วิจารณ์หนังสือ : The Maze Runner
จุดจบของเขาวงกต
พร้อมประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นในเรื่อง
สวัสดีนักอ่านนักเขียนชาวเด็กดีทุกคน นาทีนี้พี่นัทตี้เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักกับหนังภาคต่อสุดฮิตที่โดนใจวัยรุ่นทั่วโลกอย่าง “The Maze Runner” กันแล้วใช่ไหมล่า วันนี้พี่นัทตี้เลยจะมาสรุปเนื้อหาพร้อมประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือชุดเกมล่าปริศนานี้ออกมาให้ได้อ่านกัน รับรองได้ว่าถ้าเพื่อนๆ อ่านบทความนี้จบ เพื่อนๆ จะได้รู้เรื่องราวใหม่ๆ เกี่ยวกับหนังสือชุดนี้กันอีกเยอะเลยทีเดียว ปล. บทความนี้มีสปอยล์นะจ๊ะ ใครที่กำลังหลบสปอยล์อยู่ระวังกันด้วยเน้อ...
The Maze Runner เป็นผลงานการเขียนของ Jame Dashner นักเขียนมากความสามารถชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังสือชุด “เกมล่าปริศนา” ที่ประกอบไปด้วยหนังสือจำนวน 5 เล่ม ได้แก่ The Maze Runner, The Scorch Trials, The Death Cure, The Kill Order และ The Fever Code ซึ่งเพื่อนๆ น่าจะคุ้นเคยกันกับ 3 เล่มแรก เพราะได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เป็นที่เรียบร้อย ส่วน 2 เล่มหลังนั้นยังไม่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ แต่ความสนุกก็ทำให้เราอดที่จะพูดถึงกันไม่ได้ The Kill Order เป็นเรื่องราวการย้อนเหตุการณ์ไปในสมัยก่อนที่จะมีการลุกวาบของดวงอาทิตย์ที่เป็นที่มาของโรคร้าย The Fever Code นั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของตัวละครว่าพวกเขาได้เข้ามาอยู่ในเขาวงกตนี้ได้อย่างไร ถ้าให้เรียงลำดับเหตุการณ์ก่อนและหลังจะสามารถเรียงได้ดังนี้ The Kill Order, The Fever Code, The Maze Runner, The Scorch Trials และบทสรุปของเรื่องกับ The Death Cure
จุดเริ่มต้นของเหล่านักวิ่ง
เรื่องราวความสนุกได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ “โทมัส” ถูกส่งให้มาอยู่ในทุ่งแห่งหนึ่งที่รายล้อมไปด้วยกำแพงสูงหลายร้อยฟุต โดยการถูกส่งมานี้ทำให้เขาได้เจอกับเด็กหนุ่มที่มีอายุไล่เลี่ยกันอีกหลายคน อาทิ อัลบี หนุ่มผิวเข้มวัย 17 ปีที่มีศักดิ์เป็นหัวหน้ากลุ่ม, นิวท์ หนุ่มผมบลอนด์ท่าทางเป็นมิตร, ชัค สหายร่างท้วม ที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม, กัลลี่ เด็กหนุ่มเอาแต่ใจ เย่อหยิ่ง แต่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง, ฟรายแพน พ่อครัวประจำกลุ่ม และ มินโฮ หนุ่มเอเชียรูปร่างกำยำที่เป็นหนึ่งในทีมนักวิ่ง ซึ่งตัวละครทั้งหมดนี้จะมีบทบาทสำคัญมากในเวลาต่อมา
เขาวงกตแห่งนี้มีกฏทั่วไปอยู่ไม่กี่ข้อ เช่น ทุกๆ เดือนจะมีสมาชิกใหม่ถูกส่งขึ้นมาโดยกล่องปริศนาเดือนละ 1 คน, ประตูเขาวงกตจะเปิด-ปิดเป็นเวลา ถ้าเกิดมีนักวิ่งคนไหนกลับมาไม่ทันเวลาที่ประตูปิด เขาจะถูกตัดขาดจากกลุ่มทันที ซึ่งนอกเหนือจากกฎทั้งหมดทั้งมวลนี้พวกเขาต่างไม่รู้อะไรอีก ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไป และไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังของเรื่องราวทั้งหมดนี้คืออะไร
