขาน่ะ มันจะดีเหรอ แมนที่ยืนหลบอยู่หลังเสาเป็นเพื่อนฉันเอ่ยถามขึ้น
ให้ฉันส่งจดหมายสารภาพรักของเธอกับเจ้าชายไอทีเนี่ยนะ เสียงแมนบ่นกระปอดกระแปดยังกับผู้หญิง
ฉันก้มลงมองซองจดหมายลายกระต่ายน้อยของตัวเองแล้วเบ้ปาก ทำไม จดหมายมันโรแมนติคออกจะตาย หรือจะให้ส่งไลน์ไปหาเขาเนี่ยนะ ผู้หญิงเป็นพันคนคงทำแบบนั้น แต่ฉันไม่ทำอะไรซ้ำใคร
นายแมนกอดอกถอนหายใจ ฉันถึงบอกให้เธอเลิกอ่านการ์ตูนตาหวานไร้ สาระนั่นยังไงล่ะ ไม่มีผู้ชายคนไหนจะตกหลุมรักผู้หญิง แค่เพราะเธอยื่นจดหมายสารภาพรักให้ นี่มันไม่ใช่การ์ตูนญี่ปุ่นที่เธอชอบอ่านหรอกนะ
ฉันไม่ได้หวังให้เขามาตกหลุมรักฉันเดี่ยวนี้ซะหน่อย ออมว่าพลางชะโงกหน้าไปแอบดูรุ่นพี่ปฐวีอีกที ฉันแค่...อยากให้เขารู้ ว่าฉันมีตัวตนอยู่ใกล้ๆ เขาก็เท่านั้นแหละ
ยิ่งมองรุ่นพี่วีสุดหล่อ หัวใจเธอก็ยิ่งเต้นแรง ออมมองเพื่อนผู้ชายที่เธอไว้ใจได้เพียงคนเดียว เอ้า! ออมยัดจดหมายใส่อกเขา นายช่วยฉันหน่อยสิ ฉันทำเองไม่ได้
แมนทำหน้างงตามองเพื่อนสาวคนสนิทกับเขาที่สุดสลับกับจดหมายเล็กๆ ใบนั้นแล้วพูดเสียงเศร้าๆ เธอจะให้ฉันเอาจดหมายนี่ไปให้รุ่นพี่ที่เธอแอบชอบจริงๆ หรือออม
ออมพยักหน้า แต่แมนขมวดคิ้วแล้วยื่นจดหมายคืนให้เธอ
ทำไมล่ะ เรื่องแค่นี้ช่วยทำให้เพื่อนไม่ได้เชียวหรือ
เขาหัวเราะ เพื่อน?
ใช่ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งนานนะ เรื่องแค่นี้... ยังพูดไม่ทันจบเขาก็ยกมือขึ้นห้าม แล้วหันหลังเดินไปทางโต๊ะรุ่นพี่ปฐวีทันที ซึ่งแมนดูไม่พอใจเลยสักนิด
พี่วีครับ มีคนๆ หนึ่งที่กล้าพอจะบอกอะไรบางอย่าง แต่ไม่กล้าที่จะบอกพี่ต่อหน้า เขาก็เลยฝากผมนำข้อความที่เขาอยากบอกพี่มาให้ แมนยื่นจดหมายของออมให้ปฐวี
พอจะบอกได้ไหมว่าใครฝากมาให้พี่ คนรับจดหมายสงสัย
เขา... เออ... คือคนที่ผมไม่กล้าจะบอกเขาว่า... เออ... เขาสำคัญกับผมขนาดไหน แมนพูดติดๆ ขัดๆ เพราะไม่คิดว่าจะถูกถามคำถามที่เขาเองก็ไม่เคยคิดว่า คนที่กำลังพูดถึงนี้มีความสำคัญกับเขามากตั้งแต่เมื่อไหร่
รุ่นพี่ยิ้มเหมือนรู้ทัน เพราะตาของแมนมันบ่งบอกถึงความนัยของสิ่งที่เขาพูดได้อย่างดีที่ผู้ชายที่มีประสบการณ์อย่างเขาจะดูออก
พี่ว่านายเอาจดหมายนี้กลับไปให้คนๆ นั้น แล้วก็บอกเขาซะด้วยว่านายรู้สึกกับเขายังไง กล้าๆ หน่อย ชื่อ แมน ซะเปล่า พูดจบรุ่นพี่มากประสบการณ์ก็ยัดจดหมายใส่มือไปรษณีย์จำเป็นกลับไปพร้อมกับตบบ่าให้กำลังใจหนุ่มน้อยที่ยืนงงกับสิ่งที่เขาพูด
แมนถือจดหมายกลับมาให้ออมแบบงงๆ เออ... เธอคงเห็นและได้ยินใช่ไหม
แมนคืนจดหมายไปให้คนส่ง ที่ยืนหน้าบึ้งตึงปานจะกินเลือดกินเนื้อเขา
แมน นายพูดอะไร ไม่เข้าใจเลย พี่ปฐวีเขาก็คงไม่เข้าใจเหมือนฉันแน่เลย โห้! ดูซิความรักของฉัน ความฝันของฉัน หมดกัน ฉันอยากตาย ออมทำเสียงทดท้อกับสิ่งที่เธอพยายามทำแต่เพื่อนซี้ของเธอทำมันพังไม่เป็นท่า
แมน นายรู้ไหม นายทำอะไรลงไป ฮือๆ ออมพูดไปน้ำตาไหลกับความล้มเหลวที่กว่าเธอจะกล้าทำอะไรแบบนี้มันใช้เวลาเป็นปีๆ แล้วนี่หรือผลของมัน
นายอยากให้ฉันเสียใจตาย กับการที่ฉันไม่อาจจะมีตัวตนได้ในสายตาพี่ปฐวีใช่ไหม ออมโกรธและเสียงดังกับเขา
ออมอยากรู้ใช่ไหมว่าเราอยากให้ออมเป็นอะไร แมนถามเสียงสั่น นี่คงเป็นวันที่เขาควรจะกล้าซะที อย่างน้อยก็ให้กล้าไม่ต่างไปกว่าที่ออมทำ
เรา... เสียงขาดๆ หายๆ ที่ดูเหมือนยังไม่มีความมั่นใจเพียงพอ
เรา...
