9 หนังสุดฮอต ที่พล็อตคล้ายเทพนิยายที่เราเคยอ่าน!!
เคยไหม เวลาดูหนังแล้วรู้สึกคุ้นๆ บางที
พล็อตของมันอาจมาจากเทพนิยายที่เราเคยฟังสมัยยังเด็กก็ได้นะ!
สวัสดีน้องๆ ชาว Writer ทุกคนคับผม พี่อตินแวะมาเสิร์ฟบทความดีๆ อีกแล้ว ครั้งนี้ เนื่องจากพี่ตินเกิดแรงบันดาลใจ อยากจะรู้ว่าต้นกำเนิดของเทพนิยายต่างๆ ทั่วโลกน่ะมาจากไหน (ในฐานะนักเขียน พี่ตินกำลังคิดอยู่ว่า... พวกนักเขียนดังๆ ระดับโลก เขาหาพล็อตเทพนิยายพวกนี้จากไหน เลยอยากลองเอามาวิเคราะห์ดู เผื่อว่าจะได้เอาเคล็ดลับของนักเขียนพวกนั้นมาตีแผ่ (ใช้คำซะ!) ให้น้องๆ หมวดนักเขียนของเราได้ทำตามกันบ้างนั่นเอง) และผลพลอยได้จากการหาคำตอบ พี่ตินได้พบเนื้อหามากมายในอินเทอร์เน็ต ที่พูดถึง หนังหลายๆ เรื่อง ที่ได้แรงบันดาลใจจากเทพนิยายระดับโลก อ่านๆ แล้ว เห็นว่าน่าสนใจดี ก็เลยเอามารวมทำบทความเสียเลย (เห็นไหม นักเขียนอย่างเรา หาแรงบันดาลใจได้ทุกที่ทุกเวลา แม้แต่กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องหนึ่งอยู่ ก็ยังบังเอิญไปเจอข้อมูลที่จะเขียนบทความอีกเรื่องได้ด้วยเช่นกัน น้องๆ ลอกเคล็ดลับของพี่ตินไปได้นะ เชื่อสิ จะส่งผลดีต่อการเขียนนิยายของเราแน่นอน)
ผู้หญิงบานฉ่ำ (Pretty Woman) = ซินเดอเรลล่า (Cinderella)
เครดิตภาพ : Wikipedia
เทพนิยายบอกว่า : ซินเดอเรลล่า เป็นเรื่องของแม่เลี้ยงลูกเลี้ยง เนื่องจากแม่เสียชีวิต พ่อแต่งงานใหม่กับหญิงม่าย ซึ่งมีลูกสาวติดมาด้วย 2 คน หลังจากพ่อเสียชีวิต แม่เลี้ยงก็ลดฐานะซินเดอเรลล่าให้เหลือแค่คนใช้ในบ้าน วันๆ ใช้ให้กวาดบ้านถูบ้าน ตัวซินเดอเรลล่าต้องสงบปากสงบคำ ทำงานหนักเหน็ดเหนื่อย แต่ขณะเดียวกัน เธอก็ยังฝันถึงชีวิตที่ดีกว่า และแล้ววันหนึ่ง ความฝันของเธอก็กลายเป็นจริง เมื่อนางฟ้าแม่ทูนหัว เนรมิตเสื้อผ้าและรถม้าจากฟักทอง ทำให้เธอสามารถเข้าร่วมงานเลี้ยง ได้พบเจ้าชาย ความสวยน่ารักของซินเดอเรลล่า ทำให้เจ้าชายตกหลุมรัก และสุดท้ายแล้ว เธอก็ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขตลอดไป
แล้วหนังล่ะ : เรื่องผู้หญิงบานฉ่ำ... ทำให้ จูเลีย โรเบิร์ตส์ ดาราสาวปากกว้าง แจ้งเกิดสุดแรง (และฉายา “บานฉ่ำ” ก็กลายเป็นคำประจำตัวของเธอ ที่ใช้ในหนังทุกๆ เรื่อง เหมือนอาร์โนลด์กับคนเหล็ก หรือว่าเฉินหลงต้องคู่กับใหญ่ ประมาณนั้น) ในเรื่องนี้ วิเวียน นางเอกของเรื่อง ต้องเจอกับความยากลำบาก และตัดสินใจไปขายตัว แต่เธอก็ยังฝันถึงชีวิตที่ดีกว่า แล้ววันหนึ่ง เธอบังเอิญได้พบกับหนุ่มนักธุรกิจที่ร่ำรวย (เปรียบได้กับเจ้าชายนั่นเอง) หลังจากวันนั้น มุมมองชีวิตก็เปลี่ยนไป และเธอก็เริ่มฝันถึงความรัก แต่ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ทำให้เธอเลือกที่จะหนีจากมา และสุดท้าย เจ้าชายก็ตามมาจนพบเธอ และคนทั้งคู่ก็ครองรักกันตลอดไป
