วิจารณ์หนังสือ : #ไปใช้ชีวิตซะ
อ่านแล้วชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปตลอดกาล
สวัสดีชาวไรเตอร์ทุกคนค่ะ พี่เชื่อว่าน้องๆ คงต้องรู้จัก Dr.Pop หรือ ดร.ป๊อบ กันใช่มั้ยล่ะคะ เขาเป็นนักเขียนนิยายไซไฟแฟนตาซีชื่อดังที่แจ้งเกิดจากเว็บไซต์เด็กดี และทุกครั้งที่นิยายของเขาวางแผงก็จะขึ้นเป็น Best Seller ตลอด ไม่ว่าจะเป็น The White Road, Girls and a Doll, หรือจะเป็น Fate Diary ซึ่งในวันนี้ Dr.Pop นักเขียนคนเก่งก็คัมแบ็คอีกครั้งพร้อมผลงานเล่มใหม่มาให้แฟนๆ ได้อ่านกัน ที่สำคัญงานเขียนเล่มนี้ไม่ใช่นวนิยาย แต่เป็นแนว How-To พัฒนาตนเองต่างหาก
เห็นหน้าน้องๆ หลายคนเริ่มอ้าปากหวออย่างตะลึง บางคนอาจสงสัยในใจ อะไรกัน จากนักเขียนนิยายทำไมมาเขียนแนวนี้ได้ ถ้าใครเริ่มตั้งคำถามนี้แล้วล่ะก็ พี่น้ำผึ้งขอแนะนำให้ไปอ่านบทสัมภาษณ์ “Dr.Pop กับบทบาทใหม่เพื่อช่วยปลดล็อคชีวิตคน #ไปใช้ชีวิตซะ” ค่ะ
#ไปใช้ชีวิตซะ
สำนักพิมพ์ Amarin How-To
แน่นอนว่าหลังจากที่ดร.ป๊อบได้คลอดหนังสือเรื่อง “#ไปใช้ชีวิตซะ” ออกมา พี่น้ำผึ้งกลัวตกเทรนด์ค่ะ รีบไปงานหนังสือแล้วสอยมาอ่านทันทีทันใด ใช้เวลาอ่านรวมๆ ประมาณสี่ชั่วโมงนิดๆ ได้ถึงจะจบ นับว่าเร็วมากเมื่อเทียบกับการอ่านหนังสือจิตวิทยาอื่นๆ ที่พี่เคยอ่าน แฮะๆ
น้องๆ คะ หลังจากที่อ่านจบ พี่พบว่ามันคือ “ของขวัญสุดพิเศษ” ที่พี่มอบให้แก่ตัวเอง คิดไม่ผิดเลยค่ะที่อ่าน เพราะมันดีมาก ดีจริงๆ และพี่ก็อดไม่ได้ที่จะรีบมาเขียนรีวิวให้น้องๆ ชาวเด็กดีได้อ่านกัน หลายคนเริ่มอยากรู้แล้วสิว่าเป็นยังไง ถ้าอย่างนั้นเลื่อนลงมาเลยดีกว่าค่ะ ^___^
คำโปรยหลังปก
ทำไมคุณยังทุกข์กับเรื่องเดิม ๆ ?
ทำไมคุณไม่อาจรักตัวเองและคนสำคัญในชีวิตได้หมดใจ?
ทำไมคุณคุณประสบความสำเร็จไม่ได้ดั่งใจ
ใช่ มีบางสิ่งฉุดรั้งไว้คุณไว้
คุณกำลังเหยียบย่ำหนามแห่งความทุกข์จนปวดใจ
ยกเท้าคุณขึ้นมาได้แล้ว!
หนังสือเรื่อง ไปใช้ชีวิตซะ จะทำให้คุณพาตัวเองมาพบกับมิติใหม่ของการพัฒนาตัวเองด้วยจิตวิทยาการสื่อประสาท หรือ NLP (Neuro-Linguistic Programming) เทคโนโลยีใหม่ทางด้านจิตวิทยาที่ใช้ปลดล๊อคศักยภาพที่ซ่อนเร้นของคุณจากจิตใต้สำนึก คุณจะได้ยกระดับความรัก ความสัมพันธ์ การงาน การเงิน และจิตวิญญาณได้ทันใจ ยิ่งคุณเรียนรู้สิ่งนี้เร็วมากเท่าไหร่ ชีวิตคุณยิ่งไปได้ไกลกว่าคนอื่นเท่านั้น
หนังสือเล่มนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับ:
- ผู้ที่อยากเอาชนะความทุกข์เดิมๆที่ฉุดรั้งชีวิต
- ผู้ที่ต้องการบรรลุเป้าหมายอย่างโดดเด่น
- ผู้ที่อยากรู้เทคนิคจิตวิทยาขั้นสูงที่เข้าใจง่ายเพื่อพัฒนาตัวเอง
- ผู้ที่อยากพัฒนาความสัมพันธ์และการสื่อสารกับคนรอบกาย
- ผู้ที่ต้องการขจัดแผลใจเพื่ออยู่กับปัจจุบันได้อย่างยอดเยี่ยม
- ทุกคนที่พร้อมยกระดับความสุขสู่ชีวิตไร้ขีดจำกัด
เขียนโดยอาจารย์ป๊อบ – ฐาวรา สิริพิพัฒน์ (นามปากกา Dr.Pop) เจ้าของหนังสือ Best Seller กว่า 19 เล่ม ผู้ดำรงตำแหน่งอาจารย์และเทรนเนอร์ผู้เชี่ยวชายด้านจิตวิทยาการสื่อประสาท (Certified NLP Trainer) แต่งตั้งโดยตรงจากจอห์น กรินเดอร์ ผู้คิดค้น NLP แห่งสถาบัน NLP Academy ประเทศอังกฤษ และสังกัดสภาเทรนเนอร์ NLP นานาชาติ ITA
คุณอยากจะมีชีวิตใหม่ดั่งใจวันนี้?
