ทำไมต้องฆ่า! ความจริงจากปาก 5 ฆาตกรต่อเนื่อง (ภาคแรก)
สวัสดีชาวนักเขียนนักอ่านเด็กดีของเราทุกคน เนื่องจากช่วงนี้ แอดมินอารมณ์ค่อนข้างมืดมัว พอได้เปิดคอม ก็เลยเลือกเข้าบทความเกี่ยวกับฆาตกรก่อนเลย (นี่อินไปไหม...?) และเพราะอย่างนี้ ในวันนี้ บทความของเราจึงเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ “ฆาตกรต่อเนื่อง” ค่ะ แอดมินเป็นคนหนึ่งที่ชอบเสพนิยายแนวฆาตกรรม สืบสวนสอบสวนเป็นอย่างมาก และอยากที่จะเขียนนิยายแนวนี้ในสักวัน (คงอีกยาวเหมือนกัน) ซึ่งจุดเด่นของนิยายแนวนี้ นอกจากพระเอกที่ชาญฉลาดแล้ว คงต้องยกให้กับ “ฆาตกร” นี่แหละ ถ้าฆาตกรฉลาดลึกซึ้ง มีความซับซ้อน ก็จะทำให้คนอ่านอย่างเราตื่นเต้นและอยากที่จะรู้ต่อว่า เรื่องนี้จะดำเนินต่อไปทางไหน หรือจะเป็นอย่างไร และทั้งหมดที่พูดมา คือเหตุผลของการทำบทความนี้ แอดมินอยากจะฟังความจริงจากปากของคนที่เป็นฆาตกรจริงๆ ว่าเขาคิดเห็นอย่างไร ทำไมถึงได้ฆ่าคนได้ และสถานการณ์นั้นๆ ส่งผลต่อเขาอย่างไรบ้าง การทำบทความนี้ เหมือนเป็นการเก็บข้อมูล เผื่อว่าจะเขียนนิยายแนวนี้ในอนาคต จะได้หยิบจับเอาความรู้สึกต่างๆ ที่ได้มาเป็นวัตถุดิบนั่นเอง (ทำบทความไปต้องได้ประโยชน์ด้วย!)
ถ้านักเขียนคนไหนอยากเขียนนิยายแนวสืบสวนสอบสวนฆาตกรรมล่ะก็ มาเก็บข้อมูลไปพร้อมๆ แอดมินเลย หรือใครอยากอ่านเฉยๆ เผื่อไว้เป็นความรู้รอบตัวก็ได้นะ น่าสนใจเหมือนกัน
เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ (Jeffrey Dahmer)
“การฆ่าเป็นแค่จุดจบ”
ถ้าค้นหาชื่อฆาตกรคนนี้ในกูเกิ้ล คำแรกที่ขึ้นมาเลยคือ “เกย์โหดกินศพ” ว่ากันว่าดาห์เมอร์เป็นหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่โหดร้ายที่สุด และสำหรับเขา “การฆ่าเป็นแค่จุดจบ” เพราะการทรมานก่อนการฆ่านั้น ทั้งโหดร้ายและเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ตลอดเวลา 13 ปี ดาห์เมอร์ข่มขืน ฆ่า และยังกินศพของ “หนุ่มหน้าตาดีที่สุด” ที่เขาหามาได้ (เจ้าตัวใช้คำแบบนี้แหละ) ที่น่ากลัวที่สุดคือ สถิติการฆ่า “หนึ่งศพต่อหนึ่งสัปดาห์” ของเขา ทำให้จำนวนเหยื่อของเขาพุ่งสูงแซงหน้าฆาตกรต่อเนื่องทุกคน ดาห์เมอร์ใช้วิธีวางยาสลบเหยื่อ จากนั้นก็ทารุณกรรมทางเพศ แล้วชำแหละร่างของเหยื่อออกเป็นชิ้นๆ ใส่โหลดองอวัยวะต่างๆ เอาไว้ เหยื่อบางคนถูกทำร้ายทั้งยังเป็นๆ จากนั้นก็ถูกนำร่างไปกิน จากการสืบสวนพบว่าดาห์เมอร์ไม่ได้แค่กินเล่นๆ หรือชิม แต่เขากินเนื้อของเหยื่อเป็นอาหารหลัก และกินต่อเนื่องเป็นเวลาหลายต่อหลายปี