ความเหมือน : จะเห็นได้ว่า สิ่งที่เหมือนกันของหนังและหนังสือก็คือ เรื่องราวความฝันของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อยากจะมีความรัก อยากเจอเจ้าชาย อยากได้ใครสักคนมาดึงเธอออกจากโลกที่โหดร้าย อยากหนีไปจากชีวิตเดิมๆ อย่างไรก็ตาม ถ้าให้วิเคราะห์จากใจ พี่ตินคิดว่า หนังและหนังสือเรื่องนี้ มีประเด็นของเฟมินิสต์เข้ามาเกี่ยวหน่อยๆ ตรงที่... สุดท้ายแล้ว ผู้หญิงทั้งคู่ก็เลือกที่จะพึ่งพาผู้ชาย รอคอยให้ผู้ชายมาฉุดเธอไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า ถ้าหากว่า... จะมีการสร้างหนังใหม่ ให้เข้ากับยุค ค.ศ. 2015 ที่ผู้หญิงเริ่มก้าวทันโลก และสามารถยืนบนลำแข้งของตัวเองได้แล้ว พี่ตินอยากเห็นการปรับบทบาทบ้าง ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากเห็นผู้หญิงที่ต่อสู้ยืนหยัด และเอาชนะชะตากรรมด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องหวังพึ่งผู้ชายคนไหนทั้งนั้น นี่ก็กำลังคิดอยู่เลยนะว่า...จะสร้างพล็อตของตัวเองบ้าง โดยอิงจากเทพนิยายเรื่องนี้นี่แหละ 555 (จบแบบลอกอย่างหน้าตาเฉยๆ)
แอบแมนมาปิ๊งแมน (She’s the man) = มู่หลาน (Mulan)
เครดิตภาพ : Amazon
เทพนิยายบอกว่า : ฮัวมู่หลาน เคยสร้างเป็นการ์ตูนดังของวอลต์ดิสนี่ย์มาแล้ว และในประเทศจีนเอง ก็เคยนำเรื่องราวของเด็กสาวยอดนักรบนี้ มาสร้างเป็นหนังหรือว่าละครหลายต่อหลายครั้ง พี่ตินเชื่อว่าน้องๆ ทุกคนต้องรู้จักอยู่แล้วหละ เรื่องราวของเด็กสาวผู้เข้มแข็ง รักชาติ และยอมเสียสละตัวเอง ยามศึกสงคราม เธอตัดผม แต่งตัวเป็นผู้ชาย แล้วตามพ่อไปออกรบ สุดท้ายแล้ว เธอกลายเป็นนักรบที่แกร่งกล้าที่สุดของกองทัพจีน การกระทำของเธอ ช่วยให้ภาพลักษณ์ของสาวจีนดูมีคุณค่ามากขึ้น แทนที่จะเป็นแค่ผู้หญิงที่คอยอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน แต่เมื่อฮ่องเต้เสนอจะปูนบำเหน็จ เธอกลับเลือกที่จะไม่รับ และขอกลับไปใช้ชีวิตสงบในแบบของเธอเอง
แล้วหนังล่ะ : หนังเรื่องนี้ พี่ตินชอบมาก เหตุผลเดียวเลย พระเอกค่ะ! (ผิด!!!) แต่นี่พูดจริงๆ แชนนิ่ง ทาทั่ม หล่อมากกกกกกกกกก บึ้กมาก เท่มาก น่ากินมาก (ผิด) อ่ะ เข้าสู่โหมดปกติแล้ว ในเรื่องลุค เป็นนักบอลสุดเท่ แต่ไม่มีความรู้เรื่องผู้หญิงเลย ส่วนนางเอก ไวโอล่า เตะบอลเก่ง และมีความฝันที่อยากจะเข้าทีมฟุตบอล ก็เลยปลอมตัวเป็นผู้ชาย แล้วเข้าไปในโรงเรียนแทนน้องชายตัวเอง แล้วก็ได้เป็นรูมเมทกับพระเอก กว่าจะรู้ตัว นางเอกก็ตกหลุมรักพระเอกซะแล้ว เป็นแนวแอบรักที่น่ารักมากๆ และพระเอกหล่อมากๆ (ยังไม่เลิกๆๆ)
