“นิยายธีมผู้กล้าพิชิตจอมมาร
ที่สะท้อนผลลัพธ์ของการแบ่งแยกชนชั้นในสังคมออกมาได้เจ็บปวดที่สุด”

สวัสดีค่ะ ชาวเด็กดีทุกคน มาเจอกับพี่หญิงในคอลัมน์ นิยายเด็กดีน่าอ่าน Special อีกครั้งนะคะ แอบกระซิบบอกเลยว่า ถ้าใครเป็นสาวกนิยายแฟนตาซีเข้มข้นๆ อย่างThe Lord of the Rings หรือ Game of Thrones ต้องไม่ควรพลาดนิยายที่พี่หญิงนำมาฝากเด็ดขาดค่ะ เพราะ เนื้อหาของ “King of the North ราชาแห่งแดนเหนือ” นั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายแฟนตาซีล้ำลึกสุดๆ แถมยังผนวกรวมเอานิยายแนวผจญภัย ข้ามมิติ และสงคราม มาสร้างสรรค์เรื่องราวได้มีเสน่ห์อย่างคาดไม่ถึงเลยค่ะ 

“King of the North” เป็นเรื่อราวของ “ยู” เด็กสาวชาวญี่ปุ่นที่จู่ๆ ก็ถูกพามายังโลกต่างมิติ เพื่อต่อสู้เอาชนะสงครามในฐานะ “ราชา” แห่งแดนเหนืออย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เริ่มแรกเธอทั้งสับสน ไม่มันใจ หวาดกลัวต่อภาระหน้าที่ที่จู่ๆ ก็ต้องแบกรับอย่างไม่คาดคิด แต่เมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งเธอเรียนรู้ความสำคัญ หน้าที่ของตำแหน่งนี้ไปมากเท่าไหร่ มันก็ทำให้เธอเห็นถึงความจำเป็น กระทั่งยอมรับหน้าที่ “ราชา” ที่ถูกกล่าวอ้างคือ “อดีตชาติ” ของตัวเองในที่สุด และนั่นเอง คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวการเดินทางต่อสู้ เพื่อช่วยเหลือโลกจากการทำลายล้างของ “เจ้าชายแห่งความมืด”  และการค้นพบปมปริศนาของอดีตชาติที่คาดไม่ถึง!

ถึงนิยายเรื่องนี้ตัวเอกของเรื่องจะไม่ได้อยู่เชิญไปเป็น “ผู้กล้า” เพื่อเดินทางปราบ “จอมมาร” โดยตรง แต่พี่หญิงขอบอกเลยนะคะว่า ตำแหน่ง “ราชา” ที่จู่ๆ “ยู” นางเอกของเรื่องที่ถูกพามายังโลกต่างมิติได้รับนั้นก็ไม่ได้ทำหน้าที่แตกต่างอะไรกันเลยแม้แต่น้อย เพราะ “ราชาแห่งแดนเหนือ” คือบุคคลที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังและแสงสว่างที่จะมาช่วยต่อกรกับ “เจ้าชายแห่งความมืด” บุคคลที่เปรียบเสมือนกับจอมมารผู้ครอบครองพลังแห่งความมืด และมีความคิดที่จะทำลายล้างโลก ไม่ต่างจากนิยายแนวผู้กล้าพิชิตจอมมารทั่วไปเลยแม้แต่น้อย (แถมบรรดาองครักษ์ราชาแดนเหนือที่ปรากฏในเรื่อง ก็เปรียบเหมือนปาร์ตี้ผู้กล้า ผู้เป็นความหวังของมวลมนุษย์ที่กำลังรวมทีมเดินทางไปปราบจอมมารชัดๆ)

นิยายเรื่องนี้ เป็นนิยายแฟนตาซีที่ดราม่าหนักหน่วงมาก!

