ล้วงลึก 7 ความลับที่คุณไม่เคยรู้
เกี่ยวกับแอนน์ แฟรงก์
สวัสดีชาวไรเตอร์ทุกคนค่ะ พบกับพี่น้ำผึ้งอีกแล้วนะคะ ก่อนอื่นขอถามก่อนว่ามีใครในที่นี้ไม่รู้จักแอนน์ แฟรงก์บ้าง? เอาล่ะค่ะ พี่คิดว่าอย่างน้อยก็ต้องมีน้องชาวเด็กดีบางคนนั่นแหละนะที่รู้จักสาวน้อยคนนี้ ก็แหม... บันทึกลับของเธอนั้นดังก้องโลกเลยนะคะ
แอนน์ แฟรงก์... เด็กสาวชาวยิวผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา เธอและครอบครัวหลบหนีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อันแสนโหดร้ายของทหารนาซี เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปอยู่ในตึกสำนักงานที่เรียกว่า “ห้องลับ” นานกว่า 2 ปี ด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยศรัทธาและความหวังที่จะได้อิสรภาพกลับคืนมา แต่ท้ายสุดแล้วจุดจบของเธอก็คือ... ความตายที่รอคอยอยู่ในค่ายกักกัน
แอนน์ แฟรงก์ เจ้าของไดอารี่อันโด่งดังชื่อก้องโลก
(ขอบคุณรูปภาพจาก : urokiistorii.ru)
ที่เกริ่นมาทั้งหมดก็เพื่อจะบอกน้องๆ ว่าเรื่องราวที่พี่นำมาฝากในวันนี้นั้นเกี่ยวข้องกับแอนน์ แฟรงก์ค่ะ และแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่หาไม่ได้ทั่วไป เพราะมันคือสิ่งที่ไม่เคยปรากฏในการตีพิมพ์ไดอารี่ของเธอเลยค่ะ!!! เพราะเมื่อไม่นานมานี้มีงานวิจัยจากสถาบันวิจัย Oxford Centre for Hebrew and Jewish Studies ที่ได้ทำวิจัยเกี่ยวกับบันทึกลับของแอนน์ แฟรงก์ว่า ยังมีอีก 7 เรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับแอนน์ แฟรงก์ค่ะ ว้าว... ฟังดูก็น่าสนใจแล้วใช่มั้ยคะ ถ้าอย่างนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ตามมาดูกันเลยดีกว่าว่าเป็นยังไง
บันทึกที่โด่งดังตลอดกาล
จริงๆ แล้วบันทึกก้องโลกเล่มนี้นั้นเขียนด้วยภาษาดัชต์ เพราะแอนน์ แฟรงก์เป็นชาวเนเธอร์แลนด์ค่ะ และบันทึกนี้ก็ตีพิมพ์ครั้งแรกที่ประเทศบ้านเกิดของเธอในปี1974 ภายใต้ชื่อว่า “Het Achterhuis: Dagboekbrieven 12 Juni 1942–1 Augustus 1944 (The Secret Annexe: Diary-Letters 12 June 1942–1 August 1944)” หรือภาษาไทยก็คือ... ความลับของแอนน์ : บันทึกวันที่ 12 มิถุนายน 1942 - 1 สิงหาคม 1944 ค่ะ
บันทึกนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกเพียงแค่ 1,500 ฉบับ แต่แล้วอยู่ๆ ก็ดันบูมขึ้นมาจนกลายเป็นคลื่นลูกใหม่ในสมัยนั้น บันทึกของเธอได้รับการแปลมากกว่า 60 ภาษาทั่วโลก ตั้งแต่ภาษาแอลเบเนียจนถึงภาษาเวลส์ (โอ้โห สารภาพตามตรงว่าแค่ชื่อประเทศพี่ยังไม่รู้จักเลยว่าอยู่ส่วนไหนของโลก นั่นแสดงให้เห็นว่าบันทึกของแอนน์ แฟรงก์นั้นดีจริงๆ ค่ะ) แถมในปี ค.ศ. 2009 บันทึกลับของแอนน์แฟรงก์นี้ยังได้ขึ้นทะเบียนเป็นหนึ่งในความทรงจำแห่งโลก (Memory of the World) ด้วยค่ะ
