9 เรื่องโหดๆ บนเส้นทางสู่อำนาจของ
‘เจงกิสข่าน’ ข่านแห่งมองโกล
สวัสดีชาวนักเขียนนักอ่านเด็กดีทุกคนค่ะ ในส่วนของบทความสาระวรรณกรรมวันนี้ เราขอชวนทุกคนมาตามรอย “เจงกิสข่าน” ข่านผู้ยิ่งใหญ่ของชาวมองโกลค่ะ
แอดมินเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการอ่านประวัติศาสตร์เป็นชีวิตจิตใจ หนึ่งในบุคคลสำคัญของโลกที่แอดมินศรัทธามาก ก็คือ “เจงกิสข่าน” นั่นเองค่ะ สมัยตอนยังเด็กๆ จำได้ว่าดูซีรี่ส์ของจีนเรื่อง “ประวัติของเจงกิสข่าน” แอดมินติดงอมแงม ระหว่างที่ดูก็ชื่นชอบฉากขี่ม้า ฉากวางแผน ฉากการรบ ฉากต่างๆ ที่ปรากฎในเรื่องบอกว่าทำการบ้านมาดีมาก ทำให้แอดมินตื่นตาตื่นใจมาก
ต่อจากการติดซีรี่ส์ แอดมินก็หันมาติดหนังสืออย่างหนัก อ่านหนังสือประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเจงกิสข่านที่แปลในไทยทุกเล่มที่หาได้ เข้าห้องสมุด หาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตเยอะมาก จนหลายคนถามว่าจะอ่านไปทำไม คำตอบก็คืออยากรู้ค่ะ อยากเพิ่มพูนความรู้ทางประวัติศาสตร์ และอยากขยายไอเดียตัวเองให้กว้างมากขึ้น ในฐานะที่แอดมินอยากเป็นนักเขียน แอดมินพยายามเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง เผื่อว่าจะสามารถนำมาปรับใช้กับนิยายของเราได้ แอดมินเคยได้ยินคนบอกว่า นักเขียนต้องเป็นคนลึก เวลารู้อะไรต้องค้นข้อมูลให้มากที่สุด ก็เลยพยายามทำอยู่ค่ะ (ถึงจะยังไม่เคยเขียนนิยายอิงประวัติศาสตร์จริงๆ จังๆ แต่ก็วางแผนอยู่นะ)
และสำหรับบทความนี้ แอดมินทำเพื่อให้ชาวนักเขียน (และนักอ่าน) เด็กดี ได้อ่าน เพราะเห็นว่าช่วงนี้ แนวจีนย้อนยุคมาแรง หมวดอดีตปัจจุบันอนาคตฮอตมากๆ ก็เลยคิดว่า ถ้ามีบทความให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์พวกนี้เยอะๆ ก็น่าจะเป็นคลังข้อมูลที่ดีให้กับนักเขียนทุกคนในเว็บได้ เผื่อใครอยากจะเขียนนิยายแนวนี้สักเรื่อง คิดว่าน่าจะช่วยได้บ้างนะ ประเภทนางเอกย้อนเวลาไปสู่มองโกเลีย น่าจะสนุกมากๆ เลยค่ะ (ใครเขียนบอกแอดมินนะ จะตามไปกด favorite ด่วนๆ)
ยังไงแอดมินหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนได้ไม่มากก็น้อย หรือถ้าไม่ได้เอาไปเขียนนิยาย ก็ถือว่าเป็นความรู้รอบตัวแล้วกันเนอะ
มัวแต่ชวนคุยเพลิน ลืมบอกไปเลยว่าหัวข้อของเราวันนี้คือ 9 เรื่องสุดโหดที่เกิดขึ้น ระหว่างเส้นทางสู่อำนาจของข่านแห่งทุ่งหญ้าผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ค่ะ เชื่อว่าทุกคนรู้กันอยู่แล้วว่าความยิ่งใหญ่ของเจงกิสข่านเป็นอย่างไร พระองค์มีกองทัพที่มากมายกว่าใครๆ และเก่งกาจเรื่องการบังคับม้า รวมถึงรู้เรื่องกลยุทธ์การทำสงครามเป็นอย่างดี