11 คำคมชวนคิดต่อ จาก "อลิซในแดนมหัศจรรย์"
วรรณกรรมเยาวชนระดับโลกเรื่องนี้ : แฝงปรัชญาเรื่องการใช้ชีวิตที่เราอาจไม่เคยรู้
ถ้าน้องๆ คนไหนจำกันได้ คอลัมน์ส่องโลกหนังสือครั้งก่อน พี่ตินนำเสนอบทความ 25 รอยสักจาก 5วรรณกรรมระดับโลก และช่วงเวลานั้นแหละ!!! ระหว่างทำบทความ ได้เห็นรอยสักสวยๆ จากเรื่อง อลิซในแดนมหัศจรรย์ พี่ตินก็เกิดนึกได้ว่า สมัยตอนเด็กๆ เราชอบอ่านหนังสือเล่มนี้มากแค่ไหน และนั่นเอง เป็นที่มาของบทความนี้ (เป็นความจริงที่ว่าสำหรับนักเขียน แรงบันดาลใจเกิดได้ทุกที่ เรื่องนี้ก็เหมือนกัน!)


ถามว่าทำไมถึงเลือกเรื่อง อลิซในแดนมหัศจรรย์ คำตอบนี่ก็ต้องย้อนกลับไปตอนสมัยอ่านหนังสือเล่มนี้ใหม่ๆ จำได้ว่า พี่ตินอ่านไม่รู้เรื่อง! น้องๆ ฟังไม่ผิดค่ะ อ่านไม่รู้เรื่องจริงๆ อ่านแล้วงง นี่มันสนุกตรงไหน ทำไมบทสนทนายาก ทำไมคุยกันแปลกๆ ทำไมสำบัดสำนวน และทำไม หนังสือมันต้องเน้นคำ ทำไมต้องทำตัวหนา ตัวเอน เพราะอะไร - - มาเข้าใจอีกที ก็ตอนที่ผ่านช่วงวัยเด็กมาแล้ว ถึงได้รู้ว่า ข้อความที่ปรากฎในหนังสือ ล้วนแต่มีความหมายที่ละเอียดลึกซึ้ง หลายๆ ประโยค สื่อถึงช่วงเวลาแห่งการเติบโตของเรา ช่วงเปลี่ยนผ่าน ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของวัยรุ่น ช่วงเวลาใดก็ตามที่เราเคยสงสัยในตัวเอง สับสน ไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าควรจะวางตัวอย่างไร และจะก้าวข้ามผ่านมันไปอย่างไร แทบไม่น่าเชื่อที่ หนังสือเล่มบางๆ เล่มนี้ บอกเล่าความรู้สึกของเราในช่วงสถานการณ์เหล่านั้นได้อย่างน่าทึ่งที่สุด
ฟังจากที่เล่ามาข้างต้น คิดว่าน้องๆ ทุกคนคงเริ่มเห็นภาพบ้างแล้ว ใช่แล้ว สำหรับพี่ติน อลิซในแดนมหัศจรรย์ ไม่ใช่แค่นิทานหรือเรื่องเล่าสนุกๆ แต่ว่า ลูอิส แครอลล์ ผู้แต่ง (ที่หลายคนกล่าวหาว่าเขาเป็นบ้า) ได้สอดแทรกและบอกเล่า “เรื่องราวการเจริญเติบโตของเด็กวัยรุ่น” เอาไว้ในเรื่องอย่างชาญฉลาด พออายุมากขึ้น ได้กลับไปอ่านอีกครั้ง พี่ตินรู้สึกได้เลยว่านักเขียนจงใจเล่นประเด็นเรื่อง “การตามหาตัวเอง” และ “การพยายามปรับตัวเข้าสังคม” ให้ได้ และคงเพราะประเด็นที่มีความหมายนี้เอง ที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ถูกเรียกว่าเป็น “วรรณกรรมระดับโลก”
เพราะความประทับใจหลายๆ อย่าง ก็เลยทำให้พี่ตินตัดสินใจเลือกหยิบคำคมยอดฮิตจากหนังสือเล่มนี้ มาบอกเล่าให้น้องๆ ได้ลองอ่านกันดู เผื่อว่าอ่านแล้วชอบ จะได้เก็บไปคิดต่อ หรือบางคนอาจเอาไปขยายต่อ สร้างประเด็นของตัวเอง เขียนผลงานเรื่องใหม่ของเราก็ได้เหมือนกันนะ
ประเด็นเรื่องความเป็นจริง
I’m not crazy. My reality is just different from yours.
