ล้วงลึก 7 ความลับที่คุณไม่เคยรู้เกี่ยวกับแอนน์ แฟรงก์ : เด็กสาวชาวยิวผู้เป็นเหยื่อสงคราม

 

ล้วงลึก 7 ความลับที่คุณไม่เคยรู้
เกี่ยวกับแอนน์ แฟรงก์


สวัสดีชาวไรเตอร์ทุกคนค่ะ พบกับพี่น้ำผึ้งอีกแล้วนะคะ ก่อนอื่นขอถามก่อนว่ามีใครในที่นี้ไม่รู้จักแอนน์ แฟรงก์บ้าง? เอาล่ะค่ะ พี่คิดว่าอย่างน้อยก็ต้องมีน้องชาวเด็กดีบางคนนั่นแหละนะที่รู้จักสาวน้อยคนนี้ ก็แหม... บันทึกลับของเธอนั้นดังก้องโลกเลยนะคะ

แอนน์ แฟรงก์... เด็กสาวชาวยิวผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา เธอและครอบครัวหลบหนีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อันแสนโหดร้ายของทหารนาซี เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ ไปอยู่ในตึกสำนักงานที่เรียกว่า “ห้องลับ” นานกว่า 2 ปี ด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยศรัทธาและความหวังที่จะได้อิสรภาพกลับคืนมา แต่ท้ายสุดแล้วจุดจบของเธอก็คือ... ความตายที่รอคอยอยู่ในค่ายกักกัน
 



แอนน์ แฟรงก์ เจ้าของไดอารี่อันโด่งดังชื่อก้องโลก
(ขอบคุณรูปภาพจาก : urokiistorii.ru)


ที่เกริ่นมาทั้งหมดก็เพื่อจะบอกน้องๆ ว่าเรื่องราวที่พี่นำมาฝากในวันนี้นั้นเกี่ยวข้องกับแอนน์ แฟรงก์ค่ะ และแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่หาไม่ได้ทั่วไป เพราะมันคือสิ่งที่ไม่เคยปรากฏในการตีพิมพ์ไดอารี่ของเธอเลยค่ะ!!! เพราะเมื่อไม่นานมานี้มีงานวิจัยจากสถาบันวิจัย Oxford Centre for Hebrew and Jewish Studies ที่ได้ทำวิจัยเกี่ยวกับบันทึกลับของแอนน์ แฟรงก์ว่า ยังมีอีก เรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับแอนน์ แฟรงก์ค่ะ ว้าว... ฟังดูก็น่าสนใจแล้วใช่มั้ยคะ ถ้าอย่างนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ตามมาดูกันเลยดีกว่าว่าเป็นยังไง
 



(ขอบคุณรูปภาพจาก : dw.com)
 

The Most Famous Diary All the Time
บันทึกที่โด่งดังตลอดกาล


จริงๆ แล้วบันทึกก้องโลกเล่มนี้นั้นเขียนด้วยภาษาดัชต์ เพราะแอนน์ แฟรงก์เป็นชาวเนเธอร์แลนด์ค่ะ และบันทึกนี้ก็ตีพิมพ์ครั้งแรกที่ประเทศบ้านเกิดของเธอในปี1974 ภายใต้ชื่อว่า Het Achterhuis: Dagboekbrieven 12 Juni 1942–1 Augustus 1944 (The Secret Annexe: Diary-Letters 12 June 1942–1 August 1944)” หรือภาษาไทยก็คือ... ความลับของแอนน์ : บันทึกวันที่ 12 มิถุนายน 1942 - 1 สิงหาคม 1944 ค่ะ

บันทึกนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกเพียงแค่ 1,500 ฉบับ แต่แล้วอยู่ๆ ก็ดันบูมขึ้นมาจนกลายเป็นคลื่นลูกใหม่ในสมัยนั้น บันทึกของเธอได้รับการแปลมากกว่า 60 ภาษาทั่วโลก ตั้งแต่ภาษาแอลเบเนียจนถึงภาษาเวลส์ (โอ้โห สารภาพตามตรงว่าแค่ชื่อประเทศพี่ยังไม่รู้จักเลยว่าอยู่ส่วนไหนของโลก นั่นแสดงให้เห็นว่าบันทึกของแอนน์ แฟรงก์นั้นดีจริงๆ ค่ะ) แถมในปี ค.ศ. 2009 บันทึกลับของแอนน์แฟรงก์นี้ยังได้ขึ้นทะเบียนเป็นหนึ่งในความทรงจำแห่งโลก (Memory of the World) ด้วยค่ะ
 