เขาวงกตแห่งนี้มีกฏทั่วไปอยู่ไม่กี่ข้อ เช่น ทุกๆ เดือนจะมีสมาชิกใหม่ถูกส่งขึ้นมาโดยกล่องปริศนาเดือนละ 1 คน, ประตูเขาวงกตจะเปิด-ปิดเป็นเวลา ถ้าเกิดมีนักวิ่งคนไหนกลับมาไม่ทันเวลาที่ประตูปิด เขาจะถูกตัดขาดจากกลุ่มทันที ซึ่งนอกเหนือจากกฎทั้งหมดทั้งมวลนี้พวกเขาต่างไม่รู้อะไรอีก ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไป และไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังของเรื่องราวทั้งหมดนี้คืออะไร
จุดเปลี่ยนได้เริ่มต้นขึ้น
หลังจากโทมัสถูกส่งมาจากกล่องเพียงไม่กี่วัน ก็มีสมาชิกหน้าใหม่โผล่เข้ามาเลย แถมสมาชิกใหม่คนนี้ยังเป็นเด็กสาวที่มีชื่อว่า “เทเรซา” ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ เพราะพวกเขามีแต่เด็กผู้ชาย โดยเทเรซาถูกส่งมาพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่งที่เขียนด้วยลายมือว่า เธอจะเป็นคนสุดท้ายตลอดกาล
การปรากฎตัวของเทเรซานำพาให้ทุกอย่างวุ่นวายและสับสน โทมัสรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยรู้จักกับเธอมาก่อนแต่เขาก็ยังจำไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ หากแต่สิ่งที่เขาค้นพบหลังจากที่ได้พบเธอก็คือ ทั้งเขาและเทเรซาสามารถใช้พลังจิตในการสื่อสารกันได้
แถมเรื่องราวทั้งหมดกลับวุ่นวายมากขึ้นไปอีก เมื่อพวกเขาได้พบกับ “โศกา” สัตว์ประหลาดหน้าตาน่าสะพรึงที่ซ่อนตัวอยู่ในเขาวงกต ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดมาจากอะไร หากแต่รู้ว่ามันเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ “ผู้สร้าง” จงใจให้มันมาทำร้ายพวกเขา โดยพิษของโศกาจะทำให้ผู้ที่โดนต่อยเสียสติคล้ายกับคนเป็นบ้า แต่ถ้าพวกเขาสามารถรักษามันได้ทันเวลาก็จะสามารถยืดชีวิตต่อไปได้อีกสักระยะหนึ่ง ผลข้างเคียงของเซรุ่มโศกา นี้คือมันจะทำให้ผู้ที่ได้รับเซรุ่มสามารถเห็นความทรงจำอันเลวร้ายในอดีตของตนได้สักครู่หนึ่ง และอาจจะส่งผลถึงขนาดทำให้สติฟั่นเฟืองได้ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของคนๆ นั้น
แถมเรื่องราวทั้งหมดกลับวุ่นวายมากขึ้นไปอีก เมื่อพวกเขาได้พบกับ “โศกา” สัตว์ประหลาดหน้าตาน่าสะพรึงที่ซ่อนตัวอยู่ในเขาวงกต ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดมาจากอะไร หากแต่รู้ว่ามันเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ “ผู้สร้าง” จงใจให้มันมาทำร้ายพวกเขา โดยพิษของโศกาจะทำให้ผู้ที่โดนต่อยเสียสติคล้ายกับคนเป็นบ้า แต่ถ้าพวกเขาสามารถรักษามันได้ทันเวลาก็จะสามารถยืดชีวิตต่อไปได้อีกสักระยะหนึ่ง ผลข้างเคียงของเซรุ่มโศกา นี้คือมันจะทำให้ผู้ที่ได้รับเซรุ่มสามารถเห็นความทรงจำอันเลวร้ายในอดีตของตนได้สักครู่หนึ่ง และอาจจะส่งผลถึงขนาดทำให้สติฟั่นเฟืองได้ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของคนๆ นั้น
วงกตที่ไม่มีทางออก
“วงกตนั่นเอง ทั้งหมดนี่รวมกันทำให้เราคิดว่ามันต้องมีทางออก
แค่กระตุ้นให้เราทำงานหนักขึ้นเรื่อยๆ
และขยายความท้อแท้ของเราที่หาไม่พบไปพร้อมกัน”
โทมัส
ภายหลังจากการพยายามหาทางออกจากเขาวงกต ทำให้โทมัสได้รู้ว่า ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นส่วนหนึ่งของบททดสอบที่ผู้สร้างต้องการจะเล่นสนุกอะไรบางอย่างกับพวกเขา เพราะต่อให้ดิ้นรนเข้าไปในเขาวงกตเพื่อไปสำรวจเส้นทางใหม่ในทุกๆ วัน ยังไงซะพวกเขาก็ไม่มีทางหาทางออกจากเขาวงกตนี้ไปได้ จนวันหนึ่งพวกเขาทั้งหมดต้องมารวมหัวกันเพื่อถอดรหัสของเขาวงกตก่อนที่เหตุการณ์ทุกอย่างจะเลวร้ายลงไปมากกว่าเดิม ซึ่งผลสุดท้ายพวกเขาก็ได้พบว่าแท้จริงแล้วทางออกของเขาวงกตนี้อยู่ที่โพรงโศกา นั่นเอง!
