
วันนี้พี่น้องมีเคล็ดลับง่ายๆ มาฝากเพื่อฝึกการพรรณนาให้ได้ผล และมีกิจกรรมมาให้ร่วมสนุกกันด้วย
1. เลือกสิ่งที่จะพรรณนาให้ดี
จะพรรณนาอะไรสักอย่างก็ต้องเลือกที่มันมีประโยชน์ต่อคนอ่าน ข้อมูลที่ต้องรู้เพราะเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์ที่จะพรรณนาถึง เช่น
- ทั้งเรื่องมีแต่ตัวละครหัวดำ พระเอกดันไปย้อมผมเป็นสีส้มเด่นเห็นมาแต่ไกล แบบนี้คนอ่านควรรู้ เพราะจะได้นึกภาพพระเอกหัวส้มได้ และอาจตีความว่าพระเอกเป็นพวกมีความมั่น
ใจในตัวเองสูง
- สถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม อันนี้ก็ควรบอกให้คนอ่านรู้ว่าสภาพมันเป็นยังไง เพราะมีผลต่อการหาตัวฆาตกร สภาพห้องเละเทะแค่ไหน มีอะไรตกอยู่ใกล้ตัวผู้ตาย ติดๆ กันเป็นห้องอะไร ฯลฯ
- พูดถึงกระดาษทิชชู่แผ่นเดียวที่วางอยู่บนโต๊ะ ซึ่งเป็นกระดาษที่นางเอกเคยใช้ซับเลือดให้พระเอก
2. เกริ่นให้เห็นความสำคัญ
เกริ่นให้คนอ่านรู้ว่าสิ่งที่เราจะพรรณนาสำคัญกับเรื่องหรือตัวละครอย่างไร ไม่อยู่ดีๆ ก็พูดถึงห้องครัวบ้านใครก็ไม่รู้ คนอ่านก็ไม่รู้จะอ่านไปทำไม ดังนั้นประโยคแรกมาเราต้องพูดเลยว่าคน/สิ่งของ/สถานที่ที่เราจะพูดถึงคือใคร/อะไร/ที่ไหน เกี่ยวอะไรกับเรื่อง เช่น
- บ้านสองชั้นสีเทาหลังนี้ที่ผมเคยอยู่สมัยเด็กๆ ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง...
- อรอนงค์ไม่เคยคิดว่าตัวเองเข้าใกล้ความสวยเลยสักนิด หน้าผากของเธอกว้าง ตาของเธอห่างจากกันจนแทบจะไปชิดหู จมูกไร้ดั้งยิ่งเสริมให้หน้าเธอดูเหมือนแอ่งกระทะทางภาคอีสานที่ไหนสักแห่ง
3. ไม่พรรณนาข้ามไปมา
เชื่อว่าหลายคนทำไปโดยไม่รู้ตัว สมมติเราพูดถึงใบหน้าอันหล่อเหลาของมาริโอ้ เราเริ่มจากคิ้ว แล้วไปปากอันอวบอิ่ม แล้วกลับมาตาใสๆ เหมือนเด็กน้อย แล้วไปหู กระโดดไปทางนั้นทีทางโน้นทีจนคนอ่านเริ่มเห็นหน้ามาริโอ้เป็นมนุษย์ต่างดาว
ที่ถูกต้องคือ ต้องค่อยๆ พรรณนาจากจุดหนึ่งเลื่อนไปอีกจุดที่อยู่ใกล้ที่สุด ให้เปรียบการพรรณนาเหมือนต่อจิ๊กซอว์ก็ได้ เราต่อจิ๊กซอว์เราเริ่มจากมีชิ้นตั้งต้น แล้วค่อยๆ ต่อให้ใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้น โดยยังมีฐานจากชิ้นเดิมนั่นแหละ เพราะเราไม่สามารถกระโดดข้ามไปต่อชิ้นอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับจิ๊กซอว์ชิ้นเดิมได้
4. ใช้สัมผัสทั้ง 5
ถ้าไม่รู้ว่าจะพรรณนาอะไรดี ให้นึกถึงสัมผัสทั้ง 5 ของเราค่ะ
- ตา: รูปร่าง, สี, สภาพ, ตำแหน่ง
- หู: เสียงดัง-ค่อย, ลักษณะเสียง, ดังต่อเนื่องหรือมาๆ หายๆ
- จมูก: กลิ่น
- ปาก: รสชาติเปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด มัน จืด
- มือ: ผิวสัมผัส นุ่ม หยาบ ขรุขระ
5. ขยายอย่างมีศิลปะ
หลังจากใช้คำคุณศัพท์ทั้งหลายเพื่อพรรณนาสิ่งต่างๆ แล้วอย่าลืมดูด้วยว่าคำที่เราใช้มันคลุมเครือไปไหม จำเป็นหรือเปล่าที่คนอ่านต้องรู้มากกว่านี้ เช่น

- มาร์ตี้วิ่งเร็วขนาดไหนน่ะหรือ ก็ในระดับที่ถ้าวิ่งรอบสนาม 2 รอบ คนอื่นเพิ่งผ่านรอบแรก แต่เขาเข้าเส้นชัยไปแล้วนั่นแหละ
- ดาริกาสวยในระดับที่ดาวคณะยังอิจฉาเธอเลย
6. อุปมาอุปไมย
เป็นอีกกลวิธีที่นักเขียนใช้กันเยอะ การพรรณนาก็ใช้ได้เหมือนกัน เช่น
- สภาพห้องของบอย เละเหมือนโดนระเบิดลง
- ภาพวาดนางฟ้าของโมนางดงามราวกับมีสวรรค์สะท้อนอยู่บนผืนผ้าใบสีขาว
กิจกรรม
ให้เขียนพรรณนาห้องนี้ (ภาพจากเกม Silent Hill) พร้อมข้อมูลเสริม เช่น ใครเป็นเจ้าของห้อง เกิดอะไรขึ้นในห้องนี้ ฯลฯ แต่ห้ามอิงกับเนื้อหาในเกมนะ!
- ความยาวไม่เกิน 30 บรรทัด (ให้เยอะเพราะเผื่อแทรกข้อมูลหรืออะไรที่ไม่เกี่ยวกับพรรณนา แต่ขอให้เน้นพรรณนาเป็นหลัก)
- ตัวอักษร Angsana New 16pt
- วัดจำนวนบรรทัดจากใน Word ก็ได้
- โพสท์ผลงานลงกล่องคอมเมนต์ด้านล่างนี้เท่านั้น
- ขอสงวนสิทธิ์ให้เฉพาะคนที่มี MyiD ของเด็กดีนะจ๊ะ
- 1 ชุด พี่น้องให้คนที่พรรณนาได้ตรงกับภาพต้นฉบับมากที่สุด ใช้ภาษาได้ดี ข้อมูลเสริมสมเหตุผล น่าสนใจ
- 1 ชุด ให้ผลงานที่ชาว Dek-D กดถูกใจมากที่สุด
* ถ้าทั้ง 2 รางวัลเป็นคนเดียวกัน จะเลือกคนที่ได้คะแนนโหวตอันดับ 2 หรือพี่น้องอาจจะเลือกคนใหม่แทน
ผู้ได้รางวัลจากกิจกรรม
แต่รางวัลที่ 2 กับ 3 จะได้หนังสือแค่เล่มเดียวนะคะ
3 รางวัลสำหรับคนที่พี่น้องเลือก (เรียงตามลำดับ 1-3)



3 รางวัลที่ได้คะแนนโหวตสูงสุด



(มีคนที่ได้คะแนนโหวตเยอะก็จริงแต่ผลงานที่ส่งไม่ตรงกับกติกาที่กำหนดไว้นะคะ)
คนที่ได้รางวัลแจ้งชื่อ-ที่อยู่ทางนี้เลยค่ะ

181 ความคิดเห็น
ถ้าพูดถึงพระเอกหัวส้ม เรานึกถึงคนนี้เลยค่ะ
คุโรซากิ อิจิโกะ พระเอกจากการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง Bleach เทพมรณะ
มีผมสีส้มตั้งแต่เกิดแล้วค่ะ มักจะมีพวกนักเลงคู่อริเข้าใจว่าไปย้อมสีผมมา
พอดีผมถนัดแต่แบบบรรยายตรงๆ น่ะครับ แหะๆ
#สาธุ ขอให้ผ่านด้วยเถิ้ดดดด จะเอาของภาคินัย...
.
.
.
.
.
.
เอมิลี่ได้เข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ เก่าๆ ห้องหนึ่งชวนคลื่นไส้ เป็นห้องปูนขนาดประมาณสี่คูณห้าเมตรได้ พื้นสีเขียวมีเลือดสาดซ่านไปเกือบทั่วห้อง ข้างหน้าเธอนั้นเป็นเตียงคนไข้สีขาวหมองๆ ผ้าปูฟูกนอนมีเลือดเป็นวงตรงหัวเตียงและส่วนท้ายเตียง ด้านขวามีเสาแขวนถุงที่มีเลือดสีแดงเข้มสองถุง ฝั่งซ้ายของเตียงมีลิ้นชักไม้เก่าๆ อยู่ ซึ่งด้านบนประกอบไปด้วยทีวีจอโค้งขนาดประมาณสิบห้านิ้ว เครื่องเล่นซึ่งคาดว่าจะเป็นเครื่องเล่นเทปอยู่ด้วย ด้านหน้าทีวีจอโค้งมีรูปภาพหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งภาพไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก อาจจะเป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นเจ้าของเตียงก็ได้ ถัดจากลิ้นชักไปอีกทางท้ายเตียงก็พบว่ามีเก้าอี้ไม้เก่าเบาะสีน้ำเงินที่มีหนังสือนิทานอยู่บนนั้น
เอมิลี่รู้สึกออยากจะอาเจียน เธอปิดปากไว้ เพราะไม่อยากจะให้เกิดอะไรหน้ากลัวๆ แบบครั้งที่แล้วอีก...
