'ทู ทิกกี้' ตัวละครทรงปัญญา
ผู้เป็นแสงสว่างให้โลกของ 'มูมิน'
สวัสดีค่ะน้องๆ ชาวเด็กดีทุกคน ส่วนมากแล้วตัวละครในนิยายหลายตัวล้วนได้รับแรงบันดาลมาจากคนรอบข้าง หนังสือเด็ก “มูมิน” ก็เช่นกัน รู้หรือเปล่าว่าตัวละครหลักอย่าง “มูมินโทรล์” เป็นตัวละครที่สะท้อนถึงตัวตนของโตเว แยนสัน เจ้าของผลงานมูมิน
นอกจากนี้ตัวละครหลายๆ ตัวในหุบเขามูมิน (Moominvalley) เองได้อิทธิพลมาจากคนรอบกายของโตเว แยนสัน ที่น่าสนใจที่สุดคือ “ทู ทิกกี้ (Too-ticky)” ตัวละครนักปราชญ์แห่งหุบเขามูมินที่สามารถแก้ปัญหาได้เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ต้องใช้สติปัญญาหรือปัญหาที่ต้องแก้ด้วยการลงมือปฏิบัติจริง!
ใช่แล้วค่ะ เกริ่นมาซะยืดยาวขนาดนี้ พี่น้ำผึ้งกำลังจะบอกว่าวันนี้เราจะมาพูดคุยเกี่ยวกับ “ทู ทิกกี้” ตัวละครผู้ทรงปัญญาจากหุบเขามูมิน พี่คิดว่าเธอเป็นตัวละครที่น่าสนใจมากๆ โดยเฉพาะวิธีคิดและการดำเนินชีวิตที่สามารถเป็นแสงสว่างให้แก่ตัวละครในยามที่พวกเขาเจอทางตันค่ะ
แยนสันและทูตี้ คนรักของเธอ
(via: vx.com)
แยนสันได้แรงบันดาลใจในการสร้างคาแร็คเตอร์ทู ทิกกี้มาจากคู่รักของเธอ Tuulikki “Tooti” Pietilä ผู้เป็นนักประดิษฐ์และนักวาดภาพชาวฟินแลนด์ แน่นอนว่าทูตี้ก็เป็นคู่สมรสของเธอด้วย! ผู้หญิงทั้งสองได้โคจรมาพบกันในช่วงวัยยี่สิบ ณ โรงเรียนศิลปะแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นพวกเขาก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจนแยนสันตาย รวมแล้วเป็นเวลามากกว่าหกทศวรรษที่ทุ้งคู่ช่วยกันสร้างสรรค์ผลงานออกสู่สายตาประชาชน
ถึงแม้ทู ทิกกี้ ตัวละครทอมบอยที่สวมเสื้อสเวตเตอร์ลายขวางสีแดงและขาวจะปรากฏอยู่ในหนังสือมูมินนับครั้งได้ แต่ทู ทิกกี้ก็แสดงให้เราเห็นถึงจิตวิญญาณอันโดดเด่น มีชีวิตชีวา และเปี่ยมไปด้วยสติปัญญาเฉียบแหลม เธอปรากฏตัวครั้งแรกในหนังสือมูมินตอน Moominland Midwinter ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1957 ทู ทิกกี้เป็นตัวละครที่พูดน้อย แต่ทุกครั้งที่เธอพูดหรือแสดงความคิดเห็น มันสะท้อนถึงไหวพริบ สติปัญญาอันชาญฉลาดและการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายของเธอ
หนังสือมูมิน เล่ม Moominland Midwinter
(via: amazon.com)
Moominland Midwinter เป็นเรื่องราวของมูมินโทรล์ เจ้าโทรล์ตัวน้อยที่มีพฤติกรรมการจำศีลแตกต่างจากสมาชิกในครอบครัว กล่าวคือเมื่อฤดูหนาวของสแกนดิเนเวียอันโหดร้ายมาเยือนตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเมษายนของทุกปี มูมินโทรล์จะโกรธที่ดวงอาทิตย์หายไป เขาโกรธที่มีพายุหิมะ โกรธที่ทุกคนดูเพลิดเพลินไปกับการจำศีลมากกว่าจะมานั่งไม่พอใจฤดูหนาวและหิมะเหมือนอย่างที่เขาเป็น
ความจริงแล้วไอเดียของหนังสือเล่มนี้คือ การเรียนรู้ที่จะอยู่กับความรู้สึกไม่สบายใจเมื่อความไม่แน่นอนเกิดขึ้น เรียนรู้ที่จะยอมหลงทางเพื่อค้นหาตัวตนของตัวเอง เรียนรู้ที่จะยอมจำนนต่อจังหวะของชีวิตมากกว่าทนทุกข์ทรมานในการต่อต้านโชคชะตา
ทู ทิกกี้
(via: pinterest.com)
มูมินโทรล์หายเข้าไปในป่าและพบแสงอบอุ่นที่เล็ดลอดออกมาจากหลุมของใครบางคนที่ขุดเอาไว้เพื่อเป็นที่กำบัง ตอนนั้นเองเสียงผิวปากก็ดังขึ้น ดังข้อความในหนังสือที่ว่า “Someone who lay looking up at the serene winter sky and whistling very softly to herself. (ใครบางคนนอนแหงนหน้ามองท้องฟ้าในฤดูหนาวและผิวปากเบาๆ กับตัวเอง)” ซึ่งใครบางคนที่ว่านั้นจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากทู ทิกกี้!