“ฉันไม่ได้บ้า แค่ความจริงของฉันต่างจากเธอเท่านั้นเอง”
หลายครั้ง สมัยที่ยังเป็นเด็ก เรามีความคิดแปลกๆ ผุดขึ้นมาเต็มไปหมด แล้วเราก็คิดว่า... เอ้ย ความคิดของเราน่าจะถูกต้องนี่นา แต่ว่า... พอไปบอกใครเข้า เช่น ผู้ใหญ่บางคน หรือคุณครู เพื่อนๆ ใครก็ตาม หลายครั้ง พวกเขามักจบประโยคลงที่ว่า “ความคิดของเราผิด” และเราต้องเปลี่ยนความคิดทั้งที่ไม่รู้จริงๆ ว่าที่เราคิดน่ะ มันผิดอะไร เมื่อโตมา เราจึงได้รู้ว่า คนเรามีหลากหลาย และทุกคนมีความคิดแตกต่างกัน แต่ถึงอย่างนั้น ไม่ว่าอยู่ที่ไหนหรือเติบโตมากแค่ไหน เรามักต้องมาเผชิญกับเหตุการณ์เดิมๆ เสมอ พี่ตินเชื่อว่า มีหลายครั้งในชีวิต เราท้อแท้ รู้สึกไม่เป็นที่ยอมรับ จนอาจคิดว่า ไอ้ที่เราคิดเนี่ย มันบ้าหรือเปล่า ถ้าเมื่อไหร่จิตตก หรือคิดมาก ขอให้คิดถึงคำคมนี้ แล้วเราจะได้รู้ว่า แท้จริงแล้ว เราไม่ได้บ้าหรอก เราแค่แตกต่างเท่านั้นเอง และความแตกต่างก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่เป็นพรวิเศษต่างหาก
ความลับของเวลา
Alice : How long is forever?
White Rabbit : Sometimes, just one second.
White Rabbit : Sometimes, just one second.
อลิซ : ตลอดไปน่ะ นานเท่าไหร่
กระต่ายขาว : บางครั้ง ก็แค่วินาทีเดียว
สำหรับหัวข้อนี้ พี่ตินอ่านรอบเดียวจำได้ขึ้นใจ และคิดว่าเป็นประโยคที่คลาสสิกมาก ฉบับแปลภาษาไทย จำได้ว่าเขียนเอาไว้ประมาณว่า “เวลาเป็นเจ้าเวลา ไม่มีใครบังคับเวลาได้” (ภาษาไทยคงได้กับคำว่า เวลาและวารีไม่เคยรอคอยใครมั้ง) พอโตๆ ขึ้นมา เข้าใจมากขึ้น ก็ได้รู้ว่า ประโยคสั้นๆ นี้ สื่ออะไรได้ลึกซึ้งมากกว่าที่คิด เคยไหมที่บางช่วง เรารู้สึกว่าเวลามันเดินผ่านไปช้าเหลือเกิน แต่บางช่วง เอ้ย ทำไมเวลามันผ่านไปเร็วนัก ก็เพราะเรื่องของเวลามันขึ้นอยู่กับความรู้สึกของเรานั่นเอง ถ้าเจอเรื่องที่ชอบ เวลาก็จะผ่านไปเร็ว แต่ถ้าเจอเรื่องไม่ชอบ เวลามักเดินช้าจนน่าตกใจ อย่างไรก็ตาม ในเรื่องได้สอนเรื่อง “การใช้เวลาอย่างคุ้มค่า” เอาไว้ด้วย ก็เหมือนที่กระต่ายขาวเตือนอลิซนั่นแหละ แท้จริงแล้ว ความหมายของคำว่า “ตลอดไป” ไม่ได้เนิ่นนานเลย เพราะงั้น อยากทำอะไร รีบทำตั้งแต่วันนี้ ก่อนจะลืมตื่นมาวันหนึ่งแล้วพบว่า อ้าว เราไม่เหลือเวลาจะทำอะไรที่อยากทำแล้ว
