10 เรื่องจริงสุดดราม่าของ คริสโตเฟอร์ โรบิน
ตัวละครเอกจากวรรณกรรมเด็กชื่อดัง วินนี่เดอะพูห์
สวัสดีค่ะ ชาวนักเขียนนักอ่านเด็กดีทุกคน แอดมินเป็นหนึ่งในคนที่เคยคิดเหมือนคนทั่วๆ ไป ก็คือวินนี่เดอะพูห์เป็นวรรณกรรมเยาวชนน่ารักๆ ที่เล่าเรื่องของสัตว์ต่างๆ มีป่าร้อยเอเคอร์ มีความมุ้งมิ้ง ทุกคนได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งโตมา และได้อ่านวินนี่เดอะพูห์ อย่างละเอียดนั่นแหละ ถึงได้รู้ว่า ความจริงแล้ว วรรณกรรมเยาวชนเรื่องนี้ ไม่ได้สวยงามอ่อนหวานอย่างที่คิด ตรงกันข้ามมันเต็มไปด้วยความดาร์คและดราม่าสุดๆ สัตว์ต่างๆ ที่อยู่ในป่าร้อยเอเคอร์ ล้วนแต่เป็นตัวแทนของโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาการทางจิตเภท และที่น่าเศร้าที่สุด เห็นจะไม่พ้นตัวละครเอกอย่างคริสโตเฟอร์ โรบิน ซึ่งเป็นชื่อจริงของลูกชายของ เอ. เอ. มินน์ นักเขียนเจ้าของเรื่อง จากการบรรยายหรือบทสนทนาที่ปรากฏในหนังสือ คริสโตเฟอร์ โรบิน ดูเป็นเด็กวัยรุ่นทั่วไป ที่แม้จะมีปัญหา ช่างสงสัย และขี้เหงาอยู่บ้าง แต่ในฐานะคนอ่านอย่างเรา ก็ไม่ได้คิดถึงอะไรที่เลยเถิดไปไกล และไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหาอะไร
จนได้มารู้ความจริงที่อยู่เบื้องหลังว่า... แท้จริงแล้ว ตัวเขาไม่ได้ชอบสิ่งที่พ่อทำ และไม่ได้อยากเป็นตัวละครในเรื่องแต่อย่างใด ทั้งยังอยากจะโยนความทรงจำเหล่านี้ทิ้งไปด้วย... ถึงได้รู้ว่า เรื่องราวที่เราเคยคิดว่าน่ารักและน่าสนุกนั้น ความจริงแล้ว แฝงด้วยปัญหาครอบครัวและความโศกเศร้า จนถึงดราม่าขั้นสุด และเรื่องทั้งหมดนี้ ก็สืบเนื่องมาจากตัว เอ. เอ. มินน์ ผู้เป็นพ่อ ซึ่งป่วยเป็นโรค PTSD (post-traumatic stress disorder) หรืออาการเครียดหลังจากเจอเหตุการณ์สะเทือนใจ เหตุการณ์ในที่นี้ก็คือ การต้องเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั่นเอง เอ. เอ. มินน์ ต้องทุกข์ทนกับภาพหลายๆ อย่างที่เห็นในสงคราม โรคร้ายคุกคามและส่งผลรุนแรงต่อเขา ในช่วงนั้น มินน์สารภาพว่าเขาฝันร้ายแทบทุกคืน และมีอาการทางประสาทบ่อยครั้ง เขาเคยเขียนระบายไว้ว่า “ผมไม่คิดว่าตัวเองจะกลับมาเป็นปกติ เป็นคนก่อนหน้าคนที่เคยไปสงครามได้ จิตวิญญาณของผมป่วยและถูกทำลายเสียแล้ว”