ความเหมือน : แม้ว่าเนื้อหาในหนังเรื่อง She’s the man จะเป็นสไตล์วัยรุ่นใสๆ ไฮสคูล ไม่รักชาติหรือทำเพื่อชาติอย่างมู่หลาน แต่ไอเดียที่ว่า... ผู้หญิงอยากต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ชาย หรือมีความเท่าเทียมกันในทางเพศ เพราะไวโอล่า ถูกจำกัดไม่ให้เล่นฟุตบอล (ซึ่งในเรื่อง ใครๆ บอกว่ามันเป็นกีฬาของผู้ชาย (ลากเสียงผู้ชายแรงๆ)) เธอก็เลยต้องหาทางของเธอเอง เพื่อให้ได้ทำในสิ่งที่เธอรัก ก็เหมือนมู่หลาน เธอไม่ใช่หญิงสาวเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้ อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน แต่ว่าชอบออกรบ ชอบอยู่กลางแจ้ง การออกทัพ จึงเป็นทางออกที่เธอเลือก เพื่อสร้างความสุขและความเท่าเทียมระหว่างเพศ
แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ (Jack and the Beanstalk) และฮังเกอร์เกม (Hunger Game)
เครดิตภาพ : The Hunger Games
เทพนิยายบอกว่า : เรื่องราวของแจ๊ค เด็กหนุ่มธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ลำบากไม่มีจะกินจนต้องเอาแม่วัวไปแลกกับถั่ววิเศษ พอแม่รู้เข้าก็โกรธจัดและปาถั่วทิ้ง วันต่อมา ถั่วงอกสูงเทียมฟ้า เมื่อแจ๊คปีนขึ้นไป เขาได้ต่อสู้กับยักษ์ และขโมยเอาเงินทอง ห่านวิเศษ และทรัพย์สมบัติของเจ้ายักษ์มา
แล้วหนังล่ะ : ฮังเกอร์เกม เป็นเรื่องราวของแคตนิส เด็กสาววัยรุ่น ผู้ตกเป็นเครื่องมือของบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เธอจะรู้ตัว ในเรื่องนั้น แคตนิสต้องผจญกับการกดขี่ของเมืองหลวง ความยากลำบากหลายๆ อย่างและสุดท้าย เมื่อเธอตัดสินใจที่จะลุกขึ้นสู้ ทุกอย่างก็ลุกเป็นไฟ
ความเหมือน : หลายคนอ่านแล้ว อาจคิดว่าคนละอารมณ์เลยนะ แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ ไม่ต้องต่อสู้อย่างแคตนิสในฮังเกอร์เกม และเนื้อหาของเรื่องแจ๊ค ก็เป็นแค่ชีวิตธรรมดาๆ ของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ในขณะที่แคตนิส เป็นเด็กสาวผู้มากับไฟ ที่ต้องต่อสู้เพื่อรัฐ การเมืองจ๋ามาเลย ทว่าสิ่งที่ทั้งสองเรื่องเหมือนกันก็คือ... ทั้งแจ๊คและแคตนิสต้องมือเปื้อนเลือดในตอนท้าย การฆ่า... เป็นเรื่องเจ็บปวดและโหดร้ายเสมอ ไม่ว่าจะฆ่าคนเลวหรือคนดี หรือใครก็ตาม ทว่าสุดท้าย ทั้งสองตัวละครต่างก็เอาตัวรอดจากมันมาได้ ก้าวผ่านความเจ็บปวดของการเป็นผู้ฆ่า และสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป (หรือเปล่านะ...?)
