"The Notebook"
ความสุขอยู่กับเราได้ไม่นาน
แต่ความทรงจำจะอยู่กับเราตลอดไป
สวัสดีน้องๆ นักอ่านชาวเด็กดีทุกคนค่ะ ถ้าพูดถึงเรื่องของความรัก หลายๆ คนอาจจะมีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่แตกต่างกันออกไป ความรักของบางคนอาจจะมีสีชมพูหวานแหวว บางคนอาจจะมีสีแดงร้อนแรง หรือบางคนอาจจะมีสีหม่นๆ ไม่สดใสไปซะทีเดียว แต่จะบอกเลยว่าสำหรับ Allie และ Noah แห่ง The Notebook นั้นต่างเผชิญกับความรักมาหลายต่อหลายรูปแบบเลย ถ้าจะให้มองเป็นกราฟ ก็คงจะเป็นกราฟที่ขึ้นๆ ลงๆ ไม่คงที่และไม่แน่นอน เอาล่ะ ถ้าอยากรู้กันแล้วว่าพวกเขาจะมีความรักในรูปแบบไหนเกิดขึ้นกับชีวิตบ้าง ก็ไปติดตามอ่านต่อกันได้เลยจ้า
The Notebook หรือชื่อภาษาไทยว่า ปาฏิหาริย์บันทึกรัก เป็นผลงานการเขียนของ Nicholas Sparks นักเขียนชาวอเมริกัน ที่มีผลงานเป็นหนังสือขายดีหลายต่อหลายเล่ม อาทิ A Walk to Remember, Dear John, The Last song รวมถึง The Notebook ที่เรากำลังจะพูดถึงกันในวันนี้
โดยนิโคลัสมีผลงานตีพิมพ์หนังสือมาแล้วกว่า 21 เล่ม ตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 จนถึงปัจจุบัน แถมผลงานของเขากว่า 11 เล่มได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้ว เรียกได้ว่าผลงานการันตีฝีมือได้ดีจริงๆ !
The Notebook
นวนิยายที่ว่าด้วยเรื่องของความสัมพันธ์บนเส้นทางที่แตกต่าง
โนอาร์และแอลลี่ย์ พระนางของเรื่องนี้มีฐานะที่แตกต่างกัน โนอาร์ เป็นเพียงชายหนุ่มยากจนธรรมดาๆ ผิดกับ แอลลี่ย์ ที่เป็นถึงลูกสาวของมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวย โนอาร์ตกหลุมรักแอลลี่ย์ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้า เขาพยายามตามตื้อเพื่อจะได้ทำความรู้จักกับเธอ แอลลี่ย์ในตอนแรกนั้นยังมีความหวงเนื้อหวงตัวอยู่ เพราะเธอไม่เคยเจอผู้ชายแบบโนอาร์มาก่อน แต่เมื่อเธอได้ใกล้ชิดกับเขาเรื่อยๆ เธอก็ตกหลุมรักจิตใจที่บริสุทธิ์ของเขาในทันที
ทั้งนี้ทั้งนั้นในตอนต้นของเรื่องจะดูเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นดำเนินไปอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค แต่พอมีตัวละครของพ่อและแม่ของแอลลี่ย์เข้ามา เรื่องราวของความต่างก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องสำคัญขึ้นมาทันที ซึ่งเรื่องของความแตกต่างนั้นอาจจะเป็นเรื่องสำคัญและไม่สำคัญในมุมมองของแต่ละคน แถมยังเป็นเรื่องที่เรามักจะเจอได้บ่อยในสถานการณ์รอบตัว โดยนิยายเรื่องนี้ได้แสดงให้เราได้เห็นว่า “ความแตกต่าง” ที่หลายคนให้ความสำคัญกันนักหนา กลับไม่ได้สำคัญในสายตาของโนอาร์และแอลลี่ย์เลย
เมื่อได้รักแล้วก็ยากที่จะตัดใจ