หรือคุณจะผลัดวันการมีชีวิตดี ๆ ต่อไป?
ถึงเวลาตัดสินใจ
ความรู้สึกก่อนอ่าน
แค่เห็นหลังปกก็ชวนดึงดูดเงินในกระเป๋าแล้วค่ะน้องขา ต้องแอบกระซิบก่อนว่าพี่เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือแนวฮาวทูเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอรู้ว่าดร.ป๊อบเป็นคนเขียนหนังสือเล่มนี้ก็รู้สึกสนใจเป็นพิเศษและตื่นเต้นมากๆ ที่จะได้อ่าน
พี่เชื่อว่าใครๆ ก็อยากมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม มีความสุขขึ้นกว่าเดิม และประสบความสำเร็จในทุกๆ เรื่องใช่มั้ยคะ พี่เองก็เช่นกัน และพี่ก็คาดหวังว่าหนังสือไปใช้ชีวิตซะเล่มนี้จะช่วยปลดล็อคอะไรบางอย่างในตัวพี่ออกมาได้ แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ค่ะ
ความรู้สึกหลังอ่าน
ฉีกกฎหนังสือฮาวทูแบบเดิมๆ
สำหรับเกมทั้ง 13 เกมที่สอดแทรกในแต่ละบทนั้นช่วยทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น รู้สึกดีกับผู้คนมากขึ้น ทำให้เรารู้จักความสุขที่แท้จริงมากขึ้น ที่สำคัญช่วยให้เราเห็นเส้นทางในการไปสู่จุดหมายได้มากขึ้น ชัดเจนขึ้น มีอยู่เกมหนึ่งที่พี่ชอบมากๆ มันชื่อว่า “Ultimate Goal” มันคือเกมที่ช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายที่ต้องการ หลังจากทำจบพี่เห็นภาพตัวเองไปถึงเป้าหมายนั้นอย่างภาคภูมิใจ และพี่มั่นใจว่าทำมันได้แน่นอน
อีกทั้งการมีนิยายสั้นๆ ประกอบช่วยให้เราเข้าใจในบทเรียนนั้นๆ ได้มากขึ้น และยังช่วยกระตุ้นให้เรามีแรงบันดาลใจในการพัฒนาตนเองสม่ำเสมอ แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่นิยายสั้นๆ แต่ผู้เขียนทำได้ดีมาก เพราะมันทำให้คนอ่านจะต้องรู้สึกตราตรึง ประทับใจ และต้องการจะเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น (กระซิบเลยว่าพี่น้ำผึ้งเสียน้ำตาไปเยอะมาก ToT)
ภาษาเริ่ด เหมือนมีคนคอยกระซิบอยู่ข้างๆ
น้องๆ เคยอ่านหนังสือจิตวิทยามั้ยคะ คิดว่าน่าเบื่อหรือเปล่า มีหลายครั้งที่พี่อ่านไม่จบเพราะพี่รู้สึกว่ามันยาวเป็นพรืด สำนวนน่าเบื่อจังเลย หนีไปอ่านนิยายดีกว่า แต่ความรู้สึกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับพี่ตอนที่อ่านหนังสือ “ไปใช้ชีวิตซะ” เลยนะคะ ตรงกันข้าม พี่กลับรู้สึกสนุกไปกับมัน อินไปกับเรื่องที่ผู้เขียนถ่ายทอด ในพาร์ทนิยายอ่านเพลิดเพลินเหมือนมีเพื่อนมาเล่าให้ฟัง ให้ความรู้สึกเหมือนกับอ่านนวนิยายมากกว่าอ่านหนังสือฮาวทู
ขณะที่ในพาร์ทบทเรียนนั้นอ่านแล้วรู้สึกเหมือนกับว่าดร.ป๊อบกำลังนั่งอยู่ข้างๆ คอยปลุกพลัง กระตุ้น และทำให้เราตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เชื่อมั้ยคะว่าพี่ได้ยินเสียงดร.ป๊อบวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น “ทุกคนต้องรับผิดชอบพฤติกรรมตัวเอง” (ดร.ป๊อบ, หน้า 242) “ทุกคนทำดีที่สุดแล้วในแบบที่ตัวเองทำได้” (ดร.ป๊อบ, หน้า 233) หรือจะเป็น “ชีวิตมนุษย์ไร้ขีดจำกัดและอยู่เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นเสมอ” (ดร.ป๊อบ, หน้า 137) คำพูดเหล่านี้แหละค่ะที่คอยกระตุ้นพี่ด้วยน้ำเสียงแบบ Live สดในแฟนเพจ Dr.Pop และนั่นทำให้พี่อ่านหนังสือเล่มนี้จบอย่างรวดเร็ว
พี่ขอบอกเลยว่าด้วยสำนวนการเขียนของเขานี่แหละที่ทำให้พี่ไม่รู้สึกเบื่อเวลาอ่าน อ่านได้เรื่อยๆ อ่านไปอ่านมา อ้าวอ่านจบแล้ว คือมันเพลินมากค่ะ เพลินจริงๆ เรียกได้ว่าฉีกกรอบหนังสือพัฒนาตัวเองไปเลย