เอ็ดเวิร์ดมือกรรไกร (Edward Scissorhands) = โฉมงามกับเจ้าชายอสูร (Beauty and the Beast)
เครดิตภาพ : Wikipedia
เทพนิยายบอกว่า : เรื่องราวของเบลล์ สาวน้อยใจงาม ที่ต้องตกไปอยู่กับอสูร เพราะความผิดพลาดของพ่อ แทนที่จะรังเกียจอสูรซึ่งหน้าตาน่าเกลียด เบลล์กลับมีจิตใจดีพอจะมองลึกลงในใจ และเข้าใจคุณค่าของผู้ชายคนนั้น ในที่สุด ด้วยความรักของเธอ ทำให้อสูรได้กลับคืนสู่ร่างของเจ้าชาย และทั้งคู่ก็ได้แต่งงานกัน
แล้วหนังล่ะ : ในหนังเรื่องนี้ คิม นางเอกสาวสวยใจดี มีแฟนเป็นผู้ชายร้ายกาจ เธอได้พบกับ เอ็ดเวิร์ด มือกรรไกร ผู้ชายน่ากลัวที่มือเป็นกรรไกร... แต่ว่าลึกลงไปในใจ เขาเป็นคนใจดี จิตใจดีงามมาก สุดท้าย เอ็ดเวิร์ดถูกกลั่นแกล้งจากแฟนของคิม จนต้องย้อนกลับไปอยู่คนเดียวในปราสาทอย่างโดดเดี่ยว
ความเหมือน : ความรักระหว่างหญิงสาวใจงามและผู้ชายรูปโฉมอัปลักษณ์ ที่คงอยู่ทุกยุคทุกสมัย น่าเสียดายที่ในหนัง (ซึ่งพูดถึงความเป็นจริง) ไม่อาจจบลงด้วยการอยู่อย่างมีความสุขตลอดไป สุดท้ายเอ็ดเวิร์ด (หรือก็คืออสูร) ก็เลยต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เรื่องนี้ จะว่าไปแล้ว พี่ตินอ่านแล้วนึกถึงวรรณคดีไทยเรื่อง “เจ้าเงาะกับรจนา” นะ เพราะรจนาเอง ก็เลือกเจ้าเงาะที่จิตใจ ไม่ใช่หน้าตา แล้วสุดท้าย เจ้าเงาะก็ถอดรูปกลายเป็นเจ้าชายหล่อเหลา ร่ำรวย และนางก็สมหวังมีความสุข ทั้งสามเรื่องนี้ สอนให้เราได้เห็นถึงคุณค่าของรักแท้ การมองคนจากภายใน ไม่ใช่มองจากภายนอกนั่นเอง
นางพญาหงส์หลอน (Black Swan) = ตำนานรองเท้าแดง (The Red Shoes)
เครดิตภาพ : Wikipedia
เทพนิยายบอกว่า : เรื่องนี้หลอนมากจริงๆ พี่ตินอ่านตั้งแต่เด็กๆ จำได้ว่ากลัวมาก รู้สึกว่าเฮ้ย นี่นิทานเด็กอ่านเหรอ ตำนานรองเท้าแดงเป็นเรื่องของแคเร็น เด็กสาวนิสัยหยิ่งจองหองที่ไปหลงใหลอยากครอบครองรองเท้าสีแดง พอสวมเข้าไป ก็กลายเป็นว่าเธอโดนสาปให้ต้องเต้นไปเรื่อยๆ ไม่มีวันหยุด เป็นนิทานที่พี่ตินคิดว่าหลอกหลอนมาก เพราะสุดท้ายแล้ว เธอก็เต้นรำจนเหน็ดเหนื่อยและขาดใจตาย... (น่ากลัวสุดๆ โหดร้ายมากพูดเลย)
แล้วหนังล่ะ : เรื่องนี้ชื่อไทยก็ทำพี่ตินหลอนมากเช่นกัน นางพญาหงส์หลอน ... โอ้วววว ในหนังเป็นเรื่องของนีน่า หญิงสาวผู้หลงใหลการเต้น เธอไปแคสและได้รับเลือกเป็นนักเต้นแนวหน้าของเรื่อง สวอนเลค หลังจากได้ชื่อเสียงมา นีน่าก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เพราะกลัวว่าจะถูกแย่งตำแหน่งนักเต้นนำ กลัวว่าตัวเองจะไม่เข้าถึงบท สุดท้ายแล้ว เธอก็อินกับบทมากจนเกินไป และหลงใหลอินกับบทมากเกินไป จนหลอนในที่สุด