ด้วยความที่ในตอนแรกพระนางของเรายังมีนิสัยของความเป็นเด็กจึงทำให้ ยิ่งห้ามก็ดูเหมือนจะยิ่งยุ และยิ่งครอบครัวของแอลลี่ย์แสดงออกถึงความไม่ชอบหน้าโนอาร์เท่าไหร่ มันยิ่งทำให้แอลลี่ย์โหยหาความรักจากโนอาร์มากขึ้นเท่านั้น โดยพวกเขาทั้งคู่มักจะแอบนัดพบกันเป็นประจำ อาศัยกลุ่มเพื่อนๆ คอยช่วยเหลือ หรือบางทีก็จะแอบนัดกันในเวลากลางคืนตอนที่พ่อแม่ของพวกเขานั้นเข้านอนกันแล้ว
มันแสดงให้เราได้เห็นถึงความรักระหว่างเด็กวัยรุ่นทั้งสองคน ที่ไม่คำนึงถึงความผิดถูก ไม่สนว่าคนรอบข้างจะมองว่าอย่างไร อีกอย่างคือมันเป็นความรักในลักษณะของ "รักครั้งแรก" มันจึงเป็นเหตุให้ทั้งสองคนทำอะไรไปแบบที่ไม่สนใจใครนอกจากหัวใจของตนเอง ซึ่งมันก็มีทั้งข้อดีและไม่ดี แต่สุดท้ายพวกเขาจะได้เรียนรู้ถึงผลลัพธ์จากสิ่งที่ได้ทำลงไปด้วยตัวเอง
กล้าปฏิเสธ แล้วออกไปทำตามเสียงหัวใจของตัวเอง
เมื่อเวลาผ่านไป ตัวละครหลักทั้งสองคนของเราก็เติบโตขึ้น แถมยิ่งพวกเขาห่างกันไป ก็ยิ่งทำให้เรียนรู้อะไรได้มาก โดยเฉพาะเรื่องความต้องการที่แท้จริงของหัวใจ โดยในเนื้อหามีอยู่ฉากหนึ่งที่แอลลี่ย์ได้เดินทางกลับมาหาโนอาร์อีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนาน เมื่อเธอได้เจอกับเขา มันก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกเก่าๆ ย้อนกลับมาหาอีกครั้ง ทุกคนพอจะคิดกันออกแล้วใช่ไหม ถ้าคนเราไม่ได้คิดอะไรจริงๆ เขาจะย้อนกลับมาหาอดีตทำไม ซึ่งทำให้เราเข้าใจได้เลยว่า แอลลี่ย์ยังรักโนอาร์อยู่ แต่แอลลี่ย์ก็ยังไม่กล้าทิ้งทุกอย่างเพื่อกลับมาหาเขา เพราะเธอยังไม่แน่ใจว่าสิ่งนั้นจะใช่ความรักจริงๆ ไหม
โนอาร์ได้ทิ้งข้อความหนึ่งให้กับแอลลี่ย์ก่อนที่เธอจะจากไปว่า "เธอแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าอยากให้มันออกมาเป็นแบบนี้ เธอไม่ต้องแคร์ ไม่ต้องทำตามความต้องการของใคร ขอเพียงแค่เธอทำตามความต้องการของตัวเองก็พอ" หลังจากที่โนอาร์ได้พูดคำนั้นไปกับเธอ มันก็ฉุกความคิดอะไรบางอย่างของแอลลี่ย์ขึ้นมาได้

พี่นัทตี้คิดว่าประโยคๆ นี้เป็นความจริงจ้ะ เพราะชีวิตของคนเราไม่มีทางที่จะได้พบกับความสุขในทุกๆ วัน มันต้องมีวันที่เราผิดหวัง วันที่อะไรๆ ไม่ได้ดั่งใจ หรือวันที่เราเจ็บปวด แต่ยังไงก็ไม่ใช่ทุกวันอยู่ดี ดังนั้นเราควรเลือกที่จะจำแต่ความทรงจำที่มีความสุข จดจำรายละเอียด คน หรือว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความทรงจำเหล่านั้น เพราะเมื่อใดที่เรานึกถึง มันก็จะทำให้เรารู้สึกสบายใจ และทำให้เราได้เห็นถึงความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า"ความทรงจำ" และยิ่งไปกว่านั้นคือมันจะทำให้เรื่องราวเหล่านั้นอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไป...