นักวิจารณ์หลายๆ คนตั้งข้อสันนิษฐานว่า... เหตุผลที่มินน์เขียนหนังสือเรื่องวินนี่เดอะพูห์อาจเพราะเขาต้องการระบายอาการป่วย เป็นการเยียวยาตัวเองอีกทางหนึ่ง แต่ปัญหาที่ทำให้ทุกอย่างบานปลายก็คือ เขานำเรื่องราวของคริสโตเฟอร์ โรบิน ลูกชายคนเดียวมาเขียน และมันส่งผลต่อชีวิตของเจ้าตัวอย่างหนัก รวมถึงทำให้ลูกชายคนเดียวของเขาต้องประสบปัญหาไม่แตกต่างจากตัวเขาด้วยเช่นกัน
เราไปดูกันดีกว่าว่า... เรื่องดราม่าอะไรบ้างที่คริสโตเฟอร์ โรบินต้องเผชิญ และกดดันจนทำให้เขารังเกียจวินนี่เดอะพูห์จับใจ
ภาพโปรโมตของเอ. เอ. มินน์, คริสโตเฟอร์ โรบิน และวินนี่เดอะพูห์
สมัยเด็ก คริสโตเฟอร์ โรบิน ถูกจับแต่งตัวเป็นเด็กผู้หญิง เพราะพ่อแม่อยากได้ลูกสาว
ครอบครัวมินน์อยากได้ลูกสาวมาตลอด ตอนตั้งท้องก็ตั้งชื่อลูกไว้แล้วว่าโรสแมรี่ แต่เมื่อคริสโตเฟอร์ โรบินลืมตาดูโลกในวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1920 พวกเขาก็ผิดหวังอย่างหนัก “เราอยากได้โรสแมรี่” เอ. เอ. มินน์เขียนจดหมายหาเพื่อนหลังจากคริสโตเฟอร์ โรบินเกิดได้ไม่กี่วัน และหลังจากนั้นเป็นต้นมา พวกเขาก็ยังไม่ล้มเลิกความฝันเรื่องมีลูกสาว ทั้งๆ ได้ลูกชาย ทั้งคู่จับคริสโตเฟอร์ โรบิน ไว้ผมยาว แต่งกายด้วยชุดของผู้หญิง และสวมเครื่องประดับ ตลอดจนแต่งทรงผมให้ดูน่ารัก ในตอนแรก พวกเขาเกือบจะแลกตัวคริสโตเฟอร์ โรบินกับเด็กผู้หญิงที่ชื่อว่าแอนน์ ดาร์ลิงตันด้วยซ้ำ เพราะหลงรักเด็กผู้หญิงมากกว่า
เอ. เอ. มินน์ ผู้เป็นพ่อ ไม่รักเด็กและไม่สนใจดูแล คริสโตเฟอร์ โรบิน
ในสายตาของนักอ่านที่เป็นแฟนคลับวินนี่เดอะพูห์ ย่อมมองว่า เอ. เอ. มินน์ เป็นพ่อที่สมบูรณ์แบบ ทว่าในความเป็นจริงแล้ว เรื่องราวในหนังสือกับชีวิตจริงนั้นไปคนละทาง คนละเรื่อง และเหตุผลที่มินน์เขียนหนังสือก็ไม่ใช่เพราะต้องการยกให้ลูกชายเป็นของขวัญ “ผมไม่ค่อยชอบเด็ก” เขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้ “ไม่เคยอ่อนไหวหรือซาบซึ้งไปกับพวกนี้ มากกว่าลูกแมวลูกหมา” ในช่วงแรกๆ ของชีวิต มินน์แทบไม่ได้สนใจลูกชาย ส่วนใหญ่เขาจะเดินทางไปทำงานต่างเมือง ไม่เล่นกับลูกอย่างที่บรรยายไว้ในหนังสือ คริสโตเฟอร์ โรบิน เติบโตขึ้นมากับโอลีฟ แรนด์ พี่เลี้ยงที่พ่อแม่จ้างมา เขายังเคยให้สัมภาษณ์ว่า “แรนด์เหมือนเป็นพ่อแม่ของผมมากกว่า” ในช่วง 8 ปีแรกของชีวิต เขาแทบไม่ได้อยู่ห่างจากพี่เลี้ยงคนนี้ “คนบางคนรักและดีต่อเด็ก มันเป็นของขวัญ พ่อผมไม่มีสิ่งนี้” คริสโตเฟอร์ โรบินเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อ
คริสโตเฟอร์ โรบินในหนังสือ คือลูกชายในฝันที่เอ. เอ. มินน์ จินตนาการขึ้น ไม่ใช่ตัวจริง