ความเหมือน : สองเรื่องนี้ถือว่าพล็อตเหมือนกันมาก เรื่องราวของเด็กสาวที่ทะเยอทะยาน อยากจะเป็นที่หนึ่งและกลัวว่าจะถูกแย่งตำแหน่งไป ด้วยความละโมบ อยากได้อยากมีในใจ นั่นแหละ ที่เป็นแรงขับ และนำมาซึ่งความล้มเหลวในตัวเอง ถือได้ว่าทั้งนิทานและหนัง ให้บทเรียนหลายอย่างกับเรา และทำให้เราได้รู้ว่า อะไรที่มากเกินไป จะนำมาซึ่งความ “เกินไป” เสมอ เวลาชอบอะไร หรือสนใจอะไร ก็อย่าเสพติดให้รุนแรงเกินไป แต่ต้องเผื่อใจเอาไว้ และระวังตัวระวังใจบ้าง
อัศจรรย์แดนฝัน มหัศจรรย์เขาวงกต (Pan’s Labyrinth) = หนูน้อยขายไม้ขีดไฟ (The Little Match Girl)
เครดิตภาพ : Wikipedia
เทพนิยายบอกว่า : หนูน้อยขายไม้ขีดไฟ อีกหนึ่งเรื่องที่เศร้าหนักมาก เรื่องราวของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่เดินเร่ขายไม้ขีดไฟ เพื่อหาเงินประทังชีวิต เธอพยายามขายไม้ขีดไฟ แต่กลับไม่มีใครซื้อ และเมื่อหิมะตก อากาศหนาวเย็นจนเกินไป เด็กหญิงก็จุดไม้ขีดไฟก้านแล้วก้านเล่า ภายใต้แสงไฟ เธอมองเห็นภาพฝัน เห็นเรื่องเล่า และความสุขต่างๆ นานา ที่ชีวิตไม่เคยพบเจอ และหลังจากไม้ขีดไฟหมดลง ชีวิตน้อยๆ ก็จบลงด้วย
แล้วหนังล่ะ : เป็นหนังอีกเรื่องที่ทั้งหลอนและน่ากลัวมาก แพนเลบี้รินซ์ ที่ใครๆ คงจำได้ดีจากเจ้าตัวลูกกะตานั่น แน่ละ หนังเรื่องนี้ ไม่ใช่หนังสมหวัง หนังแห่งความสุข แต่เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงคนหนึ่งทีเติบโตในยุคของสงคราม ลัทธิฟาสซิสต์กำลังแผ่ขยาย เด็กน้อยต้องผจญกับความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน และวิธีเดียวที่เธอจะหนีจากชีวิตจริงไปได้ ก็คือสร้างเรื่องราวที่ไม่เป็นความจริงขึ้นภายในใจของตัวเอง และหลงวนเวียนอยู่ในนั้น ไม่ยอมกลับออกมา สุดท้าย เธอก็ต้องเสียชีวิตเพราะสงคราม
ความเหมือน : คงไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ อีกแล้วมั้ง ทั้งสองเรื่องพูดถึงเด็กหญิงสองคน ที่ต่างก็เผชิญหน้ากับความโหดร้าย คนหนึ่งจากความยากจนไม่มีจะกิน ส่วนอีกคนเจอสงครามและปัญหาครอบครัวที่หาทางออกไม่ได้ และทางแก้ของเด็กๆ ที่ต้องเจอกับปัญหาอันเจ็บปวด ก็คือการสร้างโลกใหม่ของตัวเองขึ้นมา เป็นโลกแห่งความฝันที่พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และไม่ต้องเจ็บปวดมากจนเกินไปนัก ตอนจบของทั้งหนังสือและหนัง เด็กทั้งสองคนต้องตาย (พี่ตินสปอยล์ป่าวเนี่ย) และทั้งสองเรื่อง สื่อออกมาเหมือนกันเป๊ะว่า บางครั้ง ความตายยังดีกว่าต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมานเสียอีก (แหม่ หดหู่จริงๆ)
โครอลไลน์กับโลกมิติพิศวง (Colarine) = อลิซในแดนมหัศจรรย์ (Alice in Wonderland)