“ผมแค่อยากจะให้เหยื่ออยู่ภายใต้การควบคุมแบบสมบูรณ์” นี่คือคำให้การของดาห์เมอร์ “ผมไม่สนว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร ถ้าผมให้อยู่พวกเขาต้องอยู่นานเท่าที่ผมต้องการ”
เมื่อวิเคราะห์ดูแล้ว เหตุผลที่ดาห์เมอร์มีความคิดเช่นนี้ อาจเพราะในวัยเด็ก เขาต้องต่อสู้ดิ้นรนกับความต้องการการยอมรับ ดาห์เมอร์เป็นเกย์ประเภทเก็บกด นิสัยรุนแรงและมีความสนใจเรื่องเพศสูง เขาให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้ว่า “ตั้งแต่อายุ 14-15 ผมก็เริ่มหมกมุ่นอยู่กับความรุนแรงทุกด้าน โดยเฉพาะความรุนแรงในเรื่องเซ็กส์ ทุกอย่างเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ยิ่งอายุมากขึ้น มันก็ยิ่งหนักข้อขึ้น”
เมื่อได้ฆ่าเหยื่อรายแรกนั้น ดาห์เมอร์บอกว่า “เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกได้เป็นผู้ควบคุม หลังจากฆ่าครั้งต่อมา ความรู้สึกนี้รุนแรงขึ้นและผมไม่ต้องการหยุดมัน การกินศพเหยื่อ เหมือนการได้รับอำนาจถาวร และมันทำให้ผมมีความสุขทางเพศได้มากขึ้นด้วย ผมฆ่าเพราะต้องการควบคุม มันเป็นโลกเล็กๆ ที่ผมมีอำนาจทำได้ทุกอย่าง”
จุดจบของดาห์เมอร์คือ ถูกจับได้และตัดสินให้จำคุกเป็นเวลา 957 ปี แต่เขาไม่ได้อยู่จนถึงเวลานั้นหรอก เพราะถูกนักโทษคู่อริฆาตกรรมด้วยแท่งเหล็กที่ถอดจากเครื่องออกกำลังกาย พร้อมยัดไม้กวาดเข้าไปทางทวาร เรียกว่ากรรมตามสนองก็ว่าได้
เท็ด บันดี้ (Ted Bundy)
“ผมฆ่าคนเพราะหนังโป๊”
17 ชั่วโมงก่อนถูกประหารชีวิต เท็ด บันดี้ ฆาตกรที่น่ากลัวที่สุดในประวัติศาสตร์ ผู้ได้รับฉายาว่า “ฆาตกรปัญญาชน” ให้สัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายว่า “สิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่ตอนนี้คือ... จะใช้ทุกเวลาที่เหลืออยู่อย่างสดชื่นที่สุดเท่าที่จะทำได้”
บันดี้คือฆาตกรผู้ฆ่าข่มขืนหญิงสาวหลายต่อหลายศพ ด้วยความที่เขาเป็นคนหน้าตาดี และมีเสน่ห์ ทำให้การล่อลวงเกิดขึ้นโดยง่าย เมื่อถูกจับได้และถูกขอให้อธิบายเหตุผลของการกระทำ พร้อมข้อสันนิษฐานที่ว่าเจ้าตัวคงมีช่วงเวลาวัยเด็กที่เลวร้าย บันดี้ให้การตรงกันข้าม “ผมโตมาในครอบครัวที่ดี ทุกคนรักกันและเอาใจใส่ผมเป็นอย่างดี แต่... ผมเปลี่ยนไปเพราะอุตสาหกรรมหนังโป๊” เขาจบประโยคอย่างสวยงาม ทั้งที่ในความเป็นจริง แม่ของบันดี้ท้องไม่มีพ่อ และยังทิ้งบันดี้ไปตั้งแต่ยังเล็ก เขาอยู่ในความดูแลของตากับยายมาตลอด