บ้านของแอนน์ แฟรงก์ในอัมสเตอร์ดัม
(ขอบคุณรูปภาพจาก : annafrank.org)


แน่นอนว่าที่ซ่อนตัวของแอนน์ แฟรงก์ในเมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์นั้นได้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตที่ไม่ควรพลาด แล้วแถมตัวแอนน์ แฟรงก์เนี่ยยังมีเฟสบุ๊ค แฟนเพจด้วยนะคะ!! แต่ไม่ใช่แฟนเพจแบบเป็นทางการค่ะ และที่สำคัญก็คือเด็กๆ ทั่วโลกต่างพากันส่งจดหมายมาให้แอนน์ แฟรงก์ที่บ้านหลังนี้อย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าแอนน์คือเพื่อนของพวกเขาค่ะ เพราะสำหรับพวกเขา... แอนน์ยังคงเป็นเด็กชั่วนิจนิรันดร์ 

 



แอนน์ แฟรงก์และครอบครัว
(ขอบคุณรูปภาพจาก : 
Granger, NYC/Alamy Stock Photo)
 

The Girl Behind the Diary
เด็กผู้หญิงผู้อยู่เบื้องหลังของไดอารี่


แอนน์ แฟรงก์เกิดเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 1929 ในเมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ซึ่งทุกๆ วันนี้ก็จะมีการจัดกิจกรรมมอบโล่อนุสรณ์ที่บ้านของเธอค่ะ อย่างที่เรารู้กันดีว่าแอนน์ แฟรงก์เกิดในครอบครัวชาวยิว เธอมีพี่สาวที่อายุมากกว่าเธอ 3 ปีชื่อ มาร์ก็อต เบ็ตตี้ แฟรงก์ เพื่อนในโรงเรียนของมาร์ก็อตบอกว่าจริงๆ แล้วมาร์ก็อตเป็นคนขยันขันแข็งมากกว่าแอนน์ แฟรงก์  

หลังจากที่ฮิตเลอร์เริ่มกวาดล้างชาวยิวในปีค.ศ. 1933 ครอบครัวแฟรงก์ได้หนีไปยังเมืองอัมสเตอร์ดัม และนี่เองค่ะที่เป็นจุดเริ่มต้นของบันทึกลับชื่อก้องโลก... แอนน์ เเฟรงก์ แต่น้องๆ รู้ไมคะว่าจริงๆ แล้วมาร์ก็อตเองก็เขียนไดอารี่เช่นกันค่ะ แต่น่าเสียดายนะคะที่ไม่มีใครพบบันทึกของพี่สาวเธอเลย

สำหรับสมุดไดอารี่ที่แอนน์เลือกใช้นั้นเป็นสมุดสีแดง-ขาว ลายตารางหมากรุก อันเป็นของขวัญวันคล้ายวันเกิดที่เธอได้รับตอนอายุครบ 13 ปี ซึ่งเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่เธอได้รับก่อนจะถูกไล่ล่าและหนีตาย และในวันคล้ายวันเกิดปีที่ 13 ของแอนน์ แฟรงก์ แม่ของเธอก็ทำคุกกี้เพื่อให้เธอนำไปฝากเพื่อนๆ ที่โรงเรียน และในตอนกลางคืนก็มีปาร์ตี้เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยพายสตอเบอร์รี่และดอกไม้ค่ะ

น่าเสียดายนะคะ... ที่วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่ได้ฉลองวันเกิดอย่างมีความสุขของเธอ

 



แอนน์ แฟรงก์และปีเตอร์ในภาพยนตร์ค่ะ
(ขอบคุณรูปภาพจาก : 
pinterest.com)
 

Hidden
ซ่อนตัว


วันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1942 ครอบครัวแฟรงก์อันประกอบด้วยพ่อแม่ พี่สาวและตัวของเธอได้หลบหนีการจับกุมชาวยิวไปซ่อนตัวที่เมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์โดยทิ้งแมวสุดที่รักของเธอเอาไว้ที่เยอรมนี ซึ่งในการหนีครั้งนี้นั้นไปพร้อมกับเพื่อนชาวยิวอีก 4 คน หนึ่งในนั้นมีปีเตอร์ เด็กหนุ่มที่เธอแอบรัก