เรา... อยากได้จดหมายแบบนี้จากออมบ้าง
เราต้องทำอะไรบ้าง... เราถึงจะได้จดหมายแบบนี้บ้างล่ะออม... เสียงตอบเพียงเบาๆ ของเขา แต่กลับดูเหมือนดังจนสั่นสะเทือนเข้าไปในใจของคนฟัง
ออมเห็นสายตาคู่นั้นที่มันดูแปลกๆ มาระยะหนึ่งแล้วตั้งแต่เธอบอกเขาว่าเธอชอบพี่วีเขาจริงๆ เพียงแต่เธออ่านมันไม่ออกเอง
"โธ่! แมน..." ออมเพิ่งรู้ว่าเพื่อนชายที่เธอรักที่สุดคนนี้คิดอย่างไรกับเธอ
"ไม่ต้องทำอะไรให้เราเป็นพิเศษหรอกนะ ทำแบบที่นายเป็นอย่างนี้แหละ ขอบคุณที่เห็นว่าเราสำคัญในความรู้สึกของนายนะ" พอออมพูดจบ รอยยิ้มขนาดใหญ่พิเศษของผู้ชายขี้อายอย่างนายแมนก็ปรากฎอยู่บนหน้าของเขา
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 16 สิงหาคม 2556 / 22:58
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 17 สิงหาคม 2556 / 11:41
แก้ไขครั้งที่ 3 เมื่อ 25 สิงหาคม 2556 / 09:28
แก้ไขครั้งที่ 4 เมื่อ 26 สิงหาคม 2556 / 01:20
-------------------------------------------------------------------------------------------------
เชื่อว่าทุกคนในโลกต้องรู้จักคำว่า 'วีรบุรุษ' ส่วนความหมายของมันก็แตกต่างกันไป แต่สำหรับเขาคงอธิบายได้ว่า วีรบุรุษเป็นคนบ้าที่ชอบทำเรื่องที่เสียแรงเปล่า ชอบเข้ายื่นมือไปช่วยเหลือผู้อื่น แม้ตัวเองจะลำบาก แถมไม่รู้ว่าจะทำสำเร็จรึเปล่า หากพูดให้ชัดหน่อยก็จะพบคนประเภทนี้ในนิยาย นิทาน และตำนานต่างๆ คงจะเห็นอยู่บ่อยๆ
แต่ของขอโทษเถอะนะ เขาไม่ใช่คนประเภทวีรบุรุษแน่นอน เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะเขาจะทำแต่สิ่งที่ต้องการและไม่ไร้ค่าไงล่ะ ทำไมต้องยื่นมือไปยุ่งเรื่องของคนอื่นด้วยเล่า เขาขอใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาจนตายดีกว่า
เท้าของเขาย่ำบนหิมะสีขาวบริสุทธิ์ อา..ใช่แล้ว ขณะที่คิดอยู่นั้นเขากำลังเดินอยู่ท่ามกลางพายุหิมะนี่น่ะ ทำไมต้องมาฝ่าพายุบ้าๆ นี้ด้วยนะเขาครุ่นคิด พร้อมกับที่สายลมจะพัดผ่านร่างของชายหนุ่มไป ผิวหนังรู้สึกแสบขึ้นมาตงิดๆ เหมือนสายลมพยายามจะกรีดผิวของเขานะ เสียงของลมดังก้องอยู่ข้างหู เหมือนคำขู่แสนดูแคลนว่า ชายหนุ่มไม่รอดหรอก ต้องถูกฝังอยู่ตรงนี้แหละ
เขาหรี่ตาลงเพื่อเพ่งมองสิ่งก่อสร้างสีดำทะมึนข้างหน้า พอมองดีๆ แล้วก็ทำให้รู้ว่ามันคือปราสาท แม้จะถูกพายุหิมะบดบัง แต่สายตาเขาก็ยังพอมองออกว่ามันคืออะไร แต่ปัญหาคือมันห่างออกไปเท่าไหร่นี่สิ.. จู่ๆ เขาก็รู้สึกอยากจะก่นด่าตัวเอง อุส่าห์คิดแล้วว่าจะทำสิ่งที่ต้องการ อยู่อย่างธรรมดาและสงบแท้ๆ แต่เพราะเจ้าพิราบส่งสารของลอร์ดชลอฟดันติดโรคตายนี่สิ เลยต้องมาส่งสารแทนนกบ้านั่น แถมคนงานก็ไม่พอ หน้าที่(ภาระ)อันสำคัญก็เลยตกมาเป็นของเขา แต่บ่นไปก็เท่านั้น เพราะเดินทางมาไกลแล้วสิ ต้องรีบไปให้ถึงจุดหมาย ไม่อย่างงั้นเขาคงกลายเป็นมนุษย์แช่แข็งแน่ๆ
ตอนนี้รู้สึกขาเริ่มชาแล้วสิ แถมแสบผิวไปทั้งตัวด้วย แบบนี้จะไหวรึเปล่านะ เขารีบสะบัดหัวไล่ความคิดที่ชวนหดหู่ออกจากสมอง
"เฮ้"
เขากวาดตามองไปรอบๆ พยายามหาเจ้าของเสียง ทว่าพบแต่สีขาวโพลน พายุหิมะบ้านี่ก็ทำเอาทัศนวิสัยแย่มากๆ เขารู้สึกเหมือนเมื่อกี้จะได้ยินเสียงคนเรียก หรือจะคิดไปเองนะ แต่ก็เป็นไปได้ที่จะเป็นศัตรู! สมองยังประมวลผลไม่เสร็จ เสียงเรียกก็ดังขึ้นอีกครั้ง
"ทางนี้"
เขาหันไปควับไปทางซ้ายตามเสียงเรียก จู่ๆ ก็โดนของแข็งกระแทกเข้าที่ปลายจมูกจนได้ยินเสียงดังปั้ก ยังไม่ทันได้ตั้งตัวขาของเขาก็ถูกเตะอย่างแรง ทำให้ร่างของชายหนุ่มตีลังกาเก้าสิบองศาหน้าทิ่มลงไปบนพื้นหิมะอันเยือกเย็น เขารีบยันตัวลุกขึ้นอย่างฉับพลันก่อนที่จมูกจะถูกหิมะกัด แถมยังรู้สึกเหมือนมันจะหักด้วยนะ ขณะสะบัดไล่ความมึนงงพร้อมกับเงยหน้ามองต้นเหตุเมื่อครู่ จู่ๆ เขาก็ชะงักไป
"อย่าขยับ"
น้ำเสียงก่ำกึ่งระหว่างชายหญิง กระซิบข้างหูของเขาอย่างเย็นชา พร้อมกับความรู้สึกเย็นวาบจากปลายโลหะที่จ่ออยู่หลังคอ เขารู้สึกเวทนาตัวเองจริงๆ ทั้งๆที่อยากจะอยู่อย่างสงบ แต่ดันมาเจอเรื่องซวยถึงสองครั้ง ตอนนี้ชีวิตของเขาก็แขวนอยู่บนเส้นดายเสียแล้ว แถมไม่มีทางเลือกอีกต่างหาก
เขาอยากร้องไห้เหลือเกิน ไม่รู้ว่าตัวเองจะรอดหรือเปล่า ดีไม่ดีอาจจะแข็งตายท่ามกลางพายุหิมะ หรือไม่ก็ตายเพราะบางอย่างที่จ่ออยู่ข้างหลังคอเขาเนี่ยแหละ!!
