เรื่อง "กลับมาแล้วครับ" อาจจะมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งพอจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับฮิตเลอร์ และอยากจะเห็นท่านผู้นำในอีกสภาพแวดล้อมนึงบ้าง
แต่นิยายที่พี่น้องหยิบมาวิจารณ์ในวันนี้เป็นวรรณกรรมสำหรับเด็กเล่มหนึ่งซึ่งพูดถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านมุมมองของเด็กชายอายุ 9 ขวบเท่านั้น
มาดูกันดีกว่าค่ะ ว่าเมื่ออ่านไปแล้ว เราได้อะไรจากหนังสือเล่มนี้บ้าง
เพราะนิยายเรื่องนี้มีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นเด็ก การให้บรูโนเล่าเรื่องแทนจะทำให้ผู้อ่านที่เป็นเด็กรู้สึกอยากมีส่วนร่วมและเข้าถึงได้มากกว่าให้ผู้ใหญ่มาเล่า
และผู้เขียนตั้งใจให้งานชิ้นนี้เป็นการมองเหตุการณ์ร้ายแรงในสายตาของเด็ก ซึ่งเป็นสายตาที่ยังบริสุทธิ์ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่า 'ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์' คืออะไร ไม่รู้ว่า 'สงคราม' คืออะไร

ครอบครัวของเขามีฐานะดี (บ้านหลังใหญ่ มีคนใช้ ซ่อมแซมบ้านให้ดูใหม่ตลอดเวลา พ่อเป็นทหารยศสูง) ทำให้เขามีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง แต่ก็เป็นเด็กฉลาด ตรงไปตรงมา และเติบโตมาในครอบครัวที่อาจจะเคร่งครัดและไม่ได้อบอุ่นมากนัก แต่ไม่ใช่ครอบครัวที่ด่าทอต่อว่า หรือทำร้ายร่างกายกันเป็นประจำ ทำให้เขาเป็นเด็กที่แม้จะเอาแต่ใจตัวเอง แต่ไม่ได้เกเรหรือชอบใช้กำลัง
เกรเทล
เกรเทลเป็นพี่สาวของบรูโน อายุ 12 ขวบ ในเรื่องนั้นช่วงแรกเกรเทลจะยังไม่ค่อยรู้เดียงสาเช่นเดียวกับบรูโน แต่การเรียนประวัติศาสตร์กับครูลิซท์ทำให้เกรเทลเปลี่ยนไป และเริ่มรู้ว่าอีกฝั่งของรั้วหนามเป็นคนกลุ่มไหน ทำไมเธอจึงไม่ควรเข้าใกล้
ในฐานะคนอ่าน เราไม่ค่อยรู้ว่าเกรเทลมีทัศนคติยังไงต่อคนยิว เธอเกลียดจริง หรือแค่แสดงออกไปตามที่เธอถูกสอนมา แต่จากที่บรูโนเล่า เธอไม่ได้แสดงออกว่าเห็นใจหรือสงสารคนยิว
พ่อแม่ของบรูโน


ส่วนแม่ของบรูโนนั้นในเรื่องแสดงออกว่าไม่ได้ชอบการมาอยู่ใกล้ค่ายกักกัน ไม่ใช่เพราะรู้สึกสงสารคนยิว แต่เพราะกลัวว่าสภาพแวดล้อมที่นี่จะไม่ดีกับลูกของเธอ
แม่ของบรูโนนั้นยังมีอีกประเด็นที่น่าสนใจ นั่นคือเธออาจคบชู้กับผู้หมวดคอทเลอร์ นายทหารหนุ่มที่เข้าออกบ้านของบรูโนบ่อยๆ แสดงว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับแม่ของบรูโนอาจไม่ดีนัก แต่ไม่ถึงขนาดทำให้แยกทางกัน