บ้านของแอนน์ แฟรงก์ในอัมสเตอร์ดัม
(ขอบคุณรูปภาพจาก : annafrank.org)
แน่นอนว่าที่ซ่อนตัวของแอนน์ แฟรงก์ในเมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์นั้นได้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตที่ไม่ควรพลาด แล้วแถมตัวแอนน์ แฟรงก์เนี่ยยังมีเฟสบุ๊ค แฟนเพจด้วยนะคะ!! แต่ไม่ใช่แฟนเพจแบบเป็นทางการค่ะ และที่สำคัญก็คือเด็กๆ ทั่วโลกต่างพากันส่งจดหมายมาให้แอนน์ แฟรงก์ที่บ้านหลังนี้อย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าแอนน์คือเพื่อนของพวกเขาค่ะ เพราะสำหรับพวกเขา... แอนน์ยังคงเป็นเด็กชั่วนิจนิรันดร์
เด็กผู้หญิงผู้อยู่เบื้องหลังของไดอารี่
แอนน์ แฟรงก์เกิดเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 1929 ในเมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ซึ่งทุกๆ วันนี้ก็จะมีการจัดกิจกรรมมอบโล่อนุสรณ์ที่บ้านของเธอค่ะ อย่างที่เรารู้กันดีว่าแอนน์ แฟรงก์เกิดในครอบครัวชาวยิว เธอมีพี่สาวที่อายุมากกว่าเธอ 3 ปีชื่อ มาร์ก็อต เบ็ตตี้ แฟรงก์ เพื่อนในโรงเรียนของมาร์ก็อตบอกว่าจริงๆ แล้วมาร์ก็อตเป็นคนขยันขันแข็งมากกว่าแอนน์ แฟรงก์
หลังจากที่ฮิตเลอร์เริ่มกวาดล้างชาวยิวในปีค.ศ. 1933 ครอบครัวแฟรงก์ได้หนีไปยังเมืองอัมสเตอร์ดัม และนี่เองค่ะที่เป็นจุดเริ่มต้นของบันทึกลับชื่อก้องโลก... แอนน์ เเฟรงก์ แต่น้องๆ รู้ไมคะว่าจริงๆ แล้วมาร์ก็อตเองก็เขียนไดอารี่เช่นกันค่ะ แต่น่าเสียดายนะคะที่ไม่มีใครพบบันทึกของพี่สาวเธอเลย
สำหรับสมุดไดอารี่ที่แอนน์เลือกใช้นั้นเป็นสมุดสีแดง-ขาว ลายตารางหมากรุก อันเป็นของขวัญวันคล้ายวันเกิดที่เธอได้รับตอนอายุครบ 13 ปี ซึ่งเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่เธอได้รับก่อนจะถูกไล่ล่าและหนีตาย และในวันคล้ายวันเกิดปีที่ 13 ของแอนน์ แฟรงก์ แม่ของเธอก็ทำคุกกี้เพื่อให้เธอนำไปฝากเพื่อนๆ ที่โรงเรียน และในตอนกลางคืนก็มีปาร์ตี้เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยพายสตอเบอร์รี่และดอกไม้ค่ะ
น่าเสียดายนะคะ... ที่วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่ได้ฉลองวันเกิดอย่างมีความสุขของเธอ
ซ่อนตัว
วันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1942 ครอบครัวแฟรงก์อันประกอบด้วยพ่อแม่ พี่สาวและตัวของเธอได้หลบหนีการจับกุมชาวยิวไปซ่อนตัวที่เมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์โดยทิ้งแมวสุดที่รักของเธอเอาไว้ที่เยอรมนี ซึ่งในการหนีครั้งนี้นั้นไปพร้อมกับเพื่อนชาวยิวอีก 4 คน หนึ่งในนั้นมีปีเตอร์ เด็กหนุ่มที่เธอแอบรัก
แอนน์ แฟรงก์หลบซ่อนตัวอยู่ใน “ห้องลับ” นานถึง 2 ปีกับอีก 35 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ฟังดูหดหู่มาก เพราะการอยู่ในห้องลับก็เปรียบเสมือนกับการอยู่ในคุกดีๆ นันเอง แอนน์ไม่เคยเห็นทั้งเดือนทั้งตะวัน ไม่เห็นท้องฟ้า ไม่ได้สัมผัสกับพื้นหญ้าหรือสัมผัสกับน้ำฝนเลยแม้แต่น้อย เธอใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ยุโรปและอ่านงานวรรณกรรม แต่ถึงอย่างนั้น เราอย่าลืมว่าแอนน์ แฟรงก์เป็นเด็กผู้หญิง เธอก็เลยไม่ลืมที่จะหัดม้วนผมและทาเล็บด้วยค่ะ ซึ่งเธอยังได้เขียนเอาไว้ในบันทึกของวันพุธที่ 7 ตุลาคม 1942 อีกว่า ถ้าหากเธอได้รับอิสระ เธอจะไปซื้อ “ลิปสติก, ดินสอเขียนคิ้ว, เกลือขัดผิว, ผงอาบน้ำ, โคโลญ, สบู่ และแป้งพัฟ”
ความฝัน
ขณะที่หลบซ่อนตัว แอนน์ แฟรงก์ยังคงมีความหวังอยู่เสมอว่าตัวเองจะได้กลับไปเรียน ไปเจอเพื่อนๆ แล้วเธอก็จะแต่งตัวสวยๆ ไปเที่ยวปารีสกับลอนดอน เธอต้องการศึกษาประวัติศาสตร์ของศิลปะ ต้องการพูดได้หลายภาษา และต้องการทำกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นเช่นปีนเขา และท้ายสุดแล้ว เธอก็อยากเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์และนักเขียนค่ะ แต่น่าเสียดายที่ความฝันของเธอก็เป็นเพียงแค่ความฝัน เพราะแอนน์ แฟรงก์ถูกจับตัวเข้าไปค่ายกักกันเสียก่อน... กลับมาคิดดูอีกที ถ้าทหารนาซีตามหาครอบครัวเธอไม่เจอ ป่านนี้เธอก็คงทำความฝันของเธอสำเร็จแล้วว่าไหม?
เขียนใหม่อีกครั้ง
วันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1944 แอนน์ แฟรงก์และครอบครัวได้ฟังรายการหนึ่งทางวิทยุคลื่น BBC ชื่อรายการ Oranje จัดโดยรัฐบาลดัชต์พลัดถิ่น ซึ่งนายเกอริตต์ โบลค์สไตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการศึกษาธิการ, วัฒนธรรม, วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเนเธอร์แลนด์ที่ถูกเนรเทศไปยังลอนดอน ประเทศอังกฤษนั้นได้กล่าวไว้ในรายการนี้ว่า หลังจากสงครามจบ เขาต้องการรวบรวมรายชื่อชาวดัชต์ที่ตกอยู่ใต้อำนาจของเยอรมันเพื่อถามถึงประสบการณ์ และทันทีที่แอนน์ แฟรงก์ได้ยินอย่างนั้น เธอก็รีบรีไรท์ไดอารี่ที่เขียนถึงอนาคตที่วาดฝันไว้ซะใหม่ และเก็บอันเก่าเอาไว้ในที่ที่ปลอดภัย