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 16 สิงหาคม 2556 / 23:06
-----------------------------
ในที่สุดวันแห่งการตัดสินก็มาถึง
สาวน้อยกำหมัดเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง ไฟแห่งความมุ่งมั่นโชติช่วง ราวกับจะแผดเผาจดหมายรักในมือของเธอให้มอดไหม้ไปพร้อมกับเพื่อนชายที่ถูกลากมาเป็นพวก
"นี่ถ้าไม่ติดว่ามีจดหมายรักในมือเธอ ชั้นคงคิดว่าเธอมาดักตีใครอยู่นะเนี่ย" เพื่อนชายของเธอเอ่ยทัก สาวน้อยที่กำความมั่นใจจนเอ่อล้นให้มันลดลงมาบ้าง
"อย่าขัดได้มั้ย คนกำลังมีไฟอยู่" สาวน้อยเอ่ยตอบอย่างเซ็งๆ หลังโดนขัดพลังอันเหลือล้นของเธอ "รู้มั้ย ชั้นต้องรวบรวมความกล้าแค่ไหนในการตัดสินใจมาบอกรัก รุ่นที่ปฐวีน่ะ"
"แต่เอาจดหมายรักมาส่งเด็กไอทีมันจะดีเร้อ~" เพื่อนชายของเธอเอ่ยลากเสียงอย่างกวนๆ พร้อมกับรอยหน้าหลบตาไปทางอื่น เหมือนกับกำลังจะบอกว่า 'ก็ไม่รู้สินะ'
"กวนกันหรอ!!" เธอหวดแข้งใส่แข้งของเขาอย่างหัวเสีย แต่ไม่คิดจริงจังมาก นิสัยกวนๆแบบนี้แหละคือเพื่อนชายของเธอ เธอรู้ดีกว่าใคร "ชั้นว่าจดหมายมันโรแมนติกดีออก นึกถึงสมัยพ่อแม่ที่ใช้ความพยายามในการติดต่อกัน อ๊าง~ เคลิ้ม"
"เอ้ยๆ กลับมาก่อน อย่าเพิ่งหลุดโลก"
"สมัยนี้น่ะ อะไรมันก็สะดวกสบาย ไวไปหมด ทั้งไลน์ แชท จดหมายจึงเป็นอะไรที่ คลาสสิค และโรแมนติกที่สุดแล้ว"
สีหน้าที่จริงจังและจริงใจของเธอฉาบไปด้วยความงามของพลังรัก มันสะกิดใจเพื่อนชายของเธอไม่น้อยเลย แค่ไม่แสดงออกมา
"ชั้นหมายถึง เค้าจะอ่านลายมือเธอออกหรอ ?"
"ชั้นพิมพ์เอาย่ะ!!"
"แล้วมันจะโรแมนติกตรงไหนฟระ!! ยัยนี่" เพื่อนชายของเธอโวยวายเล็กน้อย "ในการ์ตูนรักหวานใสไร้สาระ เค้าก็เขียนๆกันไม่ใช่หรอ แล้วรุ่นพี่ปฐวี ของเธอจะรับรักเธอมั้ยนิ ?"
"ชั้นคิดไว้แล้วล่ะ ถ้าพี่เค้าไม่รับก็ไม่เป็นไร แค่ให้เค้ารู้ว่ามีชั้นอยู่ตรงนี้ก็พอ" ดวงตาอันหมองหม่นมองไปที่จดหมายรักลายกระต่ายน้อย ก่อนที่จะชะโงกจากมุมตึกแอบดูรุ่นพี่ที่เธอปลื้มนักหนา "คนอะไรไม่รู้~ ยิ่งดูยิ่งน่ารัก ขอรู้จักเธอสักครั้ง จะเป็นไรมั้ย~ อุคริ อุคริ"
"ชั้นว่าเธอเริ่มน่ากลัวแล้วล่ะ" เขาพยายามดึงเธอกลับมาสู่ความจริงก่อนจะลอยไปกับจินตนาการ แต่เขาเองก็รู้ดี ถึงปากเธอบอกว่าไม่รักไม่เป็นไร แต่เธอก็อยากให้รุ่นพี่ประทับใจและโดดเด่นจากคนอื่นๆ เธอถึงเลือกจดหมาย เพราะสมัยนี้หาได้ยาก และคนที่ทำจะเป็นที่จดจำ ไม่โรแมนติก ก็ล้าหลังโคตรๆ ล่ะนะ
"แต่ว่าชั้นจะเข้าไปให้ยังไงดี เค้าอยู่กับเพื่อน ถ้าเข้าไปยื่นให้แล้ววิ่งออกมาต้องโดนหัวเราะเยาะแน่ๆเลย" เธอปิดหน้าตัวเองด้วยความอาย "ใช่แล้วนาย"
"หา!?" เพื่อนชายยังไม่ทันจะคิดอะไรทัน
"นายไปส่งให้หน่อย" เธอใส่จดหมายลงในกระเป๋าเสื้อทันที "ถ้าเป็นนายล่ะก็ ชั้นไม่โดนหัวเราะแน่นอน"
'ก็แน่สิ ชั้นคนส่งนี่หว่า' เพื่อนชายของเธอทำหน้าขมวดคิ้ว "ให้ชั้นไปส่งจดหมายรักของเธอเนี่ยนะ"
"อือ ไม่ได้หรอ"
"ได้ก็ได้อยู่หรอก แต่เรื่องสำคัญแบบนี้ ทำไมไม่ทำด้วยตัวเองล่ะ แล้วที่เธอพิมพ์มามันจะมีความหมายอะไรเล่า" เพื่อนชายยื่นกลับ "จ่าหน้าซอง ติดแสตมป์ แล้วส่งไปบ้านเค้าก็ได้นะแบบนั้น"
"เพื่อนกันทำให้หน่อยนะ" สายตาเว้าวอนของเธอส่งไปยังเพื่อนชาย "เพื่อนกันมาตั้งนาน ช่วยหน่อยนะ"
เขาหลบสายตาเล็กน้อย "เพื่อน" เสียงแผ่วเบาเอ่ยออกมา "อาๆๆ ก็ได้ๆ" เขาปัดมือในอากาศ แล้วเดินไปหารุ่นพี่พร้อมยื่นจดหมายรักให้ กริยาของเค้าดูไม่พอใจเท่าไหร่
หญิงสาวแอบมองจากมุมตึก ยิ้มอย่างมีความสุขที่ความรู้สึกเธอได้ส่งไปถึงเค้าแล้ว
"เจ้าของจดหมายอยู่นู่นครับ"
'แล้วจะบอกเคาทำไมฟระ' เธอตกใจสุดตัวที่ผิดแผน ไม่คิดว่าเพื่อนชายเธอจะบอกที่ซ่อนตัวเธอเอง เธอแค่ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้าเท่านั้นเอง สาวน้อยหลบหลังกำแพง ด้วยหัวใจที่เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ 'ทำไงดีล่ะ ไม่ได้คิดเผื่อตอนนี้ด้วย'
"จ๊ะเอ๋!!" รุ่นพี่ปฐวี โผล่หน้ามาจากมุมกำแพง ถึงจะไม่ได้น่าตกใจเท่าไหร่แต่สำหรับคนแอบรักแล้วมันสุดจะบรรยาย "นี่ของเราจริงๆหรอ ?"