ชมูเอลเป็นคนที่มีเชื้อสายยิว อาศัยอยู่ในโปแลนด์ อายุเท่ากับบรูโน เมื่อเทียบกับบรูโน ชมูเอลดูจะฉลาดกว่า และรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนโลกใบนี้มากกว่า เนื่องจากว่าตอนที่เด็กทั้งสองเล่าชีวิตของตัวเองให้กันฟัง บรูโนมักจะพูดทำนองว่าชีวิตของบรูโนไม่เห็นมีอะไรต้องทุกข์หรืออีกฝั่งรั้วไม่ได้ดูน่ากลัว แต่ชมูเอลจะแค่พึมพำว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น
พาเวล
พาเวลเป็นคนยิวที่มาเป็นคนรับใช้ในบ้านของบรูโนที่ค่ายกักกัน บรูโนไม่รู้ว่าเขาเป็นยิวเลยแม้แต่น้อย เขารู้แค่ว่าพาเวลเคยเป็นหมอมาก่อน แต่ตอนนี้เขาเป็นไม่ได้แล้ว เมื่อบรูโนเล่นชิงช้าจนได้รับบาดเจ็บ พาเวลก็เป็นคนมาช่วยปฐมพยาบาล บทบาทของพาเวลในเรื่องนี้เหมือนเป็นตัวแทนของคนยิวที่ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร แต่กลับโดนปฏิบัติเหมือนเป็นสัตว์เดียรัจฉาน
ผู้หมวดคอทเลอร์

แต่ในเรื่องมีพูดถึงพ่อของผู้หมวดที่ย้ายไปอยู่สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อพ่อของบรูโนได้ยินดังนั้นจึงรู้ทันทีว่าพ่อของผู้หมวดคอทเลอร์ต่อต้านนโยบายของท่านผู้นำ จะเห็นว่าไม่ใช่คนเยอรมันแท้ๆ ทั้งหมดที่เห็นด้วยกับการการลิดรอนสิทธิคนยิว บางคนก็ต่อต้านด้วยการแสดงออก บางคนก็ทนไม่ได้จนหนีออกนอกประเทศ บางคนก็เฉยๆ ไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนต่างชาติพันธุ์
แต่น้องๆ ชาว Dek-D เชื่อไหมคะว่าตั้งแต่พี่น้องอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ เรื่องนี้ไม่มีการอธิบายถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ค่ายกักกัน หรือการแบ่งแยกระหว่างชาติพันธุ์ อย่างชัดเจนเลยแม้แต่น้อย สาเหตุก็เพราะคนที่เล่าเรื่องนี้ให้เราฟังเป็นแค่เด็กอายุ 9 ขวบ ซึ่งไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสงครามครั้งนี้เลย
- ผลกระทบของสงคราม: เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี 1943 ซึ่งสงครามโลกครั้งที่ 2 ดำเนินมาได้ครึ่งทางแล้ว เยอรมนีบุกโปแลนด์แล้ว (ทำให้ชมูเอลและครอบครัวถูกจับมาที่ค่าย) แต่เพราะบรูโนเป็นคนเยอรมันที่มีฐานะและมีคุณพ่อซึ่งมีตำแหน่งสูง ทำให้เขาไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากสงคราม และไม่เข้าใจความลำบากของชมูเอล
- นโยบายต่อต้านชาวยิวของฮิตเลอร์: ฮิตเลอร์ออกกฎที่ชื่อว่านูเรมเบิร์กในปี 1935 เพื่อถอดสิทธิที่ชาวยิวพึงมี และปฏิบัติกับคนเหล่านี้เหมือนเป็นสัตว์ ในช่วงแรกอาจจะแค่ห้ามไม่ให้ใช้พื้นที่สาธารณะ ต้องติดดาวเหลืองเพื่อบอกฐานะของตน ห้ามติดต่อกับคนเยอรมัน แต่แล้วก็เริ่มมีการจับกุมชาวยิวทั้งหมดส่งไปทำงานที่ค่ายกักกัน แล้วลงท้ายด้วยการฆ่าทิ้ง
บรูโนไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย เนื่องจากเขายังไม่ได้เรียนประวัติศาสตร์มากเท่ากับเกรเทล (เกรเทลรู้แล้วว่ายิวคืออะไร แต่ยังอธิบายให้น้องชายเข้าใจได้ไม่ดีมากนัก เพราะเธอก็แค่จำ มาจากที่ครูสอนอีกที) ตอนที่เกรเทลอธิบายเรื่องคนยิวให้บรูโนฟัง มันเหมือนเป็นคำใหม่สำหรับเขา เขารู้แค่ว่า คนยิวกับพวกเขานั้นแตกต่าง เข้ากันไม่ได้ ก็เลยต้องมีรั้วกั้น
- ค่ายกักกัน: บรูโนเรียกที่นั่นว่าฟาร์ม เขาเข้าใจว่าในค่ายกักกันก็เป็นเหมือนบ้านของเขาเพียงแต่มีคนอยู่เยอะกว่า น่าจะสนุกสนานกว่า ในตอนท้ายเรื่องเขาตัดสินใจลอดรั้วไปอีกฝั่งเพื่อตามหาพ่อของชมูเอล แต่เมื่อเข้าไปในค่าย เขาก็พบว่าที่นี่ไม่มีอะไรน่าสนุก ผู้คนต่างเป็นทุกข์ และบางคนก็ถูกทหารเยอรมันทำร้าย สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังเดินเข้าไปในห้องรมแก๊ส นั่นคือฉากสุดท้ายของเรื่อง และไม่มีใครพบเขาอีกเลย
- บทบาทของผู้ใหญ่: ในตอนแรกบรูโนเข้าใจว่าพ่อของเขาทำงานผิดพลาด ฮิตเลอร์จึงสั่งย้ายพ่อของเขาให้มาทำงานในที่กันดารแบบนี้ แต่ในมุมมองของผู้ใหญ่ นี่คือโอกาสที่จะได้รับใช้ท่านผู้นำ และสร้างผลงาน แม้งานนั้นจะเป็นงานที่โหดร้ายแค่ไหนก็ตาม พ่อของบรูโนถือว่าเป็นการทำตามคำสั่งและเป็นการรับใช้ชาติ
เนื่องจากบรูโนยังเด็ก และไม่รู้จัก 'การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์' จึงไม่น่าแปลกใจที่จนจบเขาก็ยังไม่เข้าใจความเป็นไปทั้งหมดของเรื่อง แต่เราที่เป็นคนอ่าน ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างก็พอรู้เรื่องนี้มาบ้างแล้ว จึงพอเดาได้จากคำบอกเล่าของบรูโนว่าสถานการณ์นี้อันตรายแค่ไหน ถ้าเป็นพวกเราคงจะไม่ก้าวเข้าไปในเขตค่ายกักกันแน่
แนวคิดเหยียดชาติพันธุ์
มีใครเคยสงสัยไหมว่าทำไมฮิตเลอร์ถึงออกคำสั่งให้กำจัดชาวยิว เขาไปทำอะไรให้ถึงต้องทำขนาดนี้ เรื่องนี้คงต้องย้อนกลับไปถึงความเชื่อของชาวคริสต์ที่ว่าคนยิวเป็นต้นเหตุที่ทำให้พระเยซูเสียชีวิต และมีหลายคนที่รู้สึกว่าคนยิวฉลาดเกินไป ทำให้เข้าไปควบคุมการเมือง หรือเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศในแถบยุโรปได้ คนพวกนี้น่ากลัวเกินไป แต่ความเกลียดชังแบบนี้ก็เป็นแค่ความเกลียดชังแบบไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากคบหาด้วยเท่านั้น ไม่ได้รุนแรงถึงขนาดอยากจะกำจัดให้สิ้น
ความคิดความเชื่อแบบนี้เป็นแค่การถูกปลูกฝังมา อารมณ์เหมือนบ้านเราที่โดนปลูกฝังให้เกลียดคนพม่าเพราะพม่าตีกรุงศรีอยุธยาของเราแตกนั่นแหละ แต่ฮิตเลอร์กลัวยิ่งกว่านั้น เขากลัวว่าคนยิวจะมีบทบาทมากเกินไปในสังคมเยอรมนี เนื่องจากเขาเชื่อว่าอำนาจของคนยิวทำให้เกิดการปฏิวัติในเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบจักรพรรดิ และทำให้คนยิวได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้