กลิ่นอายของความง่วงนอนค่อยๆย่างก้าวเข้ามาในตัวของเรนนิ่ง ตอนนี้เธอกำลังนอนอยู่บนเตียงอันอุ่นสบายในบ้านหลังใหญ่ของเธอ ฉับพลันหนังตาหนักอึ้งก็ปิดอย่างเบาบาง เธอได้สัมผัสถึงความมืดมิดและเริ่มได้กลิ่นแห่งความฝืดและแห้งของห้องนอนของเธอ เรนนิ่งค่อยๆลืมตาขึ้นมากลับพบว่าในห้องเป็นเพียงกำแพงเก่าคร่ำครึ และได้กลิ่นเหม็นหืนและความอึดอัดคับแคบ เธอเริ่มรู้สึกสะอิดสะเอียน เธอเริ่มลุกขึ้นมาและมองไปด้านขวาของเธอกลับพบว่ามีถุงเลือดแขวนอยู่ เธอนึกได้ทันทีว่าทีนี่มัน''โรงพยาบาล''รอบข้างเธอมีเพียงลอยเลือดเต็มไปหมด และเธอพบสมุดเล่มหนึ่งวางบนเก้าอี้ข้างเตียงเธอค่อยๆลุกขึ้น เสียงของเตียงดังแสบหูและน่ารำคาญ เธอพลิกสมุดไปมาอย่างเบามือและค่อยๆเปิดมีเนื้อหาเกี่ยวกับอาการป่วยของคนไข้ เธอปิดสมุดเล่มนั้นอย่างน่าเบื่อ เธอลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปรอบๆห้อง เธอพบกับกรอบรูปสวยที่มีรูปผู้ชายคนหนึ่งหน้าตาดุดัน และมีลายลงชื่อว่า''อดัม มอสต์ตาร์'' ''เขาเป็นใครกัน''เรนนิ่งตั้งคำถามขึ้น ''ฝืดดดๆ ฝืดดดๆ'' เสียงบางอย่างลากไปตามพื้นข้างนอกห้อง ความฉงนสงสัยของเรนนิ่งทำให้เธอ ย่องไปตามทางพื้นลอยเลือดสีหม่นเธอเดินมาถึงหน้าประตูของห้อง ''ปึงงง'' ประตูเปิดออกตัดหน้าเสียก่อน เรนนิ่งพุ่งตัวหลบไปอยู่มุมห้องและนั่งกอดเข่าพร้อมน้ำตาไหลรินด้วยความตกใจสุดขีด หัวใจเต้นแรงแทบจะดิ้นหลุดออกมา เธอเหลือบมองภายนอกด้วยความกลัวแต่กลับพบว่ามันว่างเปล่า ความกลัวของเธอผลักดันต่อมอยากรู้ของเธอให้ลุกขึ้นอย่างช้าๆ เธอเดินไปที่ประตูเก่าคร่ำครึนั่น ''เธอพยายามหนีสิ่งที่เธอกลัวอยู่'' เสียงแหบแห้งของหญิงสาวทำให้เธอสะดุ้งเฮือก เธอหันไปต้นเสียงนั้นอย่างช้าๆ ภาพที่เธอเห็นคือหญิงแก่คนนึง มีนามว่า 'เรนนิ่ง' ใช่..ตัวเธอนั่นเอง ความกลัวของเธอคือ 'ความชรา' เธอต้องการความสวยสง่าตลอดไป! ''ไม่! ฉันไม่ยอมเป็นแบบแก ยัยแก่ ออกไปนะ'' หญิงชราสแยะยิ้มใบหน้าเ-่ยวย่น มีริ้วรอยเต็มไปหมดทำให้เธอเริ่มกลัว ''สักวันเธอก็จะเป็นแบบฉัน เพราะเธอคือฉัน เธอจะเป็นมะเร็งเพราะเธอไปทำศัลยกรรมผิวหน้าของเธอ สิ่งที่เธอกลัวจะย้อนกลับมาทำลายตัวเธอทีหลัง ปรับตัวซะใหม่นะ เรนนิ่ง'' หญิงชราพุ่งตรงมาที่ตัวของเธอ ''เฮือกก'' เสียงหอบหายใจถี่ของเธอและความตกใจจากฝันทำให้เธอตื่นขึ้น ''อะไรกัน..สิ่งที่ฉันกลัวคือ ความชราหรอนี่''
#จบบบ.
มือเรียวยาวบิดลูกบิดประตูที่เก่าคร่ำครึ ก่อนที่สิ่งแรกที่เธอรับรู้คือกลิ่นอับของห้อง ตามมาด้วยกลิ่นเหม็นเน่า หญิงสาวค่อยๆลืมตามอง ภาพตรงหน้าทำให้เธอเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ภายในห้องประกอบไปด้วยเตียงเก่าๆที่มีคราบเปื้อนเลือดเป็นหย่อมๆ รวมทั้งใต้เตียงและพื้นห้อง ข้างๆเตียงมีเสาให้น้ำเกลือที่ข้างในบรรจุเลือดอยู่ เดาได้ไม่ยากเลยว่าห้องพยาบาลมาก่อน หญิงสาวพยายามกลั้นหายใจอย่างสุดความสามารถ นัยน์ตาสีดำทมิฬมองสำรวจไปทั่วทั้งห้อง ผนังที่เคยกลายเป็นสีขาวมาก่อนกลายเป็นคราบเปื้อนสีดำแทบทั้งผนัง ข้างๆเตียงมีเก้าอี้เก่าๆที่มีหนังสือวางอยู่ สภาพห้องที่แทบจะเรียกว่าห้องไม่ได้ทำให้ ‘อลิซ’ จำต้องเดินก้าวเข้าไปข้างใน บนพื้นมีคราบเลือดที่แห้งเกรอะกรัง หากแต่เธอจำต้องยอมเดินเข้าไปใกล้เตียงขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงโต๊ะข้างเตียง ซึ่งมีสภาพไม่ต่างจากห้อง บน สิ่งที่ทำให้เธอสะดุดตาคงหนีไม่พ้น กรอบรูปที่มีรูปของหญิงสาวคนหนึ่ง เธอหยิบมันขึ้นมา แม้ว่ากรอบรูปจะเต็มไปด้วยขี้ฝุ่น และคราบเปื้อนสีดำ แต่ไม่ได้ทำให้ความสวยของคนในรูปลดลงเลย คนในรูปเป็นผู้หญิงที่จัดว่าสวยคนหนึ่ง ผมสีดำสลวยถูกรวบไปไว้ที่กลางหลังขลับให้ใบหน้าเรียวรูปไข่ของเธอดูน่ามองขึ้น ยิ่งมีนัยน์ตาสีดำสนิทที่สามารถสะกดคนมองได้ ทำให้เธอดูสง่าและน่าหลงใหล
อลิซตัดสินใจวางกรอบรูปลงที่เดิม ก่อนจะใช้นิ้วเรียวยาวสัมผัสกับผ้าปูที่นอนที่ยับยู่ยี่แถมยังเปื้อนเลือดเป็นหย่อมๆอย่างแผ่วเบา หญิงสาวหลับตาแน่น ภาพมากมายของเจ้าของเตียงหลั่งไหลเข้ามา
สิ่งที่เธอเห็นคือช่วงสุดท้ายก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะถูกพรากลมหายใจไปโดยชายร่างหนาซึ่งปิดบังใบหน้า ร่างที่ป่วยกระเสาะกระแสะเพราะโรคร้ายพยายามตะเกียกตะกายปัดป่ายไปทั่ว แต่มันกลับไร้ผล ชายร่างหนาบีบเข้าที่ลำคอระหงที่แม้กาลเวลาจะทำให้มันเ-่ยวย่นก็ตาม ร่างบนเตียงคนไข้พยายมดิ้นอย่างสุดความสามารถเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการของชายตรงหน้า ก่อนที่สติของเธอจะเริ่มวูบคล้ายไม่อาจจะต้านทานไหว ชายคนนั้นเมื่อเห็นหญิงชราสภาพซูบผอมเริ่มไม่ไหวจึงค่อยปล่อยมือออกจากลำคอ มิใช่ความปรานี มิใช่ความเมตตา แต่เป็นเพราะเขาต้องการให้เธอตายอย่างทุกข์ทรมานก่อนที่จะตายเท่านั้นเอง ทรมานให้สมกับที่เขาทรมานมาตลอด! คิดได้ดังนั้นเขาก็หยิบมีดสั้นออกมาจากกางเกงของตนเอง แล้วแทงเข้าไปกลางหัวใจของร่างบนเตียงแล้วดึงมีดออก จนเลือดสีแดงฉานไหลกระเซ็นเปรอะเปื้อนไปทั่ว
…และนั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ร่างบนเตียงรับรู้ ก่อนที่ลมหายใจจะหมดไป
อลิซลืมตาขึ้น ดวงตาสีดำคู่สวยสั่นระริก เธอรีบเดินไปที่เก้าอี้ ภาวนาขอให้สิ่งที่เห็นต่อจากความตายของผู้หญิงคนนั้นเป็นเรื่องโกหก หากแต่…ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่เข้าข้างเธอเอาเสียเลย มือสั่นไหวของอลิซค่อยเปิดหนังสือที่ตั้งอยู่บนเก้าอี้ ข้างในถูกแนบมีดที่ใช้ฆ่า เงาที่สะท้อนกับมีดแวววับ ทำให้อลิซทรุดตัวลงกับพื้นและส่ายหน้าไปมาอย่างหวาดกลัว จะไม่ให้เธอหวาดกลัวความเป็นจริงได้อย่างไร ในเมื่อเงาที่สะท้อนกับมีดคือภาพของผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงที่อยู่ในรูปภาพ ผู้หญิงที่ป่วยใกล้ตาย ผู้หญิงที่เป็นเจ้าของห้องอันแสนสกปรกนี้ ผู้หญิงที่ถูกลูกชายตัวเองฆ่าเพราะแรงอาฆาตที่ผู้หญิงคนนั้นพาไปทิ้งไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และผู้หญิงคนนั้น
…คือเธอเอง!