"คะ...ค่ะ" เธอตอบ
"พี่อ่านแล้วนะ พี่ก็สนใจเราอยู่เหมือนกัน มาลองคบกันมั้ย" แค่รอยยิ้มของรุ่นพี่ปฐวี ก็ทำเธอละลายแล้ว ประโยคที่ออกมาเหมือนฆ่ากันเลยทีเดียว หมายถึงดีใจแทบตาย
สาวน้อยแทบไม่เชื่อตัวเอง "จริงหรอคะ ได้จริงๆหรอคะ" เธอดีใจจนตัวลอย
"แอบปลื้มพี่ขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย แหม่ๆเขินจัง" รุ่นพี่ปฐวียิ้มอย่างอ่อนโยน
"ขอบใจมากนะ...." เธอหันไปหาเพื่อนชาของเธอ แต่ความปิติที่เต็มล้นกลับเหือดหายไปหมดเมื่อได้เห็นสีหน้าของเขา
"อือๆ ไม่เป็นไรๆ หมดธุระแล้วชั้นไปเรียนก่อนนะ" เขาใช้เงาจากปอยผมด้านหน้าบังอารมณ์ทางสายตาเอาไว้ก่อนจะเดินออกไป
'ทำไมชั้นไม่รู้สึกดีใจเลย ทั้งที่สารภาพรักก็สำเร็จ แล้วรุ่นพี่ก็ยอมคบด้วย แต่หลังจากที่เห็นสีหน้าของนายแล้ว มันอึดอัด ความรู้สึกหนักหน่วงจนหายใจไม่สะดวกนี่มันอะไร เหมือนกับชั้นกำลังจะเสียนายไป' คำถามเหล่านี้วนเวียนในหัวของเธอ 'ชั้นทำอะไรผิดไปหรอ' น้ำใสๆไหลออกมาจากดวงตาของเธอ
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 17 สิงหาคม 2556 / 00:45
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 17 สิงหาคม 2556 / 22:57
แก้ไขครั้งที่ 3 เมื่อ 19 สิงหาคม 2556 / 06:25
เรื่องสยองขวัญ(เหรอ?)
เด็กนั่นจ้องหน้าเธอนานเกินไปแล้ว
เธอคิดอย่างหวาดระแวงในขณะที่นั่งรอเพื่อนอยู่ในโรงอาหาร เด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอคนนั้นน่าจะเป็นเด็กม.ต้น ใบหน้ากลมๆ ล้อมกรอบด้วยผมที่ตัดสั้นระดับติ่งหูทำให้รูปหน้ายิ่งกลมเข้าไปใหญ่ ริมฝีปากยกขึ้นนิดๆ เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ใช่ ดวงตานั่นมีตาดำใหญ่จนแทบมองไม่เห็นตาขาว
แต่อะไรจะน่ากลัวไปกว่าการที่ดวงตาคู่นั้นไม่เคยกะพริบเลย
หญิงสาวพยายามไม่สนใจและเบือนหน้าไปทางอื่นทั้งที่ใจเต้นโครมคราม ในหัวเกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนนั้น
ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเลี่ยงความอึดอัดนั้นด้วยการโทรหาเพื่อน เธอก้มลงกดเบอร์โทรศัพท์ก่อนยกขึ้นแนบหู แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเด็กคนนั้นก็ไม่อยู่เสียแล้ว
หญิงสาวมองไปรอบๆ โรงอาหารทั้งซ้ายและขวาก็ไม่พบใครเลย ทั้งเสียงคนเดินหรือเสียงคนลุกจากเก้าอี้ก็ไม่มี
จิตใจของเธอเริ่มร้อนรน เหงื่อผุดซึมทั่วร่าง เธอตัดสินใจจะไม่รอเพื่อนและกลับบ้านในทันที
หญิงสาวใช้มือที่ยังว่างอยู่ทำท่าจะคว้ากระเป๋า แต่ความรู้สึกในมือมันกลับมีรูปร่างแปลกๆ อย่างไรชอบกล เธอจึงก้มลงดูก่อนจะอ้าปากค้าง เพราะสิ่งที่เธอกำลังจับอยู่นั้นคือ...อากาศ!?
เธอหันซ้ายหันขวาอีกครั้ง และสายตาก็สะดุดเข้ากับร่างของเด็กผู้หญิงคนนั้นกำลังวิ่งสุดชีวิตโดยมีกระเป๋าของเธออยู่ในมือด้วย!
หญิงสาวร้องตะโกนเสียงดังจนลิ้นพันกันมั่ว
“กรี๊ดดด ช่วยขโมยค่ะ กระเป๋ามันเอาด้วยไปแล้วววว”
#เรื่องสยองขวัญหลายบรรทัด
#ผิดหมวด?
555555 ลุ้นๆ
.....................................................................................................................................................................
วันนี้เป็นวันที่ เธอตื้นเต้นมากที่สุด
เพราะเธอ จะบอกรักเพื่อนสนิท
เขาคอยเป็น กำลังใจให้ในวันที่ เธอเสียใจ
เขาคอยให้่ ความหวังในวันที่เธอ ไร้ความหวัง
ระหว่าง ที่เธอเดินเธอ เห็นเขา เธอรีบวิ่งไปหา เขา
แต่เธอเห็นเขาอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้ง2คนสนิทสนมกันมาก
มากจนเธออิจฉา
เขาทักเธอ อ้าว หมิงมาหาเราหรอ
เธอตอบ จร้า เขาถาม เรื่องไรหรอ
เธอตอบ เปล่าหรอก เห็นเดี๋ยวนี้ตั้มไม่ค่อยว่าง
หรอ งั้นเดี๋่ยวเย็นนี้โทรหานะ เขาตอบ
นี่ เหมยแฟนเราเองสวยป่ะ
เธอรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอ
พยายามกลั้นเสียง สะอื้น
จ๊ะ เธอตอบ
เขาบอกว่า บาย นะหมิง
จ๊ะ เธอตอบ
เมื่อเขาเดินผ่านไปแล้ว
น้ำตาที่เธอกลั้น ก็ไหลออกมามากมายจนบรรยายไม่ถูก เข่าเธอทรุด ลงไป บนพื้น เธอสัญญากับ ตัวเองไว้ว่าจะ ตัดใจจากเขา
เพื่อความสุข ของเขาและเธอคนนั้น
5เดือนผ่านไป
งานแต่งงานระหว่าง เขา และ เธอคนนั้น
จัดขึ้น โดยบรรยากาศสุดแสนโรแมนติก
เธอต้องฝืนยิ้ม เธอปวด แปลบๆที่หัวใจ ความรักทำให้เธอเจ็บ
ยิ่งภาพที่ทั้ง2 จุมพิตกันเธอแทบทนไม่ไหว
ในที่สุดงานเลิก เธอวิ่งออกมาจากงาน เธอร้องไห้ออกมามากกว่าครั้้งแรก
แต่เธอคอยถามตัวเองทำไมไม่แย่งเขามา
เธอตอบตัวเองว่า เพราะคำว่า รัก ไง
................................................................................................................................................................
ความรัก...คือ การให้ การเสียสละ โดยที่ทำให้คนที่เรารักมีความสุข โดยที่คนที่ทำให้เขามีความสุข ไม่ใช่เรา...