การสูญเสียนำมาสู่บททดสอบที่ 2
หลังจากพวกเขาจัดการกับโศกากันมาได้ ก็ได้มีเรื่องราวเลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นกับโทมัส เมื่อ “ชัค” สหายคนสนิทของเขาได้ถูกสังหารโดยกัลลี่ จากเหตุการณ์นี้เลยทำให้โทมัสเกลียดกัลลี่เป็นอย่างมาก โทมัสไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่คาดว่าคงเป็นเพราะเขาเกลียดขี้หน้ากันมาตั้งแต่ตอนเจอกันครั้งแรก ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไรมาช่วยลบล้างความผิดของกัลลี่ โทมัสก็ไม่ยอมรับฟังใดใดทั้งสิ้น
โทมัสกับกลุ่มเพื่อนของเขาถูกช่วยเหลือโดยคนกลุ่มหนึ่งก่อนจะถูกส่งตัวให้มาพักฟื้นที่หอพัก เว้นแต่เทเรซาที่ถูกแยกตัวให้ไปอยู่อีกห้อง แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งสองคนยังสามารถสื่อสารกันได้ผ่านพลังจิตที่อยู่ภายในหัว โทมัสเริ่มหายใจได้ทั่วท้องเพราะเขาคิดว่าตนกับเพื่อนๆ ปลอดภัยแล้ว แต่ทว่าความจริงนั้นกลับไม่ใช่ เพราะทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของบททดสอบที่ 2 เท่านั้น
เพื่อนใหม่กลุ่ม B และรอยสักปริศนา
“อริส” เพื่อนใหม่ของโทมัส เป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม B ที่อยู่ในวงกตอีกวงหนึ่ง การพบกับอริสทำให้โทมัสได้ค้นพบว่าความจริงแล้วยังมีกลุ่มทดสอบกลุ่มอื่นๆ นอกจากเขากับเพื่อนๆ อยู่ด้วย โดยวงกตของกลุ่ม B นั้นเต็มไปด้วยเด็กผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งอริสเป็นเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวที่ถูกส่งเป็นคนสุดท้ายเช่นเดียวกับเทเรซา โทมัสเริ่มจับความสัมพันธ์อะไรบางอย่างได้ และนอกจากนี้พวกเขายังได้พบกับรอยสักปริศนาที่ปรากฎอยู่ที่หลังคอของทุกคนซึ่งสงสัยว่าน่าจะมาจากการถูกประทับตราตอนที่พวกเขาหลับ ทุกคนล้วนมีรอยสักคล้ายๆ กัน จะต่างกันก็ตรงที่ตำแหน่ง หรือคำประหลาดๆ ที่ต่อท้ายเพียงแค่นั้น
การทดสอบช่วงที่ 2 แดนมอดไหม้
แดนมอดไหม้ มีที่มามาจากเหตุการณ์การลุกวาบของดวงอาทิตย์ที่ผิดปกติ เพราะมันได้ทำให้เกิดการระเบิดขนาดใหญ่ที่ทำให้คนเป็นหมื่นเป็นแสนตายได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว พื้นที่ทั้งหมดถูกแดดแผดเผาให้รกร้าง และแล้วโรคร้ายก็เข้ามา ซึ่งโรคร้ายนี้ถูกตั้งชื่อว่า “โรควาบ” ที่ตอนแรกนั้นปฏิกริยาจะเป็นเสมือนภาพลวงตา ถัดมาสัญชาตญาณของสัตว์จะเข้าครอบงำ ก่อนที่สุดท้ายจะกลืนกินเหยื่ออย่างเลือดเย็นจนหมดสิ้นความเป็นมนุษย์ไปเลยทันที ภายหลังถูกทำความเข้าใจให้ง่ายขึ้นโดยใช้คำอธิบายว่า “เป็นโรคร้ายที่เกิดขึ้นในสมองของมนุษย์ที่มีสาเหตุมาจากการลุกวาบของดวงอาทิตย์” ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในบททดสอบที่โทมัสกับเพื่อนๆ จะต้องเผชิญ โดยกติกาของแบบทดสอบนี้ถูกอธิบายโดย “แจนสัน” สมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มวิคเค็ด ซึ่งกติกานั้นมีอยู่ว่า
“หาทางไปสู่ที่โล่ง จากนั้นมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปหนึ่งร้อยไมล์
ไปให้ถึงแหล่งปลอดภัยภายในเวลาสองสัปดาห์ แล้วพวกเธอก็จะผ่านช่วงที่สอง”
แจนสัน
ฟังดูแล้วเหมือนจะง่ายแต่พวกเขาทุกคนดันติดโรควาบระยะแรกโดยที่ไม่รู้ตัว ถ้าหากพวกเขาไม่ไปถึงจุดหมายปลายทางของด่านที่ 2 ภายในเวลา 2 สัปดาห์ พวกเขาทั้งหมดก็จะต้องตาย ซึ่งโทมัสคิดว่านี่เป็นแรงจูงใจที่กลุ่มวิคเค็ดจงใจทำให้มันเกิดขึ้น
“โทมัส เธอคือผู้นำตัวจริง”