_______________________
ช่วยกันโหวตหน่อยนะคะ โหวตวันละนิดจิตแจ่มใส
「ありがとう」
ในห้องพักคนไข้ที่เเสนสกปรกโสโครกดั่งห้องเก็บขยะ อันเเสนเหม็นเน่าเเละเหม็นอับของ "โรส" หญิงสาวผู้มีลักษณะสะสวย จมูกเป็นดั้งเป็นสัน ดวงตากลมสวยคู่นั้นกำลังมองไปรอบๆห้อง ในห้องมีลักษณะมืดคล้ำดูน่ากลัว พื้นห้องดูเเปลกๆ กำเเพงเเละเพดานห้องมีสีน้ำตาลสนิม เเต่บนเพดาน มีตะเเกงที่สินมขึ้นอยู๋ เธอรู้สึกกลัวเหลือเกินว่าอาจจะมีบางสิ่งจะหล่นลงมา เธอได้กลิ่นคาวของเลือดที่ห้อยอยู่บนไม้ห้อยถุงน้ำเกลือ บนเตียงมีเลือดที่เเห้งเเล้ว มีหนังสือวางอยู่บนหัวเก้าอี้สีน้ำเงิน บนลิ้นชักสีน้ำตาลเข้ม มีรูปภาพของใคครบางคนตั้งอยู่พร้อมกับโทรทัศน์เครื่องเล็ก ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ ห้องนอนพักฟื้นไข้ของเธอนั้น เพดานเเละผนังห้องมีสีเขียวน้ำทะเลสวยงาม บนไม้ห้อยถุงน้ำเกลือจะมีถุงน้ำเกลือที่พึ่งเติมใหม่ๆจากนางพยาบาล เเต่บัดนี้ ร่างตรงหน้า เป็นร่างที่เหมือนไร้วิญญาณเเต่ไม่เลย กลับมีค่อยๆหันหน้ามาช้าๆ ใบหน้านางทุเรสยิ่งนัก...ใบหน้าบิดเบี้ยวไม่ได้รูป นางใส่ชุดพยาบาล เเต่มันช่างน่าเกลียดยิ่งนัก นางเดินเข้ามาเรื่อยๆ .... เรื่อยๆ กลิ่นคาวก็เริ่มเเรงขึ้นๆ นางคนนั้นเดินมาตรงหน้าเเละยกมือข้างหนึ่งที่ถือเข็มขึ้นมาพร้อมที่จะจ้วงคอของเราออกมาเต็มอยาก ก่อนที่เข็มใหญ่เเทงนั้นจะลงมาปักที่คอ เธอจัดการจับที่เเขนนางคนนั้นไปไม่ให้ปักถึงคอได้ ผิวของนางสากเเละเเห้งกร้าน หยาบกระด้างมาก เสื้อของนางมีเลือดเต็มไปทั้งตัว ไม่รอช้า เธอก็ได้หักมือนางออกไป เเล้วขว้าเก้าอี้ ฟาดที่คอนางอย่างเเรง คอนางหักอย่างง่ายดายสภาพเหมือนเศษซาก มีเบือดอาบรอบๆตัวนาง เลือดส่งกลิ่นคาวกระจายไปทั่งห้อง เธอได้ลงมือฆ่าคนไปเเล้ว เเต่อย่างไรนางก็ต้องรอดให้ได้!!!!!!
เป็นความโหดร้ายทางวิชาการ 555555+
ถ้าไม่ใช่เพราะความจำเป็นเฮเลนจะไม่มีวันเหยียบเข้ามาในห้องๆนี้อย่างแน่นอน เธอค่อยๆเอื้อมมือที่สั่นเทาไปจับลูกบิดประตู และค่อยๆเปิดแง้มประตูเข้าไปซึ่งไม่ต่างกับการเปิดแง้มความทรงจำอันเลวร้ายของเธอออกมา ภาพอันเลวร้ายค่อยๆผุดขึ้นมาไม่ขาดสาย ห้องที่เธอทนทุกข์ทรมานจากการโดนทรมาณทั้งร่างกายและจิตใจ ใจกลางห้องยังคงมีเตียงเก่าๆ ผ้าปูสกปรกที่ยับยู่ยี่ที่ยังมีร่องรอยคราบเลือดให้เห็นอยู่ เงาของสายน้ำเกลือที่ทอดลงมาที่เตียงทำให้เธอหวนคิดถึงครั้งที่เธอนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียง ห้องนี้ยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง มืดทึบ สกปรก รอยแตกระแหงที่ปรากฎบนผนังบอกถึงความทรุดโทรมได้เป็นอย่างดี มีเพียงช่องตะแกรงระบายอากาศอยู่ด้านบนที่ทำให้เธอรู้สึกว่าเธอไม่ได้อยู่ในกล่องแคบๆ ถึงแม้จะมองออกไปแล้วจะไม่มีอะไรให้เห็นเลยก็ตาม เธอค่อยๆเดินไปที่ปลายเตียงซึ่งมีโต๊ะเหล็กที่เหมือนกับกล่องสนิมเก่าเขรอะๆใบหนึ่งแต่นั่นไม่น่าสนใจเท่าของที่อยู่บนโต๊ะ เธอเอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่มโปรดทั้งสองเล่มที่เคยเป็นที่พักพิงและสิ่งบันเทิงใจให้เธอเพียงสิ่งเดียวที่เคยอยู่ที่นี่ จากนั้นเธอก็หันไปเห็นกรอบรูปที่คุ้นเคย เธอวางหนังสือลงและเดินไปที่กรอบรูปไม้เก่าๆที่มีรูปเธอซึ่งวางอยู่ใกล้กับอุปกรณ์การแพทย์เก่าๆที่ใช้การไม่ได้บนโต๊ะที่มีลิ้นชักสี่ชั้น เธอหยิบของที่อยู่ในลิ้นชัก และเดินไปที่ประตูเพื่อที่จะออกไป แต่ประตูก็ถูกล็อกไปเสียแล้ว เธอกรีดร้องและพยายามที่จะพังประตูแต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายเธอทำได้เพียงนั่งกอดเข่าตัวเองร้องไห้อย่างเงียบงันอยู่มุมห้องมืดๆที่ไร้แสงสว่างและเฝ้ารอการปลดปล่อยจากหมอที่ขังเธอตั้งแต่เด็กไว้เพื่อการทดลองอีกครั้ง...
:))
ภาพผนังเก่าๆที่มีร่องรอยน่าขยะแขยงปรากฏแก่สายตาของ ‘อัศวิน’ ร่องรอยสีดำตามมุมห้องและตัวผนังที่มีริ้วรอยเพราะน้ำเน่าเสียจากเพดานเก่าๆด้านบนรั่วลงมากัดเซาะจนกลายเป็นลวดลายคล้ายกับรากไม้ที่หยั่งลึกและพร้อมจะกลืนกินทุกชีวิตที่ย่างกรายเข้าไป ผนังด้านหนึ่งมีกรอบรูปเก่าๆที่ซีดเสียจนไม่อาจเดาได้ว่าเคยเป็นรูปอะไรมาก่อนหน้าที่มันจะมีสภาพแบบนี้ อีกด้านมีร่องรอยคล้ายเคยมีแผ่นกระดาษติดอยู่ก่อนจะถูกเอาออกไป อาจเป็นรูปครอบครัว รูปทิวทัศน์ แต่จะเคยเป็นอะไรก็ตาม คนที่ให้คำตอบได้คงมีเพียงเจ้าของห้อง เพดานสีครีมที่ตอนนี้ซีดและหมองขุ่นมีอาณาเขตุเลยศีรษะเข้าขึ้นไปไม่ถึงเมตรก่อนจะกลายเป็นกำแพงสีเข้มแทนลวดลายราวอิฐก้อนเล็กที่เรียงรายหรืออาจเป็นอดีตวอลเปเปอร์แนววินเทจสีน้ำตาลแกมแดง ราวกับมีใครเอาเลือดมาป้ายเสียอย่างนั้นล่ะ
เพดานสูงมีช่องอากาศดำมืดติดตั้งอยู่ลึกขึ้นไปประมาณครึ่งคืบ หากคราบหมองคล้ำสีดำหม่นกลับทำให้มองไม่เห็นทุกสิ่งอย่างที่อยู่บนนั้นเลยด้วยซ้ำ อิฐบล๊อกที่เรียงตัวกันครอบคลุมพื้นที่เพดานมีลวดลายราวกับความวิจิตรจากขุมนรกไม่ต่างจากผนังไปสักเท่าไหร่ อาจเพียงสีอิฐบล๊อกที่เข้มกว่าทำให้มันแตกต่างกันและลงตัวในความน่ากลัวและน่าหวาดระแวง พื้นที่ปูด้วยอิฐก้อนพอประมาณเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มีร่องรอยเหมือนของเหลวสีดำที่ไหลตวัดไปมาตามการปาดพู่กันของยมฑูตผู้น่าเกรงขาม หากมันต่างกับเพดานและผนังเพียงว่า คราบน้ำสีดำเหล่านั้นแห้งกรังและติดแน่นจนยากจะทำความสะอาด มองลึกเข้าไปอีกเพียงนิด เสาน้ำเกลือสนิทเขรอะยืนนิ่งอยู่ตรงหัวเตียงกลางห้อง อัศวินจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าการขึ้นสนิทของเหล็กมาจากการที่ตัววัตถุซึ่งมีคุณสมบัติของเหล็กทำปฏิกิริยากับออกซิเจน สีแดงเข้มแกมน้ำตาลของมันครอบคลุมพื้นที่ไปจนทั่วเสาน้ำเกลือ บนสุดของมันมีแท่งเหล็กอันเกแยกออกมาจากทั้งสองด้านคล้ายตัวอักษร T ในภาษาอังกฤษ ถุงน้ำเกลือซีดเหลืองมีรอยของเหลวสีแดงจับตัวอยู่ด้านใน เพียงไล่สายตาลงมาก็จะเจอกับเตียงและตู้เก่าๆข้างหัวเตียง
เตียงแบบนี้คุ้นเคยและพบได้ทั่วไปในห้องพยาบาลของโรงเรียนหลายแห่ง อาจแตกต่างเพียงว่าในโรงเรียนที่สดใส ดูสะอาดตาไม่น่ามีรอยเลือดสีแดงเข้มและรอยเลือดที่แห้งกรังมานานจนกลายเป็นสีดำแบบนี้กระมัง ? และเมื่อสีอันโดดเด่นนำสายตาเขามาสู่เตียงแล้ว ไหนเลยจะไม่สามารถนำสู่ของเหลวสีชาดแบบเดียวกันที่ใต้เตียงได้เล่า ? อัศวินพินิจพิเคราะห์มันเพียงครู่ก่อนจะละสายตาไปหาตู้ไม้ที่มีลิ้นชักปิดสนิทอยู่ในตัวมันสี่ชั้น โทรทัศน์สัญญาณแบบเก่าของช่วงยุค 60 ที่เขาไม่ได้พบเห็นในตอนนี้นานแล้วมีรีโมทเปิดปิดนอนนิ่งอยู่บนตัวมันเอง ข้างๆมันคือวิทยุสื่อสารแบบเก่าที่เสาสัญญาณมีสภาพไม่ต่างจากเสาน้ำเกลือเมื่อครู่เท่าไหร่ สายของอะไรบางอย่างที่เขามองไม่ออกห้อยอ้อมหลังโทรทัศน์เครื่องนั้นมาจนด้านหน้ากรอบรูปผู้หญิงคนหนึ่ง เธอคือใครกันนะ ?