ต่อมา เมื่ออายุได้ 12 บันดี้เริ่มเสพติดหนังโป๊ เขาดูหนังพวกนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเลือกเรื่องที่เนื้อหารุนแรงขึ้นทุกทีๆ “ผมจะไปเฝ้าตามถังขยะของแต่ละบ้าน เพื่อค้นหาหนังพวกนี้” และครั้งหนึ่ง บันดี้กับเพื่อนค้นเจอหนังสือโป๊ที่เนื้อหาถึงพริกถึงขิง และหนังสือเล่มนั้น สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับเขา
“เหมือนเชื้อเพลิง” บันดี้สรุป “เมื่อเสพติดพวกมัน คุณจะอยากได้ของที่รุนแรงกว่า เนื้อหาดิบกว่า เถื่อนกว่า จนถึงที่สุด คุณก็จะถึงจุดที่ว่า ถ้าไม่ได้แค่อ่านล่ะ ถ้าเราได้ลองทำเองล่ะ ความรู้มันจะเป็นอย่างไร ผมเองก็ไม่ได้โทษหนังโป๊หรอกนะ แต่แค่จะบอกว่า... มันเป็นแรงบันดาลใจ เป็นตัวจุดประกายให้กับผม ทำให้ผมเสพติดพฤติกรรมรุนแรง อาจจะเป็นผมเองนี่แหละที่ปล่อยให้มันเข้ายึดครองความคิด และสุดท้าย ผมก็โหยหาความรุนแรงที่มากกว่า”
พอล เบอร์นาโด (Paul Bernardo)
“ทุกอย่างเป็นเรื่องของอำนาจและการควบคุม”
“ทุกอย่างเป็นเรื่องของอำนาจและการควบคุม” พอล เบอร์นาโด ให้การกับตำรวจหลังถูกจับกุม
พอลเป็นลูกคนที่สามของครอบครัว เขาเติบโตมาในบ้านที่พ่อใช้ความรุนแรงเป็นใหญ่ และมักตบตีทำร้ายแม่เป็นประจำ แทนที่จะเข้าข้างแม่ พอลกลับมองพ่อเป็นฮีโร่และประทับใจเวลาเห็นพ่อแสดงความโหดร้ายออกมา พ่อคือวีรบุรุษที่เขาเคารพและเทิดทูน และสุดท้าย เขาก็ถอดแบบนิสัยพ่อมาไม่ผิดเพี้ยน จุดพลิกผันเกิดขึ้นเมื่อพอลได้รู้ความจริงว่า เขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพ่อ แต่เป็นลูกชู้ และมันทำให้เขาเปลี่ยนไป พอลเข้ามหาวิทยาลัยดี ทำงานดีมีหน้ามีตา แต่กลับกลายเป็นนักข่มขืน เขาข่มขืนสาวๆ จำนวนมาก ทว่าเมื่อตำรวจเรียกตัวไปให้ปากคำ กลับกลายเป็นว่าภาพลักษณ์ของเขาทำให้ตำรวจหลงเชื่อและปล่อยตัวเขาไป
ต่อมาพอลรู้จักกับคาร์ล่า โฮมอลก้า หญิงสาวบ้านแตกผู้มีประสบการณ์โชกโชนทางเพศไม่แพ้กัน และต่อมา ทั้งคู่ก็เข้าสู่วงจรของฆาตกรโรคจิต หลังจากก่อคดีต่อเนื่องเป็นเวลา 11 ปี พอลและคาร์ล่า ถูกจับกุมตัวในที่สุด สื่อตั้งฉายาให้ทั้งคู่ว่า... คู่ฆาตกรบาร์บี้และเค็น ตรงข้ามกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดี สภาพจิตใจของทั้งคู่กลับเต็มไปด้วยความชั่วร้าย คืนวันคริสต์มาสของปีหนึ่ง คาร์ล่าได้เปิดล็อกความชั่วร้ายทั้งหมด นั่นคือมอบน้องสาวเป็นของขวัญให้กับพอล เพื่อให้เขาได้ข่มขืนและฆ่าเธอ และนั่นเอง จุดเริ่มต้นของฆาตกรรมอันโหดร้ายที่ผู้หญิงทั่วโลกต้องเผชิญ