การทดสอบช่วงที่ 2 ได้เริ่มต้นขึ้น ระหว่างทางโทมัสได้พบกับป้ายที่เขียนว่า “โทมัส เธอคือผู้นำตัวจริง” อยู่ทั่วเมือง แถมยังได้พบกับ “ฮอร์เก้” แคร้งปกครองคนหนึ่งกับ “เบรนดา” หญิงสาวอัจฉริยะ ซึ่งทั้งสองคนเสนอตัวเข้าร่วมการทดสอบนี้ด้วย สาเหตุก็เพราะไม่อยากทนอยู่เพื่อรอความตายไปวันๆ อีกต่อไป สู้ออกไปเผชิญโลกออกไปช่วยเหลือผู้คนน่าจะดีกว่า แถมฮอร์เก้ยังบอกกับโทมัสอีกด้วยว่า พวกเขาต้องการมันสมองของเบรนดา เธอจะสามารถช่วยทุกคนได้ หลังจากนั้นมาความสัมพันธ์ระหว่างโทมัสกับเบรนดาจึงค่อยๆ ก่อตัวขึ้น
แคร้งในแดนมอดไหม้
ชายคนหนึ่งเหมือนวิญญาณเดินได้ มือขยับกำๆ แบๆ
เขาสวมสูทสีดำที่สกปรกแถมยังฉีกขาด ของเหลวไหลโชกเต็มเข่าทั้งสองข้าง
เส้นผมทั้งหมดถูกกระชากออกไปจากหนังหัว ใบหน้าซีดมีแผลพุพองเต็มไปหมด
ตาข้างหนึ่งหายไป เหลือแต่ก้อนแดงๆ เหนียวเหนอะ แถมยังไม่มีจมูกอีกด้วย
ตลอดระยะเวลาของการเดินทาง นอกจากความร้อนที่พวกเขาจะต้องเผชิญแล้ว พวกเขายังได้รู้จักกับ “พวกแคร้ง” คนกลุ่มหนึ่งที่มีสภาพร่างกายอันน่าสยดสยอง พวกเขาใช้ชีวิตอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ครั้งแรกที่โทมัสได้พบกับคนกลุ่มนี้เขารู้สึกเสียวสันหลังวาบด้วยความกลัว เพราะพวกเขานั้นเหมือนร่างที่ไร้วิญญาณ ตัวสั่นยุกยิก แขนรวมถึงขาทั้งสองข้างกระตุก ท่าทางดูพิลึกไปหมด บางคนยังมีสติดีอยู่ แต่บางคนก็เริ่มควบคุมไม่ได้ ทางเดียวที่พวกเขาจะหนีรอดจากพวกแคร้งได้คือการไปให้ถึงจุดหมายของบททดสอบที่ 2
เทเรซากลายเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้
โทมัสพบว่าเทเรซาได้กลายเป็นบุคคลที่ไว้ใจไม่ได้สำหรับเขาอีกต่อไป ถึงแม้ว่าเขาไม่อยากคิดแบบนั้นก็ตาม แต่เทเรซาก็ได้ร่วมมือกับวิคเค็ดในการพยายามที่จะฆ่าเขา จึงทำให้เกิดเป็นความทรงจำอันเลวร้ายเกิดขึ้นมาระหว่างพวกเขาทั้งสองคน สังเกตได้จากฉากหนึ่งที่เทเรซาได้พูดทิ้งท้ายก่อนการทดสอบด่านที่ 2 จะจบลงว่า “ขอโทษนะทอม ขอบใจที่เป็นเหยื่อสังเวยให้เรา” และ “วิคเค็ดนั้นดี” สองประโยคนี้ได้ทำให้โทมัสเกิดความรู้สึกในแง่ลบกับเทเรซาขึ้นมาทันที แถมเพื่อนๆ ของเขาทุกคนต่างพากันตราหน้าเทเรซาว่าเป็นคนทรยศอีกด้วย
แผนการของวิคเค็ด
หลังจากการทดสอบด่านที่ 2 ได้จบลง โทมัสกับกลุ่มเพื่อนที่เหลือของเขาได้ค้นพบว่า วิคเค็ดต้องการวิเคราะห์รูปแบบสมองของทุกคน เพื่อที่จะสร้างเป็นพิมพ์เขียวขึ้นมา ก่อนที่จะเปลี่ยนพิมพ์เขียวนั้นให้กลายมาเป็นหนทางในการรักษาไข้วาบ ทุกอย่างที่พวกเขาได้เผชิญล้วนเป็นแผนการของวิคเค็ด เพราะวิคเค็ดสามารถควบคุมสมองของพวกเขาได้ การที่กัลลี่ลงมือฆ่าชัคก็ล้วนเป็นแผนการของวิคเค็ด สัตว์ประหลาดอย่างโศกาก็เป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ของพวกเขา แถมโทมัสยังได้พบความจริงบางอย่าง ความจริงที่ว่าแท้จริงแล้วเขากับกลุ่มทดสอบส่วนใหญ่ต่างมีภูมิคุ้มกันโรคไข้วาบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลืออยู่เพียงแค่ไม่กี่คนที่ไม่มี และหนึ่งในนั้นก็คือ นิวท์
อาการของนิวท์เริ่มแสดงออกขึ้นมาเรื่อยๆ และเขาเองก็เริ่มรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตนเองด้วย โทมัสคิดว่าการที่พวกเขาอยู่เป็นหนูทดลองให้กับวิคเค็ดล้วนแต่จะไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาอีกต่อไป เพราะวิคเค็ดทรยศหักหลังเขา โทมัสเลยทำการวางแผนหลบหนี และการหลบหนีนี้เองที่ทำให้เขาได้รู้จักกับ…