จิตวิทยาแนวใหม่
สำหรับหลักทางจิตวิทยาที่ดร.ป๊อบนำมาใช้อธิบายในเรื่องไม่ใช่จิตวิทยาธรรมดาๆ ที่รู้จักกันทั่วไปแบบซิกมุนด์ ฟรอยด์ แต่มันคือจิตวิทยาภาษาสื่อประสาท หรือ NLP (Neuro-Linguistic Programming) ซึ่งก่อตั้งโดยจอห์น กรินเดอร์ เจ้าของสถาบัน NLP Academy ประเทศอังกฤษ มันคือเทคโนโลยีใหม่ทางด้านจิตวิทยาที่ใช้ปลดล็อคศักยภาพที่ซ่อนเร้นของเราจากจิตใต้สำนึก เราจะได้ยกระดับความรัก ความสัมพันธ์ การงาน การเงิน และจิตวิญญาณได้ทันใจ ซึ่งพูดเลยว่า มันยกได้ทันใจจริงๆ เพราะระหว่างที่อ่านเราจะได้ตกตะกอน ได้แง่คิดต่างๆ ที่พี่ชอบมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องการเล่นกับจิตใต้สำนึกของเรา มันทำให้รู้สึกบวกกับทุกสิ่งทุกอย่าง ต่อให้เจอปัญหามาถาโถมเราก็ยังคงรู้สึกบวกอยู่ นับว่าดีมากเลยค่ะ เพราะคงไม่มีใครอยากจมปักอยู่กับความทุกข์เดิมๆ หรอกใช่มั้ยคะ? ^^
นอกจากนี้ภายในหนังสือยังสอดแทรกหลักจิตวิทยาอีกมากมายที่ทางดร.ป๊อบได้เรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นกฎแรงดึงดูด (Law of Attraction) ที่เปลี่ยนมุมมองเราให้เข้าใจกฎนี้มากขึ้น อ่านแล้วพี่ถึงกับ... “อ๋อ นี่ฉันเข้าใจผิดมาตลอดเลยหรอ ขอบคุณพี่ป๊อบที่ช่วยทำให้กระจ่าง” เลยค่ะ หรือจะเป็นหลัก RAS หรือ Reticular Activating System ที่พี่คิดว่ามันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากๆ เพราะนี่ก็คืออีกหนึ่งหัวใจสำคัญในการช่วยให้เราประสบความสำเร็จแบบอัลลิมิเต็ด ถ้าหากน้องๆ อยากรู้ว่ามันคืออะไรต้องอ่านค่ะ!
ไปใช้ชีวิตซะ ไม่ได้ใช้แค่หลักทางจิตวิทยา แต่ยังผสมผสานไปด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา หลายครั้งที่พี่รู้สึกว่าจริงๆ แล้วมันคือหลักทางศาสนา แต่ดร.ป๊อบนำมาประยุกต์ได้อย่างไม่น่าเบื่อ หรือจะเป็นความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์เช่นเรื่องของสมอง ที่จะทำให้น้องๆ ร้อง โอ้โห ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยค่ะ
สิ่งที่ได้หลังอ่านจบ
พี่น้ำผึ้งกล้าพูดได้เลยว่าพี่ได้ปลดล็อคชีวิตตัวเองจริงๆ หนังสือเล่มนี้เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อโลกไปได้หลายอย่าง ทำให้เราเข้าใจตัวเองและผู้อื่นมากขึ้น ทำให้เรามองเห็นเป้าหมายของตัวเองชัดเจน พี่รู้สึกว่าทุกวันของพี่มีแต่ความสุข ชีวิตดี๊ดี ทำอะไรก็มีพลังไปหมด
นอกจากนี้การที่ผู้เขียนได้ทวนซ้ำในถึงสิ่งที่กล่าวถึงมาตั้งแต่แรกในทุกๆ บททำให้พี่ไม่ลืมและตระหนักรู้ทุกครั้งที่อ่าน พี่เชื่อว่าถ้าน้องได้อ่าน ชีวิตน้องจะเปลี่ยนไปเหมือนพี่ ถ้าน้องทำตามที่อย่างที่ผู้เขียนแนะนำนะคะ
อ่านยังไงให้ได้ผล
เหนือสิ่งอื่นใด ต่อให้หนังสือดีเลิศเลอประเสริฐศรีแค่ไหน แต่ถ้าเราไม่ได้ทำตามคำแนะนำของหนังสือ กล่าวคือ ไม่ทำแบบฝึกหัด ไม่เปิดใจให้กว้าง แถมยังอ่านด้วยอคติ อ่านไปงั้นๆ พี่ว่าอ่านไปก็ไม่ได้ผลหรอกค่ะ เสียเวลาเปล่า และมันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าเราไม่นำไปใช้ ไม่นำไปปฏิบัติในชีวิตจริง อ่านแล้วจดและทำ เชื่อเถอะว่ามันจะได้ผลแน่นอน พี่เชื่อว่าหลังอ่านจบน้องๆ จะต้องกลายเป็นคนใหม่ คนที่มีความสุข มีแต่คนรัก และประสบความสำเร็จในทุกๆ เรื่องแน่นอนค่ะ ขอแค่ปฏิบัติตามที่หนังสือบอกและนำไปใช้จริง เชื่อพี่เถอะ พี่ลองมาแล้ว ^_^
2.