แอนน์ แฟรงก์หลบซ่อนตัวอยู่ใน “ห้องลับ” นานถึง 2 ปีกับอีก 35 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ฟังดูหดหู่มาก เพราะการอยู่ในห้องลับก็เปรียบเสมือนกับการอยู่ในคุกดีๆ นันเอง แอนน์ไม่เคยเห็นทั้งเดือนทั้งตะวัน ไม่เห็นท้องฟ้า ไม่ได้สัมผัสกับพื้นหญ้าหรือสัมผัสกับน้ำฝนเลยแม้แต่น้อย เธอใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ยุโรปและอ่านงานวรรณกรรม แต่ถึงอย่างนั้น เราอย่าลืมว่าแอนน์ แฟรงก์เป็นเด็กผู้หญิง เธอก็เลยไม่ลืมที่จะหัดม้วนผมและทาเล็บด้วยค่ะ ซึ่งเธอยังได้เขียนเอาไว้ในบันทึกของวันพุธที่ 7 ตุลาคม 1942 อีกว่า ถ้าหากเธอได้รับอิสระ เธอจะไปซื้อ “ลิปสติก, ดินสอเขียนคิ้ว, เกลือขัดผิว, ผงอาบน้ำ, โคโลญ, สบู่ และแป้งพัฟ” 

 



บ้านที่แอนน์ แฟรงก์และครอบครัวซ่อนตัว 
(ขอบคุณรูปภาพจาก : 
DESK/AFP/Getty Images)
 

Dreams for the Future
ความฝัน


ขณะที่หลบซ่อนตัว แอนน์ แฟรงก์ยังคงมีความหวังอยู่เสมอว่าตัวเองจะได้กลับไปเรียน ไปเจอเพื่อนๆ แล้วเธอก็จะแต่งตัวสวยๆ ไปเที่ยวปารีสกับลอนดอน เธอต้องการศึกษาประวัติศาสตร์ของศิลปะ ต้องการพูดได้หลายภาษา และต้องการทำกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นเช่นปีนเขา และท้ายสุดแล้ว เธอก็อยากเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์และนักเขียนค่ะ แต่น่าเสียดายที่ความฝันของเธอก็เป็นเพียงแค่ความฝัน เพราะแอนน์ แฟรงก์ถูกจับตัวเข้าไปค่ายกักกันเสียก่อน... กลับมาคิดดูอีกที ถ้าทหารนาซีตามหาครอบครัวเธอไม่เจอ ป่านนี้เธอก็คงทำความฝันของเธอสำเร็จแล้วว่าไหม?

 




มาร์ก็อต แฟรงก์ (ซ้าย) และแอนน์ แฟรงก์ (ขวา)
(ขอบคุณรูปภาพจาก : 
annefrank.org)

A Rewrite
เขียนใหม่อีกครั้ง


วันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1944 แอนน์ แฟรงก์และครอบครัวได้ฟังรายการหนึ่งทางวิทยุคลื่น BBC ชื่อรายการ Oranje จัดโดยรัฐบาลดัชต์พลัดถิ่น ซึ่งนายเกอริตต์ โบลค์สไตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการศึกษาธิการ, วัฒนธรรม, วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเนเธอร์แลนด์ที่ถูกเนรเทศไปยังลอนดอน ประเทศอังกฤษนั้นได้กล่าวไว้ในรายการนี้ว่า หลังจากสงครามจบ เขาต้องการรวบรวมรายชื่อชาวดัชต์ที่ตกอยู่ใต้อำนาจของเยอรมันเพื่อถามถึงประสบการณ์ และทันทีที่แอนน์ แฟรงก์ได้ยินอย่างนั้น เธอก็รีบรีไรท์ไดอารี่ที่เขียนถึงอนาคตที่วาดฝันไว้ซะใหม่ และเก็บอันเก่าเอาไว้ในที่ที่ปลอดภัย

 



แผนที่เมืองนอร์มังดีที่พ่อของแอนน์แฟรงก์มี
(ขอบคุณรูปภาพจาก : 
annefrank.org)
 

The Failure of Liberation
ความล้มเหลวของการปลดปล่อย


การถ่ายทอดสดรายการ Oranje ผ่านทางวิทยุนั้นทำให้นายอ็อตโต แฟรงก์ พ่อของแอนน์ แฟรงก์ใจชื้นขึ้นมาหน่อย เพราะว่าเขาสามารถติดตามความคืบหน้าของกองกำลังสัมพันธมิตรได้ง่ายขึ้น ซึ่งกองกำลังสัมพันธมิตรนั้นประกอบไปด้วยทหารจากหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศสเสรี และโปแลนด์ และกองกำลังสัมพันธมิตรเองนี่แหละที่เป็นคู่ขัดแย้งของกองทัพอักษะจากเยอรมนีที่กำลังกวาดล้างชาวยิว นอกจากนี้เพื่อเป็นการเพิ่มความลุ้น พ่อของแอนน์ แฟรงก์ยังได้มีแผนที่ของอ่าวนอร์ม็องดี อันเป็นเส้นทางที่ทหารจากกองกำลังสัมพันธมิตรเข้ามาเพื่อต่อสู้กับกองทัพอักษะอีกด้วยค่ะ ซึ่งแผนที่นั้นถูกแขวนอยู่บนฝาผนังของที่ซ่อนพร้อมกับปักหมุดสีแดงไว้ตามจุดต่างๆ ด้วย

