7 บทเรียนชีวิตที่ 'โรมิโอกับจูเลียต' สอนเรา
สวัสดีค่ะชาวเด็กดีทุกคน โศกนาฏกรรมว่าด้วยเรื่องรักไม่สมหวังของ “โรมิโอกับจูเลียต” จากปลายปากกาของเช็กสเปียร์เป็นหนึ่งในวรรณกรรมที่มีอิทธิพลต่องานเขียนของนักเขียนหลายคน เรื่องราวของคนที่ตกหลุมรักกัน แต่ครอบครัวกลับเกลียดชังกัน หนึ่งคนแกล้งทำเป็นตาย ขณะที่อีกคนคิดว่าเป็นเรื่องจริงเลยฆ่าตัวตายตาม คนที่แกล้งตายเลยฆ่าตัวตายตามจริงๆ ช่างเป็นอะไรที่บ้ามากๆ เลยนะคะว่ามั้ยคะ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นนิยายรักไม่สมหวัง แต่ก็มีบทเรียนมากมายที่ “โรมิโอกับจูเลียต” สอนพี่น้ำผึ้ง ซึ่งพี่ก็นำมาแชร์ให้กับน้องๆ ค่ะ มาดูกันดีกว่าว่าโรมิโอกับจูเลียตสอนอะไรพวกเราบ้าง
ความรักทำให้คนตาบอด
นี่เป็นหนึ่งในบทเรียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดที่ได้จาก “โรมิโอและจูเลียต” ความบาดหมางของสองตระกูลใหญ่ที่ทรงอิทธิพลทำให้เมืองเวโรนาแทบลุกเป็นไฟ แต่ลูกวัยรุ่นของพวกเขากลับพบกันและตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็น จะด้วยพรหมลิขิตหรือไม่นั้นไม่อาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆ ความรักทำให้โรมิโอกับจูเลียตตาบอดขั้นสุด ทั้งคู่รู้ว่าตนควรเป็นศัตรูกัน แต่พวกเขากลับโหยหาซึ่งกันและกัน ปรารถนาที่จะใช้ชีวิตร่วมกันทั้งๆ ที่สองตระกูลเกลียดชังกัน ไม่เพียงแค่นั้น ความรักยังทำให้ทั้งคู่ก้าวข้ามผ่านศีลธรรมและจริยธรรม ซึ่งก็คือการมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งก่อนแต่งงานและพยายามหนีไปอยู่ด้วยกันจนก่อเรื่องวุ่นวายในที่สุดค่ะ
ความรักช่วยดึงตัวตนดีๆ ของเราออกมา
แม้เรื่องราวของโรมิโอกับจูเลียตจะเป็นโศกนาฏกรรมเศร้าเคล้าน้ำตา แต่ใช่ว่ามันจะไม่มีมุมดีๆ อยู่เลยค่ะ ก่อนที่จะโรมิโอจะเจอกับจูเลียต เขาอาจจะทนทุกข์ทรมานจากโรคซึมเศร้าเพราะขาดความรัก ความอบอุ่นจากคนในครอบครัว รวมทั้งยังเจอกับรักไม่สมหวังเพราะตกหลุมรักสาวสวยที่ชื่อ “โรซาลิน” ผู้ซึ่งไม่เคยเหลียวแลเขาเลย ขณะเดียวกันก่อนจูเลียตเจอโรมิโอ เธอเปรียบเหมือนกับเด็กไร้เดียงสาและถูกครอบครัวกดดันเพื่อให้แต่งงานกับคนที่คู่ควรซึ่งพ่อแม่จัดหามาให้ ทำให้เธอไม่ได้อิสระในการเลือกคนรักและมีชีวิตอย่างที่เธอต้องการ หลังจากที่ทั้งคู่ได้เจอกัน โรมิโอกลายเป็นคนรักที่อุทิศตัวเพื่อความรักอย่างสุดซึ้ง ส่วนจูเลียตกลายเป็นคนที่เข้มแข็งและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ทั้งสองยินดีที่จะเสียสละทุกอย่างเพื่อเพื่อทำให้ความรักของพวกเขาออกมาในแบบที่ดีที่สุด
การสื่อสารสำคัญมากต่อความสัมพันธ์