คริสโตเฟอร์ โรบิน ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เรื่องที่พ่อของเขาเขียนขึ้นนั้น ไม่ได้เกิดจากความรักจับใจของพ่อกับลูกชาย แต่เอ. เอ. มินน์ ได้ไอเดียเขียนเรื่องนี้เพราะได้ฟังคำพูดของภรรยา “แม่ของผมเป็นคนแต่งกลอนพวกนั้นและเล่าให้พ่อฟัง วัตถุดิบทั้งหมดที่พ่อได้มาจากแม่” คริสโตเฟอร์ โรบิน ประกาศ “แม่เล่าให้พ่อฟังว่าผมชอบเล่นกับตุ๊กตาหมี พ่อก็เลยจินตนาการถึงวินนี่เดอะพูห์ พ่ออาจมีจินตนาการของนักเขียน มีความฝัน แต่เขาไม่ได้สนใจหรอกว่าลูกชายจริงๆ เป็นอย่างไร และคริสโตเฟอร์ โรบินคนในหนังสือ ก็คือลูกชายในฝันที่พ่อสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ตัวผมจริงๆ”
คริสโตเฟอร์ โรบิน ถ่ายภาพกับแม่และวินนี่เดอะพูห์
คริสโตเฟอร์ โรบินและวินนี่เดอะพูห์ของเขา
คริสโตเฟอร์ โรบินต้องเผชิญกับสื่อตั้งแต่อายุเพียง 7 ขวบ
หลังตีพิมพ์ วินนี่เดอะพูห์ กลายเป็นวรรณกรรมเยาวชนที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ณ ตอนนั้น คริสโตเฟอร์ โรบิน อายุเพียงแค่เจ็ดขวบ และกลายเป็นคนดังที่ใครๆ ก็อยากรู้จัก มีแฟนคลับจำนวนมากอยากเห็นตัวจริงของเด็กน้อย และนั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้มินน์ตัดสินใจพาลูกชายไปทัวร์แจกลายเซ็นด้วย คริสโตเฟอร์ โรบินในวัยเจ็ดขวบกลายเป็นเป้าสายตา ได้รับความสนใจจากสื่อ และต้องถ่ายภาพร่วมกับพ่อ และตุ๊กตาหมี รวมถึงต้องทำท่าทางเหมือนที่พ่อบรรยายไว้ในหนังสือ ต้องร้องเพลงที่พ่อแต่งต่อหน้าผู้คน ซึ่งในตอนแรก คริสโตเฟอร์ โรบิน ไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่ออายุมากขึ้น เขาก็เริ่มไม่สบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อคนคอยถามเขาถึงเรื่องราวในหนังสือ และมันเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตของเขา เมื่ออายุได้ 9 ขวบ มินน์ถึงได้ยอมล้มเลิกพาลูกชายไปออกทัวร์ ด้วยเหตุผลที่ว่า “คริสโตเฟอร์ โรบินออกสื่อมากเกินไป ผมไม่อยากให้เขามีปัญหากับเรื่องนี้จนอาจจะเปลี่ยนชื่อเป็นคนอื่น”
ชื่อเสียงที่ได้มาทำให้คริสโตเฟอร์ โรบิน ถูกข่มขู่และทุบตีทำร้าย