หลังจากอ่านเรื่องนี้แล้ว พี่หญิงบอกเลยว่า นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายแฟนตาซีที่มีปมปัญหาดราม่าเรื่องหนึ่งเลยค่ะ โดยเฉพาะ ปมปัญหาที่ทำให้เกิดสงคราม พี่หญิงอ่านถึงกลับน้ำตาปริ่มเลยจริงๆ เพราะ ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็น “เจ้าชายแห่งความมืด” หรือ “พ่อมด” ผู้ก่อสงคราม ทั้งคู่ก็เป็นเพียงแค่ “เหยื่อ” ที่ถูกสังคมรอบข้างทำร้ายอย่างแสนสาหัส ถูกความยึดถือในระบบสังคมเดิมๆ อย่างการแบ่งชนชั้นในสังคมบีบให้ตกต่ำจนแทบไม่เหลือความเป็นมนุษย์ในตัว  กระทั่งต้องหาทางออกรอดให้กับตัวเองอย่าง “ทำลายทุกสิ่ง เพื่อสร้างโลกอย่างที่ต้องการขึ้นมาใหม่” ในที่สุด

 

การยึดถือแสงสว่าง เกลียดชังความมืด

 

สำหรับใครที่ไม่ชอบแนวคิดสุดโต่งอย่างการยึดถือศรัทธาแสงสว่าง เกลียดชังความมืด มองโลกแค่สองสี ขาวกับดำ แล้วล่ะก็ พี่หญิงบอกเลยว่าให้ทำใจสักนิดก่อนอ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ เพราะ “ราชาแห่งแดนเหนือ” เป็นนิยายที่ดำเนินเรื่องราวภายใต้แนวคิดนี้เต็มๆ น่ะสิคะ โดยแสดงแนวคิดนี้ผ่านการแสดงตัวตนของตัวละครอย่าง “ราชา” และ “เจ้าชาย” ที่ราชาผู้เป็นสัญลักษณ์ของแสงสว่างต้องเป็น “คนดี” และ เจ้าชายผู้มีธาตุความมืดต้องเป็น “คนเลว” ในสายตาของประชาชน เหมือนดังคำพูดของเจ้าชายแห่งความมืดที่พี่หญิงยกมาที่แสดงถึงความรักในสีขาว และความเกลียดชังในสีดำของตัวละครอย่างชัดเจน

 
แต่เอาจริงๆ แล้วพี่หญิงชอบคำพูดนี้ของเจ้าชายแห่งความมืดนะคะ เพราะนอกจากมันจะสะท้อนให้เห็นแนวคิดหลักๆ ทั้งหมดที่ใช้ในการดำเนินเรื่องแล้ว พี่หญิงว่า “นกสีขาว” และ “นกสีดำ” ที่ถูกกล่าวถึงมันยังเปรียบได้กับการที่คนเรามักตัดสินคนจากภายนอก ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำความรู้จักเลยแม้แต่น้อย เหมือนดังที่แค่เพียง “เจ้าชาย” เป็นผู้มีพลังความมืดก็ถูกตัดสินว่าต้องชั่วร้าย ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว หาใช่เลยแม้แต่น้อย สำหรับพี่หญิงแล้วนิยายเรื่องนี้จึงได้กลายเป็น “นิยายธีมผู้กล้าพิชิตจอมมาร ที่สะท้อนผลลัพธ์ของการแบ่งแยกในสังคมออกมาได้เจ็บปวดที่สุด” อย่างหลีกเลี่ยงไม่จริงๆ

เอาเป็นว่าถ้าใครชอบงานแฟนตาซีเข้มข้นๆ กลิ่นอายสุดคลาสสิก พล็อตแน่นๆ มีตัวเอกเป็นผู้หญิง และอ่านแล้วไม่ค้างแน่นอนล่ะก็ เชิญคลิกเข้ามาร่วมไปผจญภัยไปกับ "ยู" ราชามือใหม่แห่งแดนเหนือคนนี้ได้เลยจ้า

สุดท้ายนี้พี่หญิงขอลาทุกคนไปก่อน เจอกันใหม่ครั้งหน้า วันนี้สวัสดีค่ะ

 

พี่หญิง