เครดิตภาพ : Wikipedia
เทพนิยายบอกว่า : อันนี้คงไม่ต้องเล่าอะไรมาก อลิซในแดนมหัศจรรย์ เป็นวรรณกรรมที่พี่ตินหลงใหลมาตลอด เรื่องของอลิซ เด็กน้อยวัย 11 ขวบ ที่กระโดดลงในโพรงกระต่าย และต้องผจญภัยกับเรื่องราวแปลกๆ ใหม่ๆ มากมาย และทุกอย่างที่เธอได้พบเจอนั้น เมื่อตีความแล้ว พบว่ามันคือช่วงภาวะวัยรุ่นที่เด็กๆ ทุกคนจะต้องเจอะเจอและต้องผ่านพ้นไปให้ได้
แล้วหนังล่ะ : โครอลไลน์ เป็นเด็กหญิงที่พ่อแม่เอาแต่ทำงาน และไม่ใส่ใจ ในวันหนึ่ง เธอพบประตูที่ซ่อนอยู่ในบ้าน และเมื่อเปิดออก มันนำพาเธอไปสู่ดินแดนใหม่ๆ ที่เธอไม่เคยเห็น เธอได้พบกับการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ และอันตราย แต่สุดท้าย เธอก็กลับมาถึงบ้านได้อย่างปลอดภัย
ความเหมือน : หนังสือและหนังสองเรื่องนี้ มีสิ่งที่เหมือนกันคือ... การสื่อถึงชีวิตของเด็กในช่วงวัยรุ่น ถ้าหากว่ายังจำกันได้ เมื่อมองย้อนกลับไป ช่วงวัยรุ่น เป็นช่วงเวลาที่เรามีคำถามมากมายในหัว และหลายครั้งคำถามนั้นไม่ไดรับคำตอบ หลายครั้งเราต้องลำบาก ต้องเจ็บปวด และต้องเหน็ดเหนื่อยกับการต่อสู้กับตัวเอง ถ้าหากว่าน้องๆ คนไหน หรือใครที่คิดถึงช่วงเวลานั้นอยู่ ก็ลองหาหนังสือเล่มนี้มาอ่าน หรือหยิบหนังเรื่องนี้มาดูได้นะ มันให้แรงบันดาลใจและทำให้เราย้อนกลับไปคิดถึงช่วงวัยรุ่นได้
จักรกลอัจฉริยะ (A.I. Artificial Intelligence) = พิน็อคคิโอ (Pinocchio)
เครดิตภาพ : Wikipedia
เทพนิยายบอกว่า : คุณลุงเก็ปเป็ตโต้ผู้ใจดี สร้างหุ่นไม้พิน็อคคิโอขึ้นมา แทนตัวลูกชายที่เขาไม่เคยมี นางฟ้าใจดีเสกให้พิน็อคคิโอขยับตัวได้ เคลื่อนไหวได้ แต่แล้ว พิน็อคคิโอกลับกลายเป็นเด็กโกหก และทุกครั้งที่โกหก จมูกก็จะงอกยาวออกมา พิน็อคคิโอต้องผ่านบทเรียนต่างๆ กว่าจะผ่านมาได้ ก็เหน็ดเหนื่อยมากทีเดียว แต่สุดท้าย นางฟ้าใจดีมอบพรให้พิน็อคคิโอได้กลายเป็นคนจริงๆ
แล้วหนังล่ะ : ครอบครัวหนึ่งได้รับเดวิด หุ่นยนต์ที่มีลักษณะเหมือนกับมนุษย์มาเลี้ยงดู จนกระทั่งลูกชายของพวกเขาหายป่วย ก็อิจฉาและกลั่นแกล้งจนเดวิดต้องจากไป ระหว่างทางนั้นเอง เดวิดเดินทางตามหานางฟ้า เพื่อขอพรให้เขากลายเป็นคนจริงๆ การเดินทางสู่โลกกว้างครั้งนี้ ทำให้เดวิดได้เรียนรู้และเข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง จิตใจของเขาเติบโตมากขึ้น และเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