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 17 สิงหาคม 2556 / 01:36
แนวแฟนตาซีค่ะ
ข้อดีที่อาจจะเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวของ 'วีรบุรุษ' คือการมีอนุสาวรีย์วางท่าองอาจอยู่หน้าอาคารของทางการ เพื่อใช้เป็นจุดนัดพบของชาวเมือง และเป็นสุขาของบรรดานกกระจอกอพยพถิ่น จริงๆ แล้ว พวกเขาเหล่านั้นก็เป็นคนสติไม่เต็มที่ชอบพาตัวเองเข้าไปในสถานที่อันไม่เหมาะ กระทำเรื่องอันไม่ควร และตายโดยไม่ได้รับรู้ว่าสิ่งที่ลงมือทำนั้นสำเร็จลุล่วงมากน้อยแค่ไหน
อายุประมาณแปดสิบปี บนเตียงที่มีลูกหลานรายล้อม และนมอุ่นอีกหนึ่งแก้วเท่านั้นจึงจะเป็นสถานที่และสถานการณ์อันเหมาะสมสำหรับการตายของคนอย่างเขา
แต่การคิดถึงผ้านวมนุ่มๆ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกทรมานใจมากยิ่งขึ้นขณะย่ำเท้าลงไปบนกองหิมะ ลมหนาวดุจคมมีดแหวกผ่านเนื้อผ้าเข้ามากรีดผิวขาวซีดของเขา เสียงพายุดังก้องข้างหูที่เย็นเฉียบจนแทบหลุดออกมาได้เพียงใช้นิ้วสัมผัส
ยอดแหลมของปราสาทสีดำทะมึนนั้นดูเหมือนอยู่ไกลลิบตาท่ามกลางพายุหิมะ เขาไม่รู้ว่าต้องเดินอีกกี่ร้อยกี่พันก้าวจึงจะบรรลุถึงที่หมาย นึกก่นด่าตนเองเต็มที ก็เพราะสาบานไว้ว่าจะอยู่ในที่อันเหมาะ กระทำเรื่องอันควร จึงมีเค้าว่าจะไม่ได้ตายสบายๆ อย่างที่หวังไว้ เพราะพิราบส่งสารของลอร์ดชลอฟเกิดติดโรคหลับไม่มีวันตื่นเสียอย่างนั้น ทิ้งให้เขาต้องมาส่งสารสำคัญแทนอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งที่อากาศอยู่ในช่วงย่ำแย่ที่สุดของปีนี้
เขาจามออกมาสองสามครั้ง ตัวสั่นระริกด้วยความหนาว ยัดมือลงในกระเป๋าเพื่อควานหาผ้าเช็ดหน้า
"เฮ้" เสียงตะโกนของใครคนหนึ่งดังขึ้น ชายหนุ่มเขม้นมองหาผ่านละอองหิมะซึ่งพัดวนอยู่รอบตัว ไม่ทราบว่าเจ้าของเสียงเป็นมิตรหรือศัตรู
"ทางนี้" คำร้องเรียกดังขึ้นกว่าเดิม เขาหันควับไปทางซ้ายตามต้นเสียง ฉับพลันนั้นปลายจมูกกลับถูกของแข็งกระแทกดังปั้กใหญ่ ไม่ทันจะโอดครวญ ขาทั้งสองกลับถูกเตะอย่างแรง ส่งผลให้ชายหนุ่มล้มกลิ้งไม่เป็นท่า ทั่วหน้าปักลงในกองหิมะเย็นเฉียบ เขาพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นก่อนที่จะตายอนาถตั้งแต่ยังหาภรรยาไม่ได้ ทว่าก็ทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่บางสิ่งซึ่งนุ่มนิ่มแต่ส่งกลิ่นแสบจมูกจะแตะลงบนลำคอด้านหลังของเขา
"อย่าขยับ"
อะไรก็ตามแต่ที่อยู่บนคอของเขา มันให้ความรู้สึกเหมือนมีทากเมือกๆ ลื่นๆ ไต่อยู่เลยล่ะ
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 17 สิงหาคม 2556 / 02:17
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 18 สิงหาคม 2556 / 22:52
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 17 สิงหาคม 2556 / 09:29
เธอจ้องหน้าฉันนานเกินไปแล้วนะ
เธอคิดระหว่างที่นั่งรอเพื่อนอยู่ที่โรงอาหารหลังเลิกเรียน เด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอเป็นเด็กมัธยมต้น ผมตัดสั้นระดับติ่งหูจนทำให้ใบหน้าที่กลมอยู่แล้วกลับกลมเข้าไปอีก ริมฝีปากสีคล้าของเธอเผยอนิดๆ เหมือนจะยิ้มให้ฉัน แต่ก็เหมือนไม่ใช่ ดวงตาเล็กเรียวของเธอกลับมีตาดำใหญ่เกินเบ้าตา ใหญ่เสียจนแทบจะมองไม่เห็นตาขาวรอบๆ ที่แน่ๆ ดวงตาคู่นั้นไม่เคยกะพริบเลย ยัยเด็กนี่เป็นหุ่นยนต์หรือไงกัน?
หลังจากที่นั่งอึดอัดเพราะถูกจ้องอยู่นาน ในที่สุดเธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหาเพื่อน ทำไมไม่โผล่มาสักทีนะ เธอบ่นพึมพำพร้อมกดเบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอ แล้วยกโทรศัพท์มือถือขึ้นแนบหู
ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมา เด็กคนนั้นก็ไม่อยู่แล้ว
เธอหรี่ตา มองไปทางซ้าย ทางขวา ไม่มีใครอยู่ในโรงอาหารเลย ไม่มีใครเสียงคนเดิน ไม่มีแม้แต่เสียงเธอลุกจากเก้าอี้ แล้วเด็กคนนั้นหายไปได้ยังไง?
บ้าจริง ทำไมไม่มีใครรับสายสักทีนะ ยัยนี่นัดไว้ทีไรไม่เคยมาตรงเวลาเลย บรรยากาศชักไม่ค่อยดีเธอเปลี่ยนใจไปรอเพื่อนที่อื่นดีกว่า มือข้างที่ว่างอยู่คว้ากระเป๋าที่วางไว้ข้างตัว แต่กลับได้อย่างอื่นติดมาแทน
กรี๊ด!!! เธอกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจสุดขีด สิ่งที่เธอคว้ามาไม่ใช่กระเป๋าแต่กลับกลายเป็นมือขาวซีดที่เปรอะไปด้วยเลือดสีแดงเข้ม!
เธอตกใจจนตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า รีบโยนมือเปราะเปื้อนเลือดนั่นทิ้งไป อยากจะลุกวิ่งหนีไปให้ไกลแต่ขากลับก้าวไม่ออก หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความตกใจ เธอหันมองรอบข้างสายตาเธอพลันเหลือบไปเห็นร่างขาวซีดจนเห็นเส้นเลือดของเด็กหญิงมัธยมต้น ที่เคยนั่งอยู่ตรงข้ามเธอกำลังคลานออกมาจากใต้โต๊ะ ผิดก็แต่ในตอนนี้ลำคอกับแขนของเด็กคนนั้นเต็มไปด้วยรอยกรีดจากของมีคม และข้อมือข้างซ้ายมีรอยกรีดลึกจนมือขาดหายไป
เด็กคนนั้นค่อยๆเงิยใบหน้าที่มีเลือดสีแดงเข้มไหลออกจากปากส่งรอยยิ้มเป็นมิตร(แต่อันที่จริงดูน่าสยดสยองมากกว่า)ให้เธอพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาดูเยือกเย็น
...มาอยู่ด้วยกันเถอะ...นะ...