หลังวินนี่เดอะพูห์กลายเป็นหนังสือที่โด่งดัง คริสโตเฟอร์ โรบินพบว่าเขาไม่ได้สนุกกับชื่อเสียงที่ได้รับแต่อย่างใด จนกระทั่งอายุได้ 9 ขวบ เขาก็ได้รู้ว่าผลเสียของการเป็นคนดังมันเป็นอย่างไร เมื่อเพื่อนร่วมชั้นข่มขู่และรุมทุบตีทำร้ายเขา ด้วยเหตุผลง่ายๆ คงมาจากความอิจฉา ส่วนหนึ่งคงเพราะลักษณะการแต่งกายและนิสัยขี้อายที่พ่อแม่ผู้อยากได้ลูกสาวปลูกฝังเอาไว้ เพื่อนๆ ผู้ชายที่โรงเรียนมักล้อเลียนเขาเสมอว่า “ตุ๊กตาหมีของนายไปอยู่ที่ไหนล่ะ” เพื่อนบางคนก็เอาหนังสือเสียงที่คริสโตเฟอร์ โรบินอัดไว้มาเปิดล้อเลียนเขา บางคนก็ล้อเลียนพ่อของเขา คริสโตเฟอร์ โรบินเสียใจมาก เขาถูกทำร้ายต่อเนื่องจนกระทั่งเมื่ออายุได้ 13 ปี ก็ตัดสินใจไปเรียนชกมวยและเริ่มที่จะป้องกันตัวเอง
คริสโตเฟอร์ โรบิน เกลียดพ่อที่ทำลายชีวิตของเขา
ความกดดันต่างๆ ที่ได้รับทำให้คริสโตเฟอร์ โรบินรู้สึกแย่มาก เรื่องราวในหนังสือทำให้ทุกคนคาดหวังในตัวเขา ใครๆ เชื่อว่าเขาจะต้องเป็นแบบในหนังสือ และต้องทำสิ่งดีๆ ให้กับโลก แต่เมื่อโตขึ้น เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาๆ และทำอาชีพทั่วไปที่ไม่โดดเด่นอย่างขายโป๊ะไฟ “ผมกลายเป็นคนดัง ชื่อของผมถูกพูดถึงทั่วโลก แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย มันทำให้ผมเศร้ามากที่ต้องเกิดมาเป็นลูกชายของพ่อ พ่อหลอกใช้ผมตั้งแต่ยังเป็นทารก เอาชื่อของผมไปใช้ และไม่หลงเหลืออะไรไว้ให้ผมเลย” หลายครั้งหลายคราที่ถูกถามถึงประวัติชีวิตและเรื่องราวต่างๆ คริสโตเฟอร์ โรบินบอกว่าเขารำคาญที่ต้องทำลายความรู้สึกของผู้คน เพราะชีวิตจริงของเขาไม่ได้เป็นแบบในหนังสือ
คริสโตเฟอร์ โรบินและเลสลี่ย์ ลูกพี่ลูกน้องที่เขารัก
เรื่องของคริสโตเฟอร์ โรบินถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์
ภาพเปรียบเทียบกับในการ์ตูน
คริสโตเฟอร์ โรบิน แต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง
ทั้งพ่อและแม่กดดันหมายมั่นปั้นมืออยากให้คริสโตเฟอร์ โรบิน แต่งงานกับแอนน์ ดาร์ลิงตัน เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่พวกเขาอยากได้เป็นลูกสาวของตัวเอง แต่ผู้หญิงที่คริสโตเฟอร์ โรบินเลือกคือ เลสลี่ย์ เดอ เซลินคอร์ท ลูกพี่ลูกน้องของเขาเอง เลสลี่ย์เป็นลูกสาวของลุง (พี่ชายของแม่) แน่นอนว่าไม่มีสมาชิกในครอบครัวคนไหนเห็นด้วย พ่อของเขาคัดค้านอย่างหนักที่ลูกชายจะแต่งงานกับคนสายเลือดเดียวกัน แม่ของเขาโกรธมาก เพราะเธอกับพี่ชายไม่ได้คุยกันมานานกว่า 30 ปีแล้ว และเลสลี่ย์คือคนที่เธอเกลียด ยิ่งถูกกีดกัน คริสโตเฟอร์ โรบินกับเลสลี่ย์ก็ยิ่งรักกันแน่นแฟ้น ทั้งคู่แต่งงานกันโดยยอมตัดขาดกับญาติพี่น้องทั้งหมด และย้ายไปอยู่ที่อื่น คริสโตเฟอร์ โรบิน ประกาศในภายหลังว่า “ผมอยากหนีจากชื่อเสียงของพ่อ และอยากหนีจากความเป็นคริสโตเฟอร์ โรบินด้วย”