เมื่อได้เริ่มต้นรบ พระองค์แทบไม่มีทางพ่ายแพ้ และถ้าพระองค์ไม่เสียชีวิตไปก่อน เชื่อว่ากองทัพของพระองค์จะยึดพื้นที่ได้เกือบครึ่งโลกทีเดียว! และแน่นอน สำหรับผู้ที่มีอำนาจมากขนาดนี้ คนคนนั้นย่อมเป็นคนเด็ดขาดและมีความโหดเหี้ยมในตัวเอง กว่าที่เราจะก้าวขึ้นไปสู่เส้นทางแห่งความยิ่งใหญ่ ย่อมมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น เอาละค่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา แอดมินขอชวนทุกคนไปดูความโหดร้ายที่เกิดขึ้นบนเส้นทางก้าวสู่อำนาจของข่านผู้นี้กันเลยดีกว่าค่ะ
9 ฆ่าพี่ชายแท้ๆ เพราะแย่งอาหาร
แม้จะเป็นลูกชายของข่านผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่าหมาป่า เจงกิสข่านก็ประสบช่วงเวลายากลำบากมากในวัยเด็ก เนื่องจาก เยซูไก บิดาของท่านถูกวางยาพิษโดยฝีมือศัตรูต่างเผ่า ขณะนั้นเจงกิสข่านอายุเพียง 14 เป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยรุ่น หลังบิดาของท่านเสียชีวิต เผ่าได้เลือกข่านคนใหม่ และทิ้งครอบครัวของท่านไว้เบื้องหลัง ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนั้นเอง เจงกิสข่านและพี่น้องที่เหลืออยู่ต้องทำทุกทางเพื่อเอาชีวิตรอดท่ามกลางอากาศหนาวเย็น พวกเขาดิ้นรนทุกวิถีทาง และในความช่วงที่เต็มไปด้วยความยากลำบากนั้นเอง เบ็กเตอร์ พี่ชายคนโตก็ได้แสดงความเห็นแก่ตัวออกมา ระหว่างที่พวกเขาออกไปล่าสัตว์ เบ็กเตอร์ได้แอบขโมยอาหารส่วนของทุกคนไป เจงกิสข่านโกรธมาก แม้จะอายุเพียง 14 เขาและน้องชายคนรองก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็วที่จะ ‘กำจัด’ จุดอ่อน ผลคือ เขายิงธนูใส่เบ็กเตอร์เสียชีวิต ฮูหลัน มารดาไม่ยอมให้อภัยเขาง่ายๆ หลังจากวันนั้นเจงกิสข่านเรียนรู้ที่จะจดจำว่า ไม่ว่าจะโหดร้ายแค่ไหน เขาต้องไม่ฆ่าคนในครอบครัว
8 ตัดหัวเชลยทุกคนที่สูงเกิน 90 เซ็นติเมตร
เมื่ออายุได้ 20 ปี เจงกิสข่านยกทัพไปล้างแค้นให้บิดา กองทัพตาร์ตาร์แตกพ่ายไม่เป็นขบวน ด้วยแผนการรบอันมุ่งมั่นและด้วยจิตใจอันแข็งกร้าวของข่านหนุ่ม หลังเผด็จศึกเรียบร้อย เจงกิสข่านออกกฎว่า “ให้ตัดหัวผู้ชายทุกคนที่สูงกว่าล้อเกวียน” หรือราวๆ 90 เซ็นติเมตร พวกตาร์ตาร์ถูกจับตั้งแถวและเดินมาทีละคนๆ ถ้าใครสูงกว่าล้อเกวียน พวกเขาก็ต้องสังเวยชีวิต
7 กองกระดูกชาวจีนสูงเท่าภูเขา