3.
18 ความคิดเห็น
ประเดิม
อยากเขียนนิยายที่เป็นความฝันให้จบ แล้วอยากให้คนอื่นได้อ่านมันแล้วบอกว่าสนุก และอยากให้พวกเค้ามีความสุขความสนุกจากนิยายของเรา เขิน



ให้ความรักค่ะ อยากจะเป็นคนที่ทุกคนคุยด้วยอยู่ด้วยแล้วมีความสุข ทำให้คนรอบข้างลืมความทุกข์ไปได้
เป้าหมายในการเกิดมาบนโลกนี้ของหนู คือการเรียนจบปริญญาเอกทางธรรม(การสำเร็จเป็นพระอรหันต์) หนูเชื่อว่าผู้หญิงก็สามารถบรรลุธรรมได้ไม่ต่างจากผู้ชาย ผู้หญิงที่บรรลุธรรมในสมัยพุทธกาลก็มีมากมาย นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้หนูมาบวชที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น หนูบวชได้ ปีกว่าแล้ว หนูลาออกจากมหาลัยซึ่งตอนนั้นเรียนอยู่ปีหนึ่ง ด้วยเหตุผลว่าถ้าหนูเรียนจบแล้วค่อยมาบวชมันก็สายเสียแล้วเพราะหลวงพ่อท่านจะละสังขาลในอีกไม่นาน หนูได้เจอครูบาอาจารย์ที่ใช่แล้ว ถ้าหนูไม่คว้าโอกาสนั้นไว้มันก็น่าเสียดาย หนูไม่รู้ว่าจะไปหาครูบาอาจารย์แบบนี้ได้อีกที่ไหน และอีกอย่างหนูอยากสอนธรรมะขั้นสูงให้กับแม่ อยากพาแม่เข้าวัดมาปฏิบัติธรรม และอยากทำให้หลวงพ่อภูมิใจที่มีลูกศิษย์ที่ตั้งใจปฏิบัติจนถึงจุดหมายปลายทางแล้วออกไปช่วยเหลือผู้คน ถึงตอนนี้หนูจะยังไม่บรรลุในมรรคผลนิพพาน เหมือนที่หลวงพ่อท่านทำให้ถึงแล้ว แต่หนูก็มีความเชื่อว่าสักวันนึงมันต้องมาถึง เพราะหนูจะไม่มีวันหยุดเดินเด็ดขาด
สรุป.เป้าหมายหลักๆของหนูมี3ข้อ 1.บรรลุอรหันต์
2.สอนธรรมะให้กับแม่ พาแม่ปฏิบัติธรรม
3.ทำให้หลวงพ่อภูมิใจ และเป้าหมายรองลงมา คือข้อ4. เผยแผ่ธรรมะ ให้กับเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย หนูเชื่อว่าคนที่เกิดมาบนโลกใบนี้ไม่มีใครไม่มีทุกข์ เพราะแค่เกิด ก็ทุกข์แล้ว .
ขอเพิ่มเติมอีกนิดนะคะ ...สิ่งที่เป็นแรงผลักดันที่ทำให้หนูอยากสำเร็จเป็นพระอรหันต์ คือการที่หลวงพ่อป่วย หนูเคยถามพระชีและผู้ที่อยู่ใกล้ชิดที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อหลายๆคน ส่วนมากมีคำตอบว่าไม่รู้ หรือหาวิถีทางทุกอย่างแล้ว ไปกราบขอให้ท่านอยู่ต่อแล้วก็แล้ว สร้างเจดีย์แล้วก็แล้ว(ความจริงคือการสร้างเจดีย์ทำให้หลวงพ่ออยู่ต่อได้ เพราะถ้าไม่มีหลวงพ่อ เจดีย์ก็ไม่มีทางสร้างเสร็จ เพราะท่านมีบารมีมาก ซึ่งท่านก็เคยพูดไว้ ว่าเทวดามาขอให้หลวงพ่ออยู่ต่อเพื่อสร้างเจดีย์ให้เสร็จ)
เคยมีพี่ชีคนนึง (ท่านบวชได้9ปีแล้ว ) ท่านบอกว่าถ้ามีคนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ อาจจะช่วยเสริมบารมีให้หลวงพ่อ ท่านอาจจะหายป่วยได้ หนูไม่รู้หรอก ว่าสิ่งที่พี่ชีท่านนั้นพูดมันจะเป็นความจริงมั้ย แต่หนูก็จะทำ
ขอบคุณค่ะ
เป้าหมายที่วางเป้าหมายคือ ด้านอาชีพที่ทำอยู่คะ ปัจจุบัน ประกอบอาชีพครู เป้าหมายที่ตั้งเอาไว้คือเทอมหน้านี้จะต้องเป็นครูมีความสุขและ มีทัศนะคติที่ดีต่อเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในรายวิชาที่สอน และงานที่ได้รับเพิ่มเติม และปัญหาที่เกิดขึ้นกับเด็กไม่ว่าจะด้านการเรียนและด้านอื่นๆ เพราะดิฉันคิดว่าหากดิฉันมีทัศนะคติที่ดีและสามารถมองหาข้อดีของทุกเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ คนแรกเลยที่จะเกิดความสุขในทันทีคือตัวดิฉันเอง และเมื่อดิฉันคือความสุขเคลื่อนที่ คนที่อยู่รอบข้างของดิฉันจะได้รับความสุขนั้นเช่นกัน ฉันมองเห็นภาพนักเรียนที่มีความสุขในชั่วโมงสอนของดิฉัน เห็นตัวเองที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะในทุกคาบเรียน
เป้าหมายในชีวิตของผม คือ มีความสุข มีชีวิตที่เรียบง่าย มีความสมดุลของชีวิตทั้งด้านสุขภาพกาย สุขภาพใจ ครอบครัว สังคม การงาน การเงิน เป็นอภิชาตบุตรของพ่อแม่ เป็นคนที่สร้างคุณค่าให้กับผู้อื่น เป็นพลเมืองดีของสังคม ประสบความสำเร็จทั้งในทางโลกและทางธรรม
เพื่อตัวเองอยากประสบผลสำเร็จของชีวิต อยากเก่งภาษา เพื่อครอบครัว อยากให้ครอบครัวสบาย เพื่อโลกคือ อยากนำความรู้ที่ใช้ไปพัฒนาไปสอนให้รุ่นน้องและคนที่ต้องการอยากจะรู้เรื่องนี้ค่ะ^^
อยากเลิกคิดมากเรื่องเล็กๆน้อยๆ และก็หันมาโฟกัสกับการทำความฝันให้เป็นจริง ซึ่งความฝันที่คิดไว้ว่าชีวิตนี้อยากทำให้สำเร็จให้ได้มีสองอย่าง คือ 1. เป็นนักวิจัยที่สร้างผลงานที่นำชื่อเสียงมาสู่ตัวเอง ครอบครัว และประเทศไทย และอยากให้งานวิจัยของเรานำมาใช้พัฒนาประเทศ และทำให้โลกนี้เจริญก้าวหน้าขึ้นได้ (ตอนนี้กำลังจะเป็นนศ.คณะวิทยาศาสตร์ ทุนพสวท.)
2. อยากเขียนนิยายบอกเล่าเรื่องราวในจินตนาการที่สั่งสมมาตั้งแต่วัยเด็กให้เป็นที่จดจำของผู้อ่าน
ขณะเดียวกันก็อยากสร้างความทรงจำดีๆกับเพื่อน ครอบครัว และคนที่รักด้วยค่ะ
เลี้ยงดูพ่อแม่และครอบครัวให้สุขสบายที่สุดเขียนนิยายออกมาเพื่อให้คนได้หันกลับมารักโลกและธรรมขาติมากขึ้นถึงตอนนี้ยอดวิวจะต่ำเรี่ยดินก็ไม่หวั่นจะมุ่งหน้าอัพต่อไปถึงจะมีคนอ่านเพียงหนึ่ง แต่เป็นหนึ่งที่พลิกโลกได้ ผมยอม!!
เป้าหมายในชีวิตของตัวเองคือ อยากเป็นนักเขียนค่ะ ไม่ได้ตั้งความหวังว่างานเขียนหรือตัวเองจะต้องโด่งดัง แต่อยากให้งานเขียนของเราสามารถเป็นแรงบันดาลใจหรือเป็นต้นแบบที่ดีให้กับคนอื่นๆ ได้ค่ะ
ถามว่าเป้าหมายนี้สำคัญกับคนที่เรารักยังไง โดยส่วนตัวเราเชื่อว่า ถ้าเป้าหมายเราประกอบด้วยความหวังดีกับคนรอบข้าง มันก็จะทำให้ทัศนคติของเราดีขึ้น สุขภาพจิตดี มีผลโดยตรงกับคนรอบข้างเราแน่นอนค่ะ เพราะนั่นแสดงว่าพื้นฐานเราต้องหวังดีกับคนที่เรารักก่อน ถึงจะกระจายไปยังคนอื่นๆ ได้ค่ะ
หนังสือเล่มนี้น่าสนใจมากๆ เลย ถ้าไม่ได้รับเลือก ก็คิดว่าต้องไปซื้ออ่านแน่นอนค่ะ ^^
1.เพื่อตัวเอง
อยากจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อตัวเองได้โดยที่ไม่ลังเลและสับสนค่ะ เพราะว่าปกติตัวหนูเองเป็นคนที่ลังเล ตัดสินใจอะไรเองไม่ค่อยจะได้ กลัวทุกอย่าง กลัวว่าเราทำอะไรลงไปแล้วจะเป็นสิ่งที่ผิด ดูเหมือนเราเป็นคนชอบพึ่งคนอื่นไปเลย ก็เลยอยากจะกลายเป็นคนที่มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตัวเองมากขึ้น ไม่ประมาทเวลาทำอะไร กล้าลงมือทำในสิ่งที่อยากทำ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลังแบบที่เป็นอยู่
2.เพื่อคนที่รัก
อยากเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนที่แคร์คนอื่นมากขึ้น เพราะเรามัวแต่ทำฟอร์ม เวลาเพื่อนงอนเราจะคืดเสมอว่าเออเพื่อนผิด จะง้อทำไม ฉันอยู่ของฉันคนเดียวได้ ไรงี้อ่ะค่ะ ทั้งที่ไม่ได้คิดเลย ว่าบางครั้งเราก็เป็นฝ่ายผิด เพื่อนๆเลยมักคิดว่าเราไม่แคร์คนอื่นซักเท่าไหร่ เป็นแค่คนที่เฮฮาบ้าๆทั้งวัน ไม่ห่วงความรู้สึกใคร แต่ที่จริงเราก็แคร์บ้างนะคะ แค่เราไม่ได้แสดงออก จนดูเหมือนเรากลายเป็นเฉยชากับความรู้สึกคนอื่นไป ก็เลยตั้งเป้าหมายไว้ ว่าต่อแต่นี้ จะเริ่มใหม่ ทำตัวเองให้ดีขึ้น เพื่อคนรอบข้างและคนที่รักค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ^^