[=w="หลอนไปแล้วเรา 555]
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 17 สิงหาคม 2556 / 10:08
แนวรักเจ้าค่ะ
หญิงสาวก้มลงมองซองจดหมายลายกระต่ายน้อยที่อยู่ในมืออย่างชั่งใจ
...วันนี้คงเป็นวันตายของฉัน สินะ...
ไม่จริง! เธอรีบสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ นั่นออกไป วันนี้ต้องเป็นวันดีสิ! ก็วันนี้ฉันกำลังจะได้สารภาพรักกับรุ่นพี่ปฐวีนี่นา
ปฐวี ชายหนุ่มที่เธอคนนั้นหลงใหลมากว่าสองปีครึ่ง นับตั้งแต่ฉันได้เข้ามหาวิทยาลัยมา ตั้งแต่วันนั้นที่เธอได้สบตากับรุ่นพี่ เธอก็ไม่อาจละสายตาจากเขาได้อีก
เอาจดหมายยื่นให้เข้าแบบนั้นจะดีหรือ แมน ชายหนุ่มที่เป็นเพื่อนสนิทของหญิงสาวเอ่ยถามขึ้น จดหมายสารภาพรักกับเจ้าชายไอทีเนี่ยนะ
ร่างบางก้มลงมองจกหมายลายกระต่ายน้อยของเธออีกครั้งเพื่อชั่งใจ แต่ยังไงเสีย คำพูดของคนๆ หนึ่งก็ไม่สามารถเปลี่ยนความตั้งใจเดิมของหญิงสาวได้
จดหมายมันโรแมนติกจะตายไป จะให้ทักไลน์ไปเนี่ยนะ คนอื่นเค้าก็ทำกันไปหมดแล้ว หญิงสาวเบ้ปาก
ฉันถึงได้บอกนักบอกหนาไงว่าให้เธอเลิกอ่านการ์ตูนตาหวานนั่นไงล่ะ ผู้ชายที่ไหนเขาจะตกหลุมรักผู้หญิงเพียงเพราะเอาจดหมายสารภาพรักไปให้ มันไม่เหมือนกับการ์ตูนญี่ปุ่นที่เธออ่านหรอกนะ
ฉันก็ไม่ได้หวังว่าเค้าจะตกหลุมรักฉันซักหน่อย ก็แค่...แค่... หญิงสาวชะโงกหน้าไปมองรุ่นพี่ปฐวีอีกครั้ง ฉันก็แค่อยากให้เขารู้ว่า ฉันมีตัวตนอยู่เท่านั้นแหละ พูดจบ เธอก็ก้มงุด ใบหน้าขึ้นสีแดงจัดอย่างเขินอาย
ยิ่งมองรุ่นพี่ หัวใจก็ยิ่งเต้นแรง ฉันจะทำได้อย่างไรกัน ยื่นจดหมายฉบับนี้ให้แล้วรีบวิ่งออกมางั้นหรือ
ไม่เอาอ่ะ เพื่อนของเขาต้องหัวเราะเยาะฉันแน่ๆ
ร่างบางเหลือบมองที่พึ่งสุดท้ายของเธอ ผู้ชายที่กอดอกมองเธออย่างหน่ายๆ อยู่เบื้องหน้า
นี่แมน! นายทำให้หน่อยสิ เธอยื่นจดหมายให้
แมนรับจดหมายมาอย่างงงๆ ฉันเนี่ยนะ
ถ้าเป็นนายละก็ คนอื่นๆ ต้องไม่กล้าหัวเราะแน่
จะให้ฉันเอาจดหมายนี่ไปให้รุ่นพี่ที่เธอแอบชอบ?
อื้ม ร่างบางพยักหน้า แต่แมนกลับยื่นจดหมายคืนให้ฉัน
ทำไมล่ะ แค่นี้ทำให้เพื่อนไม่ได้หรือ เธอขมวดคิ้วถามอย่างงุนงง
เพื่อน? แมนกระตุกยิ้มเล็กเล็กน้อย ก่อนจะกลับไปทำสีหน้าบึ้งตึงไม่พอใจเหมือนเก่า
ใช่ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งนานนะ เรื่องแค่นี้...
หญิงสาวกำลังจะพูดต่อ แต่ก็ถูกมือของแมนปิดปากเอาไว้ ชายหนุ่มเดินไปยังโต๊ะที่รุ่นพี่ปฐวีนั่งอยู่
หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างสงสัย อะไรกัน! กลัวว่าตัวเองจะไม่แมนสมชื่อหรือไง
แมนยื่นจดหมายให้รุ่นพี่อย่างเจ็บปวด ก่อนจะเดินหลบสายตารุ่นพี่และเพื่อนสาวของเขาออกไป
เพื่อน?
สุดท้าย คนอย่างฉันก็เป็นได้แค่ เพื่อน สินะ
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 17 สิงหาคม 2556 / 10:41
..................................................
หญิงสาวคนหนึ่งยืนกระสับกระส่ายอยู่ข้างๆเสาต้นสูงใหญ่ ดวงตากลมที่ประกายแสงอย่างตื่นเต้นผสานกับหวาดหวั่นในใจมองจดหมายที่อยู่ในมือของเธอก่อนจะทอดมองไปทางชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า
"เธอจะให้ฉันเอาจดหมายนี่ไปให้รุ่นพี่ที่เธอแอบชอบ?"ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งหากทว่าแฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างหญิงสาวที่อธิบายไม่ถูกด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังน้อยใจหรือไม่พอใจกันแน่
ในขณะที่มองตามร่างสูงใหญ่ที่ค่อยๆห่างไกลเธอออกไปนั้น แวบหนึ่งในความคิดหญิงสาวรู้สึกราวกับว่าอยากจะให้ชายหนุ่มหันกลับมามองเธออีกครั้งอย่างไม่มีเหตุผลหรือไม่ก็อาจเป็นเพราะสายตาคู่นั้นที่มองเธอเมื่อครู่มันช่างดูเศร้าอย่างน่าประหลาด หากทว่าอีกฝ่ายกลับทำเพียงยื่นซองจดหมายที่เขาเอาไปจากมือของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ให้กับรุ่นพี่หนุ่มหล่อที่ทำหน้าเหลอหลาอย่างงงงวยพลางรับมันไป ก่อนที่แมนจะเดินเลยไปทางบันไดขึ้นไปยังอาคารเรียนทันทีโดยไม่รอเธอเหมือนทุกๆวันที่เราจะเดินขึ้นห้องเรียนพร้อมกัน
******************************************************************************************************
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 17 สิงหาคม 2556 / 12:51
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 17 สิงหาคม 2556 / 12:53
แก้ไขครั้งที่ 3 เมื่อ 17 สิงหาคม 2556 / 12:58
แก้ไขครั้งที่ 4 เมื่อ 17 สิงหาคม 2556 / 13:01
แก้ไขครั้งที่ 5 เมื่อ 17 สิงหาคม 2556 / 13:26
แฟนตาซี
วีรบุรุษคือ...