ความเหมือน : สิ่งที่เหมือนกันมากก็คือเรื่องของ “หุ่น” ที่อยากเป็น “คน” ทั้งพิน็อคคิโอและเดวิด ต่างก็เป็นหุ่นยนต์ที่มีจิตใจใกล้เคียงกับมนุษย์ และอีกสิ่งหนึ่งที่เราจะเห็นเลยว่าเหมือนกันคือ การได้เดินทางไปผจญโลกกว้าง ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ทั้งพิน็อคคิโอและเดวิด ต่างก็ต้องผ่านกระบวนการนี้ จะว่าไป มันก็เหมือนการที่เด็กสักคนได้พบเจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิต และเรียนรู้ที่จะเติบโตขึ้นอย่างเป็นตัวเอง
รัมเปลสติลล์สกิน (Rumpelstiltskin) = คนเหล็กภาค 2 (Terminator 2)
เครดิตภาพ : Wikipedia / Amazon
เทพนิยายบอกว่า : เชื่อว่าน้องๆ ต้องกรี๊ดกับชื่อ อะไรไม่ไหวจะยาว เชื่อไหม เรื่องนี้พี่ตินอ่านตั้งแต่เด็กๆ ยังเรียกไม่ถูกเลย ในความทรงจำ พี่ตินจำว่า “รัมเพิ่ลสติ๊กกิน” ด้วยซ้ำ (หัวเราะตัวเองหน่อย) แม้ว่าเทพนิยายเรื่องนี้อาจไม่เป็นที่รู้จักมาก พี่ตินก็จำได้แม่นยำ รัมเพิ่ลสติ๊กกิน เอ้ย รัมเปลสติลล์สกิน เคยมอบพรให้กับองค์ราชินี ให้มีพระโอรส แต่แล้ววันหนึ่ง เขาก็กลับมาทวงพระโอรสคืน ราชินีจึงต้องทำทุกทาง เพื่อไม่ให้ตัวเองเสียโอรสไป
แล้วหนังล่ะ : เรื่องคนเหล็ก เป็นเรื่องของซาราห์ คอนเนอร์ ที่ต้องหาทางต่อสู้กับคนเหล็ก ที่ได้รับคำสั่งให้มาฆ่าลูกชายของเธอ และแน่ละ ซาราห์ทำทุกทาง ขอแค่ให้ลูกปลอดภัย
ความเหมือน : คงไม่ต้องพูดอะไรมากแล้วหละ สรุปง่ายๆ สิ่งที่ทั้งสองเรื่องเหมือนกันก็คือ “ความรักของแม่” นั่นเอง (แหม เข้ากับวันแม่ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อวานเนอะ) แน่นอนว่าผู้เป็นแม่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อลูก และความรักของแม่ ก็เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด พี่ตินขอวกเข้าเรื่องนิดนึงนะ (แอบขายๆ) ในเมื่อสัปดาห์นี้ เป็นสัปดาห์แห่งวันแม่ น้องๆ ทุกคนก็อย่าลืมรักแม่นะคับ

จบลงไปแล้วบทความของเรา เป็นยังไงกันบ้าง เล่ามาครบทั้ง 9 เรื่องแล้ว ใครเคยดูหนังเรื่องไหนมาก่อน หรือว่าเคยอ่านเทพนิยายเรื่องไหนมาก่อนบ้างไหม พอจะเห็นภาพความเหมือนหรือว่าแตกต่างบ้างหรือเปล่า สำหรับพี่ตินเอง ไม่ได้ดูหนังครบ เพราะไม่ใช่คอหนัง แต่ว่าอ่านเทพนิยายครบทุกเรื่อง (พอดีว่าเป็นคอหนังสือ) ถ้าหากจะให้ลองวิเคราะห์เล่นๆ พี่ตินคิดว่า พวกเทพนิยายเก่าๆ เหล่านี้ ล้วนแต่มีพล็อตที่แน่น ชัดเจน และน่าสนใจ เมื่อนำไปขยายเป็นหนัง ก็เลยประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับที่ดีมาก นอกจาก 9 เรื่องนี้ ก็ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกที่พล็อตเด่นๆ และให้แรงบันดาลใจจนนำไปทำหนังอีกหลายๆ เรื่อง หรือแม้แต่หนังที่สร้างจากเทพนิยายจริงๆ ก็มีออกมาให้เห็นสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหญิงนิทรา (เมลิฟิเซนต์) สโนไวท์กับพรานป่า ฮันเซลกับเกรเทล หนูน้อยหมวกแดง เป็นต้น