เป็นยังไงกันบ้างจ๊ะ กับเรื่องราวความรักระหว่างโนอาร์และแอลลี่ย์ ต้องบอกเลยว่ากว่าจะสมหวังกันได้แอบใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่ก็ดีเพราะทั้งสองคนจะได้รู้จักเรียนรู้ชีวิตกันไป แถมคนอ่านอย่างเราก็จะได้เรียนรู้อะไรจากตัวละครสองคนนี้ได้มากเลย ไหนใครเคยอ่านนิยาย หรือเคยดูหนังเรื่องนี้กันมาแล้ว อ่านบทความนี้แล้วคิดเห็นยังไงกันบ้าง แสดงความคิดเห็นให้พี่นัทตี้อ่านกันหน่อยซิ เอาล่ะ วันนี้พี่นัทตี้ต้องขอตัวไปแล้ว ไว้เจอกันใหม่บทความหน้า สวัสดีจ้า :)
พี่นัทตี้
ขอบคุณภาพประกอบจากภาพยนตร์ The Notebook

3 ความคิดเห็น
อ่านแล้วนึกถึงนิยายเรื่อง
'Where we belong'
เรื่องนี้พระนางมีความแตกต่างด้านฐานะความเป็นอยู่เหมือนกันค่ะ
และยังแตกต่างกันในเรื่องของความคิดกับทัศนคติค่อนข้างมาก
แม้ตอนแรกพระนางจะรักกันดีโดยไม่แคร์สายตาใคร
แต่พอนางเอกพลาดตั้งท้องกับพระเอกในช่วงปิดเทอมจบ ม.6
แล้วพระเอกบอกว่าไม่อยากเรียนต่อ เพราะอยากเป็นนักดนตรีอิสระ
นางเอกเลยตัดสินใจเลิกกับพระเอกไปเลย
เพราะนางเอกนิยามความสำเร็จในชีวิตไว้อีกแบบ
คือต้องเรียนจบสูง จากมหาวิทยาลัยดังๆ แล้วมีหน้าที่การงานดี
แต่จุดพีคของเรื่องคือ
นางเอกตัดสินใจอุ้มท้องลูก 10 เดือน และทำเรื่องยกลูกคนให้คนอื่นไปเลี้ยง
โดยมีแม่นางเอกคอยให้ความช่วยเหลือ และเป็นความลับระหว่างทั้งสอง
หลังจากนั้นนางเอกกลับไปเรียนต่อ จบมาแล้วได้ตำแหน่งใหญ่โต
และคบอยู่กับเจ้าของสถานีโทรทัศน์ที่นางเอกทำงานอยู่
เรียกได้ว่าช่วงนั้นชีวิตนางเอกสมบูรณ์แบบสุดๆ
จนกระทั่งลูกนางเอกตามหานางเอกเจอ แล้วขอให้นางเอกพาไปพบพระเอก
อันนี้คือเขียนอะไรเสียยืดยาว (ฮ่า)
แค่อยากบอกว่าอารมณ์เรื่องเท่าที่อ่านมีความคล้ายกันค่ะ
บางกรณี กับบางคน ความรักก็เป็นแค่ส่วนประกอบเล็กๆ ในชีวิต
ตอนเรายังเป็นวัยรุ่น ที่เพิ่งมีความรักครั้งแรก
ความรักดูยิ่งใหญ่จนอะไรก็เอามาแลกไม่ได้
แต่พอเราโตขึ้น ความรักก็ไม่ใช่เรื่องของหัวใจอย่างเดียวละ
มันจะมีเหตุผล และความเหมาะสมเข้ามา
ทำให้คนในวัยที่โตขึ้นมาหน่อย เริ่มมีความรักยาก
ถ้าคิดจะรักใครคนหนึ่ง ก็ต้องมีเหตุผลมากมายมารองรับ
แต่ชอบประโยคนี้ค่ะ
'ความสุขอยู่กับเราแค่ไม่นาน แต่ความทรงจำจะอยู่กับเราตลอดไป'
เพราะไม่ว่าจะโตขึ้นแค่ไหน ร่องรอยของความสุขจากรักแรก
ก็ยังหลงเหลืออยู่ในความทรงจำเสมอ
น่าสนใจมากๆ เลย ขอบคุณมากนะจ๊ะ
จะหาหนังสือมาอ่านได้ที่ไหนบ้างคะ
ถ้าเป็นฉบับแปลไทยต้องลองไปติดต่อสำนักพิมพ์ มติชน ดูนะจ๊ะ ส่วนถ้าเป็นฉบับภาษาอังกฤษมีขายตาม Asiabook ไม่ก็ คิโนะ เลย
เคยดูหนังเรื่องนี้เมื่อนานมาแล้ว ตอนแรกที่ดูก็รู้สึกว่า 'นี่มันรักน้ำเน่าละครไทยฉบับฮอลลิวูดชัดๆ' แต่พอดูถึงตอนจบเท่านั้นแหละ ถึงกับอึนไปหลายวัน