ลูกสาวของคริสโตเฟอร์ โรบิน เกิดมาพร้อมโรคสมองพิการ
ในเมื่อคริสโตเฟอร์ โรบินเลือกแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของเขาเอง ก็ไม่แปลกอะไรที่เขาต้องเผชิญกับปัญหาโรคทางพันธุกรรม และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ลูกสาวคนเดียวของพวกเขา เกิดมาพร้อมปัญหาโรคสมองพิการอย่างรุนแรง เด็กน้อยเดินไม่ได้ด้วยซ้ำ และต้องการการดูแลตลอด 24 ชม. คริสโตเฟอร์ โรบินต้องตกยาก ก่อนลูกจะคลอด เขาปฏิเสธไม่ยอมรับเงินทองใดๆ จากผู้เป็นพ่อ แต่เมื่อลูกมาป่วยแบบนี้ เขาก็หมดทางเลือก เพราะอาการป่วยของลูกต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก
แม่ของคริสโตเฟอร์ โรบิน โกรธจนไม่ยอมมองหน้าลูกชายแม้วันตาย
สมัยยังเป็นเด็ก คริสโตเฟอร์ โรบินโกรธพ่อแม่มากจนถึงกับประกาศว่า “สักวันผมจะสัมภาษณ์เกี่ยวกับพ่อกับแม่ แล้วจะรอดูว่าพ่อกับแม่จะรู้สึกยังไง” และต่อมาเขาก็ทำตามที่พูดจริงๆ นั่นคือ ให้สัมภาษณ์เปิดใจ และบรรยายถึงพ่อแม่อย่างโหดร้าย ถึงกับใช้คำเปรียบเทียบว่า “พ่อกับแม่เหมือนปีศาจเดินได้” แม่ของเขาเสียใจมากจนถึงกับไม่ยอมมองหน้าคริสโตเฟอร์ โรบินอีก มินน์เองยังยอมประนีประนอมมากกว่า หลังจากมินน์ตาย คริสโตเฟอร์ โรบินไม่ได้พบกับแม่อีกเลย เธอมีชีวิตอยู่ต่อมาอีก 15 ปี โดยไม่ยอมติดต่อลูกชายแม่สักครั้ง คริสโตเฟอร์ โรบินมาติดต่อแม่ตอนใกล้สิ้นใจแล้ว เขาพยายามกลับมาติดต่อและขอร้องให้ได้เจอเธอสักครั้งก่อนตาย แต่แม่ใจแข็งมาก เธอปฏิเสธ แม้แต่ช่วงเวลาใกล้ตาย ก็ไม่ยอมให้คริสโตเฟอร์ โรบินใกล้ชิด
คริสโตเฟอร์ โรบินและหมีพูห์ในจินตนาการของเอ. เอ. มินน์
คริสโตเฟอร์ โรบิน ทิ้งวินนี่เดอะพูห์ของเขา
หลังแต่งงานย้ายออกจากบ้านของพ่อแม่ คริสโตเฟอร์ โรบินทิ้งตุ๊กตาหมีตัวโปรดที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้พ่อของเขาเขียนเรื่องวินนี่เดอะพูห์ไป เมื่อพ่อเสียชีวิต เขายกลิขสิทธิ์ทั้งหมดให้กับสำนักพิมพ์ รวมถึงตุ๊กตาหมีที่รักมากๆ ด้วย 40 ปีต่อมา สนพ. เสนอจะคืนตุ๊กตาหมีให้กับเขา แต่คริสโตเฟอร์ โรบิน ปฏิเสธ และบริจาคเจ้าหมีให้กับห้องสมุดนิวยอร์ก เขาเขียนสุนทรพจน์ไว้ว่า “ผมอยากมีความสุขกับปัจจุบัน ไม่ใช่หลงอยู่กับอดีตเมื่อหลายปีก่อน” สำหรับแฟนคลับหลักล้านของเอ. เอ. มินน์ การกระทำนี้ไม่ต่างจากโศกนาฎกรรม คำพูดนี้ไม่ควรเป็นคำพูดที่คริสโตเฟอร์ โรบินพูดกับวินนี่เดอะพูห์เพื่อนรักเลย แต่สำหรับคริสโตเฟอร์ โรบิน เขาคิดแค่ว่า ตุ๊กตาหมีตัวนั้นก็คือของเล่นวัยเด็ก ไม่ได้มีความหมายกับเขามากขนาดนั้น “ชื่อเสียงไม่เกี่ยวอะไรกับความรัก” เขาสรุปปิดท้ายเมื่อโดนแฟนๆ ของพ่อต่อว่า