ด้วยการนั้น ฮิตเลอร์จึงคิดว่ากันไว้ดีกว่าแก้ ก็เลยออกกฎนูเรมเบิร์กที่ค่อยๆ ลิดรอนสิทธิของคนยิว และนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยการโฆษณาว่าเชื้อสายชาวอารยันของคนเยอรมันนั้นเป็นเชื้อสายที่เข้มแข็งที่สุดและอยู่เหนือเผ่าพันธุ์อื่น จึงไม่ควรไปเกลือกกลั้วกับคนที่มีเชื้อสายต่ำกว่า
ในตอนแรกที่เริ่มมีนโยบายแบบนี้ ชาวเยอรมันที่ไม่ค่อยชอบคนยิวเท่าไรก็คิดแค่ว่าดีเหมือนกัน คนยิวจะได้ไม่มาเอาเปรียบพวกเขา แต่เมื่อนโยบายเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นมีการจับกุมตัวและฆ่าทิ้ง คนเยอรมันบางคนก็เริ่มไม่เห็นด้วย และเริ่มให้การช่วยเหลือคนยิวอย่างลับๆ
ในเรื่องนี้ จะมีทั้งคุณพ่อของบรูโนซึ่งทำงานกับฮิตเลอร์และคุณปู่อดีตทหารเก่าที่เห็นด้วยกับนโยบายของฮิตเลอร์ และทหารคนอื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะคนพวกนี้ถูกปลูกฝังให้ยึดมั่นในชาติพันธุ์ของตนเองมาตั้งแต่เด็ก เกรเทลเองก็เช่นกัน เธอเรียนประวัติศาสตร์กับครูลิซท์ ซึ่งต้องสอนเรื่องแนวคิดชาตินิยมแบบนี้อยู่ด้วย
เด็ก VS ผู้ใหญ่
ในเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นการปฏิบัติตัวของเด็กกับผู้ใหญ่ในสังคมที่ถูกล้างสมองด้วยแนวคิดชาติพันธุ์ ในขณะที่บรูโนยังเด็ก ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร จึงไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในกรอบความคิดของสังคม
แต่สำหรับผู้ใหญ่นั้นแม้ลึกๆ แล้วจะต่อต้านนโยบายที่โหดร้ายเหล่านี้ แต่ก็ไม่อาจแสดงออกมาได้ บางคนก็เป็นห่วงตำแหน่งหน้าที่ บางคนก็ห่วงเรื่องความปลอดภัย เพราะคนเยอรมันที่ให้การสนับสนุนคนยิวก็จะถูกลงโทษเหมือนกัน
แต่บรูโนจะบอกว่าเขาชอบอ่านนิยายหรือเรียนศิลปะมากกว่า ตรงนี้ผู้เขียนต้องการแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างการเรียนวิชาที่เกี่ยวกับหลักฐาน ข้อเท็จจริงอย่างประวัติศาสตร์ (ซึ่งเราก็รู้ๆ กันว่าบางทีก็ไม่จริง) และวิชาที่เกี่ยวกับการใช้จินตนาการ อารมณ์ ความรู้สึก อย่างศิลปะ
ครูลิซท์อยากให้บรูโนเรียนวิชาสายสังคมศาสตร์เพราะมันสำคัญต่อยุคสมัยนั้น (ยุคสมัยที่ทุกคนต้องภูมิใจกับความเป็นผู้สืบเชื้อสายอารยันนั่นแหละ) ก็เหมือนเป็นการล้างสมองบรูโนให้มีความรักชาติจนไม่สนเรื่องอื่นๆ
แต่ในขณะเดียวกัน การที่บรูโนอ่านแต่นิยาย อยู่กับอารมณ์ ความรู้สึก และจินตนาการมากเกินไป มันก็นำเขาไปสู่จุดจบเหมือนกัน เพราะเขาไม่มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ จึงไม่รู้ว่าทำไมคนเยอรมันถึงเกลียดยิว นโยบายของฮิตเลอร์คืออะไร ทำไมต้องมีค่ายกักกัน เมื่อไม่รู้ว่าค่ายกักกันอันตรายแค่ไหน เขาจึงเดินเข้าห้องรมควันโดยไม่รู้ตัว