กลุ่มแขนขวา กลุ่มใต้ดินที่อยากจะล้มวิคเค็ด
กลุ่มแขนขวาได้ช่วยเหลือการหลบหนีของโทมัสและผองเพื่อน ก่อนที่โทมัสจะรู้ในภายหลังว่ากลุ่มนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อต้องการจะโค่นล้มระบอบอำนาจของวิคเค็ด โดยสมาชิกของกลุ่มได้ซ่อนตัวอยู่ในทุกพื้นที่ แต่การล้มวิคเค็ดกลับเป็นอะไรที่ยากเกินความสามารถของพวกเขาอยู่ดี เพราะพวกเขายังขาดข้อมูลบางส่วน ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาต้องการคือคนใน ที่รู้เรื่องกลไกต่างๆ ภายในตึก พวกระบบรักษาความปลอดภัย รวมถึงแผนที่ต่างๆ ภายใน เพื่อที่จะเข้าไปจัดการทุกอย่างที่ต้องการได้ และอีกหนึ่งสิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับโทมัสก็คือ กัลลี่ อดีตคู่ปรับของโทมัสก็ได้อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
โทมัสกับการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่
หลังจากที่โทมัสได้รับรู้แผนการของกลุ่มแขนขวา เขาจึงเสนอตัวในการกลับเข้าไปในวิคเค็ดอีกครั้ง โดยการกลับไปครั้งนี้ทำให้เขาได้พบกับแจนสัน ซึ่งแจนสันได้ยื่นข้อเสนอข้อนึงมาให้เขา นั่นก็คือการอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ ที่กำลังเผชิญกับโรคร้ายอยู่ในขณะนี้ แต่มีข้อแม้ว่าโทมัสจะต้องยอมให้กลุ่มวิคเค็ดผ่าสมองของตัวเองออกมา ซึ่งหลังจากโดนเกลี่ยกล่อมอยู่นานโทมัสก็ตอบตกลง
การปรากฎตัวของเอวา เพจ
“เอวา เพจ” เป็นบุคคลที่โทมัสได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเธอมานาน แต่ก็ไม่เคยได้พบเธอแบบจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง ซึ่งการปรากฎตัวของเอวานี้ได้ทำให้โทมัสรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก เพราะเธอได้เข้ามาช่วยชีวิตเขาจากการผ่าตัดสมองได้ทันเวลา แถมยังมอบแผนที่ฉบับหนึ่งที่บอกทางเข้า-ออกภายในสำนักงานใหญ่แห่งนี้ให้อีกด้วย
โทมัสจึงตัดสินใจเข้าไปช่วยเหลือเด็กที่มีภูมิคุ้มกันคนอื่นๆ ที่ถูกจับตัวไปไว้ในเขาวงกต โดยเหตุการณ์นี้ได้ทำให้เขาได้พบกับเทเรซาอีกครั้ง แถมยังทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างเขากับแจนสันอีกด้วย
บทสรุปของเหตุการณ์ทั้งหมด
หลังจากเกิดการปะทะกันระหว่างโทมัสกับแจนสัน ส่งผลทำให้เขาได้ล่วงรู้ความลับข้อสำคัญของแจนสันที่ว่าแท้จริงแล้วเขาต้องการยาเพื่อไปรักษาตัวของเขาเอง เพราะว่าเขาติดโรคไข้วาบมาได้สักระยะนึงแล้ว เขาไม่ได้สนคนอื่นๆ แต่อย่างใด หากแต่สนใจแค่ตัวของตัวเองเท่านั้น นอกจากแจนสันจะตายลงแล้ว ยังมีอีกหนึ่งตัวละครที่โทมัสไม่อยากให้เธอหายไปจากชีวิตของเขาอีกนั่นก็คือ เทเรซา
เทเรซาตายเพราะโดนระเบิดของกลุ่มมือขวาที่ทำการระเบิดสำนักงานใหญ่ของกลุ่มวิคเค็ด ส่งผลทำให้เพดานขนาดใหญ่หล่นลงมาทับ โทมัสเสียใจไม่ต่างอะไรจากครั้งที่ชัคถูกฆ่า แถมเขายังไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเธอได้อีกด้วย กลุ่มมือขวาได้ทำการระเบิดสิ่งปลูกสร้างทั้งหลายก่อนที่ทุกอย่างจะสลายหายไปในอากาศ
คนที่รอดมาได้มีแค่คนที่มีภูมิคุ้มกันทั้งหมด โดยที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ของพวกเขานั้นเป็นทุ่งหญ้าที่อุดมสมบูรณ์ มีหญ้าสูงและดอกไม้ป่า บางคนดีใจถึงกับกระโดดโลดเต้น สภาพแวดล้อมต่างรายล้อมไปด้วยภูเขาและมหาสมุทร ช่างสมกับสมญานามที่พวกเขาคิดให้จริงๆ นั่นก็คือคำว่า “ดินแดนแห่งสวรรค์”