เก้าอี้ไม้ที่มีเบาะเก่าๆสีน้ำเงินเข้มรองตรงที่นั่งมีหนังสือเล่มหนึ่งนิ่งงันและดึงดูดราวกับต้องการให้ใครเข้าไปเปิดอ่าน หน้าปกมันคล้ายกับหนังสือโบราณที่เขาเคยเห็นผ่านๆจากพิพิธภัณฑ์โซนอียิปต์โบราณ ปกราวกับเปล่งประหายดึงดูด ภาพภายนอกที่ดูเรียบๆกลับดึงดูดใจอย่างน่าประหลาด
อยากลองเปิดมันออกดูไหมล่ะ ?
หน้าในเวิร์ดจัดสวยนะ ..... แต่ทำไมมันจัดหน้าในเว็บไม่ได้ง่า T0T
นี่อยากได้มากเลย เพื่อนบ่นอยากอ่านแต่ไม่มีตังซื้อไปแบ่งเพื่อน (ช่วงนี้อปป้าคัมแบค 5555)
พอเห็นนี่ตาวาวเลย นึกถึงเพื่อนคนแรก บีบเค้นในสภาพไม่สบายสุดๆ 555555
กลิ่นอับชื้นของเชื้อรา กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเหม็นชวนคลื่นไส้กระทบจมูกของผมทันทีที่ประตูเก่า ๆ ถูกเปิดออก ภายในห้องมีสภาพน่ากลัว...ราวกับฉากที่หลุดมาจากหนังสยองขวัญ ห้องแคบ ๆ ขนาดไม่เกิน 5x5 เมตร...กับเพดานที่ค่อนข้างสูงเต็มไปด้วยคราบสีทึม ๆ น่าขยะแขยง เตียงแบบโรงพยาบาลตั้งอยู่กลางห้อง...พร้อมกับรอยเลือดชวนให้ใจไม่ดีที่เลอะอยู่บนนั้น ด้านซ้ายของเตียงเป็นเสาน้ำเกลือที่มีถุงน้ำเกลือแขวนอยู่สองถุง..แต่แทนที่ในถุงนั้นจะว่างเปล่าหรือมีน้ำเกลือสีใส ทั้งสองถุงกลับมีเลือดเขรอะเต็มจนน่าอ้วก ด้านขวาของเตียงเป็นตู้เก็บของเก่า ๆ มีของมากมายวางอยู่เต็มไปหมด โทรทัศน์รุ่นเก่าที่สภาพดูเก่าเสียยิ่งกว่า ของที่ผมเองก็ไม่แน่ใจนักว่าคืออะไรและ......กรอบรูปเปื้อนฝุ่น ตัวกรอบทำจากไม้สีน้ำตาลเข้มมีคราบสีดำเกาะอยู่ทั่ว ส่วนรูปก็เป็นรูปของชายหนุ่มกับหญิงสาวยืนเคียงคู่กันประหนึ่งคู่รัก หญิงสาวในรูปมีผมสีดำขลับยาวสลวย ตาเป็นสีน้ำตาลเปลือกไม้ เธอมีรอยยิ้มแสนสดใสไร้เดียงสาราวกับรอยยิ้มของเด็กเล็ก ๆ ส่วนชายหนุ่มในรูปมีผมสีน้ำตาลเข้มปรกหน้าเล็กน้อยและรอยยิ้มอบอุ่นดั่งดวงตะวันรับกับดวงตาสีฟ้าอมเขียวเป็นประกายน้ำทะเล...และชายในรูป..ก็คือตัวผมเอง..ผมถอนหายใจเล็กน้อยขณะรำลึกถึงความทรงจำเก่า ๆ ที่หวนคืนมาอย่างช้า ๆ รอยยิ้มของหญิงสาวในภาพยังคงตราตรึงอยู่ในใจของผมเสมอ..แม้เวลาจะผ่านไปเกือบสิบปีแล้วก็ตาม ผมเอ่ยชื่อของเธอด้วยเสียงแผ่วเบา.. ‘คลาร่าห์’ หญิงสาวในรูปยังคงยิ้มอยู่เช่นเดิมแต่ไม่แน่ใจนักว่าผมคิดไปเองรึเปล่า... ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มของเธอดูกว้างขึ้นเล็กน้อย.. ผมหยิบหนังสือเล่มหนาที่วางอยู่บนเก้าอี้ขึ้นมาด้วยใจที่แสนคะนึงหา มือสั่น ๆ ของผมค่อย ๆ เปิดหนังสือขึ้นราอย่างช้า ๆ ภายในหนังสือหนาหนักมีรูปมากมายถูกใส่เอาไว้ รูปของเธอ รูปของผมและรูปคู่ของพวกเรา ภาพที่ผ่านตาอย่างช้า ๆ เหล่านั้นทำให้ดวงตาของผมเบลอไปด้วยหยดน้ำอุ่นๆ น้ำใสหยด เผาะ ๆ ลงในหน้ากระดาษกรอบ ๆ สีเหลืองซีด ความทรงจำมากมายทะลักเข้ามาในหัวจนทนแทบไม่ไหว ‘นอร์ส...นับตั้งแต่วันนี้ เด็กคนนี้จะมาเป็นน้องสาวของลูกนะ’ ..ในวันนั้นพ่อของผมแต่งงานใหม่หลังจากที่หย่ากับแม่ได้แค่ 2 เดือน ...พ่อแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เจอในผับ...เธอมีลูกติดอยู่คนหนึ่งซึ่งก็คือ คลาร่าห์ และนับแต่วันนั้น..พวกเราก็อยู่ด้วยกันมาตลอด...จนกระทั่ง......วันนั้น..วันที่เกิดเหตุไม่คาดฝันนั่น ความร้อนที่ลามเลียร่างกายซีกซ้ายและกลิ่นควันที่ฉุนชวนแสบตายังคงติดอยู่ในความทรงจำ ‘ทำไม...! ทำไมพี่ไม่ช่วยฉัน!’ หลังจากที่สูญเสียแขนซ้ายไปผมยังต้องเสียน้องสาวไปอีก เสียงร่ำไห้ของเธอดังก้องในห้องนี้ เธอเสียรูปโฉมที่งดงามราวนางฟ้าไปและหมดหวังที่จะมีชีวิตต่อ และตอนนั้นเธอก็กรีดข้อมือตัวเอง....ไม่มีใครช่วยเธอได้ทัน.. น้ำตาของผมยังไหลอย่างต่อเนื่อง หน้ากระดาษค่อย ๆ ชุ่มไปด้วยน้ำตาของผม “ขอโทษนะ..คลาร่าห์” .......กึง...เสียงเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหลังของผมพร้อมกับความเจ็บปวดที่กลางหลัง “พี่..ทำไมไม่ช่วยหนู”
อืมมมม ได้ประมาณนี้ค่ะ >W< หวังว่าจะผ่านนะคะ อยากได้หนังสือออ^O^
เด็กสาวเจ้าของเรือนผมตรงยาวสีดำสนิทขับกับผิวสีขาวอมชมพูกำลังยืนอยู่หน้าประตูสีดำสนิท ดวงตากลมสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองบานประตูราวกับต้องการจะมองทะลุเข้าไป มือเล็กที่พ้นออกมาจากเสื้อกันหนาวแขนยาวสีชมพูตัวใหญ่ค่อยๆจับลูกบิดประตูแล้วผลักมันออกเผยให้เห็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่ เฟอร์นิเจอร์กลายเป็นสีน้ำตาลที่เริ่มลอกออกมา เตียงขนาดสำหรับคนเดียวนอนวางอยู่ใจกลางของห้อง มีเพียงผ้าปูที่นอนสีขาวที่เประเปื้อนไปด้วยสีแดงฉาน ข้างๆเตียงนั้นมีสายน้ำเกลือที่บรรจุโลหิตไว้ ส่วนอีกฝั่งเป็นโต๊ะที่วางของ
ขาทั้งสองสลับกันไปมาแล้วหยุดอยู่ตรงโต๊ะที่สูงถึงเอวของเธอ มือบางหยิบกรอบรูปที่ฉายภาพหญิงสาวที่หน้าตาสะสวยกำลังระบายยิ้มหวานอยู่จนเธออดอมยิ้มไม่ได้ เธอวางกรอบรูปลงแล้วหมุนตัวหันกลับไปมองหนังสือเล่มหนาที่วางอยู่บนเก้าอี้ตัวเก่า เป็นหนังสือเรียบๆที่ไม่ได้น่าสะดุดตาอะไรนอกจากตัวอักษรบนหน้าปกที่เริ่มจางและตัวกระดาษที่กลายเป็นสีน้ำตาลบ่งบอกความเก่าแก่ของมัน เด็กสาวย่อตัวลงแล้วเป่าฝุ่นที่เกาะติดหนังสือจนเกิดเป็นควันสีเทา เด็กสาวตัดสินใจหยิบหนังสือขึ้นมาแล้วกอดไว้แนบอกไม่สนใจว่ามันจะทำให้เปื้อนเสื้อกันหนาวตัวโปรดของเธอรึเปล่า