ความล้มเหลวของการปลดปล่อย
การถ่ายทอดสดรายการ Oranje ผ่านทางวิทยุนั้นทำให้นายอ็อตโต แฟรงก์ พ่อของแอนน์ แฟรงก์ใจชื้นขึ้นมาหน่อย เพราะว่าเขาสามารถติดตามความคืบหน้าของกองกำลังสัมพันธมิตรได้ง่ายขึ้น ซึ่งกองกำลังสัมพันธมิตรนั้นประกอบไปด้วยทหารจากหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศสเสรี และโปแลนด์ และกองกำลังสัมพันธมิตรเองนี่แหละที่เป็นคู่ขัดแย้งของกองทัพอักษะจากเยอรมนีที่กำลังกวาดล้างชาวยิว นอกจากนี้เพื่อเป็นการเพิ่มความลุ้น พ่อของแอนน์ แฟรงก์ยังได้มีแผนที่ของอ่าวนอร์ม็องดี อันเป็นเส้นทางที่ทหารจากกองกำลังสัมพันธมิตรเข้ามาเพื่อต่อสู้กับกองทัพอักษะอีกด้วยค่ะ ซึ่งแผนที่นั้นถูกแขวนอยู่บนฝาผนังของที่ซ่อนพร้อมกับปักหมุดสีแดงไว้ตามจุดต่างๆ ด้วย
ในวันที่ 6 มิถุนายน แอนน์ แฟรงก์ได้เขียนข้อความลงในสมุดบันทึกของเธออย่างตื่นเต้นว่า "หรือนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการปลดปล่อยที่เธอรอคอยมาอย่างยาวนาน?" แต่น่าสงสารเหลือเกินที่ข้อความที่ว่านั้นไม่เป็นจริง... เพราะ 2 เดือนหลังจากที่กองกำลังสัมพันธมิตรบุกเขามายังอ่าวนอร์ม็องดี ตำรวจก็พบที่ซ่อนของตระกูลแฟรงก์แล้ว...
จับ
สามวันสุดท้ายของการเขียนไดอารี่ของแอนน์ตรงกับวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1944 พวกนาซีได้จับตัวเธอพร้อมครอบครัวและคนอื่นๆ ที่หลบซ่อนตัวอยู่ ซึ่งที่จริงแล้วที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่ามีใครบางคนที่รู้ว่า "ยังมีกลุ่มชาวยิวที่ซ่อนตัวอยู่ตรงนี้นะ" เเจ้งข่าวไปบอกเจ้าหน้าที่เยอรมันนั่นเอง
แอนน์ถูกส่งตัวไปยังค่ายในแว็สเตอร์บอร์ก (Westerbork) เพื่อรอการส่งตัวไปยังค่ายกักกันเอาท์วิชซ์ (Auschwitz) ต่อไป โดยชาวยิวที่ถูกส่งมาอยู่ที่แว็สเตอร์บอร์กนั้นจะเป็นพวกที่โดนจับได้ขณะหลบนี้ ซ้ำร้ายยังถูกกล่าวโทษว่าเป็นอาชญากรอีกด้วย โลกนี้ไม่ยุติธรรมเลยนะคะว่าไหม T_T
น้องๆ รู้ไหมคะว่าที่ค่ายกักกันเอาท์วิชซ์นั้นมีชาวยิวประมาณ 1.1 ล้านคน หรือคิดเป็นประมาณ 90% มีทั้งหมดเลยไม่ว่าจะเป็นทั้งเด็ก คนแก่ ผู้ชายหรือผู้หญิง โดยส่วนมากนักโทษชาวยิวก็มักจะตายกันที่นี่ค่ะ ToT