ทีมงานนักเขียนเด็กดี
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
http://listverse.com/2018/06/16/10-facts-about-the-real-christopher-robin-behind-winnie-the-pooh/ https://en.wikipedia.org/wiki/Christopher_Robin_Milne
http://time.com/4953156/goodbye-christopher-robin-true-story/
4 ความคิดเห็น
น่าสงสารอะ พ่อแม่ของ คริสโตเฟอร์แย่มากจริงๆ แต่เรื่องตัวละครในวินนี่ เดอะ พูห์ เป็นตัวแทนสื่อถึงผู้ป่วยจิตเวชเป็นแค่การสันนิษฐานของนักจิตวิทยานะ คือนักจิตฯคิดว่าตัวละครแต่ละตัวมีอาการเหมือนโรคนี้โรคนั้น ซึ่งคนแต่งเจตนาสื่อถึงโรคจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เราว่าน่าจะมาจากสภาพจิตใจของคนแต่งทำให้ดีไซน์ตัวละครออกมามีนิสัยสุดโต่งเกินนิสัยคนทั่วไป
มันมีทฤษฎีที่ว่าสิ่งที่เราอยากจะสื่อออกมา มักมาจากตัวตนข้างใน เป็นการสะท้อนตัวตนในส่วนลึกของเราไงคะ คล้ายกับคำกล่าวที่ว่า "สำเนียงส่อภาษา กิริยายส่อสกุล" ไม่รู้จริงไหม แต่เชื่อว่าคนที่เป็นนักเขียนเป็นกันเกือบทุกคน เพราะบางคนก็เขียนเรื่องจากประสบการณ์ของตัวเอง ทำให้เผลอสื่อสิ่งที่เหมือนหรือสะท้อนหรืออยู่ภายใต้ส่วนลึกของจิตใจออกมาด้วย มันเป็นการระบายอย่างหนึ่ง ในโลกความเป็นจริงเราทำทุกอย่างที่ต้องการไม่ได้ แต่ในโลกความฝัน การเขียนเราทำทุกอย่างที่เกินจริงได้หมด ...เราค่อนข้างเชื่อในทฎษฎีของนักจิตวิทยานะ เพราะเจอนักเขียนที่เป็นแบบนั้นบ่อย ๆ
เกือบแลกกับเด็กผู้หญิงชื่อแอนน์!?
เฮอะ ตัวเองเป็นคนทำทั้งคู่ไม่ใช่รึไง โทษตัวเองซิว่าทำยังไงมันถึงผสมออกมาเป็นเพศอื่น!
ที่โรบินเกลียดตุ๊กตาที่เขาเคยรักมากๆก็ไม่ใช่เพราะไมลน์หรอ เป็นพ่อที่เห็นแก่ตัวมาก อยากออกจากวังวนความทรมาน แต่กลับดึงลูกให้เค้ามาทรมานแทนตัวเอง อยากจะแต่งวรกรมเรื่องๆนึงทำไมไม่ใช้ชื่ออื่นอ่ะ คิดไรตื้นมาก แถมยังจับลูกแต่งตัวเหมือนผูู้หญิงอีก ถูกล้อ ถูกแกล้งกว่า5ปี ถึงยอมสู้กลับ แล้วช่วงเวลาที่โรบินทรมานล่ะ มันนานแค่ไหน ไม่แปลกถ้าเค้าจะกลายเป็นว่าเกลียดเพื่อนที่เคยรัก เพราะพ่อเค้าทำให้เค้าเกลียดเอง
ขอบคุณ