ในตอนเริ่มต้นขององก์ที่ 5 โลกทั้งโลกของโรมิโอแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อรู้ว่าจูเลียติที่รักของเขาเสียชีวิต ความอกหักที่เกิดขึ้นทำให้เขาตัดสินใจทำเรื่องบ้าๆ ด้วยการดื่มยาพิษและตายตามเธอ เมื่อจูเลียตฟื้นขึ้นมาและเห็นว่าโรมิโอตาย เธอเสียใจและฆ่าตัวตายตาม ซึ่งเหตุการณ์นี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นเลยถ้าทั้งคู่มีการติดต่อสื่อสารที่ดี ยกตัวอย่างเช่น ถ้าจูเลียตยอมบอกแผนของเธอกับโรมิโอผ่านทางจดหมาย เมื่อโรมิโอมาถึงก็จะรู้ว่าเธอยังไม่ตายและรอให้ฟื้นขึ้นมา ทั้งคู่ก็อาจจะมีชีวิตรักที่แฮปปี้เอ็นดิ้งก็ได้ค่ะ แต่การที่ทั้งสองไม่ยอมสื่อสารกันทำให้เกิดการฆ่าตัวตายซ้ำซ้อน เสียใจแล้วเสียใจอีก มันเลยเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่เลยว่า ในทุกๆ ความสัมพันธ์ เราควรพูดคุยสื่อสารกันอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันการเกิดการเข้าใจผิด หรือถ้ามีการเข้าใจผิดกันก็ควรหันหน้ามาคุยกันค่ะ
การฆ่าตัวตายไม่ใช่ทางออกที่ดี
ไม่ว่าเราจะผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมามากแค่ไหน สิ่งที่พี่อยากบอกเลยก็คือการฆ่าตัวตายไม่ใช่คำตอบ มันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรเลย อย่าลืมว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่บทเรียนหนึ่งในชีวิตที่จะทำให้เราเติบโตขึ้นหากเราก้าวข้ามผ่านและเอาชนะมันได้ เช่นเดียวกับโรมิโอ ถ้าหากเขาตั้งสติสักนิดและไม่ทำเรื่องบ้าๆ ด้วยการจบชีวิตตัวเอง เขาก็อาจจะเจอเรื่องดีๆ ต่อไปในอนาคตค่ะ
ความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นจากการโกหก ยังไงก็ไม่ยั่งยืน
ในตอนแรก การแอบคบกันอย่างลับๆ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับหนุ่มสาวอย่าง “โรมิโอกับจูเลียต” แต่ต่อมาดูเหมือนมันจะไม่น่าสนุกซะแล้วสิ ทั้งคู่จงใจโกหกคนในครอบครัวเพื่อให้ความรักดำเนินต่อไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามการโกหกเริ่มลุกลามจนทำให้เกิดเรื่อง
จูเลียตโกหกคนในครอบครัวเพื่อหลีกเลี่ยงการแต่งงานกับปารีสด้วยการแกล้งตาย จนโรมิโอบังเอิญมาก่อนเวลานัดเลยเกิดการเข้าใจผิดอันนำมาสู่ความตาย เห็นมั้ยคะว่าการโกหกไม่ช่วยอะไรเลยเพราะฉะนั้นถ้าอยากคบกับใครให้ยั่งยืน เราควรซื่อสัตย์ต่อกันและกันค่ะ
อย่าด่วนตัดสินใจ รู้จักใช้สติบ้าง
โรมิโอกับจูเลียตสอนให้เรารู้ว่า เราไม่ควรตัดสินใจเร็วเกินไป การด่วนตัดสินใจโดยเอาอารมณ์เป็นหลักและไม่ผ่านการตรึกตรองมาก่อนมีแต่จะทำให้เกิดปัญหา ยกตัวอย่างเช่น โรมิโอโกรธที่ญาติของจูเลียตที่ฆ่าเพื่อนรักของเขาตาย ทำให้เขาพลั้งมือฆ่าคนที่ฆ่าเพื่อน ผลสุดท้ายคือเขาถูกทำโทษด้วยการถูกเนรเทศออกจากเมืองเวโรนา ทำให้โรมิโอคิดจะฆ่าตัวตายค่ะ ถ้าหากโรมิโอตั้งสติอีกนิด เขาก็ควรระงับความโกรธ ไม่พลั้งมือฆ่าคนจนต้องเจอบทลงโทษเบอร์หนักแบบนี้