สำหรับหัวข้อนี้ พี่ตินอ่านรอบเดียวจำได้ขึ้นใจ และคิดว่าเป็นประโยคที่คลาสสิกมาก ฉบับแปลภาษาไทย จำได้ว่าเขียนเอาไว้ประมาณว่า “เวลาเป็นเจ้าเวลา ไม่มีใครบังคับเวลาได้” (ภาษาไทยคงได้กับคำว่า เวลาและวารีไม่เคยรอคอยใครมั้ง) พอโตๆ ขึ้นมา เข้าใจมากขึ้น ก็ได้รู้ว่า ประโยคสั้นๆ นี้ สื่ออะไรได้ลึกซึ้งมากกว่าที่คิด เคยไหมที่บางช่วง เรารู้สึกว่าเวลามันเดินผ่านไปช้าเหลือเกิน แต่บางช่วง เอ้ย ทำไมเวลามันผ่านไปเร็วนัก ก็เพราะเรื่องของเวลามันขึ้นอยู่กับความรู้สึกของเรานั่นเอง ถ้าเจอเรื่องที่ชอบ เวลาก็จะผ่านไปเร็ว แต่ถ้าเจอเรื่องไม่ชอบ เวลามักเดินช้าจนน่าตกใจ อย่างไรก็ตาม ในเรื่องได้สอนเรื่อง “การใช้เวลาอย่างคุ้มค่า” เอาไว้ด้วย ก็เหมือนที่กระต่ายขาวเตือนอลิซนั่นแหละ แท้จริงแล้ว ความหมายของคำว่า “ตลอดไป” ไม่ได้เนิ่นนานเลย เพราะงั้น อยากทำอะไร รีบทำตั้งแต่วันนี้ ก่อนจะลืมตื่นมาวันหนึ่งแล้วพบว่า อ้าว เราไม่เหลือเวลาจะทำอะไรที่อยากทำแล้ว
เข้าใจตัวตนของเรา
I knew who I was this morning but I’ve changed a few time since then.
เมื่อเช้า ฉันคิดว่ารู้นะว่าตัวเองเป็นใคร แต่หลังจากนั้น ฉันก็เปลี่ยนแปลงไปหลายครั้ง
เมื่อถูกเจ้าหนอนผีเสื้อถามว่า เธอรู้จักตัวเองไหม คำตอบของอลิซคือ เมื่อเช้า (ตอนก่อนจะตกลงมาในโพรงกระต่าย) เธอรู้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่ ณ ตอนนี้ ที่เธอได้ผ่านเรื่องราวมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนรูปร่าง จากใหญ่เป็นเล็ก จากเล็กเป็นใหญ่ การได้เจอเรื่องราวแปลกๆ มันทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงไป และไม่ใช่คนเดิม จนถึงกับตอบเจ้าหนอนผีเสื้อไปแบบนั้น ใช่แล้ว เป็นอีกประโยคที่ถูกต้องอย่างที่สุด โดยไม่รู้ตัว คนเราเปลี่ยนไปเสมอ อย่างช้าๆ แต่มั่นคง ต่อให้คิดว่า ตัวเองไม่ได้เปลี่ยนก็เถอะ ทุกวันที่ผ่านไป เมื่อเราได้เจออะไรใหม่ๆ ได้เรียนรู้ ได้พบปะผู้คน ได้เจอเรื่องราวต่างๆ ทั้งหมดนี้ ส่งผลต่อตัวตนของเรา มันหล่อหลอม และสร้างบุคลิกของเรา ทำให้เรากลายเป็นคนใหม่ เพราะฉะนั้น เมื่อตื่นขึ้นมา แล้วรู้สึกว่าตัวเองแตกต่างไปจากเมื่อวาน ก็ไม่ต้องตกใจมากนัก ชีวิตก็ยังงี้แหละ เป็นเรื่องปกติ ก็แค่ยอมรับและอยู่กับมันอย่างมีความสุขก็น่าจะพอแล้ว
หลายครั้ง การตัดสินใจเป็นเรื่องสับสน
One day Alice came to a fork in the road and saw a Cheshire cat in a tree “Which road do I take?” she asked “Where do you want to go?” was his response. “I don’t know” Alice answered “Then” said the cat “It doesn’t matter”
อลิซเดินมาตามถนนและเจอกับเจ้าแมวเชไชร์ ซึ่งอยู่บนต้นไม้ เธอถามแมวว่า “ฉันควรไปทางไหน” แมวตอบว่า “แล้วอยากไปไหนล่ะ” อลิซตอบว่า “ฉันก็ไม่รู้” “ถ้าอย่างนั้น” เจ้าแมวว่า “มันก็ไม่สำคัญหรอก”