คำแนะนำปิดท้าย อยากให้น้องๆ ที่อยากเป็นนักเขียนหรือที่สนใจอยากเขียนหนังสือ หันมาอ่านหนังสือกันเยอะๆ โดยเฉพาะพวกเทพนิยายหรือว่าวรรณกรรมเยาวชน ถือว่าเป็นผลงานตัวอย่างที่ดีมากๆ อ่านแล้วได้ความรู้และได้ข้อมูลดีๆ มากมายทีเดียว นอกจากวรรณกรรมต่างชาติแล้ว พวกวรรณคดีไทยเองก็มีประโยชน์และน่าสนใจมากเช่นกัน ใครอยากเขียนหนังสือ อ่านหนังสือเยอะๆ นะ พี่ตินบอกเลยว่าเป็นตัวช่วยทำให้ผลงานของเรามีเสน่ห์และน่าสนใจมากขึ้นได้จริงๆ
ครั้งหน้ารอลุ้นกันนะว่าพี่ตินจะหยิบเรื่องอะไรมาเม้าท์กันอีก
อตินเอง
ภาพจากภาพยนตร์ Pretty Woman, She’s the man, Mulan, Jack and the Beanstalk, The Hunger Game, Edward Scissorhands, Beauty and the Beast, Black Swan, A.I. Artificial Intelligence, Pinocchio และ Terminator 2
12 ความคิดเห็น
หนังที่ดัดแปลงมาจากเทพนิยายที่ชอบก็คือเรื่องซินเดอเรลล่าที่ดรูแบร์รี่มอร์เล่นค่ะ
ตัวเอกหญิงไม่หวังพึ่งเจ้าชายฝ่ายเดียวอะนะ
ส่วนมหัศจรรย์แดนฝันฯ เล่นเอาจิตหล่นเลยทีเดียวจนต้องไปตามอ่านกระทู้ว่า
สรุปว่าหนูน้อยเผชิญกับโลกเทพนิยายจริงๆ หรือแค่เธอสร้างจินตนาการเพื่อหนีความโหดร้ายของชีวิต
ป.ล.แนะนำหนังเกาหลีเรื่องภูตเทพนิยายอีกเรื่องค่ะ
อ้างอิงมาจากเรื่องบ้านขนมปังอะนะ
She's the man นี่ดัดแปลงมาจาก Twelfth Nights ของShakespereนะครับ
เอามาตีความใหม่ให้เป็นยุคปัจจุบัน ชื่อตัวละครถอดกันมาหมด
อ่านรองเท้าแดงตอนประมาณอนุบาล3ค่ะ แต่ฟังพ่ออ่านตั้งแต่ประมาณอนุบาล2หรือ1 ชอบมากกกกกกกก อยากได้รองเท้าสีแดง ปัจจุบัน เห็นรองเท้าแดงก็เล็งค่ะ นึกถึงเรื่องนี้ คู่โปรดก็สีแดงเพราะเรื่องนี้เลย ตอนเด็กขี้กลัวผีแต่ก็ชอบของจากเรื่องหลอนๆ คงเพราะในเรื่อง ตัวละครมักจะอวยของเกินเหตุ เช่นรองเท้าสวยมากกก ตุ๊กตากระเบื้อง(ผีสิง)สวยมากกกก ตุ๊กตาหลับตาลืมตา(น่ารักแสนหวานสุดๆ) เลยโดนไซโค เคยร้องขอพ่อแม่ซื้อตุ๊กตาที่ตาเปิดปิดเพราะดูวัยซนรึอะไรนี่แหละตอนตุ๊กตาผี
ชอบเรื่อง She's the man มากเหมือนกันนะคะ
แต่ว่านางเอกปลอมตัวมาเป็นพี่ชายไม่ใช่เหรอคะ
ปล. ก็ดูมานานแล้วถ้าจำผิดต้องขอโทษนะคะ แต่เหมือนจะคุ้นๆ ว่าเป็นพี่ชายมากกว่าน้องชายหน่ะค่ะ
บางเรื่องก็เหมือนแต่บางเรื่องก็แค่รู้สึกว่ามีส่วนคล้ายนิดหน่อย
อาจจะมาจากแรงบันดาลใจรอบๆตัวก็ได้ค่ะ ไม่ได้รู้สึกเหมือนแบบนั้น
เรื่องสาวรองเท้าแดงเนี่ยนึกถึงเราตอนนั้นมากๆเลยค่ะที่เราขึ้นเครื่องบินแล้วเห็นแอร์ใส่รองเท้าสีแดงแล้วเจอรองเท้าสีแดงแบบนั้นจริงๆแล้วอยากได้มากกกมากจนอยากร้องไห้แต่มันมีแต่สีน้ำเงิน(5555)สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อ