เบอร์นาโดให้เหตุผลว่า เขากลายเป็นคนโหดร้ายเพราะความไม่มั่นคงในวัยเด็ก “เวลาอยู่ในสนามเบสบอล บ่อยครั้งที่ผมจะชะงัก ไม่กล้าตีลูก เพราะกลัวว่าจะตีไม่โดน ตอนไปร้านพิซซ่าครั้งแรก ผมไม่กล้าก้าวเข้าร้านด้วยซ้ำ เพราะกลัว”
เบอร์นาโดสรุปว่า เหตุผลที่เขาข่มขืน เป็นเพราะความกังวลเรื่องภาพลักษณ์ รวมถึงความไม่มั่นใจในตัวเอง และเพราะเหตุผลนี้ เขาถึงได้ใช้เซ็กส์เป็นตัวแทนทุกอย่าง อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกจับเข้าคุก เบอร์นาโดกลับเปลี่ยนเป็นคนละคน เขาไม่สัมผัสถึงอำนาจอีกแล้ว และยังบอกตำรวจด้วยว่า “ผมมันงั่งที่สุดในจักรวาลเลย”
อนาโตลี อโนพรินโก (Anatoly Onoprienko)
“ถ้าได้ออกจากคุกเมื่อไหร่ ผมก็จะฆ่าอีก”
เจ้าของฉายา “เดรัจฉานแห่งยูเครน” กับวลีเด็ด “ฆ่าคนเหมือนชำแหละผ้านวม” อนาโตลี อโนพรินโก ผู้ประกาศว่าฆ่าคนไปทั้งหมด 52 คน ภายในเวลา 17 ปี! จุดเด่นในการฆ่าของเขาคือ “ฆ่ายกครัว” โดยอโนพรินโกจะเลือกบ้านที่อยู่ห่างไกลความเจริญและจัดการทั้งครอบครัว อย่างรวดเร็วฉับไว ไม่ให้ใครเหลือรอดไปได้
“การฆ่าของผมมีความหมายเหมือนการชำแหละผ้านวม ผู้ชาย ผู้หญิง คนแก่ เด็ก ก็เหมือนกันหมด” อโนพรินโกให้การหลังถูกจับกุม “ผมไม่เคยเสียใจที่ฆ่าพวกเขา ไม่มีความรู้สึกใดๆ จะให้ แม้แต่คนตาบอดผมก็ไม่สนใจ ผมไม่แยกแยะใคร ทุกคนเหมือนกันหมด และผมทำไปเพื่อรับใช้ซาตาน”
จากประโยคสุดท้าย อโนพรินโกถูกเข้ากระบวนการวิเคราะห์ เพื่อตรวจสอบปัญหาทางจิต ทว่าแพทย์ไม่พบความผิดปกติใดๆ ในตัวเขา นอกจากนี้ ยังกลายเป็นว่าเขามีสติและควบคุมตัวเองได้ดีเยี่ยม อโนพรินโกยังบอกว่า “ผมถูกควบคุมโดยพลังที่เหนือกว่า เหมือนเป็นแรงขับ ผมฆ่าพี่ชายของภรรยาคนแรก เพราะเกลียดเธอ ผมอยากฆ่าเธอเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ทำเพราะไม่ได้รับคำสั่ง ผมเฝ้ารอคำสั่งนี้มาตลอด แต่ไม่เคยได้รับ”
เนื่องจากยูเครนไม่มีนโยบายประหารชีวิต อโนพรินโกจึงต้องโทษจำคุกแทน อย่างไรก็ตาม เขาสรุปทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้าออกจากคุกเมื่อไหร่ ผมก็จะฆ่าอีก และครั้งนี้ มันต้องเลวร้ายกว่าเดิมสิบเท่า”