ในปี ค.ศ. 1211 เจงกิสข่านยกทัพบุกรุกจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งปกครองโดยราชวงศ์จิน แน่นอนว่ามันเป็นการตัดสินใจที่บุ่มบ่าม เพราะราชวงศ์จินมีประชากรมากถึง 53 ล้าน ในขณะที่มองโกลมีไพร่พลเพียง 1 ล้าน แต่ถึงอย่างนั้น เจงกิสข่านก็สามารถคว้าชัยชนะมาได้ กำแพงเมืองสูงถึง 12 เมตรและหนา 29 กิโลเมตร แน่นอนว่าไม่อาจทำลายหรือปีนบุกเข้าไป เจงกิสข่านเข้าใจดี พระองค์ไม่บุกเข้าไป แต่ปักหลักตั้งค่ายรออยู่นอกกำแพง ปิดทางเข้าออกจนหมด เวลาผ่านไปสี่ปี ผู้คนในเมืองก็หิวโหยจนฆ่ากันตายและกินเนื้อกันเอง ในที่สุด ราชวงศ์จินต้องยอมก้มศีรษะให้กับมองโกล พวกมองโกลบุกเข้าเมืองและเผาเมืองจนหมด ว่ากันว่า จำนวนผู้ตายนั้นมากมายเกินไปนับไหว พวกมองโกลได้โยนศพไว้รวมกัน และมันกลายเป็นภูเขากองกระดูกขนาดมหึมา
6 ส่งลูกสาวไปแต่งงานกับผู้ปกครองเมือง แล้วหาทางฆ่าซะ
หนึ่งในกลยุทธ์ที่เจงกิสข่านใช้ในการรักษาอำนาจของตน ก็คือส่งลูกสาวไปแต่งงานกับบรรดาผู้ปกครองเมืองต่างๆ ที่ยึดมาได้ โดยบังคับว่า พวกนางต้องเป็นเมียเอกหรือเมียเดียว คำสั่งนี้ไม่ได้เกิดเพราะเจงกิสข่านรักเดียวใจเดียวหรือนิยมการครองเรือนแบบมีเมียคนเดียว แต่พระองค์ต้องการให้ลูกสาวเป็นทายาทผู้สืบทอดอำนาจโดยตรง หลังจากแต่งงาน บรรดาผู้ปกครองก็เหมือนอยู่ภายใต้อำนาจของเจงกิสข่านโดยตรง ถ้าหากพระองค์สั่งให้ไปรบ พวกเขาก็ต้องไป หลายต่อหลายครั้ง คนเหล่านี้เสียชีวิตในสงคราม และเมื่อนั้น บุตรสาวของเจงกิสข่านจะได้ครอบครองบัลลังก์ทั้งหมด พูดง่ายๆ ก็คือ อำนาจทั้งหมดตกอยู่ในมือของพระองค์ นับเป็นกลยุทธ์การรวมอำนาจที่แยบยลและฉลาดที่สุดข้อหนึ่ง เมื่อเจงกิสข่านเสียชีวิต บรรดาลูกชายและลูกสาวของพระองค์ ครอบครองเมืองเกือบทั้งหมด ตั้งแต่ทะเลเหลืองของจีนจรดทะเลแคสเปียนเลยทีเดียว
5 เพื่อลูกสาวที่รัก 1.7 ล้านศพก็ทำมาแล้ว
แม้ว่าเจงกิสข่านจะมองการแต่งงานของลูกสาวเป็นกลยุทธ์ทางการปกครอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการแต่งงานนี้จะไม่มีความรักเข้ามาเกี่ยวข้อง ลูกสาวคนหนึ่งของท่านรักสามีอย่างจริงใจ เมื่อสามีของนางถูกฆ่าตายในสงคราม นางยืนกรานกับบิดาว่าต้องมี ‘การแก้แค้น’ ผลคือ เจงกิสข่านยกทัพเปิดศึกกับเมืองสุดโชคร้ายนั้นทันที และฆ่าทุกคนที่พบเห็นตามคำขอของลูกสาวว่า “อย่าให้มีใครรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว” ว่ากันว่าจำนวนผู้เสียชีวิตมีมากถึง 1,748,000 คน!!! จากที่จารึกในประวัติศาสตร์ ระบุว่า ทหารมองโกลฆ่าทุกคน ไม่ว่าเด็ก สตรี ทารก คนชรา แม้แต่หมาหรือแมวก็ถูกฆ่าตัดหัวเรียบ กะโหลกถูกนำมาเรียงเป็นพีระมิด ตามรับสั่งของลูกสาวของพระองค์
4 เฉลิมฉลองบนร่างของผู้แพ้ โหดจนต้องยอมใจ