ในวันที่ 6 มิถุนายน แอนน์ แฟรงก์ได้เขียนข้อความลงในสมุดบันทึกของเธออย่างตื่นเต้นว่า "หรือนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการปลดปล่อยที่เธอรอคอยมาอย่างยาวนาน?" แต่น่าสงสารเหลือเกินที่ข้อความที่ว่านั้นไม่เป็นจริง... เพราะ 2 เดือนหลังจากที่กองกำลังสัมพันธมิตรบุกเขามายังอ่าวนอร์ม็องดี ตำรวจก็พบที่ซ่อนของตระกูลแฟรงก์แล้ว...

 



แอนน์ แฟรงก์ตอนที่เดท
(ขอบคุณรูปภาพจาก : 
annefrank.org)
 

Capture
จับ


สามวันสุดท้ายของการเขียนไดอารี่ของแอนน์ตรงกับวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1944 พวกนาซีได้จับตัวเธอพร้อมครอบครัวและคนอื่นๆ ที่หลบซ่อนตัวอยู่ ซึ่งที่จริงแล้วที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่ามีใครบางคนที่รู้ว่า "ยังมีกลุ่มชาวยิวที่ซ่อนตัวอยู่ตรงนี้นะ" เเจ้งข่าวไปบอกเจ้าหน้าที่เยอรมันนั่นเอง 

แอนน์ถูกส่งตัวไปยังค่ายในแว็สเตอร์บอร์ก (Westerbork) เพื่อรอการส่งตัวไปยังค่ายกักกันเอาท์วิชซ์ (Auschwitz) ต่อไป โดยชาวยิวที่ถูกส่งมาอยู่ที่แว็สเตอร์บอร์กนั้นจะเป็นพวกที่โดนจับได้ขณะหลบนี้ ซ้ำร้ายยังถูกกล่าวโทษว่าเป็นอาชญากรอีกด้วย โลกนี้ไม่ยุติธรรมเลยนะคะว่าไหม T_T 

น้องๆ รู้ไหมคะว่าที่ค่ายกักกันเอาท์วิชซ์นั้นมีชาวยิวประมาณ 1.1 ล้านคน หรือคิดเป็นประมาณ 90% มีทั้งหมดเลยไม่ว่าจะเป็นทั้งเด็ก คนแก่ ผู้ชายหรือผู้หญิง โดยส่วนมากนักโทษชาวยิวก็มักจะตายกันที่นี่ค่ะ ToT 

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แอนน์ แฟรงก์และมาร์ก็อตนั้นรอดชีวิตจากค่ายนี้!! แต่ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นโชคดีได้หรือเปล่า เพราะไม่นานนักพวกเธอก็ได้ถูกส่งตัวไปยังค่ายกักกันเเบร์เกน-เบลเซิน (Bergen-Belsen) ก่อนจะเสียชีวิตลงที่นั่นเพราะโรคไข้รากสากใหญ่ที่ระบาดในค่ายกักกัน และหลังจากนั้นไม่นานนัก กองทัพทหารอังกฤษก็บุกเข้ามาปลดปล่อยชาวยิวที่เหลือรอด ก่อนจะเผาค่ายกักกันแห่งนี้เพื่อเป็นการยับยั้งโรคระบาดในวันที่ 14 เมษายน ค.ศ.1945 ซึ่งตอนที่เสียชีวิตนั้น มาร์ก็อตมีอายุ 19 ปี และแอนน์มีอายุเพียงแค่ 15 ปี... นับว่าเป็นการจบปิดตำนานบันทึกของแอนน์ แฟรงก์

 