หยางซินไห่ (Yang Xinhai)
“ฆ่าคนเป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรพิเศษ”
ฆาตกรต่อเนื่องที่โหดร้ายที่สุดของจีน และยังโด่งดังไปทั่วเอเชีย เขาเป็นฆาตกรที่ฆ่าคนมากที่สุดในประวัติศาสตร์จีน รวมทั้งหมด 67 ศพ ด้วยวิธีการลอบเข้าไปในบ้าน แล้วข่มขืนและฆ่ายกครัว เหยื่อของหยางส่วนใหญ่จะเป็นชาวนา และถ้าเป็นผู้หญิงจะถูกข่มขืนก่อนเสมอ เมื่อถูกจับกุมตัวได้ หยางได้ฉายาจากสื่อจีนว่า “ฆาตกรปีศาจ”
ส่วนเหตุผลของการฆ่านั้น หยางอ้างว่า เป็นเพราะการเลิกรากับแฟนสาว มันทำให้เขาเคียดแค้นสังคมและจงใจทำตัวเป็นปรปักษ์ เขาให้การว่า “ผมก่ออาชญากรรมเพื่อทำร้ายผู้คน และแก้แค้นสังคม” และยังประกาศก่อนถูกประหารด้วยว่า “ผมไม่สนใจจะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนี้ และไม่จำเป็นต้องใส่ใจมัน เวลาฆ่าคน ผมมีแรงบันดาลใจ ยิ่งมีแรงบันดาลใจมาก ก็ยิ่งอยากฆ่าต่อ ผมไม่เคยว่าใครจะอยู่หรือตาย มันไม่ใช่เรื่องของผม”
หยางถูกตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า ซึ่งเขายอมรับอย่างสงบเฉย มีการสันนิษฐานว่า อาจเป็นเพราะหยางติดเชื้อเอชไอวีจากเหยื่อที่เขาข่มขืน อย่างไรก็ตาม คำทิ้งท้ายตอนจบของฆาตกรผู้นี้ ทำให้คนในสังคมต้องจดจำไปอีกนาน
“ฆ่าคนเป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรพิเศษ”
ทีมงานนักเขียนเด็กดี
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
http://listverse.com/2017/01/06/10-serial-killers-on-why-they-did-it-in-their-own-words/
https://my.dek-d.com/anzu/story/view.php?id=676433
http://murderpedia.org/male.X/x/xinhai-yang.htm
http://murderatthedoor.com/onoprienko/
http://crimefeed.com/2016/08/the-ken-barbie-killers-where-is-karla-homolka-today/
http://www.the-line-up.com/ted-bundy-twisted-confessions/
6 ความคิดเห็น
ขอภาคต่อไปด้วยค่ะ
พลีสสสส
อยากอ่านภาคต่อไปเร็วๆจัง
อ่านเรื่องนี้แล้วทำให้ได้รู้เจตนาในการฆ่าและได้ความรู้ในการที่จะไปเขียนนิยายด้วย
แต่ละคนน่ากลัวจริงๆ ค่ะ แต่ส่วนใหญ่ปมก็มาจากครอบครัวที่ใช้ความรุนแรง แบบนี้ก็คงเรียกว่าพ่อแม่รังแกฉันได้เหมือนกัน ขอบคุณที่รวบรวมความรู้มาฝากนะคะ รอภาคต่อไปค่ะ
อยากอ่านต่อแล้วววววว
อนาโตลีอย่าให้ออกมานะ กลัวแล้วววTT
อยากอ่านต่อล้าวววว