บ้าที่ทะเล่อทะล่าไปอยู่ในที่ๆ ไม่ควรอยู่
ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่จำเป็นต้องทำ
และ...
ตายโดยที่ไม่รู้ว่าที่ทาไปมันสำเร็จไหม
เด็กหนุ่มคนหนึ่งหัวเราะในลำคอเมื่อนึกถึงสภาพเหล่า วีรบุรุษ ที่มัวแต่หาเรื่องใส่ตัว บางคนประสบความสำเร็จก็ได้เกียรติยศชื่อเสียงล้นเหลือ แต่คนที่ไม่...ก็คงรู้ดีว่าจุดจบเป็นเช่นไร
เขาไม่ใช่คนแบบนั้น
เขาจะอยู่ในที่ๆ ควรอยู่ ทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ และตาย...อย่างสบายในยามบั้นปลายชีวิต
ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น เท้าทั้งสองของเขาก็ไม่ได้หยุดย่างก้าวไปบนกองหิมะสีขาวบริสุทธิ์ ฝ่าลมหนาวที่กรีดผิวสีขาวไม่ต่างกันของเขาจนต้องเผยสีหน้าทรมาน พายุหิมะส่งเสียงหวิวๆ อยู่ข้างหูเหมือนเป็นคำขู่ว่าเขาจะไม่มีชีวิตเหลือรอดไปถึงปราสาทซึ่งเป็นเป้าหมายการเดินทางได้
หนาวชะมัด เด็กหนุ่มกระชับเสื้อคลุมให้แน่นขึ้น แม้มันจะไม่ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้เขาเลยก็ตาม
ยอดปราสาทสีดาทะมึนเริ่มปรากฏอยู่ไกลๆ ท่ามกลางพายุหิมะที่ทำให้ความสามารถในการมองเห็นลดต่ำจนแทบติดลบ เขาไม่อยากคิดเลยว่ามันอยู่ห่างไปอีกสักเท่าไหร่ ต้องเดินอีกกี่สิบไมล์ กี่ร้อยไมล์ไม่อยากคาดเดา
เพราะมีแต่ทำให้ท้อแท้...และสิ้นหวัง
เด็กหนุ่มอยากจะด่าตัวเองจริงๆ ทั้งที่สาบานเอาไว้ว่าจะอยู่ในที่ๆ ควรอยู่ ทำในสิ่งที่ จำเป็น ต้องทำ เลยไม่ได้ตายสบายอย่างที่ตัวเองต้องการ
เนื่องจากพิราบส่งสารของลอร์ดชลอฟติดโรคชนิดหนึ่งจนถึงกับความตาย เขาเลย จำเป็น ต้องมาส่งสารแทน
เพราะเจ้านกบ้าแท้ๆ ผมเลยต้องมา...ส่ง...สาร...แทน...ฮัดเช้ย!
เฮ้
เด็กหนุ่มหันไปตามเสียง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมาดีหรือมาร้ายเขาก็ต้องจับตามองไว้ก่อน คงไม่มีใครอยากถูกลอบแทงข้างหลัง ถึงความตายนอนอยู่ท่ามกลางหิมะที่ถูกย้อมด้วยสีเลือดหรอก
ทางนี้
แต่แล้วเมื่อหันไปมองชัดๆ ก็โดนของแข็งกระแทกเข้าที่ปลายจมูกดังปั้ก ก่อนจะถูกเตะที่ขา ส่งตัวเองตีลังกาเก้าสิบองศาลงไปนอนหน้าจุ่มความเย็นของก้อนหิมะ ร่างสูงรีบยันตัวเองให้ลุกขึ้นก่อนที่ผู้ไม่ประสงค์ดีท่านนี้จะทำอะไรเขาอย่างที่นึกเสียวไว้ตอนแรก
เมื่อเงยหน้าขึ้นมากลับพบบางสิ่งจ่ออยู่ที่ศีรษะ...
อย่าขยับ
นั่นเป็นเสียงสุดท้ายก่อนที่เขาจะรับรู้ได้ถึงความเจ็บแปลบๆ ที่หลังศีรษะ ใครบางคนอาศัยจังหวะนั้นฟาดลงมาเต็มๆ จนเด็กหนุ่มไม่อาจรั้งสติเอาไว้ได้
มีสองคน...สินะ
นั่นคือสิ่งที่เขาคิดก่อนภาพทุกอย่างจะดำมืดไป
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 17 สิงหาคม 2556 / 13:37
------------------------------------------------------------------------
วีรบุรุษคือบ้าที่ทะเล่อทะล่าไปอยู่ในที่ๆ ไม่ควรอยู่ ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่จำเป็นต้องทำ และตายโดยที่ไม่รู้ ว่าที่ทำไป..มันสำเร็จไหม
..ทั้งๆ ที่เป็นอย่างนั้น แต่คนมากมายก็ยังอยากเป็นวีรบุรุษ
แต่แน่นอนว่าไม่ใช่เขา ฟีนิกซ์ไม่ใช่คนแบบนั้น..อย่างน้อยเขาก็คิดอย่างนั้นน่ะนะ
เขาจะอยู่ในที่ๆ ควรอยู่ ทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำและตาย...อย่างสบายในยามบั้นปลายของชีวิต
ในขณะที่คิดอยู่นั้น เท้าของเขาก็ยังคงเหยียบย่ำไปบนกองหิมะที่เย็นยะเยียบ ฝ่าลมหนาวที่แทบจะกรีดผิวขาวๆ ของเขาออกเหมือนแล่เนื้อหมูสดๆ พายุหิมะส่งเสียงหวิวๆ อยู่ข้างหูเหมือนเป็นคำขู่ว่าเจ้าไม่มีวันไปถึงปราสาทได้หรอก
..ยอดปราสาทสีดำทะมึนลอยอยู่ไหวๆ กลางพายุหิมะข้างหน้านั่น ห่างออกไปไม่รู้อีกกี่สิบไมล์ กี่ร้อยไมล์
เขาอยากจะด่าตัวเองจริงๆ ทั้งๆ ที่สาบานว่าจะอยู่ในที่ๆ ควรอยู่ ทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ แต่กลับต้องผิดคำพูดเมื่อ พิราบส่งสารของลอร์ดชลอฟดันติดโรคตาย เขาเลยต้องมา...ส่ง...สาร...แทน...นกบะ...ฮัดเช้ย!
“เฮ้!”
ฟีนิกซ์คิดว่าเขาได้ยินเสียงคนเรียก ใครสักคนส่งเสียงอยู่ในม่านหมอกสีขาวรอบๆ ตัวเขา แต่..ใครล่ะ??