เป็นอย่างไรบ้างคะกับเรื่องที่พี่น้ำผึ้งนำมาฝากในวันนี้ สำหรับพี่... พี่รู้สึกหดหู่มากเลยค่ะที่ในประวัติศาสตร์บนโลกของเรามีเรื่องโหดร้ายกับเพื่อนมนุษย์เช่นนี้ และพี่ก็รู้สึกสงสารแอนน์ แฟรงก์กับครอบครัวรวมทั้งชาวยิวที่ต้องมาเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่ตนเองไม่ได้ก่อ พวกเขาถูกทำร้าย ถูกตามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพียงแค่เพราะว่าเป็น "ชาวยิว" แต่ถึงอย่างนั้นพี่ก็รู้สึกซาบซึ้งในความแข็งแกร่งของแอนน์ แฟรงก์ พี่นับถือในตัวเธอมากเลยค่ะ... เธอไม่เคยหมดศรัทธาในความหวัง แม้ว่าความหวัง ความฝันที่เธอต้องการจะริบหรี่ก็ตาม เธอไม่เคยท้อค่ะ แล้วน้องๆ ล่ะคะ รู้สึกกับเรื่องราวนี้ยังไงบ้าง อย่าลืมมาแชร์ความคิดเห็นนะคะ พี่น้ำผึ้งรออ่านอยู่ค่ะ ^o^

 

พี่น้ำผึ้ง :)

ขอขอบคุณ
www.annefrank.org
BBC History Magazine
Das Tagebuch der Anne Frank
Deep Sound แสดงความรู้สึก
พี่น้ำผึ้ง
พี่น้ำผึ้ง - Columnist นักเขียนที่ชอบส่งต่อพลังบวกให้ทุกคน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

เมนน้องยู<3 Member 1 ธ.ค. 59 11:00 น. 3
แวะมาเพิ่มเติมในฐานะคนเคยไปบ้านแอนแฟรงค์มาแล้ว ที่จริงแล้วความฝันแรกเริ่มของแอนแฟรงค์ไม่ใช่นักเขียนนะคะ เค้าอยากเป็นนักแสดง เพราะได้แสดงละครเวทีที่โรงเรียนแล้วได้เล่นเป็นนางเอก ปรากฎว่าเล่นดีมาก จนมีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักแสดงละครเวที แต่หลังจากได้ไดอารี่ แล้วเขียนไปเรื่อยๆก็พบว่าตัวเองเขียนเก่ง จึงเปลี่ยนใจมาอยากเป็นนักเขียนแทน
4
เมนน้องยู<3 Member 1 ธ.ค. 59 11:06 น. 3-1
นอกจากนี้ ตรงเรื่องที่ซ่อนลับนี่ต้องขอบคุณคนเยอรมันหลายๆคนที่อยู่ตรงสำนักงานชั้นล่างคอยช่วยเหลือเรื่องเสบียงอาหารน้ำและเสื้อผ้าจิปาถะ รวมถึงหนังสือหนังหามาให้อ่าน และคอยส่งข่าวจากภายนอกเป็นระยะๆ(ที่ๆแอนแฟรงค์อยู่เป็นตึกแถวที่ชั้นล่างเป็นสำนักงานอะไรสักอย่างเราก็จำไม่ได้แล้ว แล้วชั้นบนจะมีประตูที่ซ่อนอยู่หลังตู้หนังสือเป็นทางลับเข้าที่ซ่อนลับค่ะ) ทำให้เรารู้สึกดีกับคนเยอรมันขึ้นเยอะเลย ที่จริงแล้วไม่ใช่คนเยอรมันทุกคนที่ชอบฮิตเลอร์ แถมยังช่วยคนยิวด้วยซ้ำไป แน่นอนว่าถ้าถูกจับได้จะโดนเอาเข้าค่ายกักกันและถูกปฏิบัติไม่ต่างจากคนยิวเลย
0
กำลังโหลด
ฮิจินะ Member 3 ธ.ค. 59 01:02 น. 5

รู้สึกว่าทุกคนในครอบครัวแอนน์จะถูกจับเข้าค่ายที่อื่นๆบางคนไปไกลถึงข้ามประเทศเลย แต่ดีที่คุณแม่ พี่สาว และแอนน์ถูกจับมาค่ายเดียวกัน

แต่คุณแม่ก็ตายจากไปก่อน (จำไม่ได้ว่าตายเพราะโรคอะไร) ทำให้พี่สาวรู้สึกท้อแท้ใจ แต่ตอนนั้นแอนน์ยังมีความหวังคะ ช่วงหลังๆมานั้นมาร์ก็อตก็ป่วย แอนน์พยายามหาอาหาร หาน้ำมาให้กินประทังชีวิตไปให้ได้ บางทีก็ได้ขนมปังที่เหลือมาจากเพื่อนชาวเยอรมันที่ถูกจับมาแต่อยู่คนละค่ายกัน