ในจังหวะที่มูมินโทรล์น้อยถามว่า “เพลงที่เธอกำลังร้องเป็นเพลงอะไร” ทู ทิกกี้ได้ตอบคำถามนี้ด้วยประโยคที่แสดงให้เห็นถึงความฉลาดของเธอ มันคือการตอบคำถามเชิงอุปลักษณ์ ไม่ได้ตอบคำถามตรงๆ แต่จะใช้การเปรียบเทียบเป็นคำตอบแทน ให้คนฟังคิดต่อไปอีก ดังข้อความที่ว่า:
“It’s a song of myself… The refrain is about the things one can’t understand. I’m thinking about the aurora borealis. You can’t tell if it really does exist or if it just looks like existing. All things are so very uncertain, and that’s exactly what makes me feel reassured.”
(มันเป็นเพลงสำหรับตัวฉันเอง... การหักห้ามใจคือสิ่งหนึ่งที่ยากจะเข้าใจ ฉันกำลังคิดถึงแสงออโรร่า เธอไม่สามารถบอกได้หรอกว่ามีอยู่จริงหรือมันแค่ดูเหมือนว่ามีอยู่จริง ทุกสิ่งทุกอย่างไม่แน่นอนและนั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกมั่นใจ)
นี่คือรูปแบบการตอบคำถามอันชาญฉลาดเพราะมันเป็นการตั้งคำถามโดยให้คนฟังรู้จักคิดตาม แน่นอนว่าการถามถึงความไม่แน่นอนและการค้นหาความสุขในชีวิตนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญในการใช้ชีวิต มันสะท้อนถึงข้อบัญญัติที่มีชื่อเสียงของ “เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์” (Bertrand Russell) สิบข้อในการสอน การเรียนรู้และการใช้ชีวิตจาก A Liberal Decalogue (บัญญัติสิบประการของการเป็นคนหัวเสรีนิยม) ข้อที่ว่า "Do not feel absolutely certain of anything. (อย่ารู้สึกมั่นใจเต็มที่กับอะไรสักอย่าง)"
ทู ทิกกี้เป็นตัวละครที่เข้าใจอกเข้าใจและเห็นใจคนอื่น เธอเข้าใจความรู้สึกของมูมินโทรล์ที่เสียใจเมื่อหิมะตกและเธอก็เห็นใจเขา เธอจึงรู้จักวิธีการปลอบโยนมูมินโทร์ลจนทำให้เขาสงบลงได้อย่างอ่อนโยน แต่ภายใต้คำปลอบโยนนั่นแหละ เต็มไปด้วยแง่คิดที่แฝงไว้ให้คนฟังได้คิด ดังข้อความที่ว่า:
“I don’t either… You believe it’s cold, but if you build yourself a snowhouse it’s warm. You think it’s white, but at times it looks pink, and another time it’s blue. It can be softer than anything, and then again harder than stone. Nothing is certain.”