คนเขียนจึงอยากบอกกับผู้อ่านว่า ความรู้กับจินตนาการต้องมาคู่กันนะ อย่ารู้อย่างเดียวจนขาดอารมณ์ความรู้สึก และอย่ามีแต่อารมณ์ความรู้สึกจนขาดความรู้ไป
ปกติแล้วการเขียนนิยายจะไม่มีการละเนื้อหาที่สำคัญแบบนี้ ต้องอธิบายให้คนอ่านเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด แต่สำหรับนิยายเรื่องนี้ทำได้ เพราะสิ่งที่ละไว้ เราทุกคนรู้ดีว่าคืออะไร และเป็นการเตือนคนอ่านทางอ้อมว่า "ถ้าคุณรู้อยู่แก่ใจว่าเคยเกิดเหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้ขึ้นในประวัติศาสตร์ ก็อย่าเดินซ้ำรอยเดิมอีก"
อีกอย่างหนึ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือบรรยากาศของเรื่องที่ไม่ได้มีกลุ่มเป้าหมายแค่เด็กอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นหนังสำหรับคนทั่วไป จึงเพิ่มฉากเร้าอารมณ์มากขึ้น เช่น ฉากแม่กับเกรเทลยืนร้องไห้เมื่อพบเสื้อผ้าและรองเท้าของบรูโน ฉากที่บรูโนมองตามรถทหารเยอรมัน
ใครที่ยังไม่เคยอ่านหรือดูเรื่องนี้ พี่น้องแนะนำให้อ่านหนังสือก่อน จะเข้าใจ 'สาร' ของคนเขียนได้ดีกว่าดูหนัง
ในทางกลับกัน เรื่องนี้ยังแอบเตือนเด็กๆ ให้ระวังภัยอันตรายที่ไม่รู้จัก และเตือนผู้ใหญ่ (ถ้าได้มาอ่าน) ให้รู้ว่าการทำความเข้าใจกับเด็กสำคัญมาก อย่าปลูกฝังให้เด็กเชื่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป และการกระทำบางอย่างของผู้ใหญ่บางทีก็เป็นเรื่องงี่เง่า นำภัยมาสู่ตัวเด็กเอง จึงไม่ควรให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก
ถ้ามองในฐานะนักเขียน พี่น้องคิดว่านิยายเรื่องนี้เหมาะใช้เป็นกรณีศึกษาถ้าเราอยากจะแต่งวรรณกรรมสำหรับเยาวชนสักเรื่อง แม้ว่านักวิจารณ์จากต่างประเทศจะบอกว่านิยายเรื่องนี้ไม่สมจริง มีจุดบอดเยอะ แม้ว่าพล็อตเรื่องจะเรียบๆ และน่าเบื่อไปนิด แต่พี่น้องเชื่อว่ามีประโยชน์ต่อเด็กที่อ่านแน่นอน
ขอบคุณภาพประกอบจาก:
imdb.com
glogster.com
lahiguera.net
29 ความคิดเห็น
อยากบอกว่า หนูยังไม่มีโอกาศได้อ่านหนังสือเลยนะคะ
แต่เป็นคนคนหนึ่งที่ดูหนังมาแล้ว
บรรยายกาศในหนังมันทำให้คนดูทั่วไปรู้สึกแย่จริงๆคะ
อีกอย่างเรื่องนี้ชอบตรงข้อคิดมาก คนเราสามารถเป็นเพื่อนกันได้แม้แตกต่างกัน
ปล.เรื่องนี้เศร้ามากและหลอนมากตอนจบหรือเพราะดูจบตอนกลางคืนก็ไม่รู้
บรรยายากาศมันเลยพาไป
อยากอ่านเรื่องนี้มานานแหละ...ประมาณว่า
เรา: พี่ค่ะ เรื่อง 'เด็กชายในชุดนอนลายทาง' มีมั้ยคะ?