เป้าหมายที่วางไว้คือ อยากทำในสิ่งที่คนคิดว่า -เด็กคนนี้ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง สอบโน้นนี่ก็ไม่ติด และอยากทำให้พ่อแม่สบาย ถามว่าเป้าหมายนี้สำคัญขนาดไหน ก็สำคัญที่สุดในชีวิตอ่ะคะ การที่พ่อแม่สบาย และเห็นลูกเลี้ยงดูท่าน มันคือการตอบแทนพระคุณด้วยความสุขของเราคะ และการเอาชนะตัว(ระหว่างทาง)คือที่สุดของที่สุดคะ ;)
หาสิ่งที่ชอบ สิ่งที่อยากทำ ลองทำหลายๆอย่างเป็นครั้งแรกของชีวิต เป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก คิดว่าการเป็นคนที่มีความสุขอะไรๆรอบตัวก็ดูดีไปซะทุกอย่าง แต่ก่อนเป็นคนที่อยากทำแบบนั้นแบบนี้เหมือนคนอื่น เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เกเรสารพัด อยากได้อยากมีตามประสาวัยรุ่นทั่วไป ซึ่งตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่ก็ได้เจอกับเพื่อนคนนึง ตอนแรกสิ่งต่างๆที่เป็นเพื่อนคนนี้ทำให้หงุดหงิดมากๆ รู้สึกไม่ชอบหน้า หงุดหงิดไปซะหมด ทำอะไรก็ขัดหูขัดตาไปหมด แต่สิ่งที่ทำให้ความคิดเปลี่ยนคือการที่ต้องรับเพื่อนคนนี้เข้ามาอยู่ใกล้ๆ แรกๆก็สะบัดหน้า พูดจาไม่ดีใส่เพื่อนแต่ก็ไม่เห็นว่าเขาจะเป็นอะไร และก็ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนวันนึงรู้สึกแย่มากๆที่ไม่เห็นว่าเพื่อนเปลี่ยนไปทั้งๆที่เราก็ว่าเขาอยู่บ่อยๆ เลยทำให้สงสัยว่าเพื่อนไม่รู้สึกแย่บ้างหรอที่โดนเราทำท่าไม่พอใจใส่ ทำอะไรไม่ดีใส่หลายๆอย่าง พอคิดแบบนั้นก็เลยกลายเป็นคอยสังเกตเพื่อนคนนี้ตลอด สังเกตไปเรื่อยๆเวลาเพื่อนโดนว่าก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร ก็ยังใช้ชีวิตสบายๆเหมือนเดิม ไม่เห็นว่าเขาหนักใจอะไร จนในที่สุดก็ทนไม่ไหวเลยถามเพื่อนว่าทำไมถึงได้ไม่ทุกข์ร้อนอะไรขนาดนี้ ไม่โกรธ ไม่พอใจสักนิดไหม เพื่อนเขาบอกว่าก็เป็นนะแต่พอคิดว่าเราเป็นแบบนั้นจริงๆก็เลยไม่ได้คิดอะไร จะให้เปลี่ยนมันก็ยากเพราะรู้ว่าเปลี่ยนแล้วไม่สบายใจก็เลยไม่เปลี่ยน คนอื่นไม่ชอบก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก แค่ไม่ทำให้เพื่อนรู้สึกอยากว่ามากกว่าเดิมก็พอ เลยคิดมาตลอดว่าอยากจะใช้ชิวิตสโลไลฟ์ สบายๆไม่ต้องคิดอะไรมากเกินไปก็พอ ถึงทุกวันนี้จะยังมีนิสัยอยากมีนู่นนี่นั่นเยอะแยะไปหมด แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันแย่สุดๆเท่าเดิมแล้ว เพราะไม่ได้เก็บเอาทุกเรื่องมาคิดเหมือนเดิมอีกแล้ว แต่คิดว่าจะปรับตัวไปเรื่อยๆ หาสิ่งที่เข้ากับตัวเรา ลองไปเรื่อยๆก็สนุกดี
เป็นคนที่คู่ควรกับความรักที่ได้รับ ยอมรับว่าเป็นคนที่เอาแต่ใจและเอาตัวเองเป็นใหญ่เสมอ เพราะเป็นหลานคนแรกของทางบ้านแม่ มีแต่คนตามใจ มองไปทางไหนก็มีแต่คนรัก ไม่ต้องพยายาม จนกระทั่งมีน้องเพิ่มมาอีกคน ก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมา เลยกลายเป็นทำตัวเรียกร้องความสนใจ ทำทุกอย่าง แกล้งน้อง หาเรื่องปวดหัว ทำนิสัยแย่ๆ ต่อยตีกับเพื่อน ไม่ตั้งใจเรียน ทำตัวเป็นเด็กเก็บกดไม่พูดคุยกันให้รู้เรื่อง จนคนที่เรารักว่า เขาว่าเราแย่มากๆเป็นคนเห็นแก่ตัว