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แอนน์ แฟรงก์และมาร์ก็อตนั้นรอดชีวิตจากค่ายนี้!! แต่ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นโชคดีได้หรือเปล่า เพราะไม่นานนักพวกเธอก็ได้ถูกส่งตัวไปยังค่ายกักกันเเบร์เกน-เบลเซิน (Bergen-Belsen) ก่อนจะเสียชีวิตลงที่นั่นเพราะโรคไข้รากสากใหญ่ที่ระบาดในค่ายกักกัน และหลังจากนั้นไม่นานนัก กองทัพทหารอังกฤษก็บุกเข้ามาปลดปล่อยชาวยิวที่เหลือรอด ก่อนจะเผาค่ายกักกันแห่งนี้เพื่อเป็นการยับยั้งโรคระบาดในวันที่ 14 เมษายน ค.ศ.1945 ซึ่งตอนที่เสียชีวิตนั้น มาร์ก็อตมีอายุ 19 ปี และแอนน์มีอายุเพียงแค่ 15 ปี... นับว่าเป็นการจบปิดตำนานบันทึกของแอนน์ แฟรงก์
เป็นอย่างไรบ้างคะกับเรื่องที่พี่น้ำผึ้งนำมาฝากในวันนี้ สำหรับพี่... พี่รู้สึกหดหู่มากเลยค่ะที่ในประวัติศาสตร์บนโลกของเรามีเรื่องโหดร้ายกับเพื่อนมนุษย์เช่นนี้ และพี่ก็รู้สึกสงสารแอนน์ แฟรงก์กับครอบครัวรวมทั้งชาวยิวที่ต้องมาเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่ตนเองไม่ได้ก่อ พวกเขาถูกทำร้าย ถูกตามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพียงแค่เพราะว่าเป็น "ชาวยิว" แต่ถึงอย่างนั้นพี่ก็รู้สึกซาบซึ้งในความแข็งแกร่งของแอนน์ แฟรงก์ พี่นับถือในตัวเธอมากเลยค่ะ... เธอไม่เคยหมดศรัทธาในความหวัง แม้ว่าความหวัง ความฝันที่เธอต้องการจะริบหรี่ก็ตาม เธอไม่เคยท้อค่ะ แล้วน้องๆ ล่ะคะ รู้สึกกับเรื่องราวนี้ยังไงบ้าง อย่าลืมมาแชร์ความคิดเห็นนะคะ พี่น้ำผึ้งรออ่านอยู่ค่ะ ^o^
ขอขอบคุณ
www.annefrank.org
BBC History Magazine
Das Tagebuch der Anne Frank
6 ความคิดเห็น
เศร้าจุง
เป็นคนที่น่าทึ่งมาก ขนาดเจอเหตุการณ์ต่างๆขนาดนี้ยังมีความหวังอยู่เสมอ ถ้าเป็นเราคงรู้สึกหดหู่มาก สงสารชาวยิวจริงๆที่ต้องมาเจอกับเหตุการณ์อย่างนี้ สมัยนั้นโลกคงโหดร้ายน่าดูเลยยยยย รู้สึกโชคดีที่ไม่ได้เกิดในสมัยนั้น
รู้สึกว่าทุกคนในครอบครัวแอนน์จะถูกจับเข้าค่ายที่อื่นๆบางคนไปไกลถึงข้ามประเทศเลย แต่ดีที่คุณแม่ พี่สาว และแอนน์ถูกจับมาค่ายเดียวกัน
แต่คุณแม่ก็ตายจากไปก่อน (จำไม่ได้ว่าตายเพราะโรคอะไร) ทำให้พี่สาวรู้สึกท้อแท้ใจ แต่ตอนนั้นแอนน์ยังมีความหวังคะ ช่วงหลังๆมานั้นมาร์ก็อตก็ป่วย แอนน์พยายามหาอาหาร หาน้ำมาให้กินประทังชีวิตไปให้ได้ บางทีก็ได้ขนมปังที่เหลือมาจากเพื่อนชาวเยอรมันที่ถูกจับมาแต่อยู่คนละค่ายกัน
แต่มาร์ก็อตก็ตายไปก่อนแล้วแอนน์ตายทีหลัง แล้วที่เหลือรอดมาได้มีแค่พ่อของแอนน์คะ รู้สึกว่าทหารอังกฤษจะไปช่วยทัน แล้วพ่อเขาก็หาทางติดต่อและกลับมาเจอคนในสำนักงานที่สำนักงานคะ แล้วเขาก็ยื่นสมุดบันทึกนี้ให้พ่อเขาดู พ่อแอนน์เลยตัดสินใจตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้คะ
ไม่รู้ว่าข้อมูลถูกรึเปล่านะคะ เพราะแค่อ่านๆมา
ภาพปีเตอร์กับแอนน์นี่มาจากหนังเรื่องอะไรเหรอคะ จะได้ไปหามาดูบ้าง