เทเรซาตายเพราะโดนระเบิดของกลุ่มมือขวาที่ทำการระเบิดสำนักงานใหญ่ของกลุ่มวิคเค็ด ส่งผลทำให้เพดานขนาดใหญ่หล่นลงมาทับ โทมัสเสียใจไม่ต่างอะไรจากครั้งที่ชัคถูกฆ่า แถมเขายังไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเธอได้อีกด้วย กลุ่มมือขวาได้ทำการระเบิดสิ่งปลูกสร้างทั้งหลายก่อนที่ทุกอย่างจะสลายหายไปในอากาศ
คนที่รอดมาได้มีแค่คนที่มีภูมิคุ้มกันทั้งหมด โดยที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ของพวกเขานั้นเป็นทุ่งหญ้าที่อุดมสมบูรณ์ มีหญ้าสูงและดอกไม้ป่า บางคนดีใจถึงกับกระโดดโลดเต้น สภาพแวดล้อมต่างรายล้อมไปด้วยภูเขาและมหาสมุทร ช่างสมกับสมญานามที่พวกเขาคิดให้จริงๆ นั่นก็คือคำว่า “ดินแดนแห่งสวรรค์”
ความรู้สึกหลังอ่านจบ
ต้องสารภาพก่อนเลยว่าพี่นัทตี้มีโอกาสได้ดูหนังก่อนที่จะมาอ่านหนังสือ ซึ่งหนังก็ได้ทำให้พี่นัทตี้อินหนักมากอะไรมาก แต่พอมาอ่านหนังสือแล้วพี่นัทตี้เลยเกิดเปลี่ยนใจหันไปเทใจให้หนังสือมากกว่า เพราะอะไร? ก็เพราะว่าในหนังสือมีรายละเอียดที่น่าสนใจกว่าในหนังอยู่เยอะมาก เรื่องบางเรื่องที่หนังสือมี กลับไม่ถูกพูดถึงในหนังซะงั้น ซึ่งบางทีมันเป็นแค่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็มีความสำคัญ เช่น การที่ตัวละครของโทมัสกับเทเรซาสามารถสื่อสารกันด้วยพลังจิตได้ เป็นประเด็นที่น่าหยิบเอามาเล่นในหนังมาก เพราะมันจะทำให้คนดูหนังอย่างเราได้เห็นถึงความพิเศษระหว่าง 2 ตัวละคร อีกทั้งยังมีตัวละครพิเศษอย่าง “อริส” ที่บทบาทในหนังดูเหมือนจะน้อยไปนิด แต่ถ้าเพื่อนๆ คนไหนได้อ่านหนังสือมาก่อนก็จะรู้เลยว่า ตัวละครของอริส เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่มีความสำคัญมากอีกคนหนึ่ง
เล่มแรกน้ำเยอะไปนิด
สำหรับส่วนที่พี่นัทตี้ไม่ชอบจากการอ่านหนังสือชุดนี้ก็คือ ในเล่มแรกนั้นเนื้อหาเหมือนจะมีแต่ “น้ำ” มากกว่าเนื้อ กว่าความสนุกจะเริ่มขึ้นได้ก็ปาไปเกือบๆ ท้ายเล่มแล้ว ซึ่งถ้ามองในมุมของคนอ่าน เมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกว่าเนื้อหาที่เรากำลังอ่านอยู่นั้นไม่น่าสนใจพอ เราก็มีสิทธิ์ที่จะเลิกอ่านได้เหมือนกัน ดังนั้นเนื้อหาที่น่าดึงดูดใจควรจะถูกแบ่งมาให้ช่วงต้นของเรื่องบ้าง และสำหรับเล่ม 2 ซึ่งเป็นเล่มที่พี่นัทตี้คิดว่า “สนุกที่สุด” ในบรรดา 3 เล่มทั้งหมดที่ได้อ่านมา เพราะเรื่องราวกำลังจะเข้มข้นขึ้น มีปริศนาให้คนอ่านได้มาร่วมไขไปด้วยกัน แถมยังมีตัวละครใหม่ๆ แวะเวียนเข้ามาให้เราได้ทำความรู้จักกันอีกด้วย ส่วนเล่มที่ 3 เป็นเล่มที่เนื้อหาอยู่ในจุดที่กำลังจะ Cool Down คือความรู้สึกพีคๆ กำลังจะค่อยๆ ลดลง จนไปถึงจุดจบของเรื่อง ซึ่งสำหรับตอนจบในหนังสือพี่นัทตี้ว่าเป็นอะไรที่ง่ายเกินไปหน่อย พี่นัทตี้ชอบตอนจบแบบในหนังมากกว่าเพราะดูมีความหวังดี แถมยังจะดูเป็นตอนจบที่ทำให้ทุกตัวละครมีความสุขมากกว่าในหนังสือเสียอีก
บทบาทของผู้หญิงที่โดดเด่นไม่แพ้ผู้ชาย
ถ้าได้ดูหนังหรืออ่านหนังสือชุดนี้กันแล้วจะรู้ได้ทันทีเลยว่าบทบาทของเทเรซากับเบรนดานั้นโดดเด่นไม่แพ้ตัวละครผู้ชายคนอื่นๆ ในเรื่องเลย เพราะพวกเธอนั้นทำได้ทุกอย่างเหมือนผู้ชาย แถมบางทีอาจจะคล่องแคล่วกว่าเลยด้วยซ้ำ มันทำให้เราได้เห็นว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นเพศอะไร ทุกคนล้วนแต่จะเท่าเทียมกัน ซึ่งในสายตาของคนในสังคมส่วนใหญ่อาจจะมองว่าผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอกว่าผู้ชาย หรือในสมัยโบราณมาแล้วคนในสังคมจะมองผู้หญิงว่าอยู่ต่ำกว่าผู้ชายเสมอ แต่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องบางเรื่องผู้ชายอาจจะสู้ผู้หญิงไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ซึ่งอย่างที่เราได้เห็นจากเรื่องนี้คือ ในตอนสุดท้ายทั้งเทเรซากับเบรนดาต่างก็ได้ต่อสู้กันมาอย่างสมน้ำสมเนื้อ และการต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคของทั้งสองคนก็เป็นสิ่งที่เราได้เห็นกันตั้งแต่ต้นจนกระทั่งจบเรื่อง ซึ่งพี่นัทตี้คิดว่าเรื่องของความเป็นเฟมินิสต์นี่แหละที่เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผู้เขียนอยากจะถ่ายทอดออกมาให้คนดูอย่างเราได้ทำความเข้าใจกัน
คำว่า "มิตรภาพ" นั้นสำคัญ
เคยคิดเหมือนกันไหมคะว่าถ้าเหตุการณ์ในเรื่องเหลือตัวละครของโทมัสแค่เพียงคนเดียว เขาจะอยู่รอดมาจนถึงตอนจบได้หรือไหม? ส่วนตัวพี่นัทตี้คิดว่าไม่น่าได้ เพราะเราจะเห็นว่าจากหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้มีแค่โทมัสเพียงคนเดียวที่ต่อสู้กับปัญหาทุกอย่าง เพราะเขายังมีเพื่อนคนอื่นๆ อีกหลายคนที่ร่วมต่อสู้กันมา ซึ่งนับตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาเข้ามาอยู่ในวงกต เขาก็ได้รู้จักเพื่อนใหม่มากกว่าสิบชีวิต และในแต่ละเส้นทางที่เขาได้ฝ่าฟันมา เพื่อนที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขก็ค่อยๆ หายไปทีละคนๆ ซึ่งถ้าไม่มีพวกเขาเหล่านั้นพี่นัทตี้เชื่อว่าเราคงไม่ได้เห็นโทมัสอยู่ในจุดจบของเรื่องได้แน่ๆ ดังนั้นประเด็นเรื่องมิตรภาพเป็นอะไรที่พี่นัทตี้คิดว่าเป็นสิ่งที่ผู้เขียนอยากจะสื่อสารออกมามากที่สุด เราจะเห็นได้ว่าตั้งแต่จุดเริ่มต้นยันจุดจบของเรื่องโทมัสไม่เคยผ่านอะไรมาเพียงลำพังเลย เขามีเพื่อนอีกหลายคนคอยสนับสนุนและคอยให้กำลังใจอยู่ตลอด ซึ่งถือได้ว่าเป็นเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นในยามที่สถานการณ์ต่างๆ อยู่ในสภาวะที่คับขัน เราจะเห็นได้เลยว่าเพราะพลังแห่งมิตรภาพจริงๆ ที่ทำให้เหล่านักวิ่งที่เหลือรอดพ้นจากเหตุการณ์อันเลวร้ายที่สุดในชีวิตมาได้ถึงขนาดนี้
Maze Runner เป็นสังคมที่ทำให้เราได้เห็นธาตุแท้ของมนุษย์
สังคมใน Maze Runner ในสายตาของพี่นัทตี้ไม่ได้ต่างอะไรจากสังคมในปัจจุบันนี้เลย เพราะทุกอย่างล้วนครอบคลุมไปหมดทุกเรื่องเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผู้นำ จากที่เราเห็นในเรื่องคือถ้าเกิดเรามีผู้นำที่ดี ไม่เห็นแก่ตัว บ้านเมืองก็จะไม่ย่ำแย่ถึงขนาดนี้ เพราะทุกคนจะช่วยกันหาทางออก หาทางรักษา ไม่ใช่ปล่อยให้ทุกอย่างเกินการควบคุมแบบตอนท้ายของเรื่อง
“แจนสัน” ก็เป็นหนึ่งในตัวละครที่สะท้อนภาพของผู้นำที่ไม่ดี เพราะเขาเห็นแก่ตัว เขาไม่ได้ต้องการจะช่วยเหลือโลกตั้งแต่แรก แต่ที่เขาทำไปทั้งหมดเพราะอยากช่วยตัวเองที่ติดโรคไข้วาบต่างหาก เราจะเห็นได้ว่าเพียงเพราะความคิดของผู้นำเพียงคนเดียวเลยทำให้สถานการณ์ต่างๆ ในเรื่องย่ำแย่ลงจนถึงขั้นวิกฤต เพราะถ้าเกิดเรามีผู้นำที่คิดจะทำเพื่อส่วนร่วมจริงๆ เหตุการณ์คงไม่ต้องมาจบที่เด็กกลุ่มเดียวที่ลุกขึ้นมาทำทุกอย่างเองแบบนี้
“แจนสัน” ก็เป็นหนึ่งในตัวละครที่สะท้อนภาพของผู้นำที่ไม่ดี เพราะเขาเห็นแก่ตัว เขาไม่ได้ต้องการจะช่วยเหลือโลกตั้งแต่แรก แต่ที่เขาทำไปทั้งหมดเพราะอยากช่วยตัวเองที่ติดโรคไข้วาบต่างหาก เราจะเห็นได้ว่าเพียงเพราะความคิดของผู้นำเพียงคนเดียวเลยทำให้สถานการณ์ต่างๆ ในเรื่องย่ำแย่ลงจนถึงขั้นวิกฤต เพราะถ้าเกิดเรามีผู้นำที่คิดจะทำเพื่อส่วนร่วมจริงๆ เหตุการณ์คงไม่ต้องมาจบที่เด็กกลุ่มเดียวที่ลุกขึ้นมาทำทุกอย่างเองแบบนี้