แต่มาร์ก็อตก็ตายไปก่อนแล้วแอนน์ตายทีหลัง แล้วที่เหลือรอดมาได้มีแค่พ่อของแอนน์คะ รู้สึกว่าทหารอังกฤษจะไปช่วยทัน แล้วพ่อเขาก็หาทางติดต่อและกลับมาเจอคนในสำนักงานที่สำนักงานคะ แล้วเขาก็ยื่นสมุดบันทึกนี้ให้พ่อเขาดู พ่อแอนน์เลยตัดสินใจตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้คะ

ไม่รู้ว่าข้อมูลถูกรึเปล่านะคะ เพราะแค่อ่านๆมาร้องไห้

1
เมนน้องยู<3 Member 3 ธ.ค. 59 12:20 น. 5-1
ถูกแล้วค่า แต่ในฉบับที่ตีพิมพ์นี่ก็ไม่ได้ตีพิมพ์ทั้งหมดนะ มีบางส่วนที่พ่อของแอนน์ตัดสินใจคัดออกเพราะมีประเด็นของเรื่องเพศ คำหยาบ คำด่า แล้วก็เนื้อหาที่สุ่มเสี่ยงบางประการ เลยไม่สามารถตีพิมพ์ได้ทั้งหมด แต่นั่นก็เพียงพอที่จะตีแผ่ความรู้สึกของเด็กคนหนึ่งที่ต้องมาทนทุกข์กับสงครามที่ตนไม่ได้ก่อแล้วล่ะค่ะ
0
กำลังโหลด
chaniboom Member 1 ธ.ค. 59 10:16 น. 2
รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับชาวยิวเลยอ่ะ คือพวกเขาก้เปนคนธรรมดาเหมือนพวกเราทั่วไป แต่ต้องแบกรับความผิดที่ไม่ได้ทำ และตายทั้งๆที่ไม่รู้เลยว่าทำอะไรผิด น่าเศร้ามากๆTT
2
aisouno Member 29 ม.ค. 60 20:58 น. 2-1
สมัยนั้น ขณะที่คนเยอรมันลำบากเพราะภาวะเศรษฐกิจจากสงครามโลก ไม่สิ แต่ไหนแต่ไร ยิวคือกลุ่มชาติพันธ์ที่มีความรักพวกพ้องสูง แต่ไม่เอาคนนอก ไม่ปรับตัวกับสังคม เป็นกลุ่มพ่อค้านายทุนที่ร่ำรวย ปล่อยเงินกู้ ยิวที่นับถือศาสนายิวจะเชื่อมั่นสูงว่าตนเองคือกลุ่มชาติพันธ์ที่พระเจ้าเลือกมา ไม่ยอมรับพันธะสัญญาใหม่ของคริสตร์ พูดให้เข้าใจง่ายๆ สมัยนั้นยิวคือกลุ่มนายทุนที่เอารัดเอาเปรียบ น่าหมั้นไส้ ใช่ มันไม่ใช่ทุกคน แต่ความเกลียดซังยิวมันฝังลึกลงในยุโรปมานาน ยิวคือประชากรที่ไม่มีประเทศของตนเอง และไปอาศัยในประเทศต่างๆ สำหรับยุโรปไม่แปลกที่จะมองว่าเปํน กาฝาก ไม่เป็นที่ต้อนรับ โลกนี้ไม่มีทั้งทั้งผู้บริสุทธิ์และผู้ร้ายในประวัติศาสตร์หรอก
0
กำลังโหลด