พี่เจ้าของร้าน: รอสักครู่นะคะ (มองแปลกๆ)
เรา: พยักหน้า
สักพัก...
พี่แก: กำลังรอของอยู่ค่ะ (ตาเชิดๆใส่)
เรา: ค่ะ (พยักหน้า) TT'
เดินไปจากร้านด้วยความสงบ...

พอไปถึงสี่แยก สิ่งที่เห็น! เด็ก ร.ร. เดียวกัน ถือถุง(โลโก้ร้านเมื้อกี่แหละ) พร้อมกับหนังสือ...TT' =[]=!!! แวบแรกตกใจมาก เดินเข้าไปถาม เพราะเคยเห็นผ่านๆเพราะว่าเด็กกว่าเรา
เรา: น้องพี่ถามหน่อย หนังสือ...นี่เพิ่งหมดจากร้าน...หรอครับ?
น้อง: ยังไม่หมดเลยค่ะพี่ ตั้งหลายเล่ม...
มันคืออะไร!!!

พอเราไปถามเพื่อนที่เป็นสายวายที่มาซื้อร้านเดียวกันนั้น
เรา: ไงร้าน...นี่ได้ซื้ออ่ะเปล่า
เพื่อน: ได้ๆ แต่ไม่ไปแล้ว
เรา: (กำลังจะใช้ไปซื้อหนังสือเล่มนี้ที่ร้านอื่นให้หน่อย) ทำไมอ่ะ
เพื่อน: เค้าจะไปซื้อนิยายวาย แต่...! เจ้าของร้านด่ากลับมาแล้วแม่งก็ไม่ชอบสาววายด้วย
จุก...

ต้องดูหนังแล้วก็อ่านหนังสือ หน้าปกสวยมากค่ะคุณบ.ก.น้อง
เคยเห็นหนังเรื่องนี้ในร้ายเช่าหนังมาก่อน
คิดจะเช่ามาดูอยู่เหมือนกัน แต่ถูกหนังเรื่องอื่นล่อลวงจนเผลอวาง
เดี๋ยวไปหามาดูบ้างดีกว่า
เรายังไม่ได้อ่านหนังสือเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ได้ดูหนังแล้ว
ดูแล้วรู้สึกหดหู่ใจตลอดเวลาเลย ตั้งแต่ต้นเรื่อจนท้ายเรื่อง
ยิ่งตอนจบนี่คือแบบ... ทำไมเป็นแบบนี้เนี่ย สงสารแม่บรูโนจริงๆ
ความขัดแย้งของผู้ใหญ่ทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายแบบนี้ขึ้น
ยิ่งตอนที่รมแก๊สนี่ ทำไมโหดร้ายอย่างนี้อ่ะ คือแบบดูสีหน้าชาวยิวแต่ละคนด้วยแล้ว
อยากจะร้องไห้เลย TOT
ดูแบบหนังแล้วน้ำตาไหลอ่ะ โหดร้ายมากเลยเป็นคนเหมือนกันแท้ๆ
เรายังไม่เคยดูหนังเรื่องนี้หรอกนะ แต่เห็นหนังสือเรื่องนี้หลายรอบแล้วอะ ตอนที่เข้าไปอ่านในร้านหนังสือ เคยคิดจะหยิบมาอ่านหลายรอบแล้วแต่ก็ไม่ได้อ่านซักที เห็นหน้าปกแล้วก็สวยดีเลยพอจะเดาเนื้อเรื่องได้อยู่แต่พอมาอ่านในนี้แล้ว ไม่คิดว่าตอนจบมันจะ.........