(ฉันก็ไม่ชอบเหมือนกัน... เธอเชื่อว่ามันหนาว แต่ถ้าเธอสร้างบ้านหิมะขึ้นมา มันก็อุ่นขึ้น เธอคิดว่ามันเป็นสีขาว แต่บางครั้งมันก็ดูเป็นสีชมพูและอีกครั้งก็เป็นสีฟ้า มันสามารถนุ่มนวลกว่าทุกอย่าง แต่แล้วก็แข็งกว่าหินได้ ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก)
ในหลายๆ ครั้ง ความคิดของทู ทิกกี้ดูเหมือนจะคล้ายกับคนที่นับถือศาสนาพุทธปรัชญาเซ็น โดยเฉพาะความเชื่อในเรื่องของความไม่แน่นอน พี่น้ำผึ้งคิดว่าเธอต้องการบอกให้คนอ่านอย่างพวกเรารู้จักเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ เพราะบางทีสิ่งที่เราคิดว่าแน่นอน มันอาจจะไม่แน่นอนเสมอไป
ไม่เพียงแค่นั้น ทู ทิกกี้ยังสอนให้มูมินโทรล์รู้จักหาความสุขบนความไม่แน่นอน เพื่อที่ว่าชีวิตของเขาจะได้ดำรงต่อไปได้อย่างแฮปปี้แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ดังเช่นตอนที่มูมินโทรล์พบว่าใครบางคนลักลอบนำสิ่งของออกจากบ้านของเขาไป ตอนนั้นทู ทิกกี้ตอบไปว่า
“That’s nice, isn’t it? You’ve got too many things about you.
As well as things you remember, and things you’re dreaming about.”
(มันก็ดีไม่ใช่เหรอ? เธอมีอะไรมากมายที่เกี่ยวกับตัวเธอ
เช่นเดียวกับสิ่งที่เธอจำได้และสิ่งที่เธอฝันถึง)
มันอาจจะดูแย่ที่ของๆ เราโดนขโมยไป แต่ทู ทิกกี้สอนให้เรารู้จักมองโลกในแง่ดี เราอาจจะเริ่มจากการนำเหตุการณ์นี้มาเป็นบทเรียนที่สอนให้เรารู้จักระมัดระวังมากขึ้น และถึงแม้เราจะสูญเสียของสิ่งนั้นไปแล้ว แต่ก็ขอให้เราคิดในแง่ดีเข้าไว้ เรายังมีสิ่งต่างๆ มากมายให้ทำ ถือซะว่ามันทำให้เราโฟกัสกับของสิ่งอื่นมากขึ้น
ทู ทิกกี้เป็นตัวละครที่สะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาการใช้ชีวิตแบบช้าๆ สโลว์ไลฟ์หน่อยๆ เธอมักจะบอกเป็นนัยอยู่เสมอว่า “ทุกสิ่งที่คุ้มค่ามักใช้เวลานาน” ดังนั้นในตอนที่มูมินโทรล์โกรธและร้อนใจที่ดวงอาทิตย์ไม่ยอมขึ้นสักที เธอจึงเตือนเขาว่าการรีบเร่งคือหนทางเลวร้ายในการอยู่กับปัจจุบัน
“Don’t be in such a hurry… Soon now. Sit down and wait.”
(อย่ารีบร้อนเลย... นั่งลงและรอเถอะ)
เมื่อดวงอาทิตย์ไม่ปรากฏขึ้นสักที มูมินโทรล์ก็ยิ่งผิดหวังมากขึ้น แต่ทู ทิกกี้มั่นใจว่าดวงอาทิตย์จะต้องขึ้นแน่นอน เหมือนกับที่เธอเชื่อในเรื่องของความสำเร็จนั่นแหละ เธอจึงโน้มน้าวมูมินโทรล์ด้วยข้อความอันชาญฉลาด เธอสอนให้เรารู้จักใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง เชื่อเถอะว่าตราบใดที่เราเชื่อ เรายังมีศรัทธาและไม่หมดหวังง่ายๆ เมื่อนั้นความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นเอง!
“He’ll return tomorrow… And then he’ll be a tiny bit bigger,
about like a piece of cheese rind. Take it easy.”
(ดวงอาทิตย์จะกลับมาพรุ่งนี้... แล้วเขาก็จะใหญ่ขึ้นเล็กน้อย
เหมือนชิ้นเนยแข็งนั่นแหละ ใจเย็นๆ สิ)
ในหนังสือ Moominland Midwinter ยังสอดแทรกเรื่องของวิวัฒนาการแบบง่ายๆ ผ่านตัวละครทู ทิกกี้ แถมยังทำให้เขามีตระหนักในคุณค่าของบรรพบุรุษด้วย เรื่องม่ีอยู่ว่ามูมินโทรล์ไม่เชื่อฟังคำพูดของทู ทิกกี้ เขาได้เปิดตู้เก็บความลับเธอก่อนจะพบว่ามีสิ่งมีชีวิตแปลกๆ อาศัยอยู่ในนั้น มูมินโทรล์บอกเธอเพียงแค่ว่า “only a sort of old rat. (นี่มันก็แค่หนูเก่าๆ)” แต่เธอก็ต้องรีบแก้ความเข้าใจนั้นซะใหม่
“That was no rat. It was a troll. A troll of the kind you were yourself before you became a Moomin. That was how you looked a thousand years ago.”