เป็นอีกหนึ่งประโยคที่พี่ตินอ่านอยู่หลายรอบ ด้วยความหงุดหงิดใจ ไอ้แมวนี่พูดอะไร เหมือนประชดเสียดสี เหมือนแกล้ง แต่ว่าอ่านไปอ่านมา เออ มันก็พูดถูกเหมือนกันนะ ตัวอลิซเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องการอะไร แล้วไปถามคนอื่นเนี่ย จะได้คำตอบไหม หลายครั้งในชีวิต เราเจอกับภาวะแบบนี้ และหยุดชะงัก ไปต่อไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรไปทางไหนหรือทำอะไรต่อ และสิ่งที่จะเกิดขึ้น ก็เหมือนอลิซนี่แหละ แม้เธอจะไม่รู้ว่าจะไปทางไหน แต่สุดท้าย เธอก็ไปต่อได้เรื่อยๆ เมื่อใดที่มีปัญหา หรือรู้สึกว่าตัดสินใจไม่ได้ อย่าเพิ่งท้อถอย ก้าวต่อไปเรื่อยๆ สิ่งเดียวที่สำคัญก็คือ ทำอะไรที่ทำแล้วมีความสุข แค่นั้นก็พอแล้วหละ
บางที อะไรที่เป็นไปไม่ได้ ก็เป็นไปได้
Sometimes I have believed as many as six impossible things before breakfast.
บางที ตื่นนอนตอนเช้า ฉันนึกเรื่องเป็นไปไม่ได้ได้ตั้ง 6 เรื่องแน่ะ!
เคยเป็นแบบอลิซบ้างไหม ตื่นเช้ามาแล้วคิดนู่นคิดนี่ อยากทำนู่นทำนี่ แต่แล้วก็จบลงที่คำว่า “เป็นไปไม่ได้หรอก” ยิ่งเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยมากขึ้น หลายครั้ง เราก็เลิกคิด เพราะรู้สึกท้อและเบื่อหน่าย หยุดความคิดบั่นทอนตัวเองแบบนั้นเถอะ การบริหารความคิด บริหารจินตนาการเป็นเรื่องสำคัญ ต่อให้เป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยๆ คุณก็ได้คิด อย่าไปกลัว คิดนอกกรอบน่ะ ดีจะตายไป
เมื่อคิดให้ดี โลกนี้ประหลาด
If I had a world of my own, everything would be nonsense. Nothing would be what it is, because everything would be what it isn’t.
ถ้าฉันมีโลกของตัวเอง ทุกอย่างคงไม่มีสาระอะไรเลย ทุกอย่างคงไม่เป็นแบบนี้แน่ๆ เพราะมันจะกลายเป็นอย่างอื่น
บอกเลยว่า คำพูดประโยคนี้สับสนและตีความยากที่สุดในเรื่องแล้ว อ่านแล้วต้องคิดหลายรอบ ต้องตีความ ต้องนั่งคิดหนัก ถ้าหากเรามี “โลกของเราเอง” มันจะเป็นอย่างไร มันจะดีกว่าโลกในความเป็นจริงหรือเปล่า ความจริงแล้ว การมีโลกของตัวเราเองบ้างก็ดี แต่ขณะเดียวกัน ก็ควรจะต้องแบ่งเวลามาทำความเข้าใจโลกความเป็นจริงบ้าง
เราคือใคร
Who in the world am I?
ฉันเป็นใครบนโลก
ฉันเป็นใครบนโลก
เชื่อว่า... ในชีวิตนี้ ต้องมีสักครั้งหนึ่งที่เราถามตัวเองว่า... เราคือใคร เกิดมาเพื่ออะไร ต้องการอะไร คำถามนี้เหมือนคำถามเบสิคที่ทุกคนต้องรู้สึก และหลายครั้ง เราไม่รู้จริงๆ ว่าชีวิตจะเดินไปทางไหน แต่นั่นอาจไม่สำคัญเท่า “ความสุข” ที่เราได้รับ เลิกคิดมาก เลิกหาคำตอบที่เป็นไปไม่ได้ แล้วก็ใช้ชีวิตของเราต่อไปเถอะ ยิ้มแย้มๆ
ความเป็นส่วนตัวนั้นสำคัญ
If everybody minded their own business, the world would go around a great deal faster than it does.
ถ้าทุกคนสนใจแต่เรื่องของตัวเอง โลกนี้อาจจะหมุนเร็วขึ้นก็ได้
เรื่องนี้อ่านปุ๊บก็โดนใจดังโครมเลย บางครั้ง เราเก็บปัญหาของคนอื่นมาคิด แล้วกลายเป็นรบกวนจิตใจมากจนเกินไป คือจริงๆ ไม่จำเป็นที่เราต้องไปคิดเรื่องของคนอื่น เพราะปัญหาของเราเองก็มากอยู่แล้ว หลายครั้งเรานินทาคน เม้าท์คนไปเรื่อย โดยที่ปัญหาของตัวเอง ยังแก้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ยังไงก็เคารพความเป็นส่วนตัวของคนอื่นๆ เขาบ้างก็ดีนะ
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา
How puzzling all these changes are! I’m never sure what I’m going to be, from one minute to another.
จะเปลี่ยนอะไรนักหนา ชักสับสน ฉันไม่รู้แล้วว่าจะกลายเป็นแบบไหน แค่นาทีเดียว ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด
บอกได้เลยว่า... ตลอดชีวิต ทุกคนต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงอยู่สม่ำเสมอ และตลอดเวลา ฝืนยังไงก็ไปไม่รอดแน่ๆ เพราะฉะนั้น จะมัวมานั่งคิดมาก บอกว่าฉันไม่เปลี่ยน ฉันไม่ยอม ไม่มีประโยชน์หรอก สุดท้าย ยังไงๆ ก็ต้องเปลี่ยน ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างหน้าตา ใครจะดูสาวหรือหนุ่มได้ตลอดไป สักวันก็ต้องแก่ ชีวิตก็เหมือนกัน
โลกนี้ไม่มีเหตุผล
It would be so nice if something made sense for a change.
ถ้าการเปลี่ยนแปลงสมเหตุสมผลคงจะดีไม่น้อย
อลิซรำพึงได้เจ็บปวดมากๆ ก็นี่แหละ ทุกวันนี้ เรามักพบว่าการกระทำหลายๆ อย่างไม่เห็นมีเหตุผล จู่ๆ คนคนหนึ่งอาจเปลี่ยนแปลงไป โดยเราไม่รู้เลยว่าเพราะอะไร ก็เอาเป็นว่า... แทนที่จะมัวมานั่งวิเคราะห์ คิดมากว่า เฮ้ย มันเกิดขึ้นได้ยังไงเนี่ย ไม่สมเหตุสมผล ทำไมมันเป็นแบบนี้ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้เลยนี่นา เขามีเหตุผลอะไรถึงได้ทำแบบนั้น และจะแก้ไขได้ไหม จะทำอย่างไร เปลี่ยนเป็นยอมรับ และตัดจบดีกว่า ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ
ความบ้าก็มีเสน่ห์
You’re entirely bonkers. But I’ll tell you a secret : all the best people are.
คุณรู้สึกเหมือนกำลังจะบ้า แต่จะบอกอะไรให้ คนเก่งๆ เขาบ้ากันหมดนั่นแหละ
การทำตัวปกติ บางครั้งอาจเป็นเรื่องน่าเบื่อก็ได้ ลองคิดนะ ถ้าทุกคนคิดเหมือนกันหมด โลกเราจะมีอะไรแปลกใหม่เกิดขึ้นไหม คำตอบคือ ไม่ ทุกคนก็จะทำตามๆ กันไป ทำตัวเหมือนกันหมด แล้วความคิดสร้างสรรค์ก็จะหมดไป กลายเป็นความชืดชา น่าเบื่อหน่าย พวกวิทยาการใหม่ๆ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นได้ก็เพราะคนบ้าๆ ทั้งนั้นแหละ เราไม่ได้จะบอกว่า คนปกติผิดนะ แต่เราแค่อยากจะบอกว่า คนบ้าๆ บางทีก็มีไอเดียดีๆ ที่เจ๋งเหลือเชื่อเลยหละ
.jpg)
.jpg)