การต่อสู้ระหว่างคาปูเล็ตและมอนตาคิว
ความรักยิ่งใหญ่กว่าความเกลียดชัง
โรมิโอกับจูเลียตอาจจะไม่ได้จบลงอย่างมีความสุข แต่ความรักที่บังคับให้พวกเขายอมตายตามกันก็เป็นสิ่งที่ทำให้ความมหัศจรรย์เกิดขึ้น เพราะมันสามารถจบความบาดหมางระหว่างคาปูเล็ตและมอนตาคิวได้
หนึ่งในประเด็นสำคัญของวรรณกรรมโรมิโอและจูเลียตคือความรักจนถึงขั้นหลงใหลและความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเรื่อง ทั้งความรักและความเกลียดเป็นตัวขับเคลื่อนตลอดทั้งเรื่อง และในท้ายที่สุดความรักก็สามารถเอาชนะความเกลียดชังได้ เพื่อพิสูจน์จุดนี้ พี่ขอเปรียบเทียบการเสียชีวิตของโรมิโอและจูเลียต กับ เมอร์คิวติโอและติบอลต์ให้น้องๆ ดูค่ะ
การตายของเมอร์คิวติโอและติบอลต์เป็นผลพวงที่เกิดขึ้นจากความเกลียดชัง ความโกรธและการต่อสู้กันอย่างดุเดือด มันทำให้ความตึงเครียดระหว่างคาปูเล็ตและมอนตาคิวบานปลายขึ้นกว่าเดิม ในทางตรงข้ามเมื่อเทียบกับการตายของโรมิโอและจูเลียต ทั้งคู่เป็นลูกคนเดียวและเป็นลูกหลานคนสุดท้ายของตระกูล เหตุการณ์นี้สร้างความเสียใจและสิ้นหวังให้แก่ครอบครัวทั้งสองเป็นอย่างมาก คาปูเล็ตและมอนตาคิวจึงได้ตระหนักถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ยอมสงบศึกและกลับมาเป็นพันธมิตรต่อกันกันค่ะ เห็นได้ชัดว่าในท้ายสุดแล้วไม่ว่ายังไงความรักก็เอาชนะความเกลียดชังได้เสมอ
เป็นอย่างไรบ้างคะกับเรื่องราวที่พี่น้ำผึ้งนำมาฝากในวันนี้ แม้ว่าจะเป็นนิยายเศร้าเคล้าน้ำตาแต่ก็ยังมีแง่คิดที่สอนเรา ใครคนไหนที่เคยอ่านโรมิโอกับจูเลียตแล้วได้แง่คิดนอกเหนือจากที่พี่ยกมา อย่าลืมแชร์ให้เพื่อนๆ และพี่ได้อ่านกันด้วยนะคะ จะได้เห็นมุมมองในแบบที่แตกต่างกันไปจ้า ^^
พี่น้ำผึ้ง :)
1 ความคิดเห็น
ผมแปลกมั้ย ผมกลับคิดต่างไปนิดหน่อย จากข้อแรก เรากำลังจะบอกว่า "ความรักทำให้คนตาบอด" จะว่าไปแล้วเหมือนโทษว่า "ความรัก" เป็นเหตุทำให้สองคนในเรื่องต้องตาย แต่ผมสงสัยว่า ในขณะที่เราผลิตซ้ำประโยคนี้เรื่อย ๆ เรา "แน่ใจทุกอย่างดีแล้วเหรอ" มากกว่าครับ
กล่าวคือ เรากำลังจะบอกว่า ถ้าโรมิโอกับจูเลียตไม่ชิงสุกก่อนห่ามหรือพยายามหนีไปด้วยกันก่อนแต่ง หมายความว่าเรากำลังนึกภาพของวัยรุ่นที่คบกันอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่บริสุทธิ์ใจตามค่านิยมของสังคมที่ผู้ใหญ่กำหนดก็คือ คบกันแบบอยู่ภายในกฎเกณฑ์ ไม่รีบมีอะไรกัน คบหาดูใจ เดินเที่ยวไป ๆ มา ๆ แบบวัยรุ่นทั่วไปที่คิดว่าแบบนั้นดีกว่าใช่หรือไม่
แต่ว่า....