อุณหภูมิในห้องเย็นลงจนเด็กสาวเสียวสันหลังวาบ เธอรีบหันกลับไปมองก็พบเพียงแค่เตียงเท่านั้น เด็กสาวถอนหายใจออกมา ก่อนที่จะได้คิดอะไรมากกว่านี้ ตำรวจนายนึงก็เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตู เรียกให้เธอออกไป เด็กสาวขานรับ
ในขณะที่เด็กสาวกำลังเดินออกไป เธอได้ยินเสียงหวานของใครสักคน กลอย เด็กสาวหันไปพลางกรอกตามองไปรอบๆแม้จะรู้ดีว่าไม่เจออะไรแต่เธอก็ยังหวังว่าจะได้พบ..ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มขึ้น"ไว้พบกันใหม่นะคะ"เด็กสาวเอ่ยก่อนที่มือบางจะจับลูกบิดประตูแล้วดึงให้มันปิดลง ขังห้องที่มันสำควรปิดให้มันตายไปพร้อมกับความตายที่คุณแม่ของเธอได้มอบไว้กับสถานที่แห่งนี้
ใช่แล้ว...แม่ของเธออยู่โรงพยาบาลบำบัดจิตแห่งนี้แล้วเกิดอาการคลุ้มคลั่งจนจะฆ่าตัวตายแต่นางพยาบาลมาช่วยไว้ทัน สายน้ำเกลือนั้นคือเลือดที่ให้คุณแม่ คราบเลือดบนเตียงนั้นคือเลือดของนางพยาบาลที่ถูกเข็มของสายน้ำเกลือแทงที่ลูกตา ยังไม่รวมกับทางเดินระยะทางของการออกไปที่เต็มไปด้วยคราบเลือด
เด็กสาวมองไปยังนายตำรวจหลายนายที่กำลังทำคดีเรื่องการฆ่ายกโรงพยาบาลด้วยฝีมือของคุณแม่ของเธอ เมื่อถึงประตูทางออก เด็กสาวเข้าไปสะกิดนายตำรวจรายนึงแล้วยื่นหนังสือเล่มหนาให้
"รบกวนช่วยเผาไปพร้อมกับศพของคุณแม่ด้วยนะ" เด็กสาวพูดด้วยรอยยิ้ม นายตำรวจรับมาก่อนที่เด็กสาวจะเดินกลับไปในโรงพยาบาลอีกครั้ง
นายตำรวจก้มลงมองหนังสือ คิดว่าเขาคุ้นหน้าเด็กสาวเมื่อกี้ที่ไหนจึงเดินออกไปถามคู่หูของเขาที่กำลังประสานงานกับหน่วยกู้ชีพ เขาถามถึงเด็กสาวผมสีดำ สูงประมาณ 157 ละคำตอบที่ได้รับเล่นเอานายตำรวจคนนั้นถึงกับเผลอทำหนังสือเล่มหนาตก
"เด็กคนนั้นไง ลูกสาวของผู้หญิงที่เป็นคนฆ่าคนในโรงพยาบาล อายุยังน้อยๆแต่ดันถูกแม่ตัวเองที่กำลังคลั่งฆ่าตาย รู้สึกศพจะถูกหั่นด้วย สยองสุดๆ"
#จบแบบมึนๆ
#พอจัดแล้วมันเกินสามสิบบรรทัดอ่า ;___;
“ม..ไม่....ใครก็ได้...ช่วยผมด้วย” เสียงอันแผ่วเบาดังออกมาจากปากซีดจนแทบไม่เห็นสีเลือด ดวงตาของเด็กหนุ่มสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว มือทั้งสองของเขาจิกอยู่บนผมสีแดงเพลิงของตัวเอง พื้น และกำแพงอันเย็นเฉียบที่สัมผัสผิวกายของเขาทำให้ตัวเขาสั่นสะท้าน เขายังมีชีวิตอยู่! ยังมีลมหายใจทั้งๆที่คิดว่าคงจะไม่มีโอกาสนี้อีกแล้ว ภาพเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วยังปรากฏอยู่บนหัวเขาไม่หยุด มันเหมือนกับหนังที่กำลังฉายซ้ำ...
ฉึก! เด็กหนุ่มผมดำทรุดลงไปกองกับพื้นทันทีที่ถูกแทงด้วยดาบสีดำสนิท เขาเงยหน้ามองเด็กหนุ่มผมแดงด้วยแววตาโกรธแค้น ดาบสีดำถูกชักออกอย่างแรงจะเลือดสาดกระจายไปทั่วห้อง ผ้าปูเตียงสีขาวถูกย้อมด้วยสีแดงของเลือดเป็นหย่อมๆ ชายใบหน้าบิดเบี้ยวมองภาพตรงหน้าอย่าพึงพอใจ ก่อนจะลากเด็กหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายออกไปจากห้อง กลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจายไปทั่วห้องจนแทบอยากจะอาเจียน เขามองมือตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตา “เขาทำร้ายคนอื่น!” หรือว่านี้คือสิ่งที่ปีศาจอย่างเขาต้องทำ “ไซรัส” ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้ เขาถูกพาตัวมาที่นี่ด้วยคนที่อ้างตัวว่าเป็นพ่อ เด็กที่เกิดมาพร้อมกับสีผมที่ไม่เหมือนคนอื่นมันทำให้เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นปีศาจ
ไซรัสเงยหน้าขึ้นมองรูปภาพของหญิงสาวนางหนึ่งที่แขวนอยู่บนกำแพง ทุกครั้งที่เขามอง เขาจะรู้สึกเหมือนกับว่าเธอนั้นยิ้มให้ ดวงตากลมโตสีดำสนิทกับริมฝีปากได้รูปของเธอมันทำให้ใบหน้าของเธอดูโดดเด่น เขาละสายตาจากรูปนั้นไปยังถุงเลือดสองถุงที่อยู่มุมห้อง เลือดในถุงนั้นเป็นเลือดของเขาเอง ก่อนจะหันมาเจอกับหนังสือเล่มใหญ่ที่วางอยู่บนเก้าอี้ เขาไม่รอช้าที่จะหยิบมันขึ้นมา ไซรัสลูบหน้าปกผิวขรุขระอย่างช้าๆเพื่อที่จะปัดฝุ่นที่เกาะอยู่ออก ตัวอักษรสีทองนูนสูงขึ้นมาเขียนเป็นตัวอักษรที่อ่านได้ว่า “การคืนชีพ” เขาเปิดหนังสือออกด้วยความอยากรู้ มีเพียงแสงจันทร์เท่านั้นที่ให้ความสว่างกับเด็กหนุ่ม
‘เด็กที่เกิดมาพร้อมกับความแตกต่าง เขาคนนั้นจะเป็นผู้..’ พรึบ! หนังสือถูกกระชากออกจากมือไซรัสอย่างรวดเร็ว เขาเงยหน้ามองชายที่อ้างตัวว่าเป็นพ่อ ด้วยแววตาสงใส แต่แล้วเสียงของพ่อก็ดังขึ้นในหัวเขาทั้งๆที่พ่อไม่ได้เอ่ยปากพูด
“แกรู้ทุกอย่าแล้วสินะ งั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหลอกแกอีกต่อไป สิ่งที่ฉันต้องการจากแกมันก็เพียงแค่เลือดของแกเท่านั้น” ความจริงที่ไซรัสได้รับรู้มันทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ ชายคนนั้นเป็นคนเดียวที่เขายอมทำตามถึงขนาดยอมทำร้ายคนอื่น ไซรัสทรุดตัวลงนั่งบนพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบ ชายคนนั้นยิ้มขึ้นที่มุมปากเล็กน้อยก่อนจะคว้าไม้ตีเข้าที่หัวไซรัสอย่างแรงจนสติดับวูบลง...