หาเรื่องปวดหัวให้ตลอด แต่เราก็ค้านหัวชนฝาว่าเราไม่ผิด คนที่ผิดคือพวกเขาต่างหากที่ไม่สนใจเรา เขาเลยบอกว่าพวกเขาให้เราทุกอย่างตั้งแต่เด็กจนโตอยากได้อะไรก็มีคนหามาให้หมด เขาให้เรากลับไปมองน้องว่าได้อะไรบ้าง เสื้อผ้าหลายตัวราคายังไม่เท่าตัวเดียวของเราด้วยซ้ำ ตอนเด็กๆก็มีแต่คนตามใจ แต่น้องเราไม่มี เราไม่ยอมเล่นกับน้อง เพราะคิดว่าน้องแย่งความรักไปจากเรา แต่น้องอยากเล่นกับเรา ทุกวันตอนกลับจากโรงเรียนน้องก็จะมาชวนเราเล่นนั่นนี่ มาอ้อนตลอดแต่เราก็ไม่สนใจทำตัวไม่ดี ไม่สนใจ บางครั้งด่าว่าด้วยซ้ำแต่น้องก็ทำแบบนี้ทุกวันเป็นแบบนี้อยู่หลายปี ปีนี้กราบพ่อแม่ครั้งแรกในรอบสิบกว่าปี ทำแม่ร้องไห้ไปกี่ครั้งยังไม่ได้นับด้วยซ้ำ พอคิดได้เราเหลือเวลาที่จะอยู่กับพวกเขาไม่นานเราต้องสอบเข้ามหาลัยที่อยู่คนละจังหวัด ไม่ได้กลับบ้าน ไม่ได้เจอ ไม่ได้เห็นหน้า พอกลับมาจากเรียนก็ไม่มีใครมาคอยคุยด้วยเหมือนเดิม ไม่มีคนมาอ้อน ไม่มีคนเรียกกินข้าว เสียดายเวลาที่ทิ้งไปตั้งหลายปี เพราะทำตัวเป็นบ้าเป็นบออยู่คนเดียว เลยคิดว่าถ้าตัวเองทำตัวดีๆ ดีกับพวกเขาให้มากๆ ไม่ทำให้เป็นห่วง ทำทุกอย่างให้เราดีพอ ให้เขาสบายใจไม่ต้องมาบ่นมาว่า มากังวลมาเสียใจเรื่องของเรา ทำให้เราเป็นคนที่พึ่งพาได้คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้
เป้าหมายในชีวิตคือการเป็นหมอ หนูอยากเป็นหมอมากค่ะ หนูอยากเป็นฮีโร่ที่ช่วยรักษาชีวิตผู้คน ทำให้พวกเขาหายจากอาการป่วยทางกาย และทางใจ(หากเลือกเรียนต่อเป็นจิตแพทย์) และหนูจะต้องทำให้ได้ **(ขอให้ข้อความนี้เป็นสัญญาเตือนใจ ) หนูจะทำให้พ่อกับแม่และคนในครอบครัวซึ่งเป็นกลุ่มคนที่หนูรักมากที่สุดภูมิใจในตัวหนูให้ได้
เมื่อหนูได้เป็นหมอ หนูจะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากมาย หนูจะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศไทยอย่างแน่นอน ด้วยศักยภาพที่หนูมี แม้จะไม่มากมายแต่มันเพียงพอที่จะทำให้หนูไปถึงเป้าหมายแน่นอนค่ะ
สำหรับสิ่งที่หนูอยากทำเพื่อตัวเองนะคะ ก็คือการเปลี่ยนแปลงความคิดของผู้คนต่อสิ่งที่หนูชอบค่ะ เพราะในปัจจุบันนี้สิ่งที่หนูอยากจะทำ และสิ่งที่หนูชอบนั้นยังเป็นสิ่งที่ไม่เป็นที่แพร่หลายและยอมรับมากนักในสังคมไทย ทุกคนคงพอจะเดาได้นะคะ หนูอยากจะทำงานในวงการบันเทิงค่ะ อยากจะเปลี่ยนมันให้พัฒนาให้เทียบเท่ากับประเทศอื่นๆ แต่ว่าอาชีพทางนี้อาจจะยังไม่เป็นที่ยอมรับและเข้าได้ยากไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม ซึ่งเหตุผลต่างๆเหล่านั้นกลับกลายเป็นแรงผลักดันให้หนูอยากจะเปลี่ยนแปลงค่ะ หนูอยากจะเปลี่ยนแปลงความคิดของใครหลายๆคน เพื่อจะให้อาชีพนี้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น มันไม่ใช่แค่อาชีพเต้นกินรำกินอย่างที่ใครหลายๆคนบอก ไม่ใช่แค่ความฝันลมๆแล้งๆที่ไม่มีโอกาสจะทำให้สำเร็จ หนูอยากจะเปลี่ยนมันค่ะ เป็นความจริงที่อาชีพนี้มันแทบจะไม่มีความมั่นคงอะไรเลย แต่ว่า อาชีพนี้ไม่ใช่เหรอคะที่มอบความสุขให้ใครหลายๆคน อาชีพนี้เป็นอาชีพที่นำนิยายของใครหลายๆคนออกมาทำให้เป็นภาพเคลื่อนไหว อาชีพนี้ เป็นอาชีพที่ดีไม่แพ้กับอาชีพอื่นๆหรอกนะคะ นั่นคือสิ่งที่หนูอยากจะสื่อมันออกไปให้ทุกคนได้รับรู้ค่ะ สำหรับบางคนมันอาจจะเป็นฝันลมๆแล้งๆ แต่สำหรับบางคนมันคือสิ่งที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิตให้มีแรงผลักดันในการก้าวต่อไป ทุกๆคนมีความฝันค่ะ หนูเชื่อแบบนั้น ดังนั้นไม่มีใครมีสิทธิ์ไปดูถูกหรือไปบอกว่าความฝันนั้นเป็นไปไม่ได้