ในปี ค.ศ. 1223 กองทัพมองโกลบุกโจมตีรัสเซียและได้ชัยชนะชนิดปฏิเสธไม่ได้ กองทัพรัสเซียยอมแพ้แบบหมดท่า เมืองของพวกเขาถูกยึดไปจนหมด และพวกมองโกลก็เริ่มงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง บรรดาราชวงศ์และนายทหารที่รอดชีวิตจากสงคราม ถูกบังคับให้นอนลงบนพื้น พวกมองโกลโยนแผ่นไม้ทรงกลมขนาดใหญ่และหนักทับลงไป จากนั้นก็นั่งบนร่างเป็นๆ ของผู้รอดชีวิต เฉลิมฉลองกันอย่างมีความสุข เหนือร่างที่ถูกบดขยี้ให้ตายช้าๆ
3 เปลี่ยนเส้นทางแม่น้ำไม่ใช่เรื่องยาก
เมื่อเจงกิสข่านอายุมากขึ้นและมีโอกาสได้ไปเยือน อาณาจักรควาเรชเมียของชาวมุสลิม พระองค์ก็ปรับวิธีเสียใหม่ ด้วยการเลือกทางสันติ กล่าวคือส่งทูตไปเจรจากับผู้ปกครองของที่นั่น น่าเสียดายที่พวกมุสลิมไม่ไว้ใจมองโกล จึงฆ่าทูตที่ถูกส่งมาจนหมด เจงกิสข่านโกรธมาก และเตรียมตัวแก้แค้นทันที ด้วยกองทัพกว่า 200,000 นาย อาณาจักรควาเรชเมียล่มสลายอย่างรวดเร็ว ปราสาท บ้านเมือง และฟาร์มถูกเผาราบคาบ เจงกิสข่านยังได้เปลี่ยนเส้นทางแม่น้ำ ที่ไหลผ่านบ้านเกิดของกษัตริย์แห่งแคว้น เพื่อเป็นการลงโทษไม่ให้พวกเขามีน้ำใช้อีก
2 ใครไม่เป็นพันธมิตร ก็คือศัตรู
เมื่อครั้งโจมตีอาณาจักรควาเรชเมีย เจงกิสข่านได้ขอความช่วยเหลือจากอาณาจักรเชียตะวันตก หรือซีเซี่ย ให้ส่งกองทัพมาสนับสนุน พวกซีเซี่ยปฏิเสธ และภายในเวลาไม่นาน ทุกคนก็ต้องชดใช้ หลังจากยึดควาเรชเมียเรียบร้อยแล้ว ซีเซี่ยกลายเป็นเป้าหมายต่อไป เจงกิสข่านกำจัดเมืองทั้งเมือง และลบทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเขาทั้งหมด รวมถึงฆ่าทุกคนที่ค้นพบ กว่าซีเซี่ยจะกลับมาฟื้นฟูได้อีกครั้งก็ผ่านไปนานกว่า 700 ปี
1 ผู้ส่งดวงวิญญาณต้องสละชีวิต
ก่อนจะเสียชีวิต เจงกิสข่านได้ออกคำสั่งครั้งสุดท้าย พระองค์ต้องการให้ฝังร่างไว้ ณ ที่ที่ไม่มีใครค้นพบ และด้วยความซื่อสัตย์และจงรักภักดี ทหารมองโกลควบคุมทาสให้ยกศพของพระองค์ไปฝังยังสถานที่แห่งหนึ่ง จากนั้นก็ฆ่าพวกเขาเสีย และเมื่อพวกทหารย้อนกลับมายังค่าย พวกเขาก็พร้อมที่จะฆ่าตัวตายเพื่อให้พระบัญชาของท่านข่านเป็นจริง (เชื่อกันว่างานนี้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 800 คน) และด้วยความซื่อสัตย์ของกลุ่มทหารมองโกล ทุกวันนี้ยังคงไม่มีใครรู้ว่าศพของพระองค์ถูกฝังอยู่ที่ไหนบนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ของมองโกเลีย นอกจากนี้ บรรดาผู้อยู่ในเหตุการณ์ยังพร้อมใจกันปิดปากไม่บอกใครว่า พระองค์เสียชีวิตด้วยสาเหตุอะไร จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ความจริงข้อนี้ แม้แต่นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญที่สุดก็ยังจนปัญญา แม้แต่รูปลักษณ์หน้าตาของพระองค์ก็ไม่มีใครรู้ เพราะทรงไม่ยอมให้มีการสร้างรูปเคารพหรือวาดภาพเป็นอันขาด นับว่าคำสั่งของพระองค์ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ
เป็นยังไงกันบ้างคะ อ่านบทความของเราจบไปแล้ว สำหรับแอดมินนั้น ทั้งทึ่งและแอบช็อกเบาๆ แต่ขณะเดียวกันก็มีความเข้าใจด้วย คนที่เกิดมายิ่งใหญ่ขนาดนั้น ไม่แปลกที่จะต้องมีความเฉียบขาดและเหี้ยมโหดในตัวเอง ไม่อย่างนั้นคงปกครองผู้คนไม่ได้แน่ๆ ยังไงก็รู้สึกดีนะคะที่ได้อ่านเรื่องของท่าน ประทับใจมากๆ ค่ะ อ่านจบอยากเขียนนิยายอิงประวัติศาสตร์สักเรื่องจริงๆ จะเป็นยังไงนะถ้านางเอกได้ย้อนเวลาไปอยู่ในยุคนั้น... งืมงำ
ทีมงานนักเขียนเด็กดี
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก
13 ความคิดเห็น
ขอบคุณค่ะ
กลศึกข้อ 7 คล้ายตอนที่ แม่ทัพ พม่า ล้อมกรุงศรีเลย ลอมจนขาดอาหาร จับเชลยมาาปลูกข้าวรอ เลยทีเดียว ดูไปร้องให้ไป
ไม่ ไม่ปกติสักนิด สมัยนั้นพวกมองโกลคือพวกคนป่า
ขอบคุณค่ะ ชอบมองโกลมาก เดี๋ยวลองไปศึกษาเพิ่มเติมมั่งดีกว่า
อยากรู้ว่าทำไมทหารของเจงกิสข่านถึงได้จงรักภักดีขนาดนั้น เค้ามีข้อดีอะไรทหารถึงได้เคารพขนาดนี้เพราะจากที่อ่านๆดูเป็นคนที่โหดเ-้ยมมาก
เป็นบทความที่มีประโยชน์มาก ในยุคสมัยนั้นผู้เข้มแข็งกลืนกินผู้อ่อนเอ ทรราชหรือมหาราชตัดสินกันไม่ได้จริงๆ
กระผมแต่งเรื่องแนวนี้อยู่ นางเอกทะลุมิติไปอยู่ในทุ่งหญ้า แต่เป็นโลกที่สร้างตามจินตนาการไม่ได้อิงประวัติศาตร์จริง ยังไงก็ลองเข้าไปอ่านดูได้นะขอรับ
โหด แต่นับถือสติปัญญาในการวางแผนกลยุทธิ์ และความสามารถที่ทำให้พวกทหารยอมฆ่าตัวตายเพื่อไม่ให้มีใครค้นพบสุสานของเขา
เรามองว่าเจงกีดข่านเป็นคนจิตไม่ปกติ คนจิตวิปริตที่ได้เป็นใหญ่ จึงมีการสรรหาสิ่งที่ผิดความเป็นคน การสังหารศัตรูในขณะสู้กันธรรมดา แต่สรรหาการฆ่่าวิปริตนี่ ไม่ธรรมดาในจิตใจ
เรื่องราวเจงกิสข่านมีอะไรน่าทึ่งมากเหมือนกัน
คือดูจากแผนที่ อาณาจักรมองโกลพิชิตได้ไกลมาก
ฝรั่งยุโรปได้เจอคนเอเชีย ตาดำ ผิวเหลืือง บนหลังม้าก็เพราะกองทัพมองโกลนี่เอง
แต่เจงกิสข่านเป็นคนชนเผ่า ไม่รู้หนังสือ (ดูจากหนังเรื่อง Mongol นะ)
กลับคุมกองทัพขยายอาณาเขตได้ขนาดนี้ (ต่อด้วยรุ่นลูกรุ่นหลานมาขยายต่อ)
เทียบกับจอมทัพสมัยโบราณมักเป็นชนชั้นนำ..อ่านออกเขียนได้และมีอารยธรรมเก่าแก่
การผงาดขึ้นมาของอาณาจักรมองโกลเลยเป็นเรื่องน่าทึ่งในประวัติศาสตร์โลกเหมือนกัน
ที่สำคัญคือ..มองโกลไปไกลถึงอาหรับ..ผ่านเยรูซาเล็มซึ่งเป็นแดนสงครามคริสต์-อิสลามด้วย
แต่มองโกลก็บ่สนอิหยัง..ทั้งที่ตรงนั้นมันแดนศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาใหญ่ระดับโลก
สงครามครูเสดของคริสต์-อิสลามก็สงบเพราะมองโกลไปบุกแถบตะวันออกกลาง
เหมือนมองโกลเป็นตาอยู่...ปล่อยตาอิน(คริสต์) ตานา (อิสลาม) สู้กันเหนื่อยแล้วค่อยไปปิดจ็อบ