เศร้าโครตตตตต T-T (ดีนะที่เรายังไม่อ่านน่ะ ไม่งั้นคงติดตาติดใจไปอีกหลายวัน T-T)
ว้าวดีๆชอบๆที่สุดเล้ยย !! ><

ผมเคยดูหนังครับ ช่วงนั้นตามดูหนังที่ได้รับรางวัล กำลังหาหนังน่าสนใจ
พอจบเท่านั้น สิ่งเดียวที่ผมคิดเลยคือ โหดร้าย
เคยรู้สึกถึงความโหดร้ายจนต้องเอามือปิดปากตัวเองไว้ไหมคับ แบบนั้นเลย
ช่วงที่เทผงแก๊สลงมาเพื่อให้มันแตกตัวเป็นแก๊ส ทั้งๆที่พวกเขาคิดว่าตัวเองจะได้อาบน้ำ
ช่วงเวลาที่เปิดช่องเทสารและมีแสงสว่าง เหมือนบอกว่าชีวิตยังคงส่องสว่างอยู่
แต่เมื่อปิดช่องเทสาร ทุกๆอย่างก็ค่อยๆดำมืดลง
มีเพียงเสียงตะเกียดตะกาย และฉายภาพออกมาจากประตูที่ถูกปิดซึ่งขังคนเพื่อรมแก๊สในนั้น แล้วข้างนอกก็เต็มไปด้วยเสื้อผ้ามากมาย ซึ่งเท่ากับจำนวนคนตายที่อยู่ข้างใน
...พูดไม่ออกครับ...
ไม่กล้าอ่านหรือดูหนังเลย กลัวสะเทือนใจ
เป็นคนอ่อนไหวง่าย
เคยดูหนังแล้ว... แบบจุกไปอาทิตย์นึง โหดร้ายมาก
ดูไปน้ำตาเล็ดไปทุกครั้งที่มีคนตาย แบบ พูดไม่ออกจริงๆ เคยเห็นตอนเขาโฆษณาว่าวันนี้ๆจะเอาหนังเรื่องนี้มาฉายกี่โมงช่องไหน ก็รอดูเพราะรู้สึกว่าน่าสนใจ(ชอบประวัติศาสตร์) พอดูจบปุ๊ป แม่เจ้า กิลจะไม่ดูอีกเป็นครั้งที่2ค่ะ QAQ เศร้าเกินไป รับไม่ไหว
ขนาดยังไม่ได้อ่านก็จะร้องไห้แล้ว โหดร้ายที่สุด(อยากอ่านแต่ไม่ชอบเรือ่งเศร้า แง)
เป็นหนังที่เราดูแล้วทรมานใจมากๆเลยล่ะ
แบบ อยากจะกระชากตัวเด็กออกมาแล้วตะคอกใส่ดังๆว่าให้หนีไปแต่เราก็ทำไม่ได้
ทำได้แค่ร้องหน้าอยู่ตรงหน้าจอแล้วก็ด่าในตอนนั้น
แล้วคนแสดงก็ดีมากๆนะ ทำให้คนดูอินไปกับตัวละครได้
ฉากสุดท้ายนี่สุดโต่งเลย แบบ ... ดูแล้วมันจุกจริงๆ
ใครจะดูก็ต้องทำใจหน่อยนะ มันจะหน่วงมากๆ