คือ...ตอนแรกที่เห็นรูปรู้สึกหลอนยังไงไม่รู้ 555 ใครเป็นเหมือนเราบ้างเปล่านิ
มาซาฮิโระ เคนตะสาดไฟฉายไปในเฉลียงทางเดินของตึกร้าง เสียงหยาดน้ำร่วงลงบนแอ่งดังก้องสะท้อนไปทั่วทำเอาเด็กหนุ่มอดสะดุ้งโหยงไม่ได้ เขาช่างโมโหความทิฐิไม่เข้าเรื่องที่ดันไปปากพล่อยรีบคำท้าจากเจ้าเพื่อนร่วมชั้นเรียนจอมน่าหมั่นไส้ว่าจะมาสำรวจอาคารร้างหลังมหาวิทยาลัย
ยิ่งเดินลึกเข้าไปในตึก เขายิ่งรู้สึกได้ว่ากลิ่นเหม็นอับรุนแรงขึ้นรอบตัวของเขาเต็มไปด้วยซากโต๊ะ เตียง เก้าอี้ และของสารพัดชนิด หากนั่นยังไม่ใช่เป้าหมายของเขา
อาคารร้างแห่งนี้เคยถูกใช้เป็นสถานพยาบาลสมัยสงคราม แต่จู่ๆ ก็ถูกเลิกใช้ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นพื้นที่ของมหาวิทยาลัย แน่นอนว่าไม่เป็นที่ปรากฏแน่ชัดว่าตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่...
นักศึกษาหนุ่มเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องหนึ่งซึ่งถูกคล้องด้วยโซ่เส้นหนาที่ถูกความชื้นภายในอาคารทำให้สนิทขึ้นจนเขรอะ เคนตะใช้เพียงคีมตัดเหล็กราคาถูกๆ ก็สามารถตัดมันออกไปได้แล้ว
กลิ่นอับ คาว และเหม็นเน่าลอยประทะจมูกเขาเป็นสิ่งแรกราวกับต้องการต้องรับผู้มาเยือน ด้านในเป็นห้องทึบที่ดูราวกับหลุดออกมาจากเกมแนวผีดิบที่เขาเคยเล่น มันไม่มีหน้าต่างอย่างที่ควรจะมี เด็กหนุ่มกะขนาดทางสายตาน่าจะประมาณหกเสื่อทาทามิ ผนังและพื้นมีฝุ่น หยากไย่ และตะไคร่จากความชื้น ตรงกลางห้องมีเตียงเหล็กขนาดสามฟุตครึ่งเก่าๆ หลังหนึ่งตั้งอยู่ ด้านซ้ายเป็นเสาห้อยน้ำเกลือสนิมเขรอะ ส่วนด้านขวาเป็นตู้และข้าวของเครื่องใช้ที่ถูกฝุ่นจับจนหนา ท่าทางต่อให้ซ่อมก้อคงเอามาใช้ใหม่ไม่ได้อีกแน่ ถัดจากตู้ก็เป็นเก้าอี้และหนังสือเล่มหนึ่ง
เคนตะเดินไปหยิบหนังสือขึ้นพลิกมาดูอย่างสนใจ เด็กหนุ่มพบว่ามันเป็นไดอารี่ของใครคนหนึ่ง
‘วันที่ 2/XX/XX
ฉันกับซาโตรุพบที่นี่เป็นครั้งแรก มันเหมือนเป็นที่ลับของเรา เป็นที่ๆ เราจะสามารถอยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องกลัวสายตาใคร’
อ่านจบเขาก็พลิกต่อ ทว่ามันมีแต่เรื่องรักคาวๆ ระหว่างชายหญิงเท่านั้น ก่อนที่จู่ๆ เขาจะคล้ายถูกไฟช็อต เขาสะดุ้งเผลอปล่อยมือจากไดอารี่ตกกระจายกลายเป็นเศษกระดาษ และมีหน้าหนึ่งที่สะดุดตาเขา
‘ช่วยด้วย ฉันยังไม่อยากตาย!’
มันถูกเขียนอย่างหวัดๆ และเลอะไปทั้งหน้าซึ่งแสดงว่าคนเขียนกำลังตกใจสุดขีด
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจหากก่อนที่เขาจะทันรู้ตัว อะไรบางอย่างก็กระแทกเข้ากับศีรษะเขาอย่างจัง ร่างของเขาทรุดฮวบลงกับพื้นที่เย็นเฉียบและเปรอะไปด้วยฝุ่น รสชาติคาว
เคนตะมองเห็นรองเท้าหนังเก่าๆ อยู่ตรงหน้าอย่างเลือนราง เขารู้เพียงว่าอีกฝ่ายกำลังแสะยิ้ม ดวงตาคู่นั้นดูราวกับสัตว์กระหายเลือด เด็กหนุ่มพยายามฝืนขยับตัวหากไร้ความหมาย
เขามองเห็นดาบคาตานะยาวในมือของ ‘มัน’
และสิ่งสุดท้ายที่โสตประสาทของเขารับรู้ก็คือเสียงหัวเราะเสียดหู “ฉันจะฆ่าทุกคนที่เห็น...”
ก่อนที่สัมผัสทั้งหมดของเขาจะดับลงราวกับปิดสวิตซ์...
------------------------------------
สามสิบรรทัดพอดีเป๊ะ 555
ค่ำคืนที่เงียบสงัด ... ในโรงพยาบาลร้าบแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครกล้าไปเหยียบย่ำ แต่ใครจะรู้ ว่าที่แห่งนี้ ยังมีหญิงสาวอยู่คนหนึ่ง ที่เธอเสียชีวิตจากคดี ฆ่าข่มขืน เธอยืนอยู่ที่ห้องแห่งหนึ่ง ซึ่งมีสภาพที่ไม่น่าดูเท่าไหร่นัก สายตาของเธอจ้องเขม็งไปยังเตียงที่อยู่ตรงหน้า นึกถึงเรื่องราวในวันนั้น วันที่เธอต้องตายโดยคนที่เธอรักที่สุดเป็นคนฆ่า ! คราบเลือดที่ติดอยู่บนผ้าปูที่นอน ยังคงไม่จางหายไปไหน กลิ่นคาวของมันฟุ้งไปทั่วห้อง มันเหม็นจนคนที่ได้รับกลิ่นแทบจะอาเจียน แต่เธอกลับแสยะยิ้ม เหมือนไม่ได้รับรู้กลิ่นอายของมันเลย เธอมองไปรอบ ๆ ห้องนั้น เธอนำมือของเธอสัมผัสเข้ากับฝ้าผนังที่ถูกราเกาะแทบจะทั้งแผ่น เธอยืนอยู่บนพื้นกระเบื้องที่แตกร้าวและพร้มที่จะถล่มลงมาทับเธอในทุกเวลา เธอเดินไปฝั่งซ้ายของห้องและหยิบหนังสือที่วางอยู่บนเก้าอี้ที่ถูกสนิมเซาะจนไม่มีที่ว่าง เธอเปิดอ่านมันเล่น และวางไว้ตรงที่เดิม ใบหน้าของเธอตอนนี้ดูหม่นหมอง และแค้นในพร้อมๆ กัน สภาพห้องใช้ได้เหมาะกับการแก้แค้นของเธอ เธอรอวันนี้มานานแล้ว วันที่เธอจะได้แก้แค้นเสนียดในชีวิตออกไปสักที !
ทันทีที่ประตูห้องถูกเปิดออก ประสาทสัมผัสแรกที่ทำงานคือจมูกกลิ่นคาวอับ ลอยออกมาปะทะจมูกเธออย่างรุนแรงทำให้เธอต้องย่นจมูกและเกือบสำลักจนต้องเอามือปัดอากาศเป็นพัลวัน ห้องนี้ดูผิวเผินอาจเหมือนว่าเคยเป็นห้องพยาบาลมาก่อนแต่เมื่อราเชลมองดูโดยรอบแล้วผนังร้าวที่มีคราบดำทึบไม่มีหน้าต่างสำหรับระบายอากาศหรือให้แสงเล็ดลอดเข้ามา ให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างอึมครึม ไม่เหมาะสำหรับใช้เป็นห้องพยาบาลสักเท่าไหร่ แต่อาจเป็นเพราะด้านซ้ายของห้องมีเสาห้อยถุงน้ำเกลือที่ถูกใช้ห้อยถุงให้เลือดสองถุง ตั้งอยู่ข้างเตียงเหล็กขนาดพอดีหนึ่งคนนอนตรงกลาง ห้องผ้าคลุมเตียงที่มีรอยยับ เต็มไปด้วยคราบสกปรกจนทำให้ผ้าสีหมองจนเกือบจะกลายเป็นสีน้ำตาล มีเลือดเปื้อนอยู่บริเวณหัวเตียงและปลายเตียง พื้นกระเบื้องที่มีรอยร้าวแถมยังเต็มไปด้วยคราบสกปรก ก็มีเลือดเปื้อนด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะบริเวณใต้เตียงมีรอยเลือดรอยใหญ่ อาจจะหยดลงมาจากเตียง ยิ่งมองดูยิ่งรู้สึกขยาดแขยงจนไม่อยากย่างเท้าเข้าไปเหยียบ ตรงข้างเตียงด้านขวาเกือบๆถึงปลายเตียง มีเก้าอี้ไม้แบบมีพนักพิงสภาพค่อนข้างเก่าวางหันหน้าเข้าหาเตียง บนเก้าอี้มีหนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งวางอยู่ ข้างๆหัวเตียงด้านเดียวกันนั้นมีตู้ลิ้นชักทำจากไม้ตั้งอยู่ บนหลังตู้มีโทรทัศน์แบบโบราณขาดพอเหมาะที่จะวางในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ข้างโทรทัศน์มีวัตถุทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ราเชลดูไม่ออกว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่พอจะเดาได้ว่าเป็นเครื่องเล่นวิทยุแบบค่อนข้างเก่า และข้อมูลสำคัญที่ราเชลได้จากห้องนี้คือ กรอบรูปไม้แกะสลักลวดลาย ที่บรรจุภาพหญิงสาว ผู้มีใบหน้างดงาม แววตาอันเปล่งประกายของหญิงสาวในรูปช่างดึงดูด ราวกับว่าต้องการให้ราเชลมองเห็นอะไรบางอย่างจากดวงตาของเธอ ราเชลไม่อาจสรุปได้ว่าเธอคือเจ้าของห้องนี้หรือไม่ แต่ที่สำคัญเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับห้องนี้แน่นอน จะอย่างไรนั้นคือสิ่งที่ราเชลต้องค้นหาต่อไป .... เค้าไม่หวังรางวัลแต่เค้าอยากได้คำแนะนำ ช่วยแนะนำเค้าหน่อยน๊าาาา
‘ตื่นเถอะ....’