หนึ่ง แต่เรากำลังลืมอะไรไปหรือเปล่าครับ แบคกราวด์ที่เป็นฉากหลังของความสัมพันธ์ของทั้งสองคนที่ไม่ราบรื่นเอาเสียเลย ใช่ "ตระกูลของทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน" นั่นล่ะครับ หมายความว่า -การที่จะให้ทั้งสองคนคบกันแบบเปิดเผยปกติเหมือนวัยรุ่นทั่วไปนั้น ใช้คำว่า "แทบเป็นไปไม่ได้" เลย ก็ไม่ผิด เพราะพวกเขาไม่ได้รับโอกาสนั้นจากคนใกล้ตัวเลยด้วยซ้ำ
สอง ความรักทำให้คนเราโหยหาความผูกพัน และช่วงเวลาดี ๆ รวมถึงการได้ทำอะไรร่วมกันเพื่อแสดงความรัก หากทั้งสองคนได้ทำแบบที่คนทั่วไปทำ ก็คงค่อยเป็นค่อยไปได้ แต่เพราะทั้งสองคนไม่มีโอกาสทำแบบนั้นเพราะถูกขวางกั้นด้วยชาติตระกูล แม้จะ "แอบ" แล้วแต่ก็ทำให้ช่วงเวลาที่พวกเขาได้มีโอกาสพบเจอกัน หากเทียบกับคนทั่วไปแล้วถือว่า "น้อย" เอามาก ๆ สำหรับความรู้สึกของทั้งคู่ ก็คงไม่ต่างจาก "น้ำที่ถูกเขื่อนกั้น" เมื่อเขื่อนแตก มันจะไม่ได้ไหลด้วยอัตราเร็วปกติ แต่มันจะกลายเป็น "คลื่นน้ำหลาก" ที่รุนแรง
สาม แทนที่จะมัวไปซ้ำเติมด่าทอสองคนนั้นว่าไม่อดทน ไม่ยับยั้งชั่งใจพอ ลองไปนึกดูก่อนว่า หากตระกูลทั้งสองไม่ขัดแย้งกัน หากพวกเขาไม่เอาความเกลียดชังจากรุ่นก่อนมาลงที่เด็กรุ่นใหม่ และให้โอกาสพวกเขาบ้าง สองคนนั้นอาจจะได้มีโอกาสใช้เวลาร่วมกันในลักษณะที่เหมาะสมอย่างที่หนุ่มสาวทั่วไปสามารถเป็นกันได้ก็ได้ และเรื่องทุกอย่างก็อาจจะไม่เกิดขึ้น อย่างน้อยก็คงไม่ลงเอยเลวร้ายเช่นนี้ ถึงเรื่องราวของสองตระกูลจะจบลงด้วยดี แต่ชีวิตที่เสียไปสามารถนำกลับคืนมาได้หรือไม่ ถึงจะเป็นเพียงนิยาย แต่ถ้าลองคิดดูดี ๆ ว่ามันสะท้อนอะไรสักอย่าง และในโลกนี้เองก็คงจะมีหนุ่มสาวตัวเป็น ๆ มากมายประสบปัญหาไม่ต่างกับสองคนนี้อยู่เพียบเลย ด้วยฉากจบที่อาจจะแย่กว่านี้อีกหลายเท่า ทำไมแทนที่จะเอาแต่ห้ามหรือฉุดรั้ง ถึงไม่ลองคิดหาหนทางที่ดีกว่า?