จบลงไปแล้ว กับคำคมโดนๆ ทั้ง 11 ข้อ อ่านแล้วเป็นยังไงกันบ้าง ตรงกับตัวเราบ้างไหม อย่างที่พี่ตินเล่าไว้ตอนต้น พี่ตินเป็นเด็กคิดมาก เพราะงั้น พออ่านแล้ว ก็เลยรู้สึกว่า เหตุการณ์และข้อความในเรื่อง มันตรงกับตัวพี่ตินตอนเด็กๆ มาก ตอนนี้ ผ่านจุดนั้นมาได้แล้ว และรู้สึกเลยว่า หนังสือเล่มนี้มีประโยชน์มาก อยากให้น้องๆ ทุกคนหามาอ่านกันนะ เชื่อว่าจะสร้างประโยชน์ให้กับทุกคนได้ และให้แง่คิดดีๆ ในการใช้ชีวิตด้วย ^____________________^
อตินเอง
ขอบคุณบทความแรงบันดาลใจจาก http://inspiration.allwomenstalk.com/inspirational-alice-in-wonderland-quotes-thatll-make-you-think
เครดิตภาพจาก zerochan.net
ภาพประกอบภาพยนตร์ Alice in Wonderland
25 ความคิดเห็น
อ่า ชอบคำคมมาก มันเป็นความจริงของโลก
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ค่ะ
ต้องหามาอ่านและมีติดบ้านเสียแล้ว เคยดูแต่หนังและอ่านหนังสือนิทานอะนะ
เฟดเฟ่!! แบบนี้คงต้องรีบมาหาอ่านบ้างล่ะ ฟังดูน่าสนใจมากเลยครับ
ตอนเด็กๆอ่านแล้วหงุดหงิดเหมือนกันค่ะ แต่สงสัยตอนนี้ต้องไปหามาอ่านอีกรอบละ555
จำประโยคนึงได้รางๆ คลับคล้ายคลับคลา
"ฉันบ้า เธอบ้า ทุกคนก็บ้าเหมือนกันหมดนั่นแหละ" (ไม่แน่ใจนะ ไม่ได้อ่านนานละ)
มันต้องทำไมอีกาถึงเหมือนโต๊ะเขียนหนังสือ
ทำไมอีกาถึงชอบโต๊ะเขียนหนังสือ?
จนทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้คำตอบค่ะ 555
เพราะปากกามันชอบถูกวางไว้ตรงนั้นไงล่ะ (เอาฮานะอย่าคิดมาก)5555
หลายครั้ง การตัดสินใจเป็นเรื่องสับสน
ใช่มากกกกกกก T^T เพราะเป็นกับคนที่กำลังจะเข้าม.4อย่างเราแต่ยังไม่รู้ว่าจะตัดสินใจเลือกสายอะไรดี และอนาคตจะเป็นอะไรดี
นี่แหละที่ใช่เรา บางทีเราอาจจะดูแปลกๆ ไปบ้าง คิดไม่เหมือนที่คนอื่นเขาคิดกันแต่เราก็ไม่ได้บ้านะ แค่แตกต่างออกไปก็เท่านั้นเอง...
ขอบคุณสำหรับบทความค่ะ ชอบมาก
คือเราสงสัยนานแล้วว่าตัวเลขบนหมวกของช่างทำหมวกมีความหมายว่าอะไร ถ้าใครรู้ก็บอกเราทีนะ
ตีความเก่งจังเลยค่ะ ตอนที่บิวอ่านบิวอ่านผ่านประโยคเหล่านี้ไปเฉยเลย .พอมาอ่านบทความนี้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมากจริงๆ ชอบมากๆ.ค่ะ (แม้ว่าตอนที่อ่านจะรู้สึกว่าอลิซเป็นเด็กร้ายกาจผิดกับอิมเมจในหัวตอนได้ยินนิทานเรื่องนี้ครั้งแรกก็ตาม)
แมวในเรื่องไม่ได้ชื่อเชสเชอร์หรอค่ะ // ข้ามเม้นนี้ไป5555
ชอบคำคมทุกคำคมเลยมันสะท้อนถึงตัวเราและโลกได้หลายแบบจิงๆ พี่ตินตีความเก่งมากเลยค่ะ
รู้ไหมว่าทำไมอีกาถึงเหมือนโต๊ะเขียนหนังสือ ...
นั่นน่ะสิ !??
ชอบอันสุดท้ายมาก แฮทเทอร์พูดใช่มั้ยคะ -3-
ชอบบทความแบบนี้มาก ได้ทั้งความรู้ ข้อคิดและฝึกภาษาไปในตัว
มันเเย่มาก เวลาจมอยู่กับความคิดที่คิดให้ตายก็ยิ่งจมลึกอยู่กับมัน ขอบคุณนะคะ