ใครกัน
เสียงหวีดหวิวแผ่วเบาที่คอยวนเวียนใกล้หูเพื่อพยายามบอกให้ฉันตื่นขึ้นมา ใครกันล่ะ! ที่ปลุกฉัน ดูเหมือนว่าเปลือกตาจะทรยศฉันเสียแล้วมันหนักอึ้งราวกับมีใครเอาแท่งเหล็กมากดปิดไว้เสียอย่างนั้น แต่กระนั้นเสียงนั่นก็ไม่หยุดเสียที
‘ตื่นเถอะ’
‘พอที’ ฉันกู่ร้องในใจก่อนจะผวาสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียงเหล็ก แสงสลัวจากภายนอกส่องลอดผ่านเข้ามาทางแผงกั้นบนเพดาน ความสว่างน้อยนิดเพียงแค่นั้นก็ทำให้ฉันตกใจแทบสิ้นสติห้องนี้มันคือขุมนรกอย่างนั้นเหรอ ผนังทั้งสี่ด้านเต็มไปด้วยรอยแตกร้าวผสมกับความสกปรกโสมม มือของฉันป่ายปัดไปกระทบกับโลหะบางอย่างจนล้มครืนส่งเสียงก้องกังวาน ทว่ามันกลับทำให้ฉันหวาดกลัวจับใจ ในตอนแรกถุงพลาสติกใสที่มีสายห้อยระโยงระยางนั่นฉันคิดว่ามันคือถุงน้ำเกลือแต่เมื่อเพ่งมองดูให้ดี ฉันก็พบว่ามันหาใช่น้ำเกลือ เลือด! สีแดงคล้ำนั่น คือเลือดไม่ผิดแน่ ฉันจึงไม่สงสัยแล้วว่ากลิ่นเหม็นสาบสางและกลิ่นคาวคละคลุ้งโชยมาแตะจมูกในตอนแรกมันคืออะไร
ฉันก้มมองดูตัวเองอีกครั้งบนเตียงนี้ ใครเป็นเจ้าของมันกันแน่ เท้าเปลือยเปล่าของฉันสัมผัสกับพื้นกระเบื้องสีขมุกขมัวอย่างแผ่วเบา คงเพราะฉันอยู่ในสภาพที่ไม่ได้ขยับตัวมาเป็นเวลานานเมื่อสัมผัสกับร่องแตกของพื้นกระเบื้องฉันจึงเซไปปะทะกับตู้อะไรซักอย่างข้างเตียงส่งผลให้มันขยับเป็นเสียงแกรกราก บางสิ่งตกลงมาอยู่แทบเท้าของฉันกรอบรูปที่วางอยู่บนตู้เมื่อครู่นี่เอง ฉันค่อยๆก้อมหยิบมันขึ้นมาดู ดวงตาของฉันเบิกโพลง ภาพหญิงสาวคนนั้น มันคือตัวของฉัน! ไม่ใช่สิ! มันคือคนที่คล้ายฉันต่างหาก ‘มานา’ นั่นคือชื่อน้องสาวของฉัน หล่อนตายไปนานมากแล้วด้วยน้ำมือของฉันเอง หรือว่า........ที่นี่คือคุกที่คุมขังฉันอย่างนั้นเหรอ ฉันมองดูภาพหญิงสาวในรูปนั้นอีกครั้ง น่าแปลกบัดนี้กรอบรูปนั้นไม่มีภาพคนปรากฏอยู่อีกแล้ว
‘มันหายไป’
ฉันโยนกรอบรูปนั้นทิ้งไปด้วยความตกใจ สัญชาตญาณบอกให้ฉันหนีไปจากห้องนี้ ฉันหันหลังกลับโดยไม่ทันระวังขาของฉันสะดุดเก้าอี้ที่อยู่มุมห้องจนล้มลง ฉันพาร่างกระ-กระสนไปที่ประตู สมุดบันทึกที่อยู่กับเก้าอี้เมื่อครู่มันกระเด็นมาตกอยู่ตรงหน้าฉัน แล้วนิ่งสงบในหน้ากระดาษหนึ่งราวกับมีใครจงใจกางออก ข้อความในนั้นทำให้ฉันเกิดอาการหนาวสะท้านจนขนลุก น้ำตารื้นขึ้นมาจนกลายเป็นม่านบังสายตาให้พร่าเลือน ถึงกระนั้นฉันก็เห็นข้อความนั่นแล้ว
‘พี่โมนา ฉัน ใช้ ร่างเดียวกับพี่ได้ไหม’
นั่นไม่ใช่ประโยคขออนุญาตฉันรู้ดี มันคือประโยคบอกเล่า ฉันรู้สึกเหมือนมีเงาตะคุ่มค่อยๆคืบคลานเข้ามาทางด้านหลังของฉัน ฉันพยายามเปล่งเสียงขอความช่วยเหลือ
‘ช่วยด้วย’
ไม่มี ไม่มีเสียง ความมืดมิดกลืนกินเสียงของฉันไป เงาดำค่อยๆโอบรัดตัวฉัน เปลือกตาค่อยๆปิดลงปล่อยให้น้ำตาแห่งความหวาดกลัวไหลรินเป็นทาง
‘ขอบคุณค่ะ พี่โมนา’
ประโยคสุดท้ายที่กระซิบข้างหูของฉัน และการรับรู้ของฉันสิ้นสุดเพียงเท่านี้................
ทุกคน เว้นย่อหน้ากันหน่อย พี่อ่านไม่รู้เรื่อง
ทันทีที่มือของนามิผลักบานประตูเก่าเข้าไป ยังไม่ทันที่จะได้เห็นอะไรในนั้นเธอก็ต้องรีบยกมือขึ้นปิดจมูกไว้แน่นด้วยเพราะกลิ่นสาบเลือดในห้องนั้นมันแรงเสียจนเธอต้องรีบดึงตัวเองออกมายืนหอบหายใจอยู่ริมผนังสกปรก...ก่อนหน้านี้เพื่อนๆ ของเธอได้ถูกฆ่าตายไปหมดแล้ว จึงเหลือแค่เธอที่ต้องเอาชีวิตรอดไปจากโรงพยาบาลร้างแห่งนี้ให้ได้! ทว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้น หญิงสาวรู้สึกเหมือนกับว่ามีดวงตามุ่งร้ายคู่หนึ่งคอยจ้องมองเธออยู่ตลอดเวลา รวมทั้งตอนนี้ด้วย...
นามิสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในนั้นอีกครั้ง คราวนี้เธอพยายามทำใจให้ชินกับกลิ่นสาบเลือดแสนสะอิดสะเอียนแล้วกลั้นใจเดินสำรวจสิ่งต่างๆ ภายในห้อง พยายามสอดส่ายสายตาหาอะไรบางอย่างที่อาจจะช่วยให้เธอออกไปจากที่นี่ได้...ในห้องคนไข้นี้เท่าที่เธอสำรวจดูแล้วมันน่ากลัวน้อยกว่าห้องที่ผ่านๆ มามากนัก ที่ห้องนี้มีขนาดไม่ใหญ่ ทั้งเพดาน...ผนังห้อง และพื้นต่างก็เปื้อนคราบสกปรกเหมือนๆ กับห้องอื่นที่เคยสำรวจมา ทว่าห้องนี้มันก็แปลกอยู่อย่าง...ตรงที่มีกรอบรูปติดอยู่บนผนังฝั่งซ้าย นามิขยับเท้าเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่ามันเป็นเพียงรูปวาดของสถานที่ที่หนึ่งเท่านั้น ไม่มีความสลักสำคัญอะไร นั่นเธอจึงละความสนใจเดินไปหาเตียงโครงเหล็กขนาดกลางที่ตั้งไว้เกือบๆ กลางห้อง นามิกวาดสายตาดูผ้าคลุมเตียงที่เปื้อนเลือดจนเป็นคราบสีเข้มแล้วอดคิดไม่ได้ว่า...มันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าของเตียงนี้กันนะ ถ้าหากเธอเดาไม่ผิด คนไข้เตียงนี้อาจจะเป็นเหยื่อรายหนึ่งที่ถูกฆาตกรอำมหิตลงมือฆ่าก็เป็นได้...