“ทางนี้”
ฟีนิกซ์หันไปตามเสียงก็ไม่พบอะไร
..แต่แล้วก็โดนของแข็งกระแทกเข้าที่ปลายจมูกดังปั้ก! ก่อนจะถูกเตะที่ขา ส่งตัวเองตีลังกาเก้าสิบองศาลงไปนอนหน้าจุ่มความเย็นของกองหิมะ
‘อา..หิมะอร่อยจัง เอ๊ย! ข้าหมายถึงมันหิมะเย็นจังต่างหากล่ะ!’ ฟีนิกซ์รีบยันตัวเองให้ลุกขึ้นก่อนที่จมูกจะตัดสินใจหยุดทำงานเพียงเพราะเขามัวแต่ชื่นชมหิมะ
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนอยู่ใกล้ๆ ฟีนิกซ์กำลังอ้าปากร้องเรียกแต่ก็ถูกคนๆ นั้นเอามือปิดปากไว้ก่อน
ฟีนิกซ์สัมผัสได้ถึงวัตถุเย็นเยียบจ่อเข้าที่ศรีษะของตน เขาตาเหลือกขึ้นฟ้าก่อนจะออกแรงดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากการเกาะกุม
“อย่าขยับ!”
ฟีนิกซ์ยังคงดิ้น ‘แน่ล่ะ! บ้าที่ไหนเขาจะยอมให้จับกันง่ายๆ เล่า!’
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้” บุคคลปริศนาถอนหายใจก่อนจะล้วงเอาสารลับที่ฟีนิกซ์ต้องมาส่งให้ลอร์ดชลอฟออกไปจากกระเป๋าของเขา
“ลาก่อน คนส่งสารที่น่าสงสาร” ฟีนิกซ์พยายามเปล่งเสียงของตนเป็นครั้งสุดท้าย
“อย่า...!!!”
ปัง!!!
แนวสยองขวัญ
'เธอจ้องหน้าฉันนานเกินไปแล้ว'
ฉันคิดระหว่างที่นั่งรอเพื่อนอยู่ที่โรงอาหารหลังเลิกเรียน เด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามฉันเป็นเด็กมัธยมต้น ผมตัดสั้นระดับติ่งหูจนทาให้ใบหน้าที่กลมอยู่แล้วกลับกลมเข้าไปอีก ริมฝีปากสีคล้ำของเธอเผยอนิดๆ เหมือนจะยิ้มให้ฉัน แต่ก็
เหมือนไม่ใช่ ดวงตาเล็กเรียวของเธอกลับมีตาดำใหญ่เกินเบ้าตาใหญ่เสียจนแทบจะมองไม่เห็นตาขาวรอบๆ
ที่แน่ๆ ดวงตาคู่นั ้นไม่เคยกะพริบเลย
ฉันทำเป็นไม่สนใจ แสร้งเบือนหน้าหนีไปทางอื่นทั้งที่ในใจเต้นรัว นี่เธอจะจ้องฉันอีกนานไหม ไม่มีอย่างอื่นทำหรือไง
หลังจากที่นั่งอึดอัดอยู่นาน ในที่สุดฉันก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหาเพื่อน นี่ได้เวลาเลิกเรียนคาบสุดท้าย
ของเธอแล้ว แต่เธอไม่โผล่มาสักที ฉันกดเบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอ แล้วยกโทรศัพท์มือถือแนบหู ทันทีที่เงยหน้า เด็กคนนั้นก็ไม่อยู่แล้ว ฉันหรี่ตา มองไปทางซ้าย ทางขวา ไม่มีใครอยู่ในโรงอาหารเลย ไม่มีใครเสียงคนเดิน ไม่มีแม้แต่เสียงเธอลุกจาก
เก้าอี้ แล้วเธอหายไปได้ยังไง มือที่กำโทรศัพท์ไว้เริ่มเปียกชื้น บ้าจริง ทำไมไม่มีใครรับสายสักทีนะ ฉันไม่อยู่แล้ว กลับบ้านดีกว่า มือข้างที่ว่างอยู่คว้ากระเป๋ า แต่กลับได้อย่างอื่นติดมาแทน…
ฉันมองไปยังวัตถุชนิดหนึ่งที่ถูกแขวนไว้ตรงหูกระเป๋า มันเป็นกระดาษแผ่นเล็กๆ แผ่นหนึ่งที่มีข้อความบางอย่างเขียนติดอยู่ ฉันดึงกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่านก่อนที่จะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
'กูว่าแล้วต้องอ่าน!!!'
ใครที่ไหนมาเล่นแบบนี้ น่าจับมาหักคอจิ้มน้ำพริกเสีย ฉันขยำกระดาษก่อนจะโยนมันลงถังและเดินออกมาด้วยท่าทางหงุดหงิด
“พี่สาว” พอพ้นจากประตูโรงอาหารมาก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาดักหน้าไว้
“จ๋า มีอะไรหรือเปล่า?” ฉันเอ่ยตอบและนั่งชันเข่าลงกับพื้นเพื่อให้เห็นหน้าเด็กได้ชัด ก่อนที่ฉันจะผงะถอยหลังกรูด้วยความกลัว เมื่อเห็นหน้าของเด็กคนนั้น
“พี่หนีหนูทำไม? พี่ไม่ชอบหนูหรอ?” เด็กคนนั้นยิ้มเผยให้ริมฝีปากของเธอกว้างขึ้นจนฉีดถึงใบหู ดวงดาโตสีแดงกล่ำดุจสีเลือด ฟันแหลกซี่เล็กๆ โผล่ออกมาจนหน้ากลัว เธอเดินเข้ามาใกล้ฉันอย่างช้าๆ ทำให้ฉันต้องถอยหลังกรูจนติดผนัง
“อย่าทำอะไรฉันเลย...ฉันกลัวแล้ว!” ฉันพูดพลางพนมมือขึ้นเพื่อขอร้องไว้ชีวิต เสียงหัวเราะอันหน้าสยดสยองออกมาจากเด็กคนนั้นก่อนที่เด็กคนนั้นจะยื่นมือเข้ามาเรื่อยๆ จน...
“น้องคะ เป็นอะไรหรือเปล่า?” ฉันลืมตาขึ้นหลังจากที่รู้สึกว่ามีคนมาเขย่าตัวเผยให้เห็นรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งมายืนเขย่าตัวฉันที่นั่งพนมมืออยู่บนพื้นด้วยสายตาสงสัย
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบฉันก็ลุกขึ้นยืนและรีบก้าวเท้าออกไปอย่างเร็ว แล้วเด็กคนนั้นหายไปไหน? ภาพที่ฉันเห็นเมื่อกี้คืออะไรกัน?
ติ๊ดๆๆๆ
เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าฉันดังขึ้น ฉันยกขึ้นมาดูเพื่อจะเป็นเบอร์ของเพื่อน แต่เปล่าเลยเป็นเบอร์ที่ไม่ระบุหมายเลขปลายทาง
“ฮัลโหล”
ฉันกดรับโทรศัพท์ก่อนที่จะมีเสียงตอบรับจากปลายสายมา...
“พี่กลัวหนูหรอ? ฮิฮิ”