6 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
chaniboom Member 1 ธ.ค. 59 10:16 น. 2
รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับชาวยิวเลยอ่ะ คือพวกเขาก้เปนคนธรรมดาเหมือนพวกเราทั่วไป แต่ต้องแบกรับความผิดที่ไม่ได้ทำ และตายทั้งๆที่ไม่รู้เลยว่าทำอะไรผิด น่าเศร้ามากๆTT
2
aisouno Member 29 ม.ค. 60 20:58 น. 2-1
สมัยนั้น ขณะที่คนเยอรมันลำบากเพราะภาวะเศรษฐกิจจากสงครามโลก ไม่สิ แต่ไหนแต่ไร ยิวคือกลุ่มชาติพันธ์ที่มีความรักพวกพ้องสูง แต่ไม่เอาคนนอก ไม่ปรับตัวกับสังคม เป็นกลุ่มพ่อค้านายทุนที่ร่ำรวย ปล่อยเงินกู้ ยิวที่นับถือศาสนายิวจะเชื่อมั่นสูงว่าตนเองคือกลุ่มชาติพันธ์ที่พระเจ้าเลือกมา ไม่ยอมรับพันธะสัญญาใหม่ของคริสตร์ พูดให้เข้าใจง่ายๆ สมัยนั้นยิวคือกลุ่มนายทุนที่เอารัดเอาเปรียบ น่าหมั้นไส้ ใช่ มันไม่ใช่ทุกคน แต่ความเกลียดซังยิวมันฝังลึกลงในยุโรปมานาน ยิวคือประชากรที่ไม่มีประเทศของตนเอง และไปอาศัยในประเทศต่างๆ สำหรับยุโรปไม่แปลกที่จะมองว่าเปํน กาฝาก ไม่เป็นที่ต้อนรับ โลกนี้ไม่มีทั้งทั้งผู้บริสุทธิ์และผู้ร้ายในประวัติศาสตร์หรอก
0
กำลังโหลด
เมนน้องยู<3 Member 1 ธ.ค. 59 11:00 น. 3
แวะมาเพิ่มเติมในฐานะคนเคยไปบ้านแอนแฟรงค์มาแล้ว ที่จริงแล้วความฝันแรกเริ่มของแอนแฟรงค์ไม่ใช่นักเขียนนะคะ เค้าอยากเป็นนักแสดง เพราะได้แสดงละครเวทีที่โรงเรียนแล้วได้เล่นเป็นนางเอก ปรากฎว่าเล่นดีมาก จนมีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักแสดงละครเวที แต่หลังจากได้ไดอารี่ แล้วเขียนไปเรื่อยๆก็พบว่าตัวเองเขียนเก่ง จึงเปลี่ยนใจมาอยากเป็นนักเขียนแทน
4
เมนน้องยู<3 Member 1 ธ.ค. 59 11:06 น. 3-1
นอกจากนี้ ตรงเรื่องที่ซ่อนลับนี่ต้องขอบคุณคนเยอรมันหลายๆคนที่อยู่ตรงสำนักงานชั้นล่างคอยช่วยเหลือเรื่องเสบียงอาหารน้ำและเสื้อผ้าจิปาถะ รวมถึงหนังสือหนังหามาให้อ่าน และคอยส่งข่าวจากภายนอกเป็นระยะๆ(ที่ๆแอนแฟรงค์อยู่เป็นตึกแถวที่ชั้นล่างเป็นสำนักงานอะไรสักอย่างเราก็จำไม่ได้แล้ว แล้วชั้นบนจะมีประตูที่ซ่อนอยู่หลังตู้หนังสือเป็นทางลับเข้าที่ซ่อนลับค่ะ) ทำให้เรารู้สึกดีกับคนเยอรมันขึ้นเยอะเลย ที่จริงแล้วไม่ใช่คนเยอรมันทุกคนที่ชอบฮิตเลอร์ แถมยังช่วยคนยิวด้วยซ้ำไป แน่นอนว่าถ้าถูกจับได้จะโดนเอาเข้าค่ายกักกันและถูกปฏิบัติไม่ต่างจากคนยิวเลย
0
กำลังโหลด
Benjo_TS Member 2 ธ.ค. 59 20:44 น. 4

เศร้าจัง

เป็นคนที่น่าทึ่งมาก ขนาดเจอเหตุการณ์ต่างๆขนาดนี้ยังมีความหวังอยู่เสมอ ถ้าเป็นเราคงรู้สึกหดหู่มาก สงสารชาวยิวจริงๆที่ต้องมาเจอกับเหตุการณ์อย่างนี้ สมัยนั้นโลกคงโหดร้ายน่าดูเลยยยยย รู้สึกโชคดีที่ไม่ได้เกิดในสมัยนั้น