สำหรับสิ่งที่อยากจะทำเพื่อคนที่รักและเพื่อคนอื่นๆ หนูอยากจะทำให้พวกเขามีความสุขค่ะ ไม่ว่าพวกเขาจะต้องเป็นทุกข์เพราะอะไร หนูอยากจะให้พวกเขาปล่อยวางและทำความเข้าใจกับมันไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไรก็ตาม ทุกคนต่างก็มีความทุกข์ในเรื่องต่างๆ สิ่งเหล่านั้นทำให้ทุกคนไม่สบายกายไม่สบายใจ หนูคอยเฝ้ามองคนรอบข้างหลายๆคนที่มีทุกข์แล้วก็รู้สึกแย่ไปด้วยค่ะ ขนาดเราที่เป็นคนมอง เรายังทุกข์ขนาดนี้ แล้วเจ้าตัวจะทุกข์ขนาดไหน ดังนั้นหนูจึงอยากที่จะทำให้ทุกๆคนมีความสุขด้วยฝีมือของหนู ไม่จำเป็นต้องทันที แต่หนูอยากจะให้สิ่งที่หนูทำ คอยไปหล่อเลี้ยงคนอื่นและมอบความสุขให้ ดังนั้นหนูจึงอยากจะมองเห็นโลกให้มากกว่านี้เพื่อที่จะทำตามเป้าหมายของตัวเอง ซึ่งก็คือทำตามความฝัน เปลี่ยนแปลงความคิดของใครหลายๆคน และมอบความสุขให้คนอื่นไปพร้อมๆกัน มันอาจจะฟังดูฝันเฟื่อง แต่ถ้าเรายังไม่ลองพยายามดู เราก็คงไม่รู้ผลจริงมั้ยคะ
เป้าหมายที่อยากจะทำเพื่อตนเอง อย่างแรกเลยคือการจัดสรรชีวิตให้รู้สึกว่าหนูได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นได้คุ้มค่าที่สุดเพราะวัยรุ่นมันมีแค่ครั้งเดียว วัยรุ่นม.ปลายอย่างหนูที่ต้องมีทั้งเรียน เล่น กิจกรรมต่างๆนานา ต้องเตรียมสอบ หนูก็อยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุดไม่ว่าจะด้านไหนก็ตาม ไม่เน้นด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป อยากให้ตัวเองได้สนุกและเต็มที่กับทุกด้าน ไม่อยากให้ต้องนึกย้อนเวลาแล้วมาพูดกับตัวเองว่า ทำไมตอนนั้นเราไม่ทำแบบนี่วะ อย่างที่สองคือหนูอยากเป็นครู หนูจะมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะเป็นครูที่ดีในอนาคตให้ได้ เพราะครูเป็นแม่พิมพ์ของชาติ ถ้าแม่พิมพ์ไม่ดี แล้วผลที่ออกมาจะดีได้อย่างไร อย่างที่สามคือการควบคุมตัวเอง การมีสติ เพราะบางครั้งอาจจะคล้อยตามกิเลสหรืออะไรก็ตามที่มากั้นขวางอยู่ ทำให้ตัวเองหลุดออกจากการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่อย่างจดจ่อหรือหลุดออกจากการทำสิ่งที่ดี อย่างที่สี่คือจะเก็บออมเงิน ใช้จ่ายอย่างประหยัด บริหารเงินเองในชีวิตประจำวัน อยากซื้ออะไรก็เก็บเงินซื้อเอง จะได้ไม่ต้องคอยแบมือขอพ่อแม่ตลอดเวลา แถมยังทำให้รู้ว่าเงินทุกบาททุกสตางค์มันมีค่าแค่ไหน
เป้าหมายที่อยากจะทำเพื่อคนที่หนูรัก อย่างแรกคือเรียนจบมาแล้วมีการมีงานทำที่มั่นคง สามารถดูแลคนที่หนูรักได้ สามารถพาพ่อแม่ไปเที่ยวได้ อย่างที่สองคือจะทำในสิ่งที่ดีที่ควร จะไม่ทำให้คนที่หนูรักต้องเสียใจ ไม่อยากให้คนที่หนูรักต้องมาทุกข์กายทุกข์ใจเพราะหนู
ประกาศผลแล้วนะคะน้องๆ ขอบคุณที่ร่วมสนุกค่ะ
ทุกคนตอบดีมากๆ เลย พี่นี่เลือกไม่ถูก
เอาเป็นว่าใครไม่ได้รางวัลก็อย่าเสียใจไปนะคะ ไปหาซื้อมาอ่านได้เลย ดีแน่นอน บอกเลยว่าคุ้มเกินราคา!
หลังจากข่าวที่ดร.ป๊อปไปโค้ชชิ่งให้ผู้ป่วยซึมเศร้าจนอาการแย่กว่าเดิม เราก็หมดศรัทธาในตัวเขาทันทีค่ะ ลองดูที่เขาให้สัมภาษณ์ข่าวนี้จะเห็นว่าทัศนคติเขาแย่มาก