พี่นัทตี้ว่ามันสะท้อนภาพให้เราเห็นจริงๆ ถึงธาตุแท้ของมนุษย์ ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกนี้อยู่แล้วที่คนเราจะเห็นแก่ตัว และตัวอย่างที่เราได้เห็นจากเรื่องนี้มันก็แสดงให้เราได้รู้และเข้าใจได้อย่างชัดเจนเลยว่าผลของการเห็นแก่ตัวนั้นเป็นอย่างไร
จุดจบที่สวยงาม
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา มีวันที่แย่ก็ย่อมมีวันที่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างเราสามารถเรียนรู้ได้จากทุกฉากและทุกตัวละครจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวของโทมัสเอง รวมถึงชัค, นิวท์, เทเรซา และคนอื่นๆ ทุกคนต่างเผชิญเรื่องราวเลวร้ายมาพร้อมๆ กัน แต่พวกเขาก็ไม่มีวันที่ท้อแท้ หมดหวัง หรือหมดกำลังใจที่จะสู้ต่อ เพราะพวกเขายังมีความหวังว่าจะมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม การเกิดโรคร้ายรวมถึงภัยพิบัติก็เป็นเหตุการณ์ที่มันเป็นไปอยู่เป็นปกติของโลกมนุษย์ ซึ่งถ้าเรามัวแต่แตกตื่น รอคอยแต่ความตาย ไม่พยายามทำอะไรเลย เราก็จะไม่ต่างอะไรจากพวกแคร้ง
อย่างไรก็ตามพี่นัทตี้คิดว่า The Maze Runner ทั้ง 2 เวอร์ชั่นนี้ต่างเป็นอะไรที่ทุกคนไม่ควรพลาด ถึงแม้ว่าจะเคยอ่านหนังสือ หรือดูหนังกันมาแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่พี่นัทตี้ก็อยากจะแนะนำให้ทุกคนเปิดใจให้กับเกมล่าปริศนาทั้ง 2 รูปแบบนี้ เพราะนอกจากเราจะได้เห็นจุดที่แตกต่างแล้ว เรายังจะได้ดื่มด่ำไปกับเรื่องราวความสนุกที่เกิดขึ้นในเรื่องกันอีกด้วย เพราะทั้งหนังกับหนังสือต่างเล่าเรื่องราวให้เราได้เข้าใจในมุมมองที่ต่างกัน แถมยังสนุกกันคนละแบบ ในหนังสือทำออกมาแบบนึง หนังทำออกมาแบบนึง แต่จุดประสงค์ที่ต้องการสื่อกลับเป็นสิ่งเดียวกัน นั่นก็คือการสอนให้เรารู้จักการใช้ชีวิตและความพยายาม
อย่างไรก็ตามพี่นัทตี้คิดว่า The Maze Runner ทั้ง 2 เวอร์ชั่นนี้ต่างเป็นอะไรที่ทุกคนไม่ควรพลาด ถึงแม้ว่าจะเคยอ่านหนังสือ หรือดูหนังกันมาแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่พี่นัทตี้ก็อยากจะแนะนำให้ทุกคนเปิดใจให้กับเกมล่าปริศนาทั้ง 2 รูปแบบนี้ เพราะนอกจากเราจะได้เห็นจุดที่แตกต่างแล้ว เรายังจะได้ดื่มด่ำไปกับเรื่องราวความสนุกที่เกิดขึ้นในเรื่องกันอีกด้วย เพราะทั้งหนังกับหนังสือต่างเล่าเรื่องราวให้เราได้เข้าใจในมุมมองที่ต่างกัน แถมยังสนุกกันคนละแบบ ในหนังสือทำออกมาแบบนึง หนังทำออกมาแบบนึง แต่จุดประสงค์ที่ต้องการสื่อกลับเป็นสิ่งเดียวกัน นั่นก็คือการสอนให้เรารู้จักการใช้ชีวิตและความพยายาม
และนี่ก็เป็นบทสรุปเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในหนังสือชุดเกมล่าปริศนาเล่มที่ 1 ถึง 3 ซึ่งเพื่อนๆ จะสังเกตได้เลยว่าในหนังสือกับในหนังนั้นมีความต่างกันอยู่พอสมควร แน่นอนว่าพี่นัทตี้จะรวบรวมเรื่องราวที่ต่างกันระหว่าง The Maze Runner ฉบับหนังกับหนังสือมาฝากกันในบทความหน้าฝากติดตามกันด้วยนะจ๊ะ :)
พี่นัทตี้
3 ความคิดเห็น
ไปเห็นหนังสือวางขายอยู่ตามห้างอยู่ค่ะ อยากจะซื้อมาก แต่ตังไม่อำนวยเท่าไหร่ ไว้คราวหน้าจะหามาอ่านแน่!
ของมันต้องมีจริงๆ จ้ะ! รีบๆ เก็บเงินแล้วไปจัดมาอ่านนะจ๊ะ สนุกมากกก
เดอะแมซนี่ก็แอบดูกับพ่อค่ะ มีฉากยิงปืนพ่อเลยปิดตาหนูไว้ค่ะ 55555555
ตอนจบเศร้ามากกก เศร้าแปป
งืออออ