หญิงสาวละสายตาไปยังเสาแขวนถุงเลือดสองถุงที่ตั้งอยู่ข้างหัวเตียง มันเหลือถุงละเกือบครึ่ง แสดงว่าคนไข้คนนี้คงอยู่ที่นี่มาได้สักพักแล้ว แต่นั่นมันก็ไม่สำคัญพอที่เธอจะเก็บเอามาคิด นามิเงยหน้าขึ้นมองไปยังอีกฝั่งหนึ่งของเตียง เห็นตู้เหล็กขนาดสูงไม่เกินเอวตั้งอยู่ตรงนั้น บนตู้เหล็ก...มีเครื่องมือทางการแพทย์ที่น่าจะเป็นเครื่องวัดการเต้นของหัวใจและเครื่องอะไรสักอย่างที่อยู่ข้างกัน นามิมองสำรวจไปทั่วโต๊ะจนสะดุดตาเข้ากับกรอบรูปไม้อันหนึ่ง หญิงสาวเบิกตากว้างเมื่อกรอบรูปนั้นเป็นรูปผู้หญิงนิรนามที่เธอแน่ใจว่าใช่คนเดียวกับผีผู้หญิงที่ปรากฏร่างนำทางเธอให้มาถึงห้องนี้! นามิรีบสาวเท้าเดินมาหยิบกรอบรูปขึ้นดูให้ชัดกับตาว่าใช่แน่ๆ และยิ่งดู...เธอก็ยิ่งแน่ใจว่าใช่คนเดียวกัน!!
ดะ...เดี๋ยว นี่มันหมายความว่าอย่างไร? หล่อนคือคนไข้ที่ห้องนี้หรือ? เอ๊ะ แต่มันก็ไม่น่าจะใช่นะ เพราะถ้าหล่อนนอนอยู่ห้องนี้จริงจะเอารูปตัวเองมาตั้งทำไม? อา...ถ้าอย่างนั้น...หรือว่าเจ้าของห้องนี้อาจจะไม่ใช่หล่อน แต่เป็นสามีของหล่อนเอง?!
โอเค ได้การณ์ล่ะ! ทีนี้ก็เหลือแค่...นามิค่อยๆ หันไปมองยังเจ้าหนังสือปริศนาสีขาวเล่มหนาที่วางอยู่บนเก้าอี้ปลายเตียงก่อนตัดสินใจเดินไปหามัน ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะก้มหยิบมันขึ้นมาอ่านอะไร เสียงคล้ายฝีเท้าคนที่ดังมาจากทางเดินนอกห้องก็ทำให้นามิสะดุ้ง
แวน แลงแคสเตอร์ เดินเข้าไปในห้องหนึ่งของโรงพยาบาลร้าง ให้เดามันคงจะเป็นห้องพิเศษที่อาจจะเคยมีราคามาก่อนแต่ไม่ใช่ตอนนี้
ฝ้าพนังเกาะกลุ่มไปด้วยตะไคร่น้ำและรอยแตกร้าวเป็นทางยาวแสดงถึงอายุของมันได้เป็นอย่างดี เตียงคนไข้ตั้งอยู่กลางห้องมีผ้าปูที่เปื้อนคราบเลือดและรอยยับยู่ยี่แสดงถึงการดิ้นรนที่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนวิญญาณในร่างจะถูกพรากออกไป ติดกับเตียงฝั่งซ้ายเป็นเสาถุงน้ำเกลือที่มีเลือดเจือจางอยู่ภายใน สายตาของเขาไปสะดุดกับหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงคนไข้ ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาพาตัวเองเดินเข้ามาในห้องนี้อย่างง่ายดาย กลิ่นอับชื้นและกลิ่นเหม็นเน่าผสมปนเปกันจนชวนเวียนหัว ในห้องมืดมากและเขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งได้จากไฟฉายที่เขาพกติดตัวมาด้วย เขาหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา เมื่อมองดูใกล้ๆก็พบว่ามันไม่ใช่หนังสือหากแต่เป็นไดอารี่ที่อาจจะมีประโยชน์ต่อเขาในสักวันหนึ่ง เขาส่องไฟฉายไปรอบๆห้อง พื้นเกรอะกรังไปด้วยเลือดที่แห้งจนเป็นสีดำ รูปถ่ายใส่กรอบถูกติดไว้ฝั่งซ้ายของเตียงเป็นรูปที่ผู้คนในรูปต่างไม่มีรอยยิ้มให้กับกล้อง เป็นรูปที่เขาลงความเห็นว่าไม่ควรมาอยู่ในห้องพักของคนไข้
เขากำลังจะเดินออกจากห้องพักคนไข้แต่เสียงซ่าๆฟังแล้วไม่ได้ศัพท์ออกมาจากวิทยุติดกับทีวีที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงคนไข้ทำให้เขาต้องหันกลับไปมองพร้อมกับขนที่เริ่มลุกขึ้นมา กลิ่นที่น่าคลื่นเ-ยนปะทะเข้าไปในโสตประสาทก่อนสติของเขาจะดับวูบลง
ทันทีที่ประตูห้องถูกเปิดออก กลิ่นอันชวนคลื่นเห ียนก็โชยเข้ามาปะทะจมูกของเขาอย่างรุนแรง
ตฤณไอโขลกจนแสบคอเมื่อเผลอสูดเอากลิ่นนั้นเข้าไปโดยไม่ทันตั้งตัว เด็กหนุ่มมีสีหน้าเหยเกขณะที่โบกมือไปมาตรงหน้าราวกับจะไล่กลิ่นเหล่านั้นให้จางหายไปจากอากาศ แต่ดูเหมือนว่าการทำแบบนั้นจะไม่ช่วยอะไรเขามากนัก
เขายืนสงบจิตสงบใจสักพัก ก่อนจะยกแขนเสื้อตรงไหล่ขึ้นมาปิดจมูกและก้าวเข้าไปในห้อง มันเป็นห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดไม่กว้างมาก บนผนังสกปรกมีรอยปูนแตกร้าวกับคราบตะไคร่ดำๆ ที่เขาไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร พื้นห้องเต็มไปด้วยคราบเก่าๆ สีน้ำตาลแดงที่ส่งกลิ่นเหม็นหืนจนต้องเบ้หน้า
เตียงเหล็กขึ้นสนิมเขรอะตั้งอยู่กลางห้อง มันถูกปูทับด้วยฟูกสีขาวที่โดนละอองฝุ่นจับจนกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อน ตฤณมองคราบเลือดสีน้ำตาลเข้มที่เปรอะเปื้อนบนฟูก รู้สึกพะอืดพะอมเมื่อจินตนาการว่าเลือดที่อยู่บนเตียงเป็นเลือดของใครหรือตัวอะไรกันแน่ ก่อนที่เขาจะปัดความคิดเหล่านั้นออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกอยากขย้อนของเก่าออกมา
เด็กหนุ่มหันไปให้ความสนใจกับโต๊ะทางด้านขวาของเตียงที่มีกรอบรูปเล็กๆ รวมถึงวิทยุและทีวีขนาดจิ๋วตั้งอยู่ เขาขยับเข้าไปใกล้ พยายามเดินเลี่ยงกองผ้าพันแผลเก่าๆ เปื้อนเลือดที่ถูกทิ้งไว้บนพื้น เดินผ่านเก้าอี้ไม้ที่มีหนังสือปกสีเหลืองซีดๆ วางอยู่ เขาชะโงกมองหนังสือบนเก้าอี้โดยไม่ได้แตะต้องมัน 'พระคัมภีร์วิวรณ์' มันถูกเขียนเอาไว้อย่างนั้น เด็กหนุ่มหันไปหาสิ่งที่เป็นเป้าหมายของเขาอีกครั้ง เขายกแขนเสื้อที่ดึงขึ้นมาปิดจมูกออกเมื่อเริ่มคุ้นเคยกับกลิ่นแปลกๆ ในห้อง
ตฤณหยุดยืนตรงหน้าโต๊ะไม้ หยิบกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดู ใบหน้าเรียบเฉยของหญิงสาวที่อยู่ในรูปทำให้เขารู้สึกขนลุกอย่างประหลาด เธอมีใบหน้าสะสวยราวกับภาพวาด ทว่าดวงตาสีดำแข็งกร้าวที่มองตรงมาทำให้เด็กหนุ่มตัดสินใจคว่ำกรอบรูปลงเพื่อไม่ให้จินตนาการอันน่าขนพองสยองเกล้าของตัวเองเตลิดไปไกล ก่อนจะชะงักมือเมื่อเห็นว่ามีตัวอักษรหวัดๆ เขียนเอาไว้ด้านหลังกรอบรูป
เธอผู้เป็นที่รัก จากนี้…และตลอดไป
- พิรุณ พ.ศ. 2549 -
คงจะเป็นคนรักกระมัง...
เด็กหนุ่มคิดและมองไปรอบห้องอีกครั้ง เขาเห็นเสาให้น้ำเกลือที่มีถุงเลือดกรังๆ แขวนเอาไว้สองถุง สายระโยงระยางที่ต่อออกมาจากถุงทิ้งตัวห้องต่องแต่งอยู่ข้างเตียง ตฤณละความสนใจจากมันแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ารูปวาดที่ติดอยู่ใกล้กับประตูห้อง มันเป็นภาพวาดของสัตว์ประหลาดน่าขนลุกที่ทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนี ดูเหมือนสถานที่แห่งนี้จะไม่เหมาะกับคนขวัญอ่อนอย่างเขาจริงๆ
กรี๊ดดดดดดด!!
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นจนตฤณสะดุ้งเฮือก หัวใจกระแทกโครมครามอยู่ในอกราวกับจะทะลุออกมา เขากำมือแน่น รู้สึกถึงความกลัวที่แล่นพล่านทั่วร่าง เด็กหนุ่มพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกสติ ก่อนจะรีบเร่งเดินออกไปจากห้อง เขาต้องรู้ให้ได้ว่าเสียงนั้นคือเสียงของใครกันแน่
30 บรรทัดพอดีเป๊ะ =_=;;