(นั่นไม่ใช่หนูเลย มันเป็นโทรลล์ โทรล์ที่เธอเคยเป็นก่อนที่เธอจะกลายเป็นมูมิน
มันคือเธอเมื่อหลายพันปีมาแล้ว)
มูมินโทรล์มัวแต่หมกมุ่นกับความคิดที่ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับหนูเพียงตัวเดียว เขารีบพุ่งเข้าไปในห้องใต้หลังคาเพื่อค้นหาอัลบั้มครอบครัวเก่าเพื่อสืบหาความจริง เหมือนกับเวลาที่เราสงสัยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราก็เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับมันจนกว่าเราจะหายคาใจนั่นแหละค่ะ!
ก่อนที่มูมินโทรล์ตัวน้อยจะค่อยๆ สงบลงและตั้งสติ เขาก้มลงไปมองที่มูมินปาปาก่อนจะพบว่ามีเพียงแค่จมูกเท่านั้นที่คล้ายคลึงกัน ดังนั้นเป็นไปได้ว่าหนูอาจจะเป็นบรรพบุรุษของเขาจริงๆ เห็นได้ชัดว่าทู ทิกกี้ทำให้มูมินโทรล์ตระหนักถึงชาติกำเนิดและบรรพบุรุษของตัวเอง
“Suddenly he felt very proud of having an ancestor.
And it cheered him no little to think that Little My had no pedigree at all,
but rather had come into the world by chance.
(ทันใดนั้นเขารู้สึกภูมิใจมากที่ได้มีบรรพบุรุษ และมันก็ทำให้เขานึกถึงลิตเติ้ล มาย [น้องสาวของมูมินโทรล์] ที่ไม่มีเชื้อสายอะไรเลย แต่ได้เข้ามาในโลกนี้โดยบังเอิญ)
ที่สำคัญ ความฉลาดพูดของเธอนี้ยังสามารถปลอบโยนให้คนฟังรู้จักมองหาข้อดีในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอย่างเช่นความตายได้ เมื่อมีใครบางคนเสียชีวิต ทุกคนต่างพากันคร่ำครวญอย่างเศร้าโศก แต่ทู ทิกกี้ก็รีบเตือนสติมูมินโทรล์และลิตเติ้ล มาย เธอบอกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรชีวิต มีเกิดก็ต้องมีตาย ขออย่าให้ทุกคนจมอยู่ในความโศกเศร้านานนักเลย ดังข้อความที่ว่า :
“When one’s dead, then one’s dead. This squirrel will become earth all in his time. And later on still there’ll grow trees from him, with new squirrels skipping about in them. Do you think that’s so very sad?”
(เมื่อคนหนึ่งตาย แล้วอีกคนก็ตาย กระรอกนี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในโลก ต่อมาต้นไม้ก็จะเติบโตขึ้นจากเขา กระรอกตัวใหม่จะกระโดดเข้ามา เธอคิดว่ามันน่าเศร้ามากเหรอ?)
ทู ทิกกี้เป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของมูมิน เธอเป็นผู้นำทางและชี้แนะให้ตัวละครได้เจอกับแสงสว่าง เธอสอนให้เรารู้จักค้นหาข้อดีในทุกๆ สถานการณ์ เธอสอนให้เรารู้จักไม่ประมาท สอนให้เรารู้จักเชื่อมั่นและศรัทธาในความหวัง รวมทั้งยังสอนให้เข้าใจโลกใบนี้ด้วย
ดูเผินๆ เหมือนมูมินจะเป็นแค่หนังสือเด็กอ่านเล่นธรรมดา แต่พอมองให้ลึกจริงๆ กลับพบว่าแยนสันได้แฝงแง่คิดในการใช้ชีวิตไว้อย่างชาญฉลาด หากเราลองถอดความบทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างมูมินโทรล์และทู ทิกกี้ เราจะพบว่านี่มันคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการชีวิตเลยค่ะ! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม “Moominland Midwinter” ถึงได้กลายเป็นหนังสือที่ยอดเยี่ยมและครองใจใครหลายๆ คน
1 ความคิดเห็น
คำสอนของนางมีความเป็นพุทธเบาๆ อยากลองอ่านมูมินบ้างจังน้าาา
ช่ายยย เหมือนศาสนาพุทธเลย ลองไปหาอ่านดูนะคะ ^^