1
เมนน้องยู<3 Member 3 ธ.ค. 59 12:38 น. 4-1
ใช่ค่ะ เราชื่นชมมากที่พวกเค้ายังมีความหวังและไม่เคยยอมแพ้ ถึงขนาดตั้ั้งโต๊ะเรียนหนังสือกันอย่างจริงจังเพราะคิดว่าหลังสงครามจบจะได้สอบเข้ามหาลัย ถ้าเป็นเราคงหมดหวัง ไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนหรอก เข้มแข็งกันจริงๆ0_0 ชีวิตในที่ซ่อนลับนี่ลำบากมากนะคะ เข้าห้องน้ำตอนกลางวันก็ราดน้ำไม่ได้ เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน ต้องรอค่อยๆราดเบาๆตอนกลางคืน คิดดูว่าหลายๆคนเข้าห้องน้ำเดียวกันจะกลิ่นขนาดไหน เดินก็ต้องเดินเบาๆเพราะเป็นพื้นไม้ เผลอลงส้นนิดหน่อยเสียงก็ได้ยินกันทั่ว หน้าร้อน ร้อนแค่ไหนก็เปิดหน้าต่างไม่ได้ เดี๋ยวคนอื่นเห็น แถมต้องเอาไม้กระดานสีดำปิดไว้อีก อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอกก็เงี่ยหูเอา บางทีก็มีเสียงระเบิด เสียงปืนดังจนนอนไม่หลับ อยู่แบบหวาดระแวง ในไดอารี่ถึงกับบอกว่าถ้าไม่ได้เขียนระบายลงไปบ้างคงได้เป็นบ้าไปก่อน คิดดูว่าทรมานขนาดไหน ต้องชื่นชมในสปิริตจริงๆค่ะ เสียใจ
0
กำลังโหลด
ฮิจินะ Member 3 ธ.ค. 59 01:02 น. 5

รู้สึกว่าทุกคนในครอบครัวแอนน์จะถูกจับเข้าค่ายที่อื่นๆบางคนไปไกลถึงข้ามประเทศเลย แต่ดีที่คุณแม่ พี่สาว และแอนน์ถูกจับมาค่ายเดียวกัน

แต่คุณแม่ก็ตายจากไปก่อน (จำไม่ได้ว่าตายเพราะโรคอะไร) ทำให้พี่สาวรู้สึกท้อแท้ใจ แต่ตอนนั้นแอนน์ยังมีความหวังคะ ช่วงหลังๆมานั้นมาร์ก็อตก็ป่วย แอนน์พยายามหาอาหาร หาน้ำมาให้กินประทังชีวิตไปให้ได้ บางทีก็ได้ขนมปังที่เหลือมาจากเพื่อนชาวเยอรมันที่ถูกจับมาแต่อยู่คนละค่ายกัน

แต่มาร์ก็อตก็ตายไปก่อนแล้วแอนน์ตายทีหลัง แล้วที่เหลือรอดมาได้มีแค่พ่อของแอนน์คะ รู้สึกว่าทหารอังกฤษจะไปช่วยทัน แล้วพ่อเขาก็หาทางติดต่อและกลับมาเจอคนในสำนักงานที่สำนักงานคะ แล้วเขาก็ยื่นสมุดบันทึกนี้ให้พ่อเขาดู พ่อแอนน์เลยตัดสินใจตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้คะ

ไม่รู้ว่าข้อมูลถูกรึเปล่านะคะ เพราะแค่อ่านๆมาร้องไห้

1
เมนน้องยู<3 Member 3 ธ.ค. 59 12:20 น. 5-1
ถูกแล้วค่า แต่ในฉบับที่ตีพิมพ์นี่ก็ไม่ได้ตีพิมพ์ทั้งหมดนะ มีบางส่วนที่พ่อของแอนน์ตัดสินใจคัดออกเพราะมีประเด็นของเรื่องเพศ คำหยาบ คำด่า แล้วก็เนื้อหาที่สุ่มเสี่ยงบางประการ เลยไม่สามารถตีพิมพ์ได้ทั้งหมด แต่นั่นก็เพียงพอที่จะตีแผ่ความรู้สึกของเด็กคนหนึ่งที่ต้องมาทนทุกข์กับสงครามที่ตนไม่ได้ก่อแล้วล่ะค่ะ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
แทรกรูปจากแกลเลอรี่ - Dek-D.com
L o a d i n g . . .
x
เรียงตาม:
ใหม่ล่าสุด
ใหม่ล่าสุด
เก่าที่สุด
ที่กำหนดไว้
*การลบรูปจาก Gallery จะส่งผลให้ภาพที่เคยถูกนำไปใช้ถูกลบไปด้วย

< Back
แทรกรูปโดย URL
กรุณาใส่ URL ที่ขึ้นต้นด้วย
http:// หรือ https://
กำลังโหลด...
ไม่สามารถโหลดรูปภาพนี้ได้
*เมื่อแทรกรูปเป็นการยืนยันว่ารูปที่ใช้เป็นของตัวเอง หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และลงเครดิตเจ้าของรูปแล้วเท่านั้น
< Back
สร้างโฟลเดอร์ใหม่
< Back
ครอปรูปภาพ
Picture
px
px